ตอนที่ 65 เจ้าทอดทิ้งข้าได้ไง

หนุ่มใหญ่เซนทอร์กำลังเดินมาหาเทพีตัวน้อยอย่างช้าๆ เนื่องจากบนหลังของเขามีเหล่ามนุษย์กึ่งเทพที่ไร้เรี่ยวแรงนั่งกันอยู่สามคน เขาเดินมาใกล้ๆ ก็เห็นใบหน้าอันเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย ทำให้เขานึกถึงสมัยก่อนที่ได้เจอนางครั้งแรก ใบหน้าอันไร้ชีวิตชีวามีแต่สีหน้าอันอมทุกข์และไม่มีความสุข เขาเดินมาขนาบข้างอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยพูด

 

“อย่าทำสีหน้าเช่นนั้นเลย เทพีอลิซ่าเบ็ธ”

ลิซ่าหันหน้าไปมองผู้เป็นเหมือนคนสนิทที่อยู่บนเกาะนั้นมานาน “โอเซซัส...”

“ท่านกำลังเศร้ากับชีวิตของเหล่ามนุษย์กึ่งเทพอยู่งั้นหรือ?

“ไม่ให้เศร้าได้ไง...พวกเขาหลายคน...ทั้งบาดเจ็บ ทั้งตายจากไป...ทำให้คน...” เธอมองทอดยาวออกไปเห็นมนุษย์กึ่งเทพบางคนร้องไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจกับคนที่จากไป “ทำให้คนข้างหลังต้องเสียใจกับการกระทำของพวกปีศาจพวกนั้น”

โอเซซัสฟังสิ่งที่หญิงสาวพูดเขาก็พอเข้าใจกับสิ่งที่นางกล่าว “ชีวิตมนุษย์กึ่งเทพก็เป็นอย่างนี้เสมอ ไม่สิ...มนุษย์ธรรมดาก็เช่นกัน เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตายจาก นี่คือวงจรชีวิตของพวกเขา”

 

‘วงจร...ชีวิต...’

 

คำคำนั้นทำให้ลิซ่ารู้สึกกังวล วงจรชีวิตช่างเป็นคำกล่าวที่ดูเจ็บปวดสำหรับเธอ วงจรของเธอมีแค่ ตื่น ทานอาหาร อ่านหนังสือ ทานอาหาร เดินเล่น ทานอาหาร แล้วก็นอน มันช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อ แต่พอมองคนรอบๆ มันช่างน่าเจ็บปวดกว่าอะไร เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า การอยู่แต่บนเกาะทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอกับพวกเขาช่างแตกต่างกันเสียนี่กระไร

 

“ข้าที่อยู่มานานก็ยังไม่เคยเข้าใจเรื่องแบบสักที่จริงๆ นะ...”

“สักวันเจ้าจะเข้าใจเกี่ยวกับมัน สำหรับโลกนี้เจ้ายังเป็นเด็กที่พึ่งเห็นโลกกว้างเป็นครั้งแรก จงอยู่และเรียนรู้ชีวิตที่เจ้ากำลังจะเผชิญในภายภาคหน้าซะ”

เมื่อรับฟังคำสอนพวกนั้น ลิซ่าก็เริ่มจะเข้าใจว่าเธอต้องเรียนรู้บทเรียนต่างๆ ที่ไม่สามารถหาได้จากหนังสือที่เธออ่านมามากกว่า 4,000 กว่าปีได้

“เข้าใจแล้วค่ะ...”

“คุณเซนทอร์คนนั้นพูดก็น่าสนใจนะ แต่ถ้าจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชีวิต ฉันจะช่วยสอนเธอเอง อลิซ่าเบ็ธ”

“โอราอุส...”

 

ลิซ่ายิ้มให้แก่คนรักพร้อมกับเข้าไปซบไหล่อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ถ้ามีเขาอยู่เธอพร้อมที่จะเผชิญโลกนี้อย่างเต็มความสามารถ ภาพคู่รักตรงหน้าโอเซซัสนั้น ทำให้เขาประหลาดใจที่เทพีมีคนรักเสียแล้ว หลังจากที่แยกทางกันมาได้เกือบ 7-8 เดือน แต่ก็พอใจกับสิ่งที่เห็นว่าเทพีไม่อมทุกข์เมื่อสมัยก่อน

 

“ข้าไม่อยู่นาน เจ้าก็เจอผู้ที่รักเจ้าเสียแล้วหรือ”

“อ๊ะ...” ลิซ่ารีบกลับมายืนตัวตรงเหมือนเดิม เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องก็ทำให้เธอเขินอายมากๆ ที่ทำพฤติกรรมแบบนั้นต่อหน้าอีกฝ่าย “ขอประทานอภัย...ข้า...”

