1 ตอน บทนำ+บทที่ 1_น้ำเต้าหู้
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทนำ
“รักท่าน...” นางฝืนขยับริมฝีปากแตกระแหงกระซิบเอ่ย เมื่อเขาก้มหน้าลงไปใกล้เพื่อตั้งใจฟัง “เป็นความผิดพลาดเดียวในชีวิตข้า”
แววตาคนฟังไหวสะท้าน ทว่าร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหว
นางที่กำลังเจ็บหนัก ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล แม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับริมฝีปากยังแทบไม่มี กลับใช้เฮือกสุดท้ายของลมหายใจเพียงเพื่อจะเปล่งวาจาเชือดเฉือนหัวใจเขา
เพราะนางรู้... รู้ว่าต่อให้เขาไม่อาจยกย่องเทิดทูน ไม่อาจทะนุถนอมเหมือนในวันวาน แต่มีเพียงนางที่เขารักหมดหัวใจ เพียงแค่วาจาประโยคเดียวนี้ก็สามารถฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น
น้ำหยดหนึ่งร่วงจากดวงตามังกร ก่อนจะไหลรินเป็นสาย กายแกร่งดุจหินผาสั่นสะท้านราวจะแตกสลาย
ความเจ็บปวดเจียนตายครานี้สลักแน่นลงในหัวใจ เช่นเดียวกับความรักที่มี ต่อให้อีกกี่ร้อยปีก็ไม่มีวันสูญสลาย
ร่างเย็นชืดของคนตายถูกโอบกอดเอาไว้ด้วยความโหยหา ความอบอุ่นคล้ายจะถูกถ่ายทอดไปสู่เรือนร่างนิ่งงัน ความเหน็บหนาวเย็นชาจึงติดตรึงกับคนที่ยังอยู่ชั่วนิรันดร์
หงเทียนสิงพลันผวาลุกขึ้นจากเตียงนอน ก่อนจะขาดอากาศหายใจ จากความฝันที่ทำให้จมดิ่ง
เหงื่อเย็นอาบชุ่มไปทั้งแผ่นหลัง สองมือยกขึ้นลูบหน้าเพื่อขับไล่ความรู้สึกที่พากันถั่งโถมประดังกันเข้ามาราวห่าฝน วินาทีนั้นเขาก็พบว่าแม้แต่ใบหน้ายังเปียกชุ่ม
ชายหนุ่มปาดเช็ดน้ำตาทิ้งลวกๆ ขณะเหลียวมองนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างเตียง
เพิ่งจะตีสาม...
แต่จะให้เขานอนต่อก็คงไม่หลับอยู่ดี
หงเทียนสิงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปนั่งรับลมหนาวที่ระเบียง ความเย็นสาดซัดใส่ผิวกายนอกร่มผ้าไม่หยุด ช่วยปลุกให้เขาตื่นจากความฝันช้าๆ ความฝันที่ตลอดสิบหกปีมานี้บ่อยครั้งก็คอยวนเวียนเข้ามาในยามตื่น
บ่อยเสียจนเขาไม่อาจลืมเลือนความฝันนั้นได้ชั่วชีวิต
“หน้าตาไม่สดใสเลยนะเทียนสิง” กัวเหมยหลันลดมือถือที่กำลังจะถ่ายรูปลง “วันนี้มีงาน บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้นอนเยอะๆ เกมน่ะเอาไว้เล่นตอนกลางวันก็พอ”
หงเทียนสิงเหลือบตามองผู้จัดการส่วนตัวแวบเดียว ไม่พูดอะไร แล้วก็หันกลับไปสนใจเกมในมือถือต่อ
กัวเหมยหลันถอนใจ จ้ำจี้จ้ำไชกับเขามากๆ คนที่เหนื่อยก็เป็นเธอเองนี่แหละ
“ทำหน้าดีๆ หน่อยจะถ่ายรูปแล้ว”
เธอยกมือถือขึ้นมา เก็บภาพชายหนุ่มกำลังเล่นเกมระหว่างรอคิวถ่ายฉากของตัวเองในซีรีส์เรื่องหนึ่ง
หลังจากนี้ก็จะนำไปโพสต์ลงในเพจทางการของค่าย ให้บรรดาแฟนคลับได้กรี๊ดกร๊าดกัน เป็นวิธีการดึงกระแสหรือคงเอาไว้ไม่ให้ตกลงไปจากเดิมได้อีกวิธีหนึ่ง
“เสร็จแล้ว” กัวเหมยหลันเก็บมือถือ “เดี๋ยวฉันจะไปตามหลี่ถงเหยามาต่อบทกับเธอ จบเกมนี้ก็พอได้แล้ว”
