68 ตอน ตอนที่ 68 [ตอนพิเศษ1.1] พ่อลูกได้เจอกัน
โดย YukiCoCo
ตอนที่ 68 [ตอนพิเศษ1.1] พ่อลูกได้เจอกัน
หลุมดำปริศนาจากไหนก็ไม่รู้มาโผล่ภายในป่าลึก แล้วชายหนุ่มผมดำวิ่งออกมาจากหลุมดำปริศนา แต่หารู้ไหมว่าจุดที่เขาโผล่นั้นเป็นเนินสูงชัน เขาก้าวผิดแค่ทีเดียวก็ตกลงสู่เนินสูงขรุขระเต็มไปด้วยหิน ดินนูน ใบไม้และกิ่งไม้ตามพื้น ชายหนุ่มเอาแขนป้องกันใบหน้าของตนเองอย่างระวังไม่ให้อะไรมาโดนใบหน้าของเขา ก่อนที่ตัวของเขาจะกระเด็นขึ้นสูงแล้วตกลงไปกระแทกกับต้นไม้กลางลำตัวเต็มๆ จนเขาสลบคาที่ตรงนั้น
เสียงภายในป่านั้นเงียบนิ่งไปได้สักระยะก็เริ่มกลับมาส่งเสียงอันแปลกประหลาดอีกครั้ง แต่แล้วก็ใครบางคนที่ใส่เสื้อคลุมทั้งตัวเดินมาจนถึงจุดที่ชายหนุ่มผมดำนอนสลบอยู่ เจ้าตัวเห็นก็สงสัยว่าอีกฝ่ายมาทำอะไรแถวนี่ ก่อนที่จะหันไปจุดที่เมื่อเสียง ก่อนที่เธอจะหยิบธนูออกมายิ่งขึ้นเหนือท้องฟ้าจนเกิดประกายแสงสว่างขึ้นจนทำให้สิ่งที่ส่งเสียงนั้นกรีดร้องกันออกมา ก่อนที่เสื้อคลุมจะช่วยอุ้มชายหนุ่มไว้บนบ่าของตนแล้วเดินกลับไปยังแคมป์ของตนเอง
ช่วงเวลาผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง ที่เด็กหนุ่มผมดำหลับไปยาวนานจนกระทั่งเขาฝันถึงแม่ของเขา นั้นทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
“ไม่นะ ต้องหนี!! อ๊ะ!! โอ๊ย!!”
“อย่าลุกขึ้นพรวดพราดแบบนั้นสิ เจ้าหนู”
เสียงปริศนาคล้ายๆ เสียงผู้หญิงดังขึ้นมา ทำให้เขาค่อยๆ หันไปมองต้นเสียงที่พูดกับเขา ก็หันไปเห็นหญิงสาวผมสีดำกำลังเช็ดธนูอยู่ ดวงตาสีฟ้าค่อยๆ หันมาจ้องมองเขา
“คุณเป็นใครกัน?”
“คำแรกของคนฟื้นก็แบบนี้สินะ ฉันแค่คนช่วยนายไว้ ตอนนายสลบนะ” หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นไปดูอาการบาดเจ็บที่เอวของอีกฝ่าย พอดึงเสื้อขึ้นก็เห็นรอยช้ำสีม่วง “ดูเหมือนนายจะกระดูกหักนะ!?”
“ถึงได้...เจ็บเป็นบ้า!” ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บไปทั้งเอว เขากลัวว่าตัวเองจะลุกไม่ได้นี่สิ แต่พอพยายามลุกก็เจ็บไปหมด “อึ้ก!”
“ดูน่าจะเจ็บมากสินะ เดียวรอสักครู่ละกันนะ” หญิงสาวเดินออกจากสิ่งที่คล้ายๆ เต็นท์ไป
ชายหนุ่มมองรอบๆ จนรับรู้ว่าตนเองอยู่ภายในเต็นท์ที่ใหญ่มากๆ เขากำลังจ้องมองรอบๆ ก็เห็นหญิงสาวคนเดิมกลับมา แต่เธอมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ผมสีดำแต่ผิวซีดมากๆ จนเขามองสงสัยว่าอีกฝ่ายพาเด็กผู้หญิงมาหาเขาทำไม
“ดูเหมือนเจ้าจะฟื้นดีแล้วนะ เอาล่ะ!” เด็กผู้หญิงเดินมาเอาเก้าอี้ไม้หันหลังให้อีกฝ่าย ก่อนที่เธอจะนั่งลง “บอกมาสิเจ้าเป็นใคร? ทำไมมาอยู่ในป่าคนเดียว?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นใครถึงพูดเหมือนผู้ใหญ่ แต่เขาก็รู้สึกว่าควรบอกอีกฝ่ายว่าเป็นใคร
“เดวิค...เดวิค แจ็กสัน”
“แจ็กสัน?” เด็กผู้หญิงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย “เจ้ารู้จักเพอร์ซีย์ แจ็กสันหรือเปล่า?”
เดวิคค่อยๆ ส่ายหน้าเบาๆ เพราะถ้าเขาส่ายหน้าแรงๆ มันคงเจ็บเอวน่าดู เด็กผู้หญิงมองอย่างสงสัย ก่อนที่หญิงสาวที่ช่วยเดวิคไว้นั้นจะยื่นแถวที่มีน้ำข้นๆ สีน้ำตาลอยู่ภายในแก้วนั้น เมื่อเขายกขึ้นดื่มมันทั้งเข้มข้นและหวานมากๆ จนเขาอยากรู้เลยว่ามันคืออะไร
“อร่อยจัง”
“มันคืออาหารเทพ กินน้อยๆ ล่ะ ถ้าเยอะเกินไปมันจะร้อนข้างในนายนะ”
“อาหารเทพ?”
“นายไม่รู้จักสินะ”
“ไม่ครับ...”
“แล้วเจ้ามาทำอะไรในบ้านทางตอนใต้แบบนี้กันเจ้าหนู” เด็กผู้หญิงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ผมควรถามพวกคุณนะ พวกคุณเป็นใครแล้ว?”
“ตอบคำถามข้ามาก่อน!!”
พออีกฝ่ายขึ้นเสียงทำเอาเดวิคสะดุ้งนิดหน่อย เขารู้สึกว่าคำพูดอีกฝ่ายเหมือนพวกอาวุโสพูดกัน “ผม...กำลังหนีนะ...”
“หนีจากอะไร?”
“หนีจากปีศาจนะ...”
“นายถึงบาดเจ็บแบบนั้นนี้สินะ?” หญิงสาวอีกคนพูดถามขึ้น
“ครับ...”
เดวิคโกหกออกไป เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขากำลังเจออะไร เพราะเขาต้องระวังตัวสูงกว่าปกติ ตอนนี้เขาไม่มีแม่อยู่ข้างๆ แล้ว เขาต้องพึ่งตัวเหมือนในหนังสือที่เขาอ่านบ่อยๆ
“รู้ไหมว่าข้านะจับผิดคนโกหกได้นะ!”
“!?” เดวิคเงยหน้ามองอีกฝ่ายทันที เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าเขาโกหก
“แต่ช่างเถอะ เจ้าคงมีเหตุผลของเจ้า เอ่อ...ข้าลืมแนะนำตัวไป ข้ามีนามว่า อาร์เทมีส!”
“อาร์เทมีส?” เดวิคนึกย้อนความรู้ทุกอย่างที่แม่ของเขาสอนเกี่ยวกับปกรณัมกรีกจนจำได้ว่ามีชื่อนี้ในนั้น “เดียว!! ท่านคือเทพีอาร์เทมีส! เทพีแห่งการล่า พงไพรและเนินเขา จันทราและคันศร และเป็น-”
“พอๆ ล่ะ ข้าขอบใจที่เจ้ารู้ว่าข้าเป็นอะไร แต่ข้าเบื่อคนที่เล่นพูดชื่อเสียงเรียงนามข้าเป็นเซตแบบนี้จริงๆ” เทพียกมือขึ้นมาห้องอีกฝ่ายพูดต่อ
“ขอประทานอภัย...”
“งั้นหลังจากเจ้าดื่มอาหารเทพจนร่างกายกายเป็นปกติ เราออกเดินทางเรายังมีที่ที่ต้องไปอีก ธาเลียจะเป็นคนดูแลเจ้าต่อ!”
“ธาเลีย?”
“ก็หัวหน้าพรานหญิงของข้าที่เป็นคนที่ช่วยเจ้าเอาไว้ไงล่ะ!”
เดวิคค่อยๆ หันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่าย เธอยิ้มอ่อนๆ ให้เขา
“ฉัน ธาเลีย เกรซ ยินดีที่ได้รู้จักนะ เดวิค”
“เช่นกันครับ...”
เดวิคค่อยๆ ดื่มอาหารเทพอย่างระมัดระวังไม่ให้ดื่มเยอะเกินไป จากที่ธาเลียบอกเธอเป็นธิดาของซุส เลยมีอาหารเทพติดตัวไว้บ้าง ถึงแม้มันจะไม่จำเป็น เพราะเธอเป็นอมตะ เนื่องจากเป็นพรานหญิงของเทพีอาร์เทมีส เมื่อถวายคำปฏิญาณต่อเทพีอย่างภักดีและจะหันหลังให้กับพวกผู้ชาย สำหรับเขาดูเป็นความอมตะที่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบผู้ชายล่ะนะ ตอนนี้เขาเตรียมหนีพวกปีศาจที่จะไล่ล่าเขา เขาตรวจสอบกระเป๋าที่มีอาวุธอย่างมีดสั้นและดาบยาวที่ถูกสร้างในเล็กก่อนจะกดปุ่มแล้วมันยาวขึ้น
“ดูเหมือนเธอจะมีอาวุธแล้วนะ!” ธาเลียกล่าวพูดขึ้น เธอพึ่งหายไปช่วยคนอื่นๆ เก็บเต้นท์และข้าวของต่างๆ
“ครับ...ผม...ได้จากแม่นะ...”
