ตอนที่ 67 มอบพลังให้แก่สายเลือดของตน

เพอร์ซีย์ต้องเล่ารายละเอียดทุกอย่างตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงตอนที่พวกปีศาจบุกมาที่ค่ายของทั้งสองค่าย การที่เขายอมเล่าเรื่องทั้งหมดเพื่อให้พวกทวยเทพรับรู้ว่าเทพอย่างแซเทิร์นสร้างเรื่องอะไรไว้ให้และเทพองค์นั้นกล้าทำแบบนี้กับลูกที่เขามากขนาดนี้ได้อย่างไร เมื่อเขาเล่าจนจบเสียงภายในห้องโถงก็เงียบไปหมดเหมือนพวกเขาตั้งใจฟังจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา เทพบางตนต่างครุ่นคิดว่าเกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้เกิดกับสายเลือดพวกเขาล่ะก็ คงโกรธเหมือนกันแน่ๆ แต่ซุสสั่งห้ามให้เทพยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์กึ่งเทพที่เป็นสายเลือดของตน แต่ก็มีบางคนยุ่งตลอด ระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดอยู่นั้นเทพีอาธีน่าเก็บงำความรู้สึกไม่อยู่จนแสดงออกมา

 

“เลวทรามที่สุด!!” อาธีน่าสบถออกมาพร้อมกับใช้มือทุบลงบนบัลลังก์ของตน

“อาธีน่า...สงบอารมณ์หน่อย” เฮร่ากล่าวตักเตือนขึ้น

“ขอประทานอภัย เทพีเฮร่า” อาธีน่าตั้งสติแล้วหันไปขอโทษถึงสิ่งที่ตนกระทำ

นางเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ความโกรธออกมาง่ายๆ แต่พอรู้เรื่องที่หลานๆ ของตนเจอเรื่องอันเลวร้ายกว่าที่ลูกของตนเคยเจอ ความโกรธทุกอย่างมันก็ปะทุออกมา เฮร่าพอเข้าใจความรู้สึกแบบนั้น แล้วหันไปหาเพอร์ซีย์เพื่อคุยต่อ

“เอาล่ะ บุตรโพไซดอน ขอบคุณที่เล่าสิ่งที่เป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมด นั้นทำให้เรารู้ปัญหาที่เจ้าจะมาบอก”

“ขออภัยเทพีเฮร่า ปัญหาของผมไม่ใช่เรื่องที่เล่าไป ถ้าเป็นปัญหานั้น ผมคงไม่ท้อมาถึงนี้หรอกนะ!”

“เพอร์ซีย์!” แอนนาเบ็ธใช้แขนชนหลังอีกฝ่าย “ให้ความเคารพเหล่าเทพด้วย”

“น่าเคารพ? ถ้าพวกเขาไม่พูดแทรก เราก็เข้าเรื่องไปแล้ว!” เพอร์ซีย์ไม่สบอารมณ์ที่เหล่าเทพเอาแต่พูดกันเองโดยไม่ฟังปัญหาที่เขาต้องการจะมาบอก "ที่ผมมาครั้งนี้มันเป็นเรื่องซีเรียสมากๆ ผมต้องการให้พวกท่านช่วยเหลือลูกสาวของผมก็เท่านั้น!"

สิ้นคำพูดของเพอร์ซีย์ทำให้เทพสององค์ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาถึงกับตาตื่นกันอย่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลานๆ ของตน

“เกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ บุตรโพไซดอน!” สีหน้าอาธีน่ารู้สึกตกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย

“จริงด้วย! เพอร์ซีย์ เกิดอะไรขึ้นกับหลานๆ กัน!?โพไซดอนพูดเสริมขึ้น

เขาจำได้ว่าเด็กๆ ปลอดภัยตามที่อีกฝ่ายพูด แต่ต้องมาคิดหลังจากปีศาจบุกค่าย ว่าพวกเขาเป็นอะไรหรือเปล่า

“จงใจเย็นๆ ก่อนทั้งสองคน” เฮร่าหันไปห้ามให้สองเทพแสดงอารมณ์มากเกินไป ก็นั่งไปจ้องมองเพอร์ซีย์อีกครั้ง "แล้วเจ้าต้องการให้เราช่วยยังไง? บุตรโพไซดอน"

“มอบพลังของพวกท่านให้เด็กทั้งสอง!!”