คล้อยหลังผู้จัดการส่วนตัว หงเทียนสิงจบเกมสุดท้ายไปได้อย่างสวยงาม จึงพักสมองด้วยการสไลด์หน้าจอมือถือเรื่อยเปื่อยไปตามโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ได้สนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษ
ครู่ใหญ่ต่อมาแววตาเบื่อหน่ายพลันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง นิ้วมือที่สไลด์หน้าจออย่างไร้จุดหมายหยุดชะงักในวินาทีเดียวกัน
สายตาชายหนุ่มจ้องเขม็งไปที่ภาพข่าวในแวดวงวิชาการภาพหนึ่ง
ทุกอย่างรอบด้านคล้ายหยุดนิ่งลง มีเพียงหญิงสาวในภาพที่กำลังขยับเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงหน้า อยู่ในความทรงจำ อยู่ในหัวใจ...
แม้ว่าตั้งแต่เกิดมา นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเธอในชีวิตจริง ไม่ใช่ในความฝันเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
แต่ก็เป็นอีกครั้งในจำนวนครั้งที่นับไม่ถ้วน ตลอดชีวิตยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่ภาพความทรงจำ ภาพความฝันไหลบ่าเข้ามาในสมองราวกับคลื่นซัดสาด
สมองของหงเทียนสิงสับสนอึงอล ทุกอย่างรอบด้านชะงักนิ่ง ชายหนุ่มราวกับถูกดึงกลับไปในช่วงเวลาที่เขาเคยมีความสุขที่สุดในชีวิต และเจ็บปวดเจียนตายในขณะเดียวกัน
น้ำหยดหนึ่งร่วงจากดวงตาพร่าเลือนและแดงก่ำกระทบลงบนจอมือถือ แค่หยดเดียวนั้นเหมือนหนักเป็นพันตัน ทันทีที่กระทบลงมาอุปกรณ์สื่อสารในมือก็ร่วงหล่น
เสียงตกกระแทกพื้นของโทรศัพท์มือถือเครื่องบางดึงสติของหงเทียนสิงกลับมาก่อนที่เขาจะจมอยู่กับความเจ็บปวดจนขาดอากาศหายใจ
“เทียนสิงคุณเป็นอะไรน่ะ” หลี่ถงเหยาตกใจกับสภาพของชายหนุ่มจนชะงักนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ก้าวเข้าไปหา
หงเทียนสิงไม่ได้หันไปมองคนพูด ตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น รีบก้มเก็บมือถือด้วยท่าทีลนลานและสั่นเทา จากนั้นก็คว้าเพียงเสื้อแจ็กเก็ตติดมือ วิ่งออกไปจากกองถ่าย ทิ้งงาน ทิ้งอาชีพของตนเองเอาไว้เบื้องหลัง
คืนนั้น ‘พระเอกมาดร้ายเทกองถ่ายซีรีส์ดังกลางคัน’ กลายเป็นคำค้นหายอดนิยมในเว่ยปั๋ว แทนที่จะเป็น ‘เคมีพระนางซีรีส์รักเหลือร้ายเข้ากันสุดๆ ’ หรือไม่ก็ ‘หงเทียนสิงหลี่ถงเหยาคู่ชวนจิ้นแห่งปี’ อย่างที่หลายๆ คนคาดหวัง หลังจากข่าวการถ่ายทำซีรีส์ไอดอล ซึ่งเป็นซีรีส์เรื่องแรกของหงเทียนสิงถูกเผยแพร่ออกไป
ความเห็นของเหล่าแฟนคลับหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
[หงเทียนสิงทำฉันอกหัก]
[ได้รับบทพระเอกซีรีส์ของผู้กำกับชื่อดังก็คิดว่าตัวเองดังแล้ว ? ฉันว่าดับมากกว่านะแบบนี้]
[เหมือนโดนคนรักหักหลังเลย แต่ฉันก็ยังตัดใจจากเขาไม่ได้อยู่ดี]
[ไม่คิดว่านี่เป็นการปั่นกระแสซีรีส์กันบ้างเหรอ]