“ช่างเถอะๆ คนกำลังมีความรักก็แบบนั้นล่ะนะ เอาล่ะข้าจะพาเด็กพวกนี้ไปรักษาตัวที่...”

“สถานพยาบาลเจ้าค่ะ จุดที่ข้าบอกเลยเจ้าค่ะ โอเซซัส”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ซอยกีบเท้าอันใหญ่โตลงจากเนินเขาลงไปยังจุดที่มีบ้านขนาดใหญ่ เหล่ามนุษย์กึ่งเทพมากมายต่างรีบเข้ามาพยุงเด็กๆ ไปยังสถานพยาบาลกัน พอเห็นว่าเหล่าเด็กๆ อยู่ในมือของผู้น่าเชื่อถือแล้ว ตัวเขานั้นกำลังคิดว่าควรจะออกจากที่นี้เพื่อเดินทางอีกครั้ง แต่แล้วก็มีบุคคลหนึ่งโผล่มาตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียดจนตัวโอเซซัสนั้นอ้ำอึ้งไปทันใดเมื่อเห็นชายคนนั้น

 

“ไค...รอน...”

“โอ...เซซัส...”

อีกฝ่ายเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำเอาโอเซซัสลำบากใจที่ได้เจอชายที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์กรีกแบบพี่ชายของเขา

“ไม่ได้เจอเสียนาน...พี่ข้า...”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ทำให้ไครอนหลั่งน้ำตาอาบแก้มของตน “น้องข้า...”

ไครอนเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับจ้องมองใบหน้าอันเปลี่ยนไป หลังจากที่ไม่ได้เจอนานแสนนาน มือทั้งสองสัมผัสใบหน้าอีกฝ่ายจนเขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้สัมผัสใบหน้านี้อีก

“เจ้าช่างเปลี่ยนไปเยอะ หลังจากตอนนั้น...”

“ท่านก็เช่นกัน...แก่ลงไปเยอะเลยนะ ไครอน”

“หึ!”

 

เขาโอบกอดน้องชายอีกครั้ง ตัวเขานั้นอยู่มานานจนวันหนึ่งซุสประทานสิ่งบางอย่างมาให้เขานั้นคือเซนทอร์ตัวน้อย โอเซซัส ครั้งแรกที่ได้เจอเขาแทบไม่รู้ว่าควรทำอะไร แต่ก็ดูแลจนเติบใหญ่ พวกเขาต่างพากันดูแลเหล่ามนุษย์กึ่งเทพที่มาฝึกแล้วก็ดูแลกันและกัน จนกระทั่งโอเซซัสมีความคิดที่ต่างออกไปเขาออกเดินทางไปไม่บอกกล่าวทิ้งไครอนไว้ข้างหลัง

 

“เจ้ากล้าทิ้งข้าไว้คนเดียว...เจ้ามันช่างใจร้ายยิ่งนัก โอเซซัส”

“ข้าขอประทานอภัย...ท่านพี่...ข้ามันโง่เขลาที่ไม่ทำตามที่ท่านสั่งสอนมาตลอด” โอเซซัสกอดพี่ชายอย่างคิดถึง

 

ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างสุขใจที่ได้พบกันอีก แต่ผู้เป็นลูกอย่างคาเอลมองพ่อของตนกำลังกอดเซนทอร์ที่โผล่มาพร้อมกับพวกโอราอุส ตอนแรกเธอสงสัยว่าชายคนนั้นเป็นใครถึงคล้ายกับพ่อมากๆ แต่พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้ถึงได้รู้ว่าพวกเขารู้จักกันจริงๆ เธอไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับเวลาของทั้งสองจริงๆ จนกระทั่งคนเป็นไครอนเห็นเธอพอดี

 

“คาเอล! มานี่เร็วลูก!!”