“ว่าไงนะ!!” ทวยเทพต่างอุทานกันออกมาอย่างดัง

“พลังของพวกเราเนี่ยนะ! จะบ้าหรือไง!?แอรีสกล่าวขึ้นด้วยความสับสน

“จริงของแอรีส!! พลังของพวกเราเป็นพลังอำนาจที่เหนือว่าที่มนุษย์กึ่งเทพจะครอบครอง ถึงแม้มนุษย์กึ่งเทพจะพลังของพ่อแม่แค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”

“จริงของอาร์เทมีส~อะพอลโลพูดขึ้น เขาตอนนั่งในท่าที่สบายเกินกว่าที่จะแสดงท่าทางแบบนั้น "แต่ว่าพลังของเด็กบางคนก็คงขึ้นกับชาติกำเนิดของพวกเขา เพราะเด็กสองคนนี้มีสายเลือดของเทพตั้งสองอยู่แล้ว จะมีอีกสัก 4 ถึง 5 พลังก็ได้ไม่ใช่เหรอ?"

คำพูดของอะพอลโลไปกระตุกต่อมบางอย่างก็พวกเทพ ทำให้เทพบางตนสงสัยในสิ่งที่อีกฝ่ายเห็นในอนาคตอย่างมาก เพราะอะพอลโลจะไม่พูดอะไรที่เขารู้ก่อนล่วงหน้าให้พวกเขาฟังแน่ๆ

“เจ้ารู้อะไรกัน? อะพอลโล” อาร์เทมีสถามผู้เป็นพี่ชายของตนด้วยสายตาอันจิกกัดอีกฝ่าย

“เปล่านี่~ ถ้าอยากรู้ข้าว่าถามบุตรโพไซดอนน่าจะดีกว่านะ”

 

ทุกคนต่างหันไปมองเพอร์ซีย์ ทำให้เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจที่อะพอลโลทิ้งระเบิดลูกใหญ่ใส่เขา เหมือนตอนนี้เข้าอยู่ในสงครามเย็นที่จ้องมองกันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเขา แต่การเงยหน้ามองเทพที่เอาแต่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ทำให้เขาปวดคอมากๆ ในตอนนี้

 

“อะพอลโลกล่าวแบบนั้น เจ้ามีความเห็นอย่างไร บุตรโพไซดอน” เฮร่าเอ่ยถามออกไป “จริงหรือไหม? ว่าสายเลือดของเจ้านั้นมีพลังเทพมากกว่า 2 จริงๆ”

“ใช่ ขอรับ!”

“บ้าไปแล้ว!”

“มนุษย์กึ่งเทพที่ไหนจะมีพลังมากกว่าสายเลือดที่ถูกถ่ายทอดกัน!”

“เจ้ารู้หรือไหมว่าทำไมสายเลือดของเจ้าถึงมีพลังเทพมากกว่า 2 กัน!?

“พวกท่านเชื่อเรื่องอดีตชาติไหม?เพอร์ซีย์ถามพวกทวยเทพด้วยคำถามที่พวกเขาไม่คาดคิด

“อดีตชาติ...พูดยากนะ สำหรับเหล่าเทพ...มันก็จะมีสักครั้งที่มีคนที่รู้จักกลับมาเกิดใหม่ แต่จำเราไม่ได้...”