“แม่เหรอ? แล้วแม่เธอไปไหนแล้วล่ะ? อยู่บ้านเหรอ?”
“เราไม่มีบ้านให้กลับ...” เดวิคกล่าว “ผมต้องตามใครสักคน...ที่รู้จักแม่ผม”
“แล้วแม่เธอเป็นใครล่ะ เพื่อฉันรู้จักนะ คนที่อายุเท่าฉัน”
“อายุเท่าคุณ?”
“เห็นฉันเป็นเด็กสาว ฉันก็อายุมากกว่าเธอเกือบ 2 เท่านะ!”
“ว้าว...พูดไม่ออกเลยครับ” เดวิคได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงมีอายุมากกว่าเขาแน่ๆ แต่อีกฝ่ายพูดถึงแม่เขา ทำให้เขาเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นแทน “คือ...เทพีถามผมว่ารู้จักเพอร์ซีย์ แจ็กสันไหม? เพราะอะไรครับ?”
“ก็เธอนามสกุลแจ็กสันก็ทำให้เทพีนึกว่าเธอเป็นญาติกับเพอร์ซีย์ ที่จริงเขาเป็นเพื่อนฉันแล้วเธอคล้ายเขามากๆ ทำให้เทพีถามแบบนั้นออกไปนะ”
“คล้ายเหรอ? ชักอยากเจอเขาแล้วแหะ” เดวิคอยากเจอคนชื่อเพอร์ซีย์ขึ้นมาเลยล่ะ "แบบนี้ เขาเป็นเพื่อนคุณ...นั้นคุณเพอร์ซีย์คนนี้มีลูกไหมครับ?"
“มีนะ ลูกๆ 8 คน ชาย 4 หญิง 4”
“!?” เดวิคอ้ำอึ้งไปเลยที่ได้ยินแบบนั้น เพราะแม่ของเขาก็เคยบอกว่ามีพี่น้อง 8 คน “1 ในนั้นมีคนชื่อโพรทาเลียไหมครับ?”
“มีอยู่แล้ว โพรทาเลียเป็นลูกคนที่ 4 ของเพอร์ซีย์นะ”
เดวิครู้สึกโล่งอกที่เขามีข้อมูลของครอบครัวแม่ถึงจะเล็กน้อยก็ตามที ทำให้เขาต้องออกเดินทางไปหาพวกเขา
“ผมจะหาคุณตา- เอ้ย คุณเพอร์ซีย์ได้ยังไงครับ?”
“ท่าจะยากนะ เพราะที่ที่เธออยู่ตอนนี้กับที่ที่เขาอยู่มันห่างกันหลายไมล์มากๆ เลยล่ะ”
“แล้วผมอยู่ไหน?” เดวิคถามอย่างสงสัยว่าเขาอยู่ไหน
ธาเลียจ้องมองอีกฝ่ายเธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นไม่รู้แน่ๆ ตัวเองอยู่ไหน “เธออยู่ห่างจากนิวยอร์กมากๆ ตอนนี้เธออยู่ที่ทางตอนเหนือของยุโรป แล้วที่นี้คือฟินแลนด์”
“อะไรนะ!!” เดวิคมองอย่างสงสัย เพราะเขาไม่รู้ว่าโลกนี้มีกี่ประเทศ เพราะบนเกาะไม่มีแผนที่ให้เขาดูเลย “แล้วมันห่างกันเยอะมากเลยเหรอครับ?”
“ใช่ ตั้ง 4,858 ไมล์ ห่างไกลพอควรเธอต้องใช้เวลาเกือบหลายวัน ถ้าเดินเท้าไปนะ”
“อะไรกัน...”
ธาเลียมองหน้าชายหนุ่มก็ทำให้เธอกังวลใจหน่อยๆ เธอหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะยื่นให้อีกฝ่าย
“อ๊ะ นี่แผนที่ของฉัน เพื่อเธอใช้เวลาออกเดินทาง ตอนนี้เราอยู่จุดนี้” ธาเลียจี้จุดที่พวกเธออยู่ ก่อนจะชี้ไปจุดที่พวกเพอร์ซีย์อยู่ “แล้วถ้าเธอจะไปสหรัฐอเมริกาก็อยู่จุดนี่ แต่ห่างออกไปพวกเพอร์ซีย์ภายในค่ายค่ายหนึ่ง”
“ค่ายไหนกัน?”
“ค่ายฮาล์ฟบลัด สำหรับมนุษย์กึ่งเทพ”
“ค่าย...ฮาล์ฟบลัด...”
“เอาล่ะ พวกพรานหญิงจะไปกันแล้ว ฉันช่วยได้เท่านี้นะ ถ้ามีโอกาสฉันอาจจะติดต่อน้องชายให้หรือติดต่อเพอร์ซีย์ให้คนตามหาเธอ”
“ไม่ต้องหรอก...ลำบากแย่ ผมออกเดินทางได้...มั้ง...”
“ครั้งแรกสินะ!”
“ครั้งแรก?” เดวิคขมวดคิ้วอย่างสงสัยในคำพูดอีกฝ่าย
“เดินทางครั้งแรกนะ”
“ครับ! ครั้งแรก...”
ธาเลียเกิดเป็นห่วงเด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ ว่าจะไปรอดไป แต่เธอต้องปล่อยเขาไปจริงๆ
“งั้น...ขอให้ทวยเทพคุ้มครองเธอ!” ธาเลียแตะไหล่อีกฝ่าย แล้วเดินจากตามพวกพรานหญิงที่กำลังออกเดินทาง
เดวิคมองพวกพรานหญิงกำลังเดินออกไป เขามองแผนที่ที่เขากำลังจะไป ตอนนี้เขาไม่รู้จะไปทางไหน แต่พอสัมผัสสายลมที่พัดผ่านตัวเขา เขากับรู้สึกว่าต้องไปทางด้านขวามือเพื่อไปยังที่ที่คุณตาอยู่ เขาค่อยๆ ลอยตัวออกจากป่าแห่งนี้ เหล่าพรานหญิงเดินทางไปไกลพอควร จนเทพีอาร์เทมีสหันไปมองเธอได้เห็นเด็กหนุ่มที่ธาเลียช่วยเหลือกำลังลอยตัวอยู่บนอากาศ
“ดูเหมือนหนุ่มนั้นเป็นญาติเจ้านะ ธาเลีย”
“เอ๋?” ธาเลียหันไปมองตามทางที่เทพีมอง เธอก็เห็นเด็กหนุ่มที่เธอช่วยกำลังลอยห่างออกไป นั้นบ่งบอกว่าเป็นสายเลือดของใคร “ไม่จริงน่า...”
“เป็นเด็กน้อยที่ช่างใจกล้า!”
“เด็กน้อย?”
“เจ้าคงไม่เห็นธาเลีย” อาร์เทมีสจ้องมองเด็กหนุ่มที่ลอยออกไป “เด็กนั้นยังอายุไม่เกิน 5 ขวบเลย”
“ว่าไงนะคะ!!” ธาเลียตกใจทันทีที่เทพีพูดแบบนั้น
“ไม่ต้องห่วง ข้าเชื่อว่าเจ้าหนูนั้น จะพาเรื่องร้ายๆ ไปได้ง่าย ถามหน่อย มีเหรอ? เด็กตัวเล็กจะกล้าโกหกผู้ใหญ่ได้ นอกจากคนที่เคยผ่านอะไรมาก่อน!”
อาร์เทมีสหันหลังแล้วเดินทางกันต่อไป เหล่าพรานหญิงต่างตามเทพีไปกันทันที ธาเลียจ้องมองเด็กหนุ่มที่ลอยจากไปอย่างพะวงว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตรอดหรือเปล่า แต่ถ้ารอดสักวันคงได้เจอกัน แล้วเธอก็ได้เดินตามทุกคนไป
หลังจากแยกทางกับเหล่าพรานหญิง เดวิคออกมาจากป่าก็เจอเมืองปอร์โวร์ เป็นเมืองสไตล์เก่าแบบคลาสสิค ตามที่ชาวเมืองอธิบายกับเขา ตอนแรกเขาหาที่พักไม่ได้ เพราะเหรียญทองที่เขามีมันแปลกๆ จนกระทั่งเขาเจอกับชายคนหนึ่งที่ช่วยเขาและพาไปยังธนาคารเพื่อแลกเหรียญทองจนกลายเป็นเงินมาหลายพันยูโร ตามสกุลเงินของที่นี้ เขาก็ดีใจที่ได้เยอะอยู่ แถมยังได้ที่พักดีๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนพาเข้ามาพัก เขาก็ตอบแทนด้วยเหรียญทองกับอีกฝ่ายอย่างไว้ใจ
แต่ความไว้วางใจของเดวิคกลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่เกือบพลาดเพียงชั่ววินาที ชายคนนั้นกลับไปหักหลังเขาแล้วเรียกพวกปีศาจที่ออกล่าเขาอยู่มาจับภายในห้องที่เขานอน แต่หารู้ไหมว่าเขาก็รู้ทันทีที่พวกมันเข้ามา เดวิคเลยใช้สายฟ้าโจมตีสายพวกมันจนบ้านที่พักนั้นไฟไหม้ในทันที เดวิคเลยให้บทเรียนกับอีกฝ่ายที่เป็นผู้ใหญ่แต่กล้ามาหลอกลวงเขาแบบนี้ เดวิคแทงดาบลงบนพื้นระหว่างขาอีกฝ่ายจนอีกฝ่ายสลบไปพร้อมกับฉี่ราดกางเกง เดวิคไม่อยากสนใจอีกฝ่าย แต่เขาจับขาอีกฝ่ายแล้วโยนออกไปข้างนอกหน้าต่างทันที เขายึดของเขาคืนมาทั้งหมดพร้อมหนีออกจากที่นี้ไปทันที ความรู้สึกในใจของเขาช่างรู้สึกแย่มากๆ ที่โดนหลอกแบบนี้จนเขาจำสิ่งที่แม่สอนขึ้นมาได้
‘จงอย่าไว้ใจใครในวินาทีแรกที่เจอกัน!’