“อ๊ะ...ค่ะ พ่อ!” คาเอลเดินไปหาพ่อทันที

“ขอแนะนำนี่น้องชายพ่อ โอเซซัส”

“น้องชายพ่อ?คาเอลมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง เพราะพ่อของเธอไม่เคยพูดถึงน้องชายเลย

“บอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่ใช่น้องแน่ๆ ของพ่อเจ้า เพราะข้ากำเนิดจากซุส ส่วนไครอนเกิดจากโครนอสล่ะนะ”

“แบบนี้เอง...เดียวนะคะ แบบนี้มันก็...”

“ใช่แล้ว ลูกรัก คนตรงหน้าลูกควรเป็นพี่น้องเจ้าด้วยซ้ำ แต่เราสัญญาว่าจะเป็นพี่น้องกัน”

“ก็จริงของเจ้า ไครอน แต่ว่าข้าไม่นึกว่าเจ้าจะมีลูกกับเขาด้วยนะ เจ้าชื่ออะไรสาวน้อย”

“ขออภัยค่ะ ที่ลืมแนะนำตัว หนูชื่อ คาเอล มิโดว่า ค่ะ”

“ชื่อดูไพเราะมากเลยนะ แหม ข้าไม่นึกว่าท่านจะมีธิดากับเข้าด้วยนะ” โอเซซัสใช้สายตาเหน็บแนมพี่ชาย

"อย่ามาใช้สายตาแบบนั้นกับข้านะ โอเซซัส" ไครอนกอดอกอย่างเคืองๆ น้องชาย

“ฮ่าๆ” โอเซซัสหัวเราะเยาะอีกฝ่ายอย่างชอบใจ

 

คาเอลมองผู้เป็นพ่อที่ทุกครั้งจะสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ แต่พออยู่ต่อหน้าชายที่เป็นอาของเธอนั้น ท่านเหมือนกลับไปเป็นวัยรุ่นที่ทะเลาะกับพี่น้อง เธอรู้สึกว่าจะชอบอาผู้นี้ที่ทำให้เธอเห็นใบหน้าอื่นนอกจากใบหน้าปกติของพ่อได้ ระหว่างที่จ้องมองทั้งสองคุยกัน โอราอุสกับลิซ่าก็เดินผ่านคาเอลจึงถามบางอย่างกับเธอ

 

“คาเอล เห็นครอบครัวฉันไหม?โอราอุสถามไถ่อีกฝ่ายหลังจากใช้สายตามองรอบๆ ก็ไม่เจอครอบครัวตัวเอง

เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย เธอนิ่งไปสักพักก่อนจะหันไปหาอีกฝ่ายด้วยใบหน้าอันเศร้าๆ

“ครอบครัวแจ็กสัน...กำลังไปดูโพรทาเลียกับโฟกัสนะ...”

“ดู? มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?ลิซ่าได้ยินถึงกับตาโตอย่างสับสน

“จริงด้วย! ทั้งสองเป็นอะไรนะ?

คาเอลคอตกเล็กน้อย แล้วยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา “ทั้งสอง...ทั้งสอง...ได้รับบาดเจ็บสาหัสนะ...”

“ว่าไงนะ!!”

เสียงทั้งสองทำให้เซนทอร์ทั้งสองมองอีกสองคนที่อุทานออกมา โอเซซัสได้ยินที่หลานสาวพูด เขาก็ตกใจว่าลูกศิษย์เขาบาดเจ็บสาหัส

“แล้วตอนนี้นางเป็นไงมั้งนะ?โอเซซัสถามออกไป

คาเอลเห็นอาถามก็ยิ่งทำให้เธอพูดมากขึ้น “ไม่รู้สิคะ จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้อีก...ตอนนี้คงรับการรักษาอยู่ที่สถานพยาบาลแน่ๆ ล่ะ”

ทั้งสองได้ยินแบบนั้นก็มองหน้ากัน ก่อนจะซอยเท้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว โอเซซัสมองทั้งสองคนที่วิ่งไป เขาก็กะจะวิ่งตามไปดูลูกศิษย์แต่ก็โดนพี่ชายจับแขนเอาไว้ทันที

“ไครอน! ปล่อยข้านะ ข้าจะไปดูลูกศิษย์ข้า!”