“แล้วอดีตชาติที่ว่านี่...มาในรูปแบบดวงวิญญาณที่ติดตามดวงวิญญาณดวงใหม่มาด้วยล่ะ?เพอร์ซีย์ตั้งคำถามที่เป็นปริศนาเพิ่มอีกครั้ง

“เจ้าหมายความว่าไงกัน? บุตรโพไซดอน”

“ผมขอไม่กล่าวอะไรเพิ่ม ขอแค่พวกท่านโปรดเรียกเทพโครนอสมาอธิบายต่อ...หลังจากนี้พวกท่านจะได้รับรู้ว่าที่ผมกล่าวหมายความว่าอะไร”

เกิดเสียงซุบซิบเกิดขึ้นภายในห้องโถงแห่งนี้ ซุสได้ยินถึงชื่อบิดาของตนก็ทำให้เขาไม่ชอบใจจนต้องกล่าวบางอย่างขึ้น

“ข้า-”

“นั้นต้องเรียกท่านผู้นั้นมา!” เฮร่าพูดแทรกขึ้นมาทันที

“จะบ้าหรือไง เฮร่า!!” ซุสหันหน้ามองภรรยาของตนด้วยความรู้สึกไม่พอใจ “เจ้าจะให้คนที่เราไม่รู้หน้าไม่รู้ใจอย่างเทพองค์นั้นเข้ามายังเขาโอลิมปัสเนี่ยนะ!!”

“ข้ารู้ว่าท่านยังกังวลเรื่องในสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้น แต่ยังไงตอนนี้เราก็ต้องช่วยมนุษย์กึ่งเทพที่มาร้องขอจากเรา...” สิ่งบางอย่างสะกิดใจของนางถึงได้ยอมทำแบบนี้ “แต่ถ้าท่านกลัวว่าเขาจะสร้างเรื่อง ท่านก็เชิญท่านผู้นั้นมาแค่ภาพด้วยอุปกรณ์ของเฮเฟตัสก็ได้ไม่ใช่หรือไง?

“!?

ทุกคนต่างมองซุสกันอย่างหน้านิ่งโดยไม่พูดอะไร แต่ใบหน้าขอซุสกับขึ้นสีอย่างอับอายหน่อยๆ ก่อนจะพูดขึ้น

“อะแฮ่ม!! เฮเฟตัส!”

“รับทราบ!”

เฮเฟตัสหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเขาขึ้นมา กดบางอย่างที่หน้าจอและแล้วภาพของโครนอสก็โผล่ขึ้นมาโดยที่โครนอสกำลังจ้องมองสิ่งบางอย่างที่กำลังลอยอยู่เหนือเขาอย่างสนใจ

“นี่คืออุปกรณ์ของเฮเฟตัสสินะ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ”

“เทพโครนอส!”

เฮร่าเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่น่าจะมองพวกเขาผ่านภาพโฮโลแกรมของเฮเฟตัสเช่นกัน โครนอสได้ยินเสียงลูกสาวก็ยิ้มขึ้นมาทันที พร้อมกับมองใบหน้าของทุกคน

“แหมๆ ได้เห็นพวกเจ้าอยู่กันพร้อมหน้าดีจริงๆ เลยนะ”

“เลิกพูดดีกว่านะ!” ซุสขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่เห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มหน้าระรื่น

“โอ้ๆ ซุส ดูสีหน้าเจ้าสิ...คงโกรธและเกลียดข้ามาสินะ ข้าเข้าใจดี ข้าไม่ได้เป็นคนทำสิ่งต่างๆ ก็ตามที แต่ใครจะไว้ใจคนที่อยู่ๆ ก็โผล่มาล่ะเนอะ”

“ถ้ารู้ก็รีบๆ บอกสิ่งที่ควรบอกแล้วกลับไปอยู่ที่ที่ท่านอยู่!!”

“ซุส...คุณค่ะ...” เรอามองลูกชายมองผู้เป็นพ่ออย่างไม่ชอบใจ

“เฮ้อ...ก็ได้ๆ” โครนอสเดินไปหาเด็กน้อยทั้งสองที่ยังแอบอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่และลูกสาวของตน “ธิดาอาธีน่า ลูกข้า จงพาเด็กทั้งสองออกมา”

“ค่ะ!”