“บ้าเอ๊ย!!”
เขาสบถออกมาอย่างสมเพชตนเองที่ไม่จำในสิ่งที่แม่เคยสอนเขาไว้ เขาลอยตัวหนีออกจากเมืองนั้นต่อไปทันที หลังจากวันนั้นเขาต้องระวังตัวมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า คติประจำตัวของเขาที่จะพูดกับตัวเองตลอดว่า
'จงอย่าไว้ใจใคร ถ้าจะไว้ใจต้องทดสอบ ไม่งั้นเขาคงโดนเหมือนครั้งแรกแน่ๆ'
ช่วงเวลาผ่านไปเกือบๆ 3 อาทิตย์ หลังจากที่เดวิคเกือบหลงทางในป่าแถบประเทศบัลแกเรียเกือบ 2 วัน เนื่องจากเขาลอยวนอยู่ที่เดิมหลายครั้งจนงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น จนเขาโกรธมากๆ จนสร้างสายฟ้าผ่าลงมาจนทำให้ป่าแถบนั้นไหม้เป็นดวงใหญ่ แล้วเขาก็ออกมาได้อย่างง่ายดาย
“บ้าสุดๆ คนเขายิ่งหิวๆ อยู่!!”
เดวิคยิ่งโมโหที่เขายังไม่ถึงที่ที่ปู่อยู่สักทีจนเขาหาที่พักดีๆ แถวๆ ป่าใหญ่ที่ไร้ผู้คน เขากลัวผู้คนมากขึ้นหลังจากที่เขาเจอคนหลอกลวงเขาเยอะกว่าเดิม ทำให้เขาระแวงคนมากขึ้นไปอีก ถึงแม้จะเจอคนดีๆ มั้งก็ตามที ระหว่างที่เขาบินผ่านป่าไปก็เจอกับกองขยะในป่าที่มียักษ์ไซคลอปส์ 3 ตนกำลังนอนหลับอยู่ เดวิคเห็นแบบนั้นก็ต้องรีบลอยหายไปจากตรงนั้นเพื่อความปลอดภัย เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่มีที่ที่แม่น้ำให้อาบ เขาก็ล้างตัวของเขาทั้งชุดที่เขาใส่
“สบายจัง...”
เดวิคชอบการอาบน้ำมากกว่าอะไร เขานอนลอยตัวอยู่แบบนั้นสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะขึ้นมาแล้วสะบัดน้ำออกจากตัวจนเสื้อผ้าแห้งจนหมด เพราะความสามารถของสายเลือดเขาเลยไม่ต้องกังวลว่าเสื้อผ้าจะเปียก
“เอาล่ะหาที่พัก...”
เดวิคจ้องมองรอบๆ จนเงยหน้าเห็นต้นไม้ที่มีกิ่งไม้ใหญ่อยู่ เขาเห็นก็ยิ้มแล้วลอยขึ้นไปอยู่ข้างบน แล้วนั่งพิงต้นไม้พร้อมกับจัดท่าดีๆ พระอาทิตย์กำลังตกดินเรื่อยๆ เดวิคมองมันพร้อมกับนึกถึงที่นอนสบายๆ
“เฮ้อ...อยากหาที่พักที่นอนสบายๆ จังเลยนะ...”
เขารู้สึกเพลียไปหมดทั้งร่างกาย การบินตลอดหลายชั่วโมงทำให้ร่างกายทำงานหนักมากๆ และยิ่งบางครั้งเขาไม่ได้นอนด้วยยิ่งทวีคูณความเหนื่อยอีก
“แม่ครับ...ผมเหนื่อยจัง...”
ดวงตาของเขาค่อยๆ ต่ำลงจนเปลือกตาปิดตัวลง ช่วงเวลานั้นค่อยๆ เงียบลงเหนื่อยเพียงเสียงลมพัดไปผ่านไป แสงจันทร์ได้ส่องมาที่เขาเหมือนกำลังดูเขาอยู่ จนกระทั่งเสียงบางอย่างมันมารบกวนการนอนของเขา ระหว่างที่นอนก็ฟังเสียงโดยไม่ลืมตาขึ้นมามอง เขาเริ่มได้ยินเสียงชัดขึ้น เสียงที่ได้ยินนั้นเหมือนคนกำลังวิ่งหนีบางอย่าง เขาลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับหยิบมีดสั้นออกมา เขามองรอบๆ ที่เขาอยู่ไม่มีอะไรอยู่ จนหันไปทางอื่นพร้อมกับการมองในความมืด เขาเห็นเป็นภาพไอร้อนจากร่างกายคนกำลังวิ่งหนีบางอย่าง พอหันไปทางด้านหลังที่พวกนั้นวิ่งก็ได้เห็นสิ่งที่เขาคิด
“พวกคนไปโดนกับดักของยักษ์ 3 ตนนั้นเข้าให้สินะ!” เดวิคส่ายหน้าเบาๆ เขาพุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วลอยไปตามทางที่เขาจะไปทันที
มนุษย์กึ่งเทพ 3 คนกำลังวิ่งหนีพวกยักษ์ไซคลอปส์ที่ไล่ล่าพวกเขา หลังจากที่ 1 ใน 3 ดันเผลอไปโดนกับดักของพวกมันจนต้องหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ชายหนุ่มผมทองวัยประมาณ 16 กว่าๆ กำลังช่วยพยุงเพื่อนชายผมน้ำตาลที่เอาแต่สะดุดขาตัวเองตลอดเวลาจนเขาต้องช่วยพยุง เขาคิดบางอย่างได้ก็คิดทบทวนว่าจะใช้พลังไหม ทันใดนั้นเขาหยุดเดินพร้อมกับส่งตัวอีกฝ่ายให้เด็กสาวข้างๆ ที่อายุสัก 12 กว่าปี
“พี่จะทำอะไร!!”
“จะใช้พลังสุดท้ายไง!!” เขายกมือขึ้นพร้อมกับเสียงท้องฟ้ากำลังคำรามออกมา “ไปตายซะ!!”
เมื่อเขาเหวี่ยงมือลงมาสายฟ้าก็ผ่าลงใส่ยักษ์ไซคลอปส์ตนหนึ่งจนร่างไหม้เกรียมไปเลย แต่ชายหนุ่มผมทองกับไม่คิดว่าจะโจมตีได้ตนเดียว อีกสองคนหลบอยู่ด้านหลังตนที่โดนโจมตี มันยิ้มก่อนจะวิ่งให้พวกเขา
“หนีเร็วเข้า!!”
“ซวยกว่านี้มีอีกไหม?!” น้องสาวถามขึ้น
“ก็ถ้ามี มันก็ไม่ใช่เพราะพวกเรา มันเพราะนาย! โทมัส!! ป่านนี้เราคงได้กลับค่ายไปแล้ว!!”
“ทำไงได้ล่ะ!! ฉันหิวนี่น่าใครมันจะนึกว่าจากร้านอาหารทั่วไปกลางป่าจะกลายเป็นกองขยะไปได้ แถมยังมีพวกยักษ์ไซคลอปส์ค่อยจะกินเราอีก!!”
“เมื่อกี้ยังจะอ้วกแตก เพราะขยะที่เผลอกินเข้าไปอยู่เลย!!” น้องสาวพูดขึ้น
“งั้นคราวหน้า จะทำอะไรถามคนอื่นก่อนละกัน เข้าใจไหม? โทมัส!!”
“เข้าใจแล้วๆ ฟีนีอุสนี่ขี้บ่นเป็นบ้า!!”
“นายว่าไงนะ!!” ฟีนีอุสมองตาขวางใส่อีกฝ่าย ระหว่างที่วิ่งกันอย่างรวดเร็ว
“พอๆ พี่กับโทมัสเลิกทะเลาะกันสักที ไม่งั้นเราได้ตายจากการวิ่งคุยกันจนไม่ได้สนใจปีศาจนั้นแน่ๆ”
“แล้วเธอมีแผนไหม!? เอมิลี่”
“ฉันกำลังคิด แต่ฉันอยากให้พี่ไป- กรี๊ดดดดดดดดดดด!!”