“ใจเย็นๆ โอเซซัส...” ไครอนสั่งให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ ก่อนจะหันหน้าไปหาลูกสาวที่กำลังทำท่าทางร้องไห้อยู่ “เล่นอะไรของลูกเนี่ย? คาเอล”

“หือ? เล่น?

“คิกๆ ฮ่าๆ ” คาเอลหัวเราะออกมาอย่างสะใจ แล้วหันไปหาพ่อ "ก็หมั่นไส้คู่นั้นนี้ค่ะ เลยจัดให้สักดอกนะคะ"

“เอ่อ...” โอเซซัสยังมองอย่างเอ่อๆ อยู่

ไครอนแตะไหล่น้องชายเบาๆ พร้อมกับลากพาเดินไปทางอื่นทันที “เดียวนายก็ชิน ลูกสาวฉันเป็นพวกสร้างเรื่องมากกว่าเจ้าอีก...แต่เอาล่ะ เราไปหาตรวจตราบางอย่างแล้วก็คุยไปด้วยละกันนะ”

“จะดีเหรอ? ข้าจะรบกวนท่านเปล่าๆ นะ”

“ไม่เลย...แต่เจ้าต้องอยู่กับข้าตลอดนะ”

“อ๊า...จะขังข้าเหรอ? ไครอน”

“ถ้าทำได้ก็ดีสิ”

 

ไครอนทั้งสองเดินกันไปคุยกันไปตามทางที่ไครอนจะไป คาเอลมองทั้งสองที่เดินจากไป เหลือแค่เธออยู่ตรงนั้นคนเดียวมันช่างเหงาหงอยสุดๆ ทางด้านพวกโอราอุสวิ่งกันสุดชีวิตไปยังสถานพยาบาล พวกเขาวิ่งเข้าไปถามคนแถวนั้นว่าครอบครัวแจ็กสันอยู่ไหน จนพวกเขาเดินมาถึงเต็นท์รองที่อยู่ด้านนอกสถานพยาบาล เมื่อถึงเต็นท์พวกเขาก็วิ่งเข้าไปข้างใน แล้วโอราอุสก็ตะโกนออกไป

 

“โพรทาเลีย!! โฟกัส!! ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม!?

ทุกคนตกใจกับเสียงตะโกนของอีกฝ่ายจนผู้เป็นแม่ต้องหันมาส่งเสียงตักเตือนคนเป็นลูกให้เงียบๆ

“ชู่ววว โอราอุส เงียบๆ หน่อยสิ นี่เต็นท์ร่วมนะ! ทุกคนต้องการการพักผ่อนนะ”

โอราอุสปิดปากพร้อมกับมองรอบๆ ที่มีมนุษย์กึ่งเทพบางคนจ้องมองเขาอย่างไม่ชอบใจ โอราอุสกล่าวขอโทษพร้อมกับขอโทษคนเป็นแม่

“อ๊ะ...ขอโทษครับ แม่...” โอราอุสคอตกทันทีที่โดนดุ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามแม่ “แล้วพวกโพรทาเลียเป็นไงมั้งครับ! ได้ยินว่าบาดเจ็บสาหัสด้วย”

“บาดเจ็บ...?

“สาหัส...?

“ลุงโอราอุส...เอาอะไรมาพูดนะครับ? แม่ไม่ได้บาดเจ็บสักหน่อย?เดวิคมองอย่างสงสัยจนพูดแบบนั้นออกไป

“ห๊า? ก็...คาเอลบอกว่าโพรทาเลียได้รับบาดเจ็บสาหัสนี่น่า”

“โธ่...เชื่อใครไม่เชื่อ ไปเชื่อยัยนั้นคิดดีแล้วเหรอ?สองแฝดชายมองพี่ชายอย่างเบื่อหน่ายหน่อยๆ ที่เชื่อคนง่ายเกินไป

“เอ๋!!” โอราอุสได้ยินแบบนั้นก็กำหมัดไว้แน่นทันที

 

‘ยัยคาเอล!!’ โอราอุสคิดพร้อมกับเคืองอยู่ข้างในที่อีกฝ่ายกล้ามาหลอกพวกเขา

 

ลิซ่าโล่งใจที่เด็กน้อยของเธอไม่เป็นอะไรมาก แต่เธอก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเลยสงสัยว่าพวกเขาอยู่ไหน

“แล้วพวกเธออยู่ไหนเหรอ? ฉันสัมผัสถึงพวกเธอไม่ได้เลยนะ”