ทั้งสองคนต่างรับคำสั่งพร้อมกับเดินออกไปข้าง จนเหล่าเทพเห็นบางอย่างที่พวกเขากำลังอุ้มนั้นเป็นเด็กตัวน้อยสองคนที่มีสีผมต่างกัน อาธีน่ากับโพไซดอนเห็นก็นึกออกเลยว่าเด็กทั้งสองเป็นใคร

“เดียวนะ นั้นมัน!”

“โพรทาเลียกับโฟกัสไม่ใช่เหรอ?

“ถูกต้อง! อาธีน่า โพไซดอน” โครนอสกล่าวออกมา “เอาล่ะ เหล่าเทพทั้งหลายเอ่ยถึงเวลาช่วยเด็กทั้งสองกันแล้วล่ะ!”

เทพแต่ละองค์กำลังตั้งใจดูว่าพวกเขาจะต้องอะไรกันมั้ง แต่สายตาของเทพบางองค์หันไปมองหญิงสาวที่มีใบหน้าสละสลวยกับผมยาวสีฟ้าจนไม่ได้สนใจคำพูดของโครนอสเลยสักนิด จนโครนอสเห็นจึงเดินมาอยู่ตรงหน้าของพวกเทพเหล่านั้น

“นี่ๆ ข้าพูดอะไรโปรดฟังกันหน่อยสิ! ไม่ใช่จ้องลูกสาวข้าอย่างเดียวนะ!!”

“ลูกสาว!!” พวกเทพหนุ่มต่างมองกันอย่างเหงื่อตก

"ใช่สาวผมฟ้าคนนั้น!! ลูกสาวข้าอย่าแตะเป็นอันขาด!!"

โครนอสปล่อยคำขู่ใส่เทพที่จ้องลูกสาวของเขา เพราะเขาไม่อยากให้เทพมาวุ่นกับลูกเขาแน่ๆ

"เอาล่ะ!! มาเข้าเรื่องกัน! เด็กทั้งสองกลายเป็นเด็กเนื่องจากพลังที่หายไป เพราะช่วยกำจัดพวกปีศาจออกจากค่ายจูปิเตอร์จนหมดไป! ร่างกายเหลือเพียงพลังอันน้อยนิดจึงต้องการพลังใหม่มาทดแทนอันที่หายไป!!"

“แล้วพลังที่หายไปคือพลังเทพสินะ” ไดโอนีซุสพูดขึ้นหลังจากที่ตนเองเงียบมานาน

“ใช่ แต่พลังเทพนั้นไม่ใช่ใส่ได้ส่งๆ ต้องเป็นพลังของอดีตพ่อแม่ล่ะนะ”

“อดีตพ่อแม่?

“ใช่ เพราะเด็กทั้งสองนั้นมีอดีตชาติเป็น...”

โครนอสเดินไปหาเด็กๆ ที่พวกเพอร์ซีย์กำลังอุ้มอยู่ มืออันใหญ่โตกว่าใบหน้าของพวกเพอร์ซีย์กำลังยื่นให้ไปอยู่ตรงหน้าเด็กๆ เขาตวัดมือไปด้านหลังพร้อมกับแสงประกายทำให้เกิดจนทำให้เกิดตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสายเลือดของทั้งสองคน

“ลูกของพวกเจ้าไงล่ะ!!”

“!!”

 

ภาพตรงหน้าทำให้พวกเทพต่างอ้ำอึ้งกันไปเลย เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของตนออกมาจากเด็กทั้งสอง ด้านซ้ายออกมาจากตัวโพรทาเลียมีตั้งแต่ตราของโพไซดอน ดิมีเทอร์ เฮเฟตัสและเฮอร์มีส ส่วนทางด้านขวาออกมาจากตัวโฟกัสก็มีตราของเฮร่า อาธีน่า อะโฟร์ไดต์ และอาร์เทมีส ที่หมุนไปๆ รอบจนเรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด นอกจากตราที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงสิ่งอยู่ภายในตรานั้นเลือนราง แต่เห็นเด่นชัดคือเจ้าของตราพวกนั้น สายเลือดของพวกเขา

 

“รัล!”