กัวเหมยหลันต้องจ้างแอคเคานต์ปั่นข่าว เพื่อดันคำค้นหาอื่นขึ้นแทนที่ วิ่งวุ่นหาทางเอาฮอตเสิร์ชนั้นลง จนรู้สึกใกล้คลั่งเต็มที แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจจนจะเป็นบ้าไปจริงๆ คือป่านนี้เธอก็ยังไม่สามารถติดต่อหงเทียนสิงได้ และไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหน
--------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 1
น้ำเต้าหู้
Trigger Warnings/Content Warnings
มีการบรรยายถึงพฤติกรรมที่มีลักษณะคล้ายสตอล์กเกอร์ (โรคจิตที่มีพฤติกรรมชอบสะกดรอยตาม)
มีการบรรยายถึงพฤติกรรมของตัวละครที่อาจสร้างความรู้สึกขยะแขยง (Creepy)
สายตาของเซียวเยี่ยนจื่อมองไปที่จอฉายภาพขนาดเจ็ดสิบห้านิ้วที่เธอเพิ่งจะกดรีโมทเปิดมันขึ้นมา
‘การประชุมคณะกรรมการกลางครั้งที่สิบเก้าของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งใช้เวลาในการประชุมติดต่อกันถึงสี่วัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา’
เสียงรายงานข่าวดังขึ้น พร้อมกับภาพชายวัยกลางคน ภาพลักษณ์ภูมิฐาน รอยยิ้มใจดี กำลังโบกมือให้ประชาชนปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
‘มีการประกาศผ่านมติสรุปประวัติศาสตร์หนึ่งร้อยปีของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ระบุถึงผลงานสำคัญและทิศทางการทำงานของพรรคในอนาคต ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าหูจื้อจง ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจะดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประชาชนชาวจีนไปจนชั่วลูกชั่วหลาน…’
ไม่รู้ว่าการรายงานข่าวจะดำเนินต่อไปในลักษณะไหน เซียวเยี่ยนจื่อกดเปิดสวิชต์ไดรฟ์เป่าผม ให้เสียงของมันดังกลบเสียงที่เธอไม่ต้องการได้ยิน และเรื่องราวที่เธอไม่ต้องการรับรู้
ตอนที่ผมแห้งสนิท นักข่าวก็เปลี่ยนไปรายงานข่าวอื่นแล้ว หญิงสาวลงสกินแคร์กับครีมทาผิวเสร็จก็ถึงเวลาออกจากบ้านพอดี
เธอเลือกหยิบรองเท้าสโนว์บูทคอลเลคชั่นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์ยุคกรีกโรมันของยี่ห้อดังมาสวม เกิดความลังเลเล็กน้อยว่าจะใส่หนามกันลื่นด้วยดีไหม
ช่วงนี้หิมะก็ไม่ได้ตกหนักขนาดนั้นแล้ว สุดท้ายเซียวเยี่ยนจื่อจึงตัดสินใจเดินออกจากบ้านไปทั้งอย่างนั้น
สโนว์บูทคู่นี้คือรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอมอบให้ตัวเอง เนื่องในโอกาสของการหมดหนี้หมดสิ้น
…หนี้สินที่กินระยะเวลานานถึงสิบสองปี
เพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอยังแซวว่า ‘รางวัลเล็กๆ น้อยๆ’ เป็นคำพูดถ่อมตัวของเธอหรือเปล่า
จริงๆ แล้วเธอไม่ได้ถ่อมตัว เพราะถึงรางวัลชิ้นนี้จะมีราคาไม่น้อย แล้วเธอก็ใช้เวลาหลายเดือนในการเก็บเงินกว่าจะซื้อมันมาได้ แต่ว่า…
รางวัลชีวิตของคนเราจะไปมีแค่ครั้งเดียวได้ยังไง รางวัลชีวิตของเธอครั้งต่อไปจะต้องไม่ใช่รางวัลเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้แน่ !