พอได้รับคำถามแบบนั้นพวกเขาต่างมองกันอย่างลำบากใจ ก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ เปิดทางให้เห็นว่าคนที่พวกเขายืนรอบเตียงอยู่นั้นอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก เมื่อลิซ่าจ้องมองก็ทำให้เห็นร่างอีกฝ่ายเธอไม่คิดว่าจะเจออีกครั้งหลังจากวันเวลาผ่านไป

“นี่...มัน...เกิดอะไรขึ้นค่ะ” ลิซ่าเดินเข้าไปใกล้ๆ เอามือสัมผัสใบหน้าอันเล็กจ๋อยของโพรทาเลีย

“ทำไมโพรทาเลียกับโฟกัสถึง...” โอราอุสเห็นน้องสาวก็อึ้งไปเลยที่พวกเธอกลายเป็นเด็กไป

“พวกเราก็ไม่รู้นะ แต่ว่า...”

“แต่?

“แต่ว่ามีคนบอกว่ามันเกิดจากสายเลือดของเขานะ” เพอร์ซีย์เดินเข้ามาพร้อมกับพูดถึงบางคนที่อยู่แถวๆ นี้

“สายเลือด?ลิซ่าได้ฟังแบบนั้นก็นึกออกทันทีว่าใครพูดแบบนั้น “คนที่พูดนั้น...หรือว่า...”

“ใช่แล้ว พ่อเองล่ะ”

“ท่านพ่อ!” ลิซ่าหันไปมองคนเป็นพ่อรวมถึงแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ท่านแม่ก็ด้วย...ที่โพรทาเลียเป็นแบบนี้ เพราะสายเลือดนี้คงไม่ได้หมายถึงท่านพี่ใช่ไหมคะ?

“ใช่แล้วล่ะ...ลูกนี่รู้เรื่องพี่ของลูกเยอะเลยนะ”

ลิซ่าแอบเขินๆ ที่พ่อแอบพูดแซะอย่างแกล้งๆ ใส่เธอ “ข้าแค่...ข้าแค่อยู่กับท่านพี่จนข้าอายุได้แค่ 4 ขวบเองนี่เจ้าค่ะ...ก็ต้องรู้เรื่องท่านพี่มั้งสิคะ!”

“งั้นเหรอๆ แต่ไม่ต้องห่วง เดียวพวกเด็กๆ ก็ฟื้น แต่อาจจะอ่อนเพลียเล็กน้อย เพราะพลังหดหายไปเยอะ”

“พลังหดหาย…จะไม่ทำให้ทั้งสองลำบากแย่เหรอคะ?

“ก็มีส่วนนะ...แต่ทำอะไรไม่ได้ล่ะนะ ถ้าทำก็คง...เป็นตัวจุดชนวนให้พวกนั้นโผล่มาเยอะขึ้น”

“พวกนั้นเหรอ?เพอร์ซีย์ครุ่นคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ไม่มีอะไรนะ” โครนอสปฏิเสธก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “จริงสิ ลิซ่าลูกกับเจ้าหนุ่มสายเลือดโพไซดอน ออกไปตามหาพวกมนุษย์กึ่งเทพที่โดยสลับตัวไปกลับมาสินะ”

“ท่านพ่อรู้ไวเหลือเกินนะเจ้าค่ะ ใช่แล้วเจ้าค่ะ...ข้ากับเขาเกิดเห็นพวกปีศาจหนีจากค่ายเลยตามไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วพวกเราก็เจอมนุษย์กึ่งเทพหลายคนโดนขัง ตอนแรกพวกเราไม่สามารถทำอะไรได้จนเจอกับเด็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ตามพวกเรามาด้วยนะคะ”

“เด็กๆ กลุ่มหนึ่ง?

“เจ้าค่ะ เด็กพวกนั้นเป็นเด็กของค่ายนี้และยังเด็กที่ข้ารู้จักด้วยนะคะ”

“เด็กที่เทพีรู้จักเหรอครับ?เดวิคมองอย่างสงสัย “หรือว่า...กลุ่มพวกนั้น!!”