ดิมีเทอร์เห็นภาพของบุตรของตน ทำให้ความรู้สึกบางอย่างกำลังทะลักออกมา ผู้เป็นลูกอย่างเพอร์ซีโฟนี่ได้ยินน้ำเสียงของผู้เป็นแม่ เธอเงยหน้าเห็นร่างของคนที่เธอไม่คิดว่าจะเจอกันอีก

“น้องพี่...”

“เซเรน่า...”

น้ำเสียงของเฮเฟตัสถึงกับสั่นเครือที่เห็นลูกสาวของตนอีกครั้ง แต่อะโฟร์ไดต์เห็นลูกสาวที่ตนเกลียดอีกครั้ง ทำใหเธอโกรธเคืองกว่าเดิม

“ดาเฟ่...ธิดาของข้า...” อาธีน่าไม่คิดว่าได้เห็นธิดาที่จากมานานเป็นพันปีอีกครั้ง

“เฮเลน...” เฮร่ามองอย่างอ้ำอึ้ง ธิดาที่ตนรักมากๆ มาอยู่ตรงหน้าของตนอีกครั้ง

อาร์เทมีสไม่กล่าวอะไรออกมา เธอไม่อยากนึกเลยว่าการเจอคนที่ตายจากไปกลับมาอยู่ตรงหน้ามันทรมานแค่ไหน ยิ่งเป็นเด็กสาวที่ตนไม่เคยเรียกว่าลูกสักครั้ง ซุสเห็นภาพตรงหน้า ทำเอาเขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอเหตุการณ์เหนือโชคชะตาแบบนี้

“พวกเขา...ยังมีชีวิตยังงั้นหรือ!? พระบิดา” ดิมีเทอร์กล่าวถามอย่างสับสนไปหมด

“ไม่เชิง...พวกเขาตอนนี้เป็นแค่ดวงจิตที่ถูกแย่งออกจากดวงจิตหลักที่ตายจากไป เพื่อถูกส่งมาเกิดเป็นแหล่งพลังให้เด็กทั้งสอง แต่ความทรงจำของพวกเขาก็ถูกส่งต่อให้เด็กทั้งสองอยู่เหมือนกัน”

“พวกเขาขยับไม่ได้งั้นหรือ?เฮร่าถาม

“ไม่...ถ้าร่างต้นไม่มีการขยับ พวกเขาก็ไม่ตื่นเช่นกัน เพราะไม่มีพลังไปหล่อเลี้ยงพวกเขา”

เทพบางตนได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นยืนขึ้นมีตั้งแต่ โพไซดอน เฮอร์มีส เฮเฟตัส อาธีน่า เฮร่า และดีมิเธอร์ พวกเขาต่างจ้องมองไปที่ตราสัญลักษณ์ของตนเองกัน แล้วหันกลับมามองโครนอส

“เราจะต้องทำยังไงถึงจะส่งพลังให้เด็กๆ ได้กัน?

“พวกเจ้า!!” แอรีสต่างลุกขึ้นเมื่อเห็นเทพที่ใจอ่อนยอมมอบพลังของตนให้เด็กสองคน “อย่าทำอะไรบ้าๆ กันสิเฟ้ย!! ถ้าการให้พลังนั้นทำให้พวกมันมีอำนาจกว่าเราจะเกิดอะไรขึ้น!! จริงไหม? ท่านพ่อ”

ซุสรับฟังลูกชายของตน เขาก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น “จริงของแอรีส ว่า-”

“หุบปาก!!”

“เอ๋!!” ซุสสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงภรรยาของตนพูดคำสบถแบบนั้นออกมา “เฮร่า...เจ้า...”

“ถ้าเห็นแก่ลูกเรา!! ซุส จงเงียบปากของท่านซะ!!” เฮร่าเดินมาประจันหน้ากับสามี ทำเอาซุสสั่นกลัวเล็กน้อย

“ข้า....จะเงียบปากของตนจ๊ะ...”