เอมิลี่ยังพูดไม่ทันจนเธอต้องกรี๊ดออกมา เมื่อปีศาจตนใหม่มาดักทางพวกเขา พอจะหนีไปทางด้านซ้ายก็มีตัวใหม่มาอีก จะอีกด้านขวาก็โดนดักทางอีก ข้างหลังก็มีเจ้าเก่าสองตนวิ่งมาประกบอีก ทั้งสามคนรีบหันหลังเข้าหากันพร้อมกับหยิบดาบของตนออกมา
“ฉันล่ะเกลียดพวกยักษ์ที่กินคนจริงๆ” โทมัสโวยวายอย่างอารมณ์ที่เขาต้องมาเจอแต่เรื่องร้ายๆ แบบนี้
“นึกเหรอว่านายคนเดียว!! โธ่! ถ้ารู้แบบนี้ฉันไม่ใช้พลังสุดท้ายกับการโจมตีเมื่อกี้แน่ๆ”
“จะทำไงดี!!” เอมิลี่ถามขึ้น
ความหวังที่จะรอใครสักคนมาช่วยพวกเขานั้นช่างริบหรี่สุดๆ จนกระทั่งแสงบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากข้างบนหัวพวกเขา พวกเขาเงยหน้าขึ้นเห็นใครบางคนกำลังกระโดดลงมาฟาดใส่พื้นใจกลาง ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าพุ่งใส่พวกมันทั้งหมดจนกระเด้งไปข้างหลังกันหมด แล้วพุ่งตัวฟาดฟันใส่พวกปีศาจไม่กี่วินาที โดยที่พวกมันยังไม่รู้สึกตัวเลยว่าตายไปแล้ว แล้วพวกมันก็สลายกลายเป็นผงสีทองไป ทั้งสามยังอ้ำอึ้งที่คนมาช่วยนั้นจัดการปีศาจจนหมดอย่างน่ามหัศจรรย์มากๆ ก่อนที่แสงจันทร์จากข้างหลังพวกเขานั้นจะส่องมาที่คนข้างหน้าพวกเขา จนทำให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา ผมสีดำ ดวงตาสีฟ้า สวมสุดสีดำทั้งตัว ตั้งแต่เสื้อคลุม เสื้อข้างใน กางเกงขายาว รองเท้าบูต เอมิลี่เห็นคนตรงหน้าเธอกับจ้องตาไม่กะพริบกับความหล่อของอีกฝ่าย
“หล่อเลิศมากค่ะ!!”
หนุ่มทั้งสองต่างหันขวับไปมองเด็กสาวที่กำลังตกหลุมรักกับความหล่อของอีกฝ่าย
“เอมิลี่! อย่าหลงใครสุ่มสี่สุ่มห้าสิ!” ฟีนีอุสกล่าวขึ้น
“ทำไงได้ล่ะ~ ชายคนนั้น ช่างหล่อเสียละเกิน”
ฟีนีอุสขออย่างเดียวว่าให้น้องสาวแค่ชอบอย่างเดียว อย่าไปหลงรักเด็ดขาด เขาตั้งสติ ก่อนจะเดินไปหาอีกฝ่าย
“นี่นาย!”
เดวิคหันไปมองอีกฝ่ายที่เดินมาหาเขา “มีอะไร?”
“เอ่อ...ขอบใจนะที่ช่วยพวกเรานะ ถ้าไม่ได้นายเราคงกลายเป็นอาหารของพวกมันไปแล้ว”
“แค่นี้เอง...ฉันแค่รำคาญเสียงพวกนายดังจนมาถึงฉันที่ห่างไปหลายกิโล”
“อะไรนะ? นายจะบอกว่าอยู่ห่างจากพวกเรา แต่นายยังได้ยินพวกเราเสียงพวกเรา”
“ใช่...ถึงจะน่ารำคาญจนฉันนอนไม่ได้ก็ตามที”
“งั้นเหรอ?”
“แล้วพวกนายมาทำอะไรในป่ายามดึก?”
“พวกเรากำลังกลับค่ายนะ แต่พอดีบางคนมันไม่ตกหลุมพรางของพวกยักษ์เขานะ”
“นึกแล้ว...แต่ฉันแนะนำ การอยู่ในป่านี้ไม่ควรออกเดินทางตอนดึก”
“ทำไม?”
“บางส่วนของป่าจะทำให้นายหลงทางนะสิ เพราะฉันโดนมาแล้วนะสิ” เดวิคพูดพร้อมกับมองซ้ายมองขวา แต่เขาพึ่งสะกิดใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงค่าย “เมื่อกี้...นายพูดถึงค่าย?”
“ชะ-”
“ใช่ค่ะ! ค่ายที่เราจะกลับคือ ค่ายฮาล์ฟบลัดนะคะ”
“เอมิลี่!!” ฟีนีอุสมองอีกฝ่ายที่เข้ามาแทรกการพูดคุยของเขา
“งั้นไปทางเดียวกันสินะ”
“นายก็จะไปค่ายเหมือนกันเหรอ?” ฟีนีอุสแปลกใจหน่อยๆ ที่เจอคนที่อยากไปค่ายเหมือนเขาระหว่างทาง
“ใช่ ฉันกำลังจะไปหาบางคนที่นั่นด้วย”
“อ๋อ หาใครกันล่ะ เพื่อฉันช่วยหาเขาได้นะ” โทมัสเข้ามาสอดมั้งทันที
“ฉันบอกไม่ได้!”
“ทำไมกัน?”
เดวิคนิ่งเงียบ เขายังไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าจะไปที่เดียวกับเขาจริงไหม เพราะเขายังระแวงกับสิ่งที่เขาเคยเจอ เอมิลี่เห็นอีกฝ่ายดูเครียดเธอเลยกล่าวถามทันที
“เอ่อ...คือ...คุณสุดหล่อชื่ออะไรเหรอคะ?
พออีกฝ่ายถามเขา เดวิคมองอีกฝ่ายที่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลกๆ “เดวิค...เดวิค แจ็กสัน”
“เดวิค...” เอมิลี่ยิ่งชอบใจอีกฝ่ายมากขึ้น ชื่อของเขาก็ยังเท่เหมือนรูปลักษณ์ของเขา “ฉันเอมิลี่ เกรซ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ!”
“เกรซ?”
เดวิคขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายเกี่ยวข้องอะไรกับคุณธาเลียหรือเปล่า ระหว่างที่เอมิลี่คุยกับอีกฝ่ายที่เกร็งๆ นั้น สองหนุ่มที่เอาแต่จ้องมองก็รู้สึกเซ็งกับเอมิลี่ที่ทำให้อะไรไม่ดูสถานการณ์เลย แต่เดวิคก็ไม่ว่าอะไร พออีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มให้ เขาก็ยิ้มอ่อนๆ ตอบพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวตอบเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณเกรซ”
“เรียกเอมิลี่ก็ได้ค่ะ คุณแจ็กสัน!”
“ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ครับ...เราก็เด็กทั้งคู่นะ”
เดวิครู้สึกเกร็งๆ เมื่อโดนคนอายุเยอะกว่าเรียกคุณแบบนี้ เพราะเขาอายุแค่ 3 ขวบเองนี่น่า ถึงร่างผู้ใหญ่ของเขาจะอายุ 17 ปีก็ตามที
“ก็ได้ค่ะ แจ็กสัน” เอมิลี่ยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้คุยกับหนุ่มหล่อแบบนี้
แต่ทางด้านเดวิครู้สึกแปลกๆ ที่รอยยิ้มอีกฝ่ายเหมือนแฝงบางอย่าง แต่อีกความรู้สึกก็รู้สึกปลอดภัยเล็กน้อย ทั้งสองคนคุยกันจนพี่ชายอย่างฟีนีอุสต้องเข้ามาขัดขวางบรรยากาศตรงหน้า
“ขอโทษทีนะ!! ฉันว่าเรารีบหาทางกลับค่ายดีกว่า ก่อนจะเจอพวกปีศาจนะ” ฟีนีอุสจับตัวน้องสาวพร้อมกับถอยหลังทันที
“พี่ค่ะ!” เธอไม่พอใจทันทีที่พี่ชายเข้ามาขัด
เดวิคเห็นแบบนั้นจับคอเสื้ออีกฝ่ายทันที “เดียวสิ!! นายคงไม่ได้ฟังที่ฉันบอกก่อนหน้าถึงเรื่องป่านี้ใช่ไหม?”
“อะไร? แล้วนายจับคอเสื้อฉันทำไม?”
“ก็เพราะว่าถ้านายเดินถอยหลังไปอีกก้าว นายได้หลงอยู่ในป่าแน่ๆ”
“เอ๋?” ฟีนีอุสงงว่าอีกฝ่ายพูดหมายถึงอะไร ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายชี้บางอย่าง เขาก็เห็นม่านบางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัวช้าๆ “นี่มัน…!”
เดวิคดึงตัวอีกฝ่ายพร้อมกับน้องสาวเข้ามาทางเขาทันที “ใช่!! นั้นคือม่านที่จะทำให้พวกนายหลงอยู่ในนั้นอีกหลายวัน ฉันว่าเราอยู่ห่างๆ จากม่านนั้นดีกว่า ชายผมสีน้ำตาลด้วย”
“โอเค!” โทมัสขานตอบทันที
เดวิคนำทางพวกเขาออกจากจุดนั้นไปยังจุดที่เขาอยู่ตอนแรกนั้นคือข้างๆ แม่น้ำที่เป็นบ่อใหญ่ พวกเขาหาที่นั่งอย่างสบายๆ
“เหนื่อยจริงๆ วันนี้”
“จริงด้วยนะ ตอนนี้เราก็หาต้นปริมนัสจนเจอสักที!!” โทมัสหยิบต้นสมุนไพรบางอย่างขึ้นมา
***ต้นปริมนัส เป็นต้นสมุนไพรไว้รักษา โรคร้ายได้เช่นเดียวกับพืชในตำนานฮินดู
มันมีลักษณะเป็นดอกไม้สีขาวตูมๆ เล็กๆ จะปริบานเวลากลางคืนและต้องเก็บตอนนั้น และมีความสามารถในการต้นหลอกที่คล้ายมันได้จนคนเก็บโดนหลอกกัน
[ชื่อต้นปริมนัสคิดขึ้นเอง]
เดวิคหันไปมองเขาก็เห็นสมุนไพรที่ชายผมสีน้ำตาลถือ ถึงมันจะบานอยู่ก็ตามที่ แต่มีบางอย่างดูผิดปกติ เดวิคค่อยๆ เดินไปใกล้ๆ อีกฝ่าย โทมัสเห็นว่าอีกฝ่ายมาอยู่ข้างๆ แล้วนั่งลงตรงหน้าของเขา
“นาย...มีอะไรเหรอ?” เสียงโทมัสสั่นเครืออย่างกลัวๆ
“รู้ไหม? ว่าต้นปริมนัสที่นายถือนะ…”
“หือ? ทำไมเหรอ?”