อะพาร์ตเมนต์ของเซียวเยี่ยนจื่อห่างจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแห่งฮาร์บิน[1] สถานที่ทำงานของเธอไม่ไกล รถไฟฟ้าใต้ดินจึงพาเธอมาถึงที่หมายภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
เช้านี้แสงแดดเจิดจ้าเป็นพิเศษ ลมหนาวพัดมาเพียงเอื่อยๆ อากาศค่อนข้างดีอย่างที่เธอคิด เสียก็แต่พื้นถนนมีหิมะที่ยังละลายไม่หมดอยู่ประปราย ไม่ค่อยสะอาดตานัก
พอคิดอย่างนั้น สโนว์บูทไร้หนามกันลื่นที่ถูกหยิบออกมาใส่เป็นครั้งแรกก็เหยียบลงไปบนหิมะที่กำลังละลายจนลื่นได้ที่ หญิงสาวเสียหลักหงายหลังลงไปกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า
บริเวณนี้ในช่วงเวลาไพรม์ไทม์[2] อย่างในตอนนี้ มีคนเดินผ่านไปผ่านมาไม่น้อย ยิ่งกว่ากลัวเจ็บเธอกลับกลัวเสียหน้ามากกว่า
เซียวเยี่ยนจื่อยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้าแทนที่จะรีบลุกขึ้น บดบังสายตาตัวเองจากสายตาคนอื่นที่เธอเดาว่าคงกำลังมองมาที่เธอด้วยความขบขัน แล้วก็หวังว่ามันจะพอปิดบังใบหน้าของเธอได้ด้วย
ในจังหวะนั้นเอง เงาร่างของใครคนหนึ่งก็ทาบทับลงมาบดบังสภาพน่าอายของเธอจากสายตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
หญิงสาวพลันเลื่อนมือออก เงยหน้ามองเจ้าของเงานั้น
ในดวงตากลมโตที่ปลายหางตาชี้ขึ้นอย่างเป็นเอกลักษณ์สะท้อนร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยื่นมือลงมาหา ก่อนจะประคองเธอลุกขึ้นมาอย่างง่ายดายด้วยกำลังแขนที่ผ่านการฝึกฝนการใช้แรงอยู่เป็นประจำ
ถ้าเป็นคนแปลกหน้าที่มาช่วยเธอเอาไว้ เซียวเยี่ยนจื่อก็คิดว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจพอดูแล้วสำหรับสภาพสังคมที่เธออยู่ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าถึงคนที่ช่วยเธอจะไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่เขากลับทำให้เธอแปลกใจยิ่งกว่า ที่เขามาปรากฏตัวต่อหน้าเธอตอนนี้
“ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้นล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะก้มหน้าประสานสายตากับดวงตาสวยได้รูป
เซียวเยี่ยนจื่อได้สติ รีบกวาดมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบว่า แม้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะดูเหมือนไม่มีใครสนใจใคร แต่พวกเธอที่คนหนึ่งทำเรื่องน่าอาย กับอีกคนที่...
เซียวเยี่ยนจื่อละสายตากลับมามองสำรวจคนตรงหน้า ร่างสูงโดดเด่นอยู่ในเสื้อโค้ทยาวสวมทับชอลว์เน็กสเวตเตอร์ที่สวมทับเสื้อตัวในซึ่งเธอมองไม่เห็นอีกที ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงสแล็กซ์รีดเรียบจนกลีบกางเกงแทบจะทิ่มตา
เธอเลื่อนสายตาขึ้นมองผ้าพันคอที่ปิดไปถึงปลายคาง หมวกไหมพรมปกปิดทรงผม กับแว่นกันแดดที่บดบังแววตา…
เหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นหน้าหนาวไม่มีผิด