“ดี!” เฮร่ากลับมายิ้มปกติแล้วเดินกลับไปดูเด็กๆ

พวกเทพต่างโล่งใจ นึกว่าซุสจะทำให้เฮร่าเดือดซะแล้ว เพราะเมื่อเฮร่าเดือดไม่มีใครหยุดนางได้แน่ๆ

“ช่างเป็นเวลาที่หรรษาจริงๆ นะ” โครนอสกล่าวอย่างชอบใจ

“ผมว่ามันคนละความหมายเลยนะ...” เพอร์ซีย์พูดเสริมขึ้น

“เหรอ เอาล่ะๆ มาช่วยลูกของพวกเราดีว่านะ! แจ็กสัน!”

“ครับ! ขอความกรุณาด้วย!”

 

ดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวังของเพอร์ซีย์กำลังปะทุขึ้น เขาอยากให้ลูกๆ ฟื้นไวๆ เขาขออลิซ่าเบ็ธเป็นคนอุ้มโพรทาเลียต่อ โครนอสจัดแจงเทพหลักที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดมากที่สุดเป็นคนมองพลังเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ให้เด็กทั้งสอง ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์จะให้เทพที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดเช่นพ่อหรือแม่มอบพลังให้ด้วยเช่นกัน เทพทุกองค์ยอมที่ทำการมอบพลังของตนส่งไปยังตราสัญลักษณ์ที่มีลูกๆ ของตนลอยอยู่ประจำตรา ปริมาตรพลังพวกนั้นเล็กเท่าลูกบอลของมนุษย์ แต่ก็ทำให้พวกเด็กทั้งสองคนค่อยๆ มีชีวิตชีวามากขึ้น เหลือแค่เทพที่ต้องให้พลัง 20 เปอร์เซ็นต์ เทพทางฝั่งของโฟกัสต่างยอมส่งพลังให้ง่ายๆ เมื่อพลังถูกส่งครบตราทั้งหมดก็พุ่งตรงไปหาโฟกัสแสงสว่างรอบๆ ตัวเธอก็เปล่งประกายขึ้นมา แอนนาเบ็ธแสบตาเล็กน้อย แต่เมื่อมองลูกสาวของเธอ ดวงตาค่อยๆ ขยับไปมา ก่อนที่เปลือกตาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีเทาจับจ้องผู้เป็นแม่อยู่ตรงหน้า

 

“แม่...เหรอคะ...?

“โฟกัส! ลูกแม่...ลูกฟื้นแล้ว!” แอนนาเบ็ธกอดลูกสาวอย่างคลายกังวล

 

เพอร์ซีย์ดีใจที่ลูกสาวอีกคนฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ยังเหลือทางเขาที่ยังเหลืออีกตราหนึ่งที่เป็นตราของเฮเฟตัสที่เทพรองนั้นก็คือ อะโฟร์ไดต์ ที่ไม่ชอบใจที่ต้องส่งพลังให้แก่เด็กที่เธอเหมือนจะรังเกียจมากๆ จนเฮเฟตัสเคืองกับพฤติกรรมของนางจึงต้องออกมาพูดกับนาง

 

“อะโฟร์ไดต์! เลิกเล่นตัวสักที!”

“ทำไม!! ข้าจะไม่ส่งพลังให้เด็กนั้นแน่ๆ ไม่มีวันซะหรอก!” อะโฟร์ไดต์กอดอกไม่สนใจสามีของตน

“เจ้ามัน…!!” เฮเฟตัสบีบมือของตนจนเลือดไหล

เพอร์ซีย์มองอย่างสงสัยจนหันไปหาพ่อของตนที่อยู่ข้างๆ เนื่องจากหดร่างจนตัวเท่าเขา

“เทพทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน แต่ไม่เคยเข้ากันได้สักทีนะ”

“แน่อยู่แล้ว...แต่ที่ทะเลาะกัน คงเพราะธิดาของพวกเขา”

“อดีตชาติของลูกผม เขาทำไม?