“มันเป็นต้นหลอกของต้นปริมนัส!”
“ว่าไงนะ!!” ทั้งสามต่างอุทานออกมาจนดังไปทั้งพื้นป่าจนเดวิคต้องปิดหูตัวเองทันที
“เกรงใจหน่อยสิ เรายังอยู่ในป่ากันนะ!”
“ช่างเรื่องนั้นไปก่อน!! นายพูดจริงเหรอที่ต้นปริมนัสที่เราถือมันเป็นต้นหลอกนะ!?”
“พวกนายมาเก็บมันแล้วไม่รู้หรือไงว่ามันมีต้นหลอกด้วยนะ!”
“ทำไงได้มันพึ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้เองนะ แล้วทำไมนายถึงรู้กัน!?” ฟีนีอุสลุกขึ้นอย่างร้อนใจ
พออีกฝ่ายถามเดวิคแบบนั้น เขาก็หันไปหยิบบางอย่างในกระเป๋าของเขา ตอนนี้เขาเปลี่ยนกระเป๋าเป็นใบใหม่ที่ไม่สะดุดตาเกินไป อันเก่าเป็นกระเป๋าหนังจากยักษ์ไซคลอปส์ ทำให้พวกมันสังเกตว่ามันเป็นหนังที่ถูกทำมาจากพวกเดียวกัน เดวิคกำลังหยิบบางอย่างออกมา แต่สายตาเขาหันไปมองกล่องเล็กๆ ที่แม่เขาแอบใส่ไว้ให้ เขามองสักพักก่อนจะหยิบสมุดข้างๆ กล่องนั้นออกมา แล้วเปิดหน้าหนึ่งในนั้นออกมา แล้วส่งให้ฟีนีอุสดู
“นี่ข้อมูลของต้นปริมนัส!”
ฟีนีอุสรับมาอ่านทันที พวกเขาทั้งสามต่างดูข้อมูลกันอย่างเคร่งเครียด แล้วดูข้อมูลความแตกต่างที่มองออกยากมากๆ ของต้นปริมนัส เมื่อเห็นทุกอย่างจนครบ มันก็ตรงกับที่เดวิคบอกว่ามันเป็นต้นปริมนัสหลอก
“ซวยแล้ว!!”
“แบบนี้จะทำไงดี พี่! เรากลับเข้าไปอีก เราต้องโดนพวกก็อบลินเล่นงานอีกแน่ๆ”
เอมิลี่ถึงกับกังวลใจเธอเขย่าแขนพี่ชาย พวกเขาเหลือเวลาไม่มากแล้วที่จะกลับไปเอาต้นปริมนัส ถ้ากลับเข้าไปใช้เวลาอีกตั้ง 5 วันก็จะเอามาได้และยิ่งต้องมาจับผิดว่าอันไหนจริงอันไหนปลอมอีก ฟีนีอุสถึงกับเครียดจนหันไปหาอีกฝ่าย
“นายรู้ได้ไงว่ามันเป็นต้นหลอก แล้วข้อมูลพวกนี้ได้มาจากไหนกัน?” ฟีนีอุสยังไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาทำพลาดได้
“แม่ฉัน!” เดวิคเอ่ยถึงแม่ทันที “ท่านศึกษากับต้นไม้ต่างๆ ที่อยู่ในที่ที่เราเคยอยู่นะ จนแม่เจอต้นนี้เช่นกัน แม่เอาไว้รักษาพวกเราตอนป่วยบ่อยๆ”
“งั้นนี่ก็เป็นหนังสือข้อมูลของแม่นายนะสิ”
“แค่บางส่วนนะ ฉันลอกข้อมูลจากหนังสือต้นของแม่นะ”
เขาพูดจริงที่ตัวเองลอกมา เพราะเล่นดื่มยาเพิ่มอายุ แล้วลอกข้อมูลทุกอย่างที่แม่ศึกษาจนน่าสนใจมาก แต่นั้นก็ทำให้เขาโดนดุบ่อยๆ ที่เอายาเพิ่มอายุมาดื่มเล่นแบบนี้
“อึ้ก!” ฟีนีอุสได้ยินแบบนั้น เขาทรุดลงกับพื้น ความเครียดยิ่งเข้ามา เขาไม่เหลือเวลาแล้วจริงๆ “ไม่นะ...”
เดวิคมองทั้งสามคนกำลังเครียดเรื่องสิ่งที่พวกเขาทำพลาดกัน จนเขาเกาหัวเบาๆ จนหยิบของบางอย่างในกระเป๋าอีกอัน มันอยู่ในกระเป๋าพัดของเขา มันมีหลอดแก้วปิดด้วยจุกเอาไว้ ข้างในมีผงสีขาวๆ ข้างใน ก่อนจะดึงมันออกมาแล้วถามพวกเขา
“พวกนายต้องการมันไปทำอะไรนะ?”
“แม่ฉันกำลังป่วย!!” ฟีนีอุสกล่าวขึ้น
เดวิคตาค้างทันทีเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าแม่เขากำลังป่วย
” ฉันต้องการยานั้นไปช่วยแม่ฉันและคนอื่นๆ ที่ติดโรคบางอย่างเข้านะ!! เราทำทุกวิถีทางแล้วก็ไม่มีทางหาย ใช้ขนแกะทองคำที่สามารถช่วยคนตายได้ แต่มันก็ไม่ได้ผล!! แล้วตอนนี้...ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่วัน แม่ฉันต้องตายแน่ๆ!!"
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนไปหมด ถ้าเป็นแม่เขาแล้วเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แล้วถ้าไม่มีต้นปริมนัสละก็อีกฝ่ายได้เสียแม่ไปแน่ๆ เดวิคเดินตรงไปข้างหน้าอีกฝ่าย
“ไว้พรุ่งนี้เรากลับค่ายที่พวกนายจะกลับ พร้อมกับ…” เดวิคยื่นหลอดแก้วให้อีกฝ่าย “ผงต้นปริมนัสไปช่วยแม่นาย”
พวกเขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายพร้อมกับมองสลับหลอดแก้วในมืออีกฝ่าย
“ผงต้นปริมนัส?”
“ใช่”
“ไม่จริง...แจ็กสัน นายมียาจากต้นปริมนัสได้ไง?” เอมิลี่ถามพร้อมกับรับหลอดแก้วมาทันที
“ก็...รู้สึกว่าแม่จะใส่ไว้ในกระเป๋าไว้ให้ฉันนะ มันเลยมีติดกระเป๋าสัก 2-3 ขวด ใช่แค่เล็กน้อยนะ อย่าเยอะเกินไป”
“ขอบคุณจริงๆ นะ” เอมิลี่ดีใจมากๆ ที่มียาไปรักษาแม่แล้ว
ฟีนีอุสจ้องมองอย่างอ้ำอึ้งที่อีกฝ่ายมียาที่พวกเขาต้องการ โดยที่พวกเขาพึ่งรู้จักกันครั้งแรก มันเหมือนคำที่เรียกว่าความบังเอิญในโชคชะตาที่ถูกกำหนด
“ขอบใจนะ...เดวิค...ถ้าไม่มีนายฉันคงช่วยแม่ไม่ทันแน่ๆ”
“ถ้าเป็นแม่ฉัน...ฉันก็ไม่ยอมให้ท่านตายเหมือนกัน...นายยังมีโอกาส...นายก็ต้องคว้าเอาไว้” เดวิคพูดพร้อมกับหันหลังให้พวกเขา
โทมัสได้ยินแบบนั้นก็สงสัยว่าอีกฝ่ายพูดเป็นนัยๆ หรือเปล่า จนความปากพล่อยของเขาเลยถามออกมา
“แล้วแม่นายล่ะ อยู่ไหนนะ?”
เดวิคชะงักขึ้นมา เขาไม่อยากพูดถึงแม่ เขาพึ่งห่างจากแม่ไปได้ไม่นาน มันทำให้เขาคิดถึงแม่มากๆ
“ไม่อยู่แล้ว...เธอไม่อยู่ตรงนี้...”
เดวิคพูดจบเขาลอยตัวขึ้นไปบนต้นไม้ ทำเอาพวกเขาทุกคนต่างตกใจกับความสามารถของเขาที่ลอยตัวโดยไม่มีอะไรช่วยนั้นบ่งบอกว่าเขาเป็นใคร
“หมอนั้น...เป็นสายเลือดของซุส?” โทมัสมองอย่างอึ้งๆ
“รู้สึกคุณปู่จะทำสาวท้องเพิ่มนะ” เอมิลี่แอบแซะหน่อยๆ แต่ใจเธอตอนนี้อึ้งจนเวลาต่อมาจะอกหักเมื่อคนที่ปลื้มสายเลือดเดียวกับเธอ
ฟีนีอุสไม่ได้ฟังที่ทั้งสองคุยกันเลย เขาเอาแต่นึกถึงน้ำเสียงอีกฝ่ายพูดถึงแม่ แล้วมันดูเศร้ามากจนเขารู้สึกผิดที่ถามอะไรแปลก เดวิคลอยขึ้นมาอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่พร้อมกับจัดท่านั่งพิงเพื่อนอน เขาหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับกดปุ่มม่านบาเรียกลมๆ ก็คลุมพวกเขาทันที จนทั้งสามต่างตกใจที่มีม่านบาเรียช่วยป้องกันเกิดขึ้น แล้วเดวิคก็นอนพิงต้นไม้แล้วหลับไปทันทีจนโทมัสต้องเอ่ยพูดขึ้น
“ฉันว่ารู้สึกแปลกๆ นะ”
“ยังไง?” ฟีนีอุสถามขึ้น
“จะมีความบังเอิญมากเลยเหรอ? ที่มีคนแปลกหน้ามาช่วยเรา แถมยังมีต้นปริมนัสที่ถูกผลิตอย่างดีติดตัวอีก? ไม่คิดว่าเขาจะมาร้ายใช่ไหม?”