เป็นภาพลักษณ์ที่มีเสน่ห์ดึงดูด เพราะสะท้อนความลึกลับน่าค้นหา…
ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงคือแม้เขาจะดูน่าค้นหา แต่แน่นอนว่าไม่ได้ต้องการให้ใครหาเจอ ...ยกเว้นเธอ
สรุปได้ว่าบุคลิกกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขาไม่ใช่สิ่งปกติสำหรับที่นี่ ดังนั้น แม้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะดูเหมือนไม่มีใครสนใจใคร และพวกเธอก็ยืนหลบอยู่ริมทาง แต่กลับเรียกสายตาผู้คนให้มองมาด้วยความสนใจอยู่เป็นระยะ
“เดี๋ยวเดินผ่านตรงนี้ไปพวกเขาก็ลืมแล้ว” ในขณะที่เซียวเยี่ยนจื่อยังคงเงียบ เสียงเดิมก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
เซียวเยี่ยนจื่อกะพริบตาปริบๆ แม้สีหน้าจะคลายความประหลาดใจลงแล้วแต่น้ำเสียงกลับยังคงสะท้อนความรู้สึกนั้น
“มาได้ไงคะเนี่ย” ลึกลงไปกว่าความประหลาดใจคือความไม่ชอบใจแลกระอักกระอ่วน
นอกจากเธอจะมีปัญหากับการมาปรากฏตัวอย่างกะทันหันของชายหนุ่มที่ห่างหายไปจากชีวิตเธอนานพอสมควรแล้ว ก็ยังไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเครื่องปรุงรสชั้นดีให้กับมื้อเช้าของใคร
นึกมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองไปรอบกายอีกครั้ง ดูว่ามีคนคุ้นหน้าคุ้นตาผ่านไปผ่านมาแถวนี้หรือเปล่า
ฮ่าวป๋อชุนเพียงยิ้มให้กับท่าทางระมัดระวังตัวแจเหมือนคนดังที่กลัวโดนปาปารัสซี่แอบถ่ายของเธอ “กลัวอะไรน่ะ เธอดังขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่ได้กลัวค่ะ แค่รำคาญ”
ชายหนุ่มทำท่าจะก้มลงไปเช็ดเสื้อผ้าที่เปรอะน้ำสกปรกให้เธอ
“ไม่ต้องค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อถอยหลังครึ่งก้าวไม่ยอมให้เขาทำตามอำเภอใจ “เดี๋ยวฉันจัดการเอง” พูดจบก็ก้มหน้า เช็ดลวกๆ ไปตามเนื้อตัว
อารามรีบร้อน คิดแต่จะกันเขาไม่ให้แสดงความสนิทสนม หน้าผากมนจึงชนกับหน้าผากของคนที่ไม่ทันจะยืดตัวขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
‘ปรี๊นนน’
เสียงแตรรถยนต์จากถนนใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างที่ตั้งของมหา’ลัย กับทิวแถวของร้านรวงฝั่งที่เธอยืนอยู่แผดดังขึ้น
เซียวเยี่ยนจื่อเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ สายตาชะเง้อมองไปตามทิศทางของเสียง
ฮ่าวป๋อชุนเองก็สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วมองไปยังทิศทางเดียวกัน
“บีบแตรทำไมน่ะ”
เซียวเยี่ยนจื่อละสายตาจากท้องถนนที่รถยนต์บางตามาสบตาคนที่คล้ายจะเปรยถามตัวเองมากกว่าจะเอ่ยถามเธอ “มองไม่ทันเหมือนกันค่ะ”
ฮ่าวป๋อชุนหันกลับมาหาหญิงสาวแล้วยักไหล่ คล้ายจะบอกว่า งั้นก็ช่างเถอะ แล้วก็เงียบไปครู่ใหญ่ ขณะที่สายตาหลังแว่นกันแดดก็เอาแต่จ้องเธอไม่หยุด
“ไม่เจอกันนาน เปลี่ยนเป็นคนซุ่มซ่ามไปแล้วเหรอ”
เซียวเยี่ยนจื่อเพียงยิ้มกับคำพูดติดตลกของเขาที่ต้องการบอกเป็นนัยว่ารู้จักเธอดีและไม่เคยลืมเรื่องราวที่ผ่านมา ทั้งยังไม่คิดจะสานต่อบทสนทนาในประเด็นนั้น