“นางโดนอะโฟร์ไดต์ส่งให้ไปตายนะ...เฮเฟตัสเลยโกรธและเกลียดอะโฟร์ไดต์มากๆ จนแกล้งนางได้ตลอดนั้นล่ะ”

“แบบนี้เอง วุ่นวายจริงๆ” เพอร์ซีย์มองเทพทั้งสองทะเลาะกันจนเฮเฟตัสยั่วยุเทพี

“เจ้าคงกลัวสิถ้านางฟื้นขึ้นมานะ!!”

“ข้าเนี่ยนะ กลัว!”

“ใช่! ไม่งั้นเจ้าก็ช่วยยัยหนู แล้วก็ไสหัวออกจากที่นี้ไปแล้วนะสิ!! ไม่สิ!! คงกลัวนางสวยกว่าเจ้าอีกล่ะสิ!”

“เจ้า!!” อะโฟร์ไดต์โกรธเคืองอีกฝ่ายที่พูดแบบนั้นขึ้นมา “ข้างดงามว่าใครๆ บนโลกนี้ ไม่มีใครจะสวยกว่าข้า!! ได้!! แค่ส่งพลังใช่ไหมล่ะ!?

 

นางรีบยกมือขึ้นพร้อมกับส่งพลังอันเล็กน้อยของตนไปยังตราสัญลักษณ์ของเฮเฟตัส เมื่อพลังครบกันหมดเป็นที่เรียบร้อยตราทั้งหมดพุ่งตรงไปหาโพรทาเลียทันที ร่างกายอันเล็กจ๋อยเปล่งประกายออกมา เพอร์ซีย์ใจจดใจจ่อว่าลูกสาวของตนจะฟื้นขึ้นมาแล้วยิ้มให้เขาไหม แต่ทางด้านโฟกัสมีความแปลกไปเมื่อเธอมองรอบๆ ก็สงสัยว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่ห้องนอนเหรอ

 

“แม่ค่ะ...เราอยู่ไหน? เมื่อกี้แม่พึ่งเล่านิทานให้หนูฟังเองไม่ใช่เหรอคะ?

แอนนาเบ็ธฟังที่ลูกสาวพูดก็งุนงงว่าลูกพูดนั้นหมายความว่าอะไร

“โฟกัสเมซ่า ลูกหมายความว่าไงกัน? ลูกพึ่งฟื้นจากการต่อสู้กับพวกปีศาจไม่ใช่เหรอ?

“แม่พูดอะไรนะ? หนูพึ่ง 6 ขวบนะ แล้วโลกเราจะมีพวกปีศาจได้ไง?

“ว่าไงนะ!?

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”

“!!”

 

เสียงเพอร์ซีย์ร้องดังลั่นไปทั้งห้องโถงใหญ่จนทุกคนตรงนั้นแล้วหันไปมองสิ่งที่เห็นคือเลือดที่ไหลอาบแขนของเพอร์ซีย์ เขาตกใจที่จู่ๆ ลูกสาวกัดเข้าที่แขนเข้าอย่างรุนแรงจนมันเจ็บไปทั้งแขน แต่สิ่งที่ประหลาดใจที่ร่างของโพรทาเลียกลายเป็นสีดำทมิฬ เล็บที่จิกแขนเพอร์ซีย์ก็ยิ่งไหลมากขึ้น แอนนาเบ็ธรีบวิ่งมาดูก็ตกใจกับสิ่งที่เห็น เธอไม่ให้โฟกัสเห็นภาพนี้จึงฝ่ายโฟกัสไว้กับอลิซ่าเบ็ธ แต่อลิซ่าเบ็ธกับอึ้งกับรูปลักษณ์ของโพรทาเลียจนเธอจำคำของเด็กได้

 

‘ร่างอันดำทมิฬ...เหมือนปีศาจ...หนูกลายเป็นปีศาจชั่วขณะ...’

 

“ไม่จริง...ช่วงเวลานั้น...”

 

จบตอนที่ 67 โปรดติดตามตอนที่ 68 ต่อไป