“มันก็น่าคิดนะคะ”
ฟีนีอุสเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขารู้สึกต่างออกไปตั้งแต่เจอหน้าอีกฝ่ายเขากับรู้สึกดีใจที่เห็นอีกฝ่ายมากกว่า
“ฉันว่าเราอย่าไปคิดมากดีกว่านะ เราพักดีกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก”
ฟีนีอุสพูดจบเขาก็เอาผ้าพรมของเขาคลุมตัวนอนทันที ทั้งสองมองอีกฝ่ายที่นอนไปก่อน ต่างคนต่างก็นอนในจุดที่ตัวเองนั่งกัน ฟีนีอุสถึงจะนอนลงแต่ก็ยังไม่หลับไป เขายังคิดสงสัยเช่นกันว่าทวยเทพส่งอีกฝ่ายมาหาพวกเขาใช่ไหม ความคิดนั้นอยู่ในหัวฟีนีอุสจนเขาหลับไปในทันที จนรุ่งเช้าวันถัดไป ฟีนีอุสตื่นขึ้นมาก็ยังไม่เห็นว่าอีกสองคนตื่นเลย ทำเอาเขาฮ้าวหนึ่งครั้ง ก่อนจะมีเสียงหนึ่งทักทายขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ตอนเช้า!”
“!!” ฟีนีอุสตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายทักขึ้น เขาหันไปมองก็เห็นอีกฝ่ายอยู่หน้ากองไฟและยังมีกาน้ำทรงอยู่กำลังมีเสียงน้ำเดือดอีก “อรุณสวัสดิ์...นายตื่นไวจัง...”
“ฉันนอนไม่หลับนะ เลยเฝ้ายามให้นะ”
เดวิคหยิบแก้วสองใบพร้อมกับยกกาน้ำเทบางอย่างที่สีน้ำตาลๆ กลิ่นอายของมันเตะจมูกอีกฝ่ายทันที
“งั้นเหรอ? กลิ่นนี่มันโกโก้นี่น่า”
เดวิคเดินมาพร้อมกับยื่นให้อีกฝ่าย “ใช่...ฉันมีแค่โกโก้ล่ะนะ ถ้าอยากได้กาแฟกับชาก็หาเองละกัน”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ! ฉันไม่ได้เรื่องมากนะ” ฟีนีอุสมองอีกฝ่ายที่ดูจะประชดประชันเขามากๆ แต่เขาฟังกับรู้สึกอยากขำมากกว่า
เดวิคนั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย แล้วยกแก้มดื่มโกโก้ร้อน “ฉันยังไม่รู้เลยว่านายชื่ออะไร?”
“อ๊ะ...มีแค่น้องฉันที่แนะนำตัวกับนายสินะ ฉัน ฟีนีอุส เกรซ”
“ฟีนีอุส...” เดวิคจ้องมองอีกฝ่าย เขาเหมือนเคยได้ยินชื่ออีกฝ่าย แต่จำไม่ได้ แต่พอนึกถึงนามสกุลอีกฝ่าย เขาเลยมีคำถามจะถามอีกฝ่าย “ขอถามอะไรหน่อยนะว่านายรู้จัก ธาเลีย เกรซไหม?”
“รู้จัดสิ นั้นป้าฉันนะ”
“ป้านาย?” เดวิคขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายว่าไม่ค่อยเหมือนคุณธาเลียเท่าไรยกเว้นสีตา
“อย่ามองฉันแบบนั้นสิ! ฉันเหมือนพ่อนะ แล้วพ่อฉันเขามีสายเลือดจูปิเตอร์ ส่วนป้าฉันเป็นสายเลือดซุสนะ”
“งั้นซุสทั้งสองร่างนั้นก็มีร่วมรักกับผู้หญิงคนเดียวกันนั้นเหรอ?”
“ก็ทำนองนั้นนะ”
เดวิคได้ยินแบบนั้นถึงกับคิดเลยจริงๆ ว่าเป็นเรื่องจริงตามที่แม่เขาเล่านิทานให้สินะ
“แต่ก็ถือว่าเราเป็นญาติกันนะ!”
“ญาติ?”
“ก็นายนะ!” ฟีนีอุสเริ่มลอยตัวให้อีกฝ่ายดู “ลอยตัวได้เหมือนกันนี่ ถือว่าพวกเขาเป็นญาติกันไงล่ะ”
คำพูดอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนได้รับการยอมรับที่เขาไม่เคยได้รับจากคนแปลกหน้า จนทำเอาเขาเขินหน่อยๆ
“ญาติอะไรกัน...” เดวิคหันหน้าหนีไป
“อุ้ยๆ นายเขินด้วยเหรอเนี่ย?” ฟีนีอุสลอยกลับมานั่งข้างๆ อีกฝ่าย
“เงียบปากไปเลย!”
“หึๆ”
ระหว่างที่ทั้งสองคุยเล่นกันนั้น เอมิลี่กับโทมัสก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงคิกคักของทั้งสอง เอมิลี่จ้องมองทั้งสองเหมือนพี่น้องกันมากกว่าซะอีก
“พอมองดีๆ พี่ฟีนีอุสกับแจ็กสันเหมือนพี่น้องกันเลยนะ”
ทั้งสองได้ยินเสียงอีกฝ่ายก็หันไปมอง เดวิคยิ้มอ่อนๆ ให้อีกฝ่าย
“อรุณสวัสดิ์ครับ เอมิลี่”
เอมิลี่ถึงกับอยากสลบนอนต่อ เช้าๆ แบบนี้เจอชายหนุ่มมาอรุณสวัสดิ์แบบนี้ เธอรู้สึกดีใจที่ได้เกิดมากจริงๆ จนฟีนีอุสเห็นท่าทีน้องแปลกๆ ทำให้รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังมโนบางอย่างในหัว
“น้องฉันยิ่งบ้าขึ้นทุกวัน”
“น่าๆ ฟีนีอุส น้องนายก็แบบนั้นอยู่แล้ว งั้นมาหาอะไรทานกันดีกว่านะ!! “
” ถ้างั้นในเมื่อทุกคนตื่นกันหมดแล้ว งั้นก็มาทานอะไรก่อนไปเถอะครับ!”
“โอ้ว!”
เดวิคช่วยทั้งสามคนมาทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่เขาพอทำได้ก็ทอดไข่ดาว เบคอน ขนมปัง การใช้เตาผิงก็ใช่ได้สำหรับมือใหม่ เพราะเขาเห็นแค่แม่เขาทำอาหารเท่านั้น จะช่วยก็โดนห้ามเพราะมันร้อน แต่ก็ร้อนจริงๆ เขาได้มาเจอกับตัวก็ตอนเอาชีวิตรอด สำหรับเด็ก 3 ขวบ ล่ะนะ ทำเอาเดวิคคิดเลยว่าถ้าเขาไม่อยู่ร่างวัยรุ่นแบบนี้ เขาคงตายไปแล้วแน่ๆ เมื่อทานอาหารจนเสร็จแล้ว พวกเขาก็เตรียมตัวกันทันที
“เอาล่ะ ถึงเวลาออกเดินทางไปยังตู้ซื้อตั๋วกัน!!” ฟีนีอุสกล่าวออกมา
“ตู้ซื้อตั๋ว?”
เดวิคขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นมันคืออะไร แล้วอะไรคือตู้ซื้อตั๋ว ตลอดทางพวกเขาคุยกันในหลายๆ เรื่อง แต่ว่าเดวิคก็มองซ้ายมองขวาอย่างระวังตัวรอบๆ เพราะตลอดหลายวันเขาเจอปีศาจที่มาไล่ล่าเขาบอยๆ ฟีนีอุสมองอีกฝ่ายที่ระแวงระวังอย่างคนที่เคยเจอเรื่องร้ายๆ พวกเขาเดินทางจนมาถึงตู้ๆหนึ่งที่มีพนักงานหญิงที่มีผิวสีเขียว เดวิคเห็นก็รับรู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นอะไร
“นางไม้”
“ใช่แล้วๆ ไปซื้อตั๋วกัน!” โทมัสเดินนำไปซื้อตั๋วทันที
พวกเขาต่างเดินกันไปอย่างชำนาญ เดวิคก็มองอยู่ห่างๆ ว่าคืออะไร เขาเห็นพวกเขาต่างจ่ายเงินด้วยเหรียญบางอย่างที่ฟีนีอุสจะแนะนำว่ามันคือเหรียญดรัคม่าเป็นเหรียญทองโบราณสมัยก่อน ฟีนีอุสเดินมายื่นตั๋วให้เดวิค เขาดูตั๋วที่ได้รับนั้นมันเป็นแผ่นบานๆ สี่เหลี่ยมยาวสัก 10 เซนติเมตร ฟีนีอุสร่ายมนตร์บางอย่าง จู่ๆ ประตูก็โผล่มาพร้อมกับชายปริศนา เดวิคเห็นตอนแรกเกือบหยิบดาบออกมา แต่ว่าโทมัสช่วยหยุดอีกฝ่ายไม่ให้ทำแบบนั้น
“เอาล่ะ เดวิคเข้าไปก่อนเลยละกัน”
“ห๊า?” เขาตกใจที่พวกนี้ให้เขาเข้าไปก่อน จนสงสัยว่าพวกอีกฝ่ายจะเล่นอะไรเขาหรือเปล่า “หรือพวกนายจะทำร้ายฉันจากด้านหลัง!?”
“ใจเย็นๆ เดวิค! นายเคยใช้ชีวิตยังไงกันเนี่ย?”
“ครั้งแรกที่ฉันเจอมนุษย์กึ่งเทพ หมอนั้นหักหลังฉันแล้วเรียกปีศาจให้มาจับฉันไปนะสิ!!”