“มาทำธุระแถวนี้เหรอคะ”
ฮ่าวป๋อชุนยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง สายตาที่กำลังมองเธอตีความออกมาเป็นคำพูดได้ว่า ‘รู้ทันหรอกนะว่าจงใจเปลี่ยนเรื่อง’ แต่สุดท้ายก็ตอบเธอเพียงคำเดียวว่า “ใช่”
“นึกไม่ถึงเลยว่าที่ฮาร์บินจะมีธุระให้คนที่ทำอาชีพอย่างพี่มาทำด้วยตัวเองแบบนี้”
เธอพอจะรู้ข่าวคราวของเขาอยู่บ้าง ตำแหน่งล่าสุดของเขาทำให้ต้องมาประจำการอยู่ที่จี๋หลินซึ่งก็ไม่ได้ไกลจากฮาร์บินเท่าไร แต่คนที่มีตำแหน่งหน้าที่แบบเขา ยังไงเธอก็คิดไม่ถึงว่าจะลงทุนมาทำธุระด้วยตัวเอง
ฮ่าวป๋อชุนเลิกคิ้ว
“ไม่ได้กวนนะคะ” เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ฉันนึกไม่ถึงจริงๆ ”
“เธอคิดว่าธุระของพี่เป็นธุระแบบไหนล่ะ”
“ไม่รู้สิคะ” เธอทำหน้าเมื่อย แสดงออกว่าขี้เกียจจะเดาไปเรื่อยเปื่อย
หญิงสาวไม่คิดจะลากบทสนทนาให้ยืดยาวออกไป จึงแสร้งยกแขนขึ้นดูนาฬิกา “ไม่ต้องรีบไปทำธุระเหรอคะ”
ใบหน้าของฮ่าวป๋อชุนยังคงเกลื่อนรอยยิ้ม แม้จะอ่านท่าทางของเธอออก “เสร็จแล้ว”
“คะ? ” เซียวเยี่ยนจื่อขมวดคิ้ว ทำหน้างง
“พี่ทำธุระเสร็จแล้ว” ชายหนุ่มเฉลย “มาเจอเธอนี่ไง ไม่คิดว่าจะกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวแบบนี้ด้วย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
ตอนแรกเธอก็สงสัยอยู่ว่าทำไมชายหนุ่มถึงมาในเวลาพอเหมาะพอดีนัก แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าไม่นับรวมการโอนเงินใช้หนี้เขาทุกเดือน ซึ่งเพิ่งจะสิ้นสุดลงไปเมื่อหลายเดือนก่อน เธอกับเขาก็ถือว่าขาดการติดต่อกันไปนานหลายปีแล้ว
จู่ๆ เขาโผล่มาแบบไม่บอกกล่าว เธอก็เลยทำตัวไม่ถูก ออกจะอึดอัดเสียด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะคะ” เธอยิ้มออกมา รอยยิ้มธุรกิจแบบที่คนอย่างพวกเขาน่าจะทำกันจนช่ำชอง “ฉันใช้หนี้พี่หมดแล้วนะ พี่ได้รับเงินใช่ไหม ไม่รู้ว่าที่มาหาฉัน...”
เซียวเยี่ยนจื่อตั้งใจบอกเป็นนัยว่าเธอกับเขาหมดเรื่องที่ต้องติดต่อกันแล้ว ไม่น่าจะต้องมาเจอกันอีก ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจหรือเปล่า
ฮ่าวป๋อชุนสบตาเธอนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง รับรู้ว่าเธอตั้งกำแพงกับเขาเอาไว้สูงมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องนอกเหนือความคาดหมาย สีหน้าท่าทางชายหนุ่มจึงดูเหมือนคนที่ฟังความนัยของเธอไม่ออกเลยสักนิด
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องใช้คืน ให้พี่เลี้ยงเธอไปทั้งชีวิตก็ยังได้”
“พูดอะไรคะ” หัวคิ้วเซียวเยี่ยนจื่อกระตุกฉับ “พูดเหมือนไม่ให้เกียรติกันเลยนะ ฉันจะถือว่าไม่ได้ยินที่พี่พูดก็แล้วกันค่ะ”
ฮ่าวป๋อชุนชะงักกับท่าทางโกรธจริงจังของเธอ “พี่ไม่ได้ตั้งใจพูดให้เธอรู้สึกอย่างนั้น แค่อยากให้รู้ว่าพี่พร้อมจะเป็นที่พึ่งให้เธอ”
“ฉันพึ่งพาตัวเองได้ค่ะ”