“กลุ่มไหนนะ? เดวิค” มาร์โคถามหลานชาย

“กลุ่มที่อยู่ในเงามืดของป่ามาเกือบ 1 เดือนกว่าๆ”

 

เสียงปริศนาดังขึ้นจากข้างหลัง ทุกคนต่างหันไปมองก็ได้เห็นหญิงสาวร่างกายกำยำเล็กน้อย ผมน้ำตาลถักเปียยาว ดวงตาแหลมสีฟ้าเหมือนเหยี่ยว เธอสวมเสื้อของค่ายฮาล์ฟบลัดจนทุกคนในนั้นมองอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นใครทำไมไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง แต่แล้วเพอร์ซีย์จ้องมองเขาก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

 

“เธอ! แม็กกี้ โดฟิลเวอร์ ไม่ใช่เหรอ?

แม็กกี้พยักหน้าเล็กน้อยให้อีกฝ่าย “ยินดีที่ได้พบกันอีกค่ะ คุณแจ็กสัน!”

“ใครนะ? พ่อ” สองแฝดหนุ่มจ้องมองหญิงสาวที่ดูการแต่งกายเฉยๆ แต่ใบหน้าอีกฝ่ายดูมีความเท่เหมือนผู้ชาย

“หนึ่งในเด็กที่อยู่ในป่าข้างๆ ป่าโดโดน่า พวกเขาเป็นกลุ่มที่ไม่อยากอยู่ร่วมกับคนอื่น เพราะเหตุผลส่วนตัวที่มีแต่เรเชลที่เข้าใจ เลยขอให้พวกเราสร้างบ้านพักให้พวกเขาอยู่ในป่าที่ลึกเข้าไปในค่ายฮาล์ฟบลัดล่ะนะ”

แอนนาเบ็ธอธิบายละเอียดยิบจนไม่ต้องถามเพิ่มเลยจริงๆ

“อ๋อ...พวกนอกคอกสินะ” สองแฝดชายพูดพร้อมกันอย่างรับรู้ว่าควรใช้คำพูดอะไรกับอีกฝ่าย

แม็กกี้ได้ยินคำพูดของสองแฝดจนทำให้เธอขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “นอกคอก? ก็ยังดีกว่าพวกที่ไม่รู้อะไรว่าในค่ายมีพวกปีศาจแฝงตัวอยู่หรอกนะ!”

“นี่เธอว่าเราเหรอ!?

“เดียวนะ เธอรู้ตั้งแต่ต้นเหรอว่าใครค่ายมีปีศาจนะ” คารีเซลถามอย่างสงสัยกับคำพูดของอีกฝ่ายก่อนหน้า

“ใช่!”

“แล้วไม่บอกพวกเราหน่อยเลยหรือไง?” เพอร์ซีย์ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

“จริงด้วย พวกเราจะได้แก้สถานการณ์ได้ทันนะ”

“บอกแล้ว...พวกนายเป็นพวกเดียวกับเราเหรอ?แม็กกี้ถามออกไป

เอเดอร์ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย “เธอหมายความว่าไง?

“สมมุติว่าพวกคุณโดนเทพองค์หนึ่งลักพาตัวไปตั้งแต่เด็ก แล้วอยู่เทพองค์นั้นจนโต แล้วคุณออกมาจากที่ที่โดนขังออกมาได้แล้ว แต่ยังมีความระแวงว่าคนรอบข้างเป็นพวกเดียวกับเทพนั้นไหม? พวกคุณจะคิดยังไง?

“ระแวงคนรอบข้างรวมถึงผู้ใหญ่ในค่ายด้วยสินะ”

“ถูก! แล้วยิ่งเราเจอคนที่เราคาดคิดว่าต้องอยู่ที่นี้ด้วย...”

“ใคร?

“โพรทาเลีย แจ็กสัน!”

ทุกคนสะดุ้งทันทีได้ยินแบบนั้นจนต่างมองหน้ากันอย่างลังเล เพอร์ซีย์เลยเอยถามแทน

“ลูกสาวฉันทำไมเหรอ?

“ก็...เธอเป็นตัวปลอมไงล่ะค่ะ เพราะว่าตัวจริงนั้นเป็น...” สายตาของเธอหันไปมองเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียง เธอจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยน “เป็นคู่แข่งของฉันยังไงล่ะค่ะ เป็นตั้งแต่เราอยู่บนเกาะที่เจ้าเทพนั้นขังพวกเราฉันเอาไว้!!”