“จริงดิ...” ฟีนีอุสมองอีกฝ่ายที่เคยเจอเรื่องร้ายๆ แบบนั้น “ฉันสาบานเลยว่าไม่ได้ทรยศนายแน่ๆ งั้นเราเข้าไปพร้อมกัน”
ฟีนีอุสเดินมาข้างๆ อีกฝ่ายพวกเขาสูงต่างกันแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“ขอให้จริงนะ”
“น่าๆ เราเป็นญาติกันก็ต้องช่วยเหลือกันนะ”
ฟีนีอุสควงแขนอีกฝ่ายไม่ให้หลุดไปไหนได้ เดวิคจ้องมองอีกฝ่ายถ้าโดนหักหลังอีก เขาจะหักอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดเลย ทั้งสองต่างเดินกันไปที่ประตูพร้อมกับยื่นตั๋ว เมื่อคนรับตู้สั่งให้พวกเขาเดินกันเข้าไป ฟีนีอุสพาเดวิคเข้าไปข้างในทันที เดวิคหลับตาของตนเองทันที สิ่งแรกที่ปะทะใบหน้าของเดวิคคือแสงแดด เขาลืมตาตื่นขึ้นก็เห็นสถานที่ที่อยู่ภายในป่า มีบ้านที่อยู่อาศัยเต็มไปหมด แล้วข้างๆ พวกเขาเป็นบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในรั้ว เดวิคมองอย่างแปลกใจ เอมิลี่กับโทมัสก็รีบตามกันเข้ามาทันที
“เอาล่ะ ยินดีต้อนรับสู่ค่ายฮาล์ฟบลัดนะ เดวิค งั้นพวกเราขอไปช่วยแม่เราก่อนนะ!”
สองพี่น้องเกรซรีบไปยังสถานพยาบาลที่แม่ของเขาอยู่ เดวิคขอให้แม่อีกฝ่ายและคนอื่นๆ หายไวๆ ล่ะกัน ตอนนี้ก็เหลือแค่เขากับโทมัสอยู่ตรงนั้น
“งั้นฉันจะพานายไปหาผู้ดูแลค่ายดีกว่านะ! เดวิค”
“อ๊ะ อืม...” เดวิคพยักหน้า ก่อนจะลืมไปว่าคนข้างๆ ยังไม่ได้แนะนำตัวกับเขาเลยนี่น่า “จริงสิ ฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลยนี่น่า?”
“อ๊ะ...พึ่งคิดจะถามสินะ ฉัน โทมัส วาโอเยอร์”
“วาโอเยอร์? งั้นนายก็รู้จักกับดีแลน วาโอเยอร์สิ!?”
“นายรู้จักน้องฉันได้ไง?” โทมัสต่างงุนงงอีกฝ่ายพูดชื่อน้องชายเขา
“ฉันรู้จักเขานะ...”
“แล้วน้องฉันยังมีชีวิตอยู่ไหมนะ?”
“อืม...” เดวิคพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“โล่งอกไปที่...แล้วหมอนั้นอยู่ไหนนะ!?”
“เขาอยู่-”
“พี่ฟีนีอุส!!”
เสียงปริศนาดังขึ้น แต่น้ำเสียงนั้นทำให้เดวิคหยุดชะงักไปทันที เสียงอันคุ้นเคยที่เขารักมากๆ เมื่อเขาหันไปมองหญิงสาวผมสีดำยาว สวมชุดสีผม กางเกงยีนยาว รองเท้าผ้าใบ กำลังเดินออกมาจากบริเวณบ้านใหญ่ ยิ่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ๆ ทำให้เดวิคบีบมือตัวเองอย่างรุนแรง
“อ๊ะ...ไง โพรทาเลีย” โทมัสหันไปทักทายอีกฝ่ายที่เข้ามา แล้วถามหาแฟนตัวเองซะงั้น “ถ้าหาฟีนีอุสละก็มองนั้นวิ่งไปหาแม่เขาที่สถานพยาบาลแล้วล่ะนะ!!”
“ชิ! อุตส่าห์จะให้ดูชุดใหม่ซะหน่อย เอาแต่ห่วงแม่อยู่นั้นล่ะ!” นูอัสเอ่ยพูดสบถออกมาอย่างไม่พอใจ
“อย่าพูดแบบนั้นนะ โพรทาเลีย นั้นว่าที่แม่สามีเธอนะ!!”
“แล้วทำไม!? สักวันก็ต้องตายอยู่ดี!!” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับสีหน้าทะเล้นเหมือนหยอกล้ออีกฝ่าย
“เธอนี่มัน!!”
โทมัสโกรธเคืองขึ้นมาทันที ถ้าเป็นเขาคงไม่คบกับคนแบบนี้แน่ๆ ทำให้เขาคิดเลยว่าโพรทาเลียเป็นลูกคุณเพอร์ซีย์ได้ยังไง และเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายพวกเยอะกว่าเขาอีก นูอัสยิ้มอย่างชอบใจที่มนุษย์กึ่งเทพตรงหน้าเป็นพวกขี้ขลาด แต่แล้วสายตาของเธอจับจ้องไปที่หนุ่มข้างๆ อีกฝ่ายที่หล่อใช้ได้เหมือนกัน
“ตายล่ะ หนุ่มข้างๆ นายเป็นใครนะ? หล่อใช่ได้นะ~” นูอัสเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“นี่ โพรทาเลีย!!”
โทมัสมองอีกฝ่ายที่ชอบเข้าหาชายอื่นบ่อย เขาอยากให้เพื่อนเขาเลิกกับผู้หญิงคนนี้ แต่ไม่เคยมีหลักฐานสักครั้ง
“อย่ามายุ่งได้ไหม!?” นูอัสใช้สายตาจิกอีกฝ่ายที่จะเข้ามายุ่ง เธอหันไปหาหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง “นี่~ หนุ่มหล่อสนใจไปเที่ยวกับฉันไหม?”
เดวิคจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ใบหน้าที่เขารักมากๆ อีกฝ่ายกำลังใช้มันทำให้คนอื่นๆ คิดว่าแม่เขานั้นแย่แค่ไหน ความโกรธมากมายกำลังผุดขึ้นมา แม่เขาต้องทนทุกข์อยู่บนเกาะนั้น แต่เพราะเทพองค์นั้น แล้วก็ปีศาจตรงหน้านี้ที่ทำให้แม่เขาต้องเจอเรื่องมากมาย เดวิคชักดาบออกมาฟันอีกฝ่ายทันที แต่ว่านูอัสกับเร็วกว่าเธอเห็นอีกฝ่ายชักดาบออกมาเธอจึงกระโดดถอยหลังทัน
“อ๊า!! เสื้อฉัน! นี่แกทำอะไรกันนะ?! จะฆ่าฉันเหรอ?” หญิงสาวตกใจที่เกือบโดนฟัน แต่เสื้อเธอกลับขาดไปซะแล้ว
“เดวิค!! นายจะทำอะไรนะ?”
“ถอยไป!! โทมัส!! ยัยนั้นไม่ใช่มนุษย์! ยัยนั้นเป็นปีศาจ!!” เดวิครีบพุ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที
“!!”
นูอัสตกใจขึ้นมาทันที ที่อีกฝ่ายดันพูดว่าเธอเป็นปีศาจขึ้นมา จนเห็นอีกฝ่ายกำลังพุ่งมา เธอรีบหยิบดาบของตนเองขึ้นมาป้องกันทันที เสียงดาบปะทะกันอย่างรุนแรง นูอัสถึงกับไถลไปข้างหลัง
“แกเป็นใครกันแน่!!”
“เป็นใครไม่สำคัญ!! แต่แกแย่งทุกอย่างของโพรทาเลียไป!!”
เดวิคจับไปที่คอเสื้ออีกฝ่ายพร้อมกับยกตัวอีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงไปด้านหน้าของเขา
“กรี๊ดดดดดดดดด!!” นูอัสกรีดร้องที่ตัวเองลอยไปไกลจนชนกับต้นไม้ทันที “อ๊ากกกกกกกกกก!!”
เสียงของนูอัสดังไปทั่วบริเวณนั้น จนทำให้ทุกคนต่างหันมาดูกัน โทมัสเห็นแบบนั้นรีบเข้าไปขวางทางเดวิคทันที
“เดวิค! พอได้แล้ว นายเป็นอะไรกัน โพรทาเลียเป็นมนุษย์นะ!!”
“ถอยไป!! นายไม่ได้รู้จักโพรทาเลียเหมือนฉัน!! แล้วยัยนั้นเป็นปีศาจ!!”
เขาผลักตัวอีกฝ่ายออกไป แล้วพุ่งตรงไปหานูอัสด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เขาเหวี่ยงดาบขึ้นสูงเพื่อจะโจมตีใส่อีกฝ่าย นูอัสเห็นแบบนั้นเธอคิดว่าตนเองจะต้องตายตรงนี้จริงๆ เหรอ แต่แล้วก็มีคนเข้ามาขวาง เสียงดาบกระทบอย่างรุนแรงจนเดวิคกระเด็นลอยไปทันที แต่ว่าเขาลอยตัวนายเลยทรงตัวอยู่ในอากาศทันที เขามองคนที่เข้ามาขวางเขา เขามีรูปลักษณ์รูปสมส่วน ผมดำ ดวงตาสีเขียว จนเดวิคเห็นนึกถึงแม่ของตนเองทันที
‘หรือว่า...คนคนนี้คือ!!’
“ลูกไม่เป็นไรนะ!?” เพอร์ซีย์หันเข้าไปดูอาการลูกสาว
“พ่อค่ะ! หนูเจ็บไปหมดเลย อยู่ๆ หมอนั้นก็เจ้ามาโจมตีหนู แล้วหาว่าหนูเป็นปีศาจล่ะนะ!”