“เอ๋!! นี่เธอก็เคยอยู่บนเกาะนั้นด้วยเหรอ?

“ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว...” แม็กกี้พูดจบก็มีเหล่าเด็กๆ อีก10กว่าคนเดินกันเข้ามา ทุกคนต่างมองอย่างงุนงง “พวกเขาก็เช่นกัน”

“เราอยู่บนเกาะนั้นตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น

“แถมครั้งแรกที่เราไปกันก็โดนจับเป็นหมู่คณะ ไว้เป็นของเล่นของแซเทิร์นอีก” เด็กหญิงคนหนึ่งก็พูด

แม็กกี้ยกมือขึ้นให้ทุกคนเงียบ ก่อนจะพูดต่อ “ตอนเราถูกพาไปที่นั่น พวกเราก็มีความระแวงกับสิ่งที่ต้องเจอ ตอนเราเจอโพรทาเลียครั้งแรกก็คิดว่าเธอคงเป็นพวกเดียวกับมัน แต่ที่ฉันจำได้ก่อนถูกพาไปที่นั่น ฉันเคยมาอยู่ที่นี้แล้วเจอโพรทาเลียอีกคน นั้นทำให้ฉันกลัวว่าเธอเป็นปีศาจ แต่แล้ว...”

“แต่แล้ว...?

“โพรทาเลียเข้ามาช่วยพวกเราจนเธอตายต่อหน้าเรา”

“!!”

“ครั้งนั้นเราตกตะลึงว่าเธอทำแบบนั้นทำไม แต่แล้วเธอก็ฟื้นขึ้นทำเอาเรางุนงงไปเลย แล้วเราก็ได้รู้ว่าเธอนั้นโดนจับมาตั้งแต่ตอนไหน นั้นทำให้เราไว้ใจเธอจนเธอพาเรากลับมาสู่ครอบครัวของเราอีกครั้ง แล้วก็...หลังจากแยกทางเธอกับเทพียังยอมเป็นเหยื่อล่อให้ปีศาจตามล่าพวกเธอเองอีก”

“จริงด้วย...ในความทรงจำของโพรทาเลียเคยเห็นกลุ่มเด็กๆ อยู่แล้ว...ภาพเธอในความทรงมัน...ผมบลอนด์ไม่ใช่เหรอ?เบเดอร์นึกถึงภาพความทรงจำของน้องสาวจนจำได้ว่ามีกลุ่มเด็กๆ อยู่ด้วย

“พวกเราทุกคนย้อมผมเพื่อไม่ให้พวกปีศาจจำได้เท่านั้นล่ะ”

“อ๊า...มันได้ผลด้วยเหรอ?

“ก็ได้ผลจนยัยปีศาจที่ปลอมเป็นโพรทาเลียจับไม่ได้มา 1 เดือนล่ะนะ!!”

“ก็จริงแฮะ...”

“เอาล่ะๆ เธอเข้ามาที่นี่กันเป็นกลุ่มใหญ่แบบนี้อาจจะเกะกะคนอื่น ทุกคนไม่รอข้างนอกดีกว่านะ”

“เอ๋! พวกเราอยากมาเยี่ยมโพรทาเลียนี่น่า” เสียงเด็กๆ หลายคนต่างพูดพร้อมกัน

“ทุกคน!” แม็กกี้พูดขึ้น แล้วหันไปมองทุกคนที่อยู่ข้างหลัง “ขอล่ะ ไปรอข้างนอก เดียวโพรทาเลียฟื้นเราค่อยมาเยี่ยมเธอกัน”

“ก็ได้” ทุกคนต่างทยอยกันออกไปจนเหลือแค่เธอคนเดียว

“ดูเธอเป็นผู้นำที่ดีนะ คุณโดฟิลเวอร์” เพอร์ซีย์เอ่ยชมอีกฝ่าย

“เหอะๆ ขอบคุณที่ชมค่ะ คงเพราะสายเลือดฉัน...ที่ต้องเป็นผู้นำเล็กน้อย...นะคะ”

“เธอเป็นลูกของใครนะ?โอราอุสถาม เพราะอีกฝ่ายมีลักษณะที่ไม่บ่งบอกเลยว่าเป็นสายเลือดของเทพองค์ไหน

“เอ่อ...แอรีสนะ...”

“เอ๋!!”