“ว่าไงนะ!!”
นูอัสพูดพร้อมน้ำตาเธอก้มตัวร้องไห้บนมือของเธอ แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้านั้นกลับเปลี่ยนไปเป็นแสยะยิ้มพร้อมกับมองมาที่เดวิค เพื่อส่งข้อความว่าแกไม่มีทางทำให้พวกเขาเชื่อได้เด็ดขาด
เดวิคเห็นแบบนั้นถึงกับโกรธจัด เขายกดาบของตนเองขึ้นมาแล้วพุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายทันที “แกกกกกกกก!!”
เพอร์ซีย์รีบหันไปมองเด็กที่กำลังพุ่งเข้ามา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ตอนนี้เขาต้องช่วยลูกเขาจากอีกฝ่าย เขายกดาบขึ้นมาป้องกันอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาเสียงดาบปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทำให้มนุษย์กึ่งเทพหลายคนเตรียมตัวช่วยเหลือ ร่วมถึงพี่น้องแจ็กสันทั้ง 7 ที่อยู่ด้านนอก ไม่เข้าไปยุ่ง
“พอสักที!! ลูกสาวฉันเป็นมนุษย์นะ!!”
“ถอยไปเดียวนี่!! ผมไม่อยากทำร้ายคุณ” เดวิคเริ่มใส่คำพูดข่มขู่อีกฝ่ายว่าถ้ายังมายุ่งไม่เข้าเรื่องเขาเอาจริงแน่ๆ
“ลูกสาวฉันไปทำอะไรให้เธอกัน!!”
"ทำเยอะเลยด้วย!! ยัยนั้นใช้มายาหลอกลวงพวกคุณ!! ทำให้พวกคุณเชื่อว่าเธอเป็นมนุษย์!! ผมจะฆ่ามันเพื่อตัวของโพรทาเลียตัวจริง!!"
คำพูดนั้นของเดวิค ทำให้คนคนหนึ่งที่วิ่งมาถึงก็ชะงักกับคำพูดอีกฝ่ายมากๆ
“ไม่มีตัวปลอมหรือตัวจริงทั้งนั้นล่ะ!!”
เพอร์ซีย์เริ่มไม่พอใจเด็กตรงหน้าที่ดูแล้ว ไม่มีสติอยู่กับตัวเลย เขาจ้องมองอีกฝ่าย เขารู้สึกบางอย่างที่คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดในค่ายขึ้น เขาหมุนตัวเพื่อจะใช้ขาเตะอีกฝ่าย แต่แล้วเดวิคเห็นแบบนั้นก็กระโดดหลบทัน เขาลอยตัวอยู่ในอากาศชั่วขณะ น้ำถูกลอยขึ้นอยู่กลางอากาศ ทุกคนคิดว่าคุณเพอร์ซีย์กำลังจะโจมตีอีกฝ่ายด้วยพลังของเขา แต่น้ำทั้งหมดกำลังลอยไปหาอีกฝ่ายแทน
โทมัสเห็นก็ตกใจทันที “นอกจากพลังของซุส หมอนั้นมีพลังของโพไซดอนด้วย!! ผมนี้มันมนุษย์กึ่งเทพอะไรกัน!!”
เมื่อน้ำรวมตัวกันเป็นบอลน้ำขนาดใหญ่เท่าลูกบอลเดวิคพอลงที่พื้นเขาง้างมือสุดชีวิตแล้วพุ่งมือของตนโจมตีใส่ท้องอีกฝ่ายทันที เพอร์ซีย์ถึงกับจุกไปเลยก่อนที่เขาจะกระเด็นไปข้างหลังกลิ้งหลายตลบ
“เพอร์ซีย์!!” แอนนาเบ็ธรีบไปดูสามีของเธอ
“พ่อค่ะ/ครับ!” พี่น้องแจ็กสันรีบวิ่งไปดูพ่อกันทันที
นูอัสรีบวิ่งไปดูอีกฝ่ายเพื่อการเพื่อการแสดงความเป็นลูก “พ่อค่ะ ไม่เป็นไรนะ!”
“เพอร์ซีย์ ไม่เป็นไรนะ?” แอนนาเบ็ธพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา
“ไม่...เท่าไร...แต่เด็กนั้นเก่งมากๆ” เพอร์ซีย์จ้องมองเด็กตรงหน้าที่เล่นเขาอยู่หมัดแบบนี้ ” แต่ฉันว่าเด็กคนนั้นต้องติดโรคแล้วแน่ๆ คงเห็นภาพหลอนเหมือนคนอื่นๆ ที่เป็นนั้นล่ะ”
“แย่ล่ะสิ...งั้นก็ต้องให้ทุกคนจับกุมเข้านะ ตอนนี้เขาจะฆ่าคนอื่นๆ ด้วยนะ”
“ใช่!! ทุกคนจับกุมชายคนนั้น แล้วพาไปอยู่กรงขังซะ!!”
"เล่นแบบนั้นเลยเหรอ?"
“เด็กนั้นอาจจะอาการหนักว่าคนอื่นๆ ก็ได้!!”
พวกลูกชายบ้านแจ็กสันรีบลุกขึ้นกันไปช่วยมนุษย์กึ่งเทพคนอื่นๆ ที่กำลังช่วยจะจับกุมเดวิค เขาเห็นเขามาล้อมตัวเขาไว้ ตอนนี้เขาไม่ไหวใจใครเลย เพราะกลิ่นปีศาจเต็มไปหมด จนตอนนี้สายตาของเขาก้มไปมองก็เห็นน้ำหนองที่พื้น ก็ทำให้เขาคิดแผนหนึ่งขึ้นมือของเขามีกระแสไฟฟ้าขึ้นมาทันที โทมัสเห็นแบบนั้นรีบตะโกนออกไป
“ทุกคนออกมาจากตรงนั้น ที่พื้นมีน้ำหนองแล้วเด็กนั้นกำลังสร้างไฟฟ้าขึ้น!!”
“ว่าไงนะ!”
ไม่ทันขาดคำเดวิคเหวี่ยงมือลงที่พื้นเพื่อส่งกระแสไฟฟ้าลงไปจนทำให้มนุษย์กึ่งเทพรอบๆ โดนไฟช็อกกันยกใหญ่ไม่เว้นกระทั่งพวกสายเลือดโพไซดอน ทุกคนสลบลงไปนอนกับพื้น
“มันอยู่ไหน!?” เดวิคตะโกนออกมา เขาตามหาผู้หญิงที่ปลอมเป็นแม่เขา เมื่อหันไปก็เห็นอีกฝ่ายอยู่กับกลุ่มคนคนหนึ่งเขาเห็นเลยว่าพวกนั้นคล้ายๆ คนในภาพของแม่ “แก!! แกแย่งทุกอย่างของโพรทาเลีย!! ฉันจะเป็นคนเอาคืนมา!!”
เดวิคพุ่งตรงไปหาพวกเขาโดยไม่คิดอะไร เพอร์ซีย์เห็นแบบนั้นแต่ร่างกายไม่อำนวยเลย เขารีบผลักลูกๆ และภรรยาออกไปจากตรงนั้น แต่พวกเขาไม่ยอมหนี จนระยะอีกไม่กี่เมตรที่อีกฝ่ายจะพุ่งมา ฟีนีอุสก็พุ่งเข้ามาหาเดวิค เขายกมือขึ้นตีไปที่ท้ายทอยอีกฝ่ายจนเดวิครู้สึกภาพตรงหน้าโดนตัดไป จนเขาล้มลงไปนอนกับพื้น
“แฮ่ก...ไม่เป็นไรนะครับ คุณแจ็กสัน! ทุกคนด้วย”
“นึกว่าจะตายแล้ว!!” สองแฝดจิ๋วเกือบหัวใจวายซะแล้ว
“มาช้านิดเดียว ลูกสาวฉันได้ตายแน่ๆ” เพอร์ซีย์ค่อยๆ ให้ภรรยาเขาพยุงตัวเขาคิด
“ฟีนีอุส!! โพรทาเลียกลัวเหลือเกินค่ะ!!” นูอัสรีบพุ่งตัวไปกอดอีกฝ่ายทันที
“ไม่ต้องห่วงนะ โพรทาเลีย พี่อยู่นี่ทั้งคนนะ” ฟีนีอุสลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “แต่ไม่นึกว่าเดวิคจะติดโรคไปกับเขาด้วยนะ”
“เธอรู้จักเขาเหรอ?” แอนนาเบ็ธถามอย่างสงสัย
“เขาช่วยพวกเราจากยักษ์ไซคลอปส์นะครับ แล้วผมพาเข้ามาด้วย เนื่องจาก...เขาอยากจะมาที่ค่ายนี้พอดี...เหมือนเขาอยากมาหาคนรู้จักที่นี้”
พวกเขาต่างมองเดวิคที่สลบอยู่ที่พื้น เพอร์ซีย์สงสัยเลยว่าเด็กคนนี้เป็นใครแล้วทำไมถึงมีพลังถึงสองเทพในตัวได้ แค่เรื่องโรคประหลาดเขาก็จะแย่อยู่แล้ว แต่นี่กับเจอเด็กประหลาดที่มองลูกเขาเป็นปีศาจ ทุกคนเอาแต่สนใจสิ่งรอบๆ แต่สายตาของนูอัสกำลังมองคนที่สลบอยู่ว่าอีกฝ่ายเป็นใครถึงมารู้ได้ว่าเธอเป็นปีศาจกัน ความคิดในหัวของเธอคิดอย่างเดียวว่า
‘ต้องฆ่ามัน!!’
จบตอนที่ 68 โปรดติดตามตอนที่ 69 ต่อไป
Comments (0)