ทุกคนต่างมองอีกฝ่ายที่มีรูปร่างกำยำเล็กน้อย ใบหน้าสวยผสมหล่อ หุ่นที่สูงเหมือนผู้ชาย ยิ่งทำให้นึกสภาพไม่ออกว่าเทพเจ้าแห่งสงครามจะมีลูกสาวที่สวยและเท่แบบนี้ เพราะปกติบ้านแอรีสจะตัวใหญ่ หน้าตางั้นๆ และใช้แต่กำลัง

“แล้ว...เธอมีอะไรจะพูดกับฉันไหม? คุณโดฟิลเวอร์”

“อ๊า ค่ะ! คุณเพอร์ซีย์ จากการสอบสวนพวกยักษ์ไซคลอปส์ก่อนจะสังหารพวกมัน จนเราได้เรื่องที่จะต้องเตือนผู้ดูแลอย่างคุณค่ะ!”

“เรื่องที่ต้องเตือน?

“นี่ไม่ใช่ละรอบแรกที่จะเกิดขึ้นค่ะ!”

“หมายความว่าไง?

“ถ้าพวกนั้นกลับไปมือเปล่าโดยไม่มีโพรทาเลีย แจ็กสันกลับไปด้วยเทพองค์นั้นจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งในไม่ช้าก่อนถึงวันครีษมายันค่ะ!!”

“!!”

สีหน้าของทุกคนต่างแตกตื่นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เพอร์ซีย์รับรู้เลยว่าเขาควรจะไปรายงานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเทพเจ้าแห่งเขาโอลิมปัสรับรู้

 

ณ เกาะของแซเทิร์น

 

ภายในปราสาทมีเหล่าปีศาจ อมนุษย์มากมายกำลังทำงานของตนอย่างลำบาก พวกมันหลายตนเบื่อกับงานแบบนี้ แต่ภายในห้องท้องพระโรงอันโอฬารเต็มไปด้วยสิ่งประดับและสิ่งก่อสร้างสีดำทมิฬ เหล่าลูกสมุนที่กลับมาได้หลังจากไปบุกโจมตีค่ายฮาล์ฟบลัด มีแค่ไม่กี่ตนที่กลับมารายงานข่าว รวมถึงดีแลนที่กำลังนั่งเฉยๆ ก่อนที่ดาบในมือใครสักคนจะเหวี่ยงลงบนเก้าอี้บัลลังก์ใหญ่จนแตกละเอียด

 

“พวกแก!! ไม่ได้เรื่องกันทั้งนั้น!!” แซเทิร์นตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอันโกรธเคือง “ตัวไหนๆ ก็ใช้การไม่ได้จริงๆ!!”

เหล่าลูกน้องทุกคนต่างตกใจที่ได้เห็นเก้าอี้บัลลังก์แตกอย่างง่ายได้ เพราะมันสร้างจากหินทมิฬอย่างดี ดีแลนเงยหน้าขึ้นมามองอย่างหวาดหวั่นว่าตนเองคงโดนเรียกแน่ๆ

“ดีแลน!!”

เขาคิดไม่ทันขาดคำอีกฝ่ายก็เรียกเขา “ขอรับ นายท่าน!”

“ไหนแกบอกว่าตนเองจะพาเด็กคนนั้นกลับมา!!”

“ขออภัยนายท่าน...ผม...ผมพยายามแล้ว...แต่เธอกลับ…”

“พยายาม?แซเทิร์นได้ยินแบบนั้นก็เดินไปหาอีกฝ่าย แล้วบีบหน้าอีกฝ่ายอย่างรุนแรงพร้อมกับยกตัวอีกฝ่ายขึ้นมาด้วย "แกพูดได้แค่นี้จริงๆ ใช่ไหม!?"

“ขอ...ขออภัยขอรับท่าน...ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ!!” ดีแลนดิ้นรนอย่างหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะฆ่าเขา

“ให้โอกาส!? มันก็เท่านั้น!!” เขาเหวี่ยงตัวอีกฝ่ายไถลไปกับพื้นจนชนกับเสาใหญ่ทันที “ก่อนถึงครีษมายัน!! ข้าจะเป็นคนออกไปจับตัวเด็กนั้นเอง!!”

 

จบตอนที่ 65 โปรดติดตามตอนที่ 66 ต่อไป