เมื่อก่อนเธออาจจะพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ฮ่าวป๋อชุนส่ายหน้าน้อยๆ ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังใช้สายตาตำหนิเด็ก “เพราะรักศักดิ์ศรีเกินไป ปัญหาแค่นี้...” ชายหนุ่มยกมือขึ้นทำท่าประกอบ “เลยกลายเป็นเรื่องน่าอาย”
เซียวเยี่ยนจื่อมุ่นคิ้ว เรื่องที่เธอทำตัวเป็นเครื่องปั๊มเงิน เพื่อเร่งใช้หนี้เขา เกี่ยวอะไรกับเรื่องน่าอายกัน
ฮ่าวป๋อชุนพูดต่อ “เรื่องที่เธอลื่นล้มเมื่อกี้นี้ก็ด้วย”
เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกว่าเธอกับเขากำลังคุยกันคนละภาษา
“คนที่ไม่เคยมีปัญหา ‘แค่นี้’ ” หญิงสาวเลียนแบบท่าทางของเขาเมื่อครู่ “ไม่น่าจะมีสิทธิ์วิจารณ์คนอื่นนะคะ อีกอย่างถ้าฉันไม่รักศักดิ์ศรี ไม่รักหน้าตาตัวเอง คนอื่นจะมาช่วยรักงั้นเหรอคะ นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว เผลอๆ อาจจะเป็นโอกาสให้ซ้ำเติม”
“มองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้ว”
ประสบการณ์ที่ผ่านมาย่อมส่งผลต่อสายตาที่เรามองโลก เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้พูดออกไปตามที่คิด เพียงเบะปากยิ้มอย่างจะบอกว่า ก็ช่วยไม่ได้นี่
“เย็นนี้ไปกินข้าวกับพี่หน่อย”
เซียวเยี่ยนจื่อเลิกคิ้ว “นี่สั่งหรือชวนคะ”
ฮ่าวป๋อชุนทำท่าคิด “แบบไหนเธอถึงจะยอมไปด้วยล่ะ”
เซียวเยี่ยนจื่อหรี่ตาคล้ายจะบอกว่า ยังไงเธอก็ไม่หลงกล “ไม่ไปได้ไหมคะ”
“ปฏิเสธกันไวไปไหม ทำท่าลังเลสักนิดนึงก็ยังดี”
เซียวเยี่ยนจื่อส่ายหน้ายิ้มๆ “ฉันไม่ใช่คนเสแสร้งนี่คะ”
เธอแปลกใจนิดหน่อยที่เขาดูจะกล้าพูดจาหยอกล้อเธอมากขึ้น ทั้งๆ ที่ตอนนี้เธอกับเขาเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
เมื่อก่อนเขาดูจะสงวนท่าทีมากกว่านี้ คงเป็นเพราะถูกหน้าที่การงานหล่อหลอม แบบนี้เธอยิ่งต้องรักษาระยะห่าง
“เสแสร้งสักนิดก็ไม่ได้แย่ซะหน่อย” ฮ่าวป๋อชุนหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ “ถ้ามันจะทำให้อีกคนรู้สึกว่าพอมีหวัง”
“ให้ความความหวังคนอื่น ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นจริงก็ไม่ควรทำเหมือนกันค่ะ”
“แค่ไปกินข้าวด้วยกันเฉยๆ มันทำให้เธอลำบากใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
สีหน้าของเซียวเยี่ยนจื่อฉายความอึดอัด เธอไม่ต้องการให้ระดับความสนิทสนมระหว่างเขากับเธอกลับไปอยู่ในระดับเดิมอีก แต่ดูเหมือนเข้าจะไม่ยอมเข้าใจ
เห็นหญิงสาวยังคงเงียบชายหนุ่มเลยงัดไม้ตาย “ที่พี่ช่วยเธอเมื่อกี้ คิดจะแค่ขอบคุณกันจริงๆ เหรอ”
“ใช้ไม้ตายเลยเหรอคะ” เซียวเยี่ยนจื่อมองเขาด้วยสายตาเหมือนมองพวกขี้ตื๊อที่ฟังภาษาจีนไม่เข้าใจ
คนตื๊อไม่เหนื่อยแต่คนถูกตื๊อยอมแพ้แล้ว
อีกอย่างถึงเขาจะดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดตรงไปตรงมาของเธอแต่เธอก็ควรจะเป็นตัวของตัวเองในแบบที่รู้จักหนักเบา เขาไม่ใช่คนคุ้นเคยและยิ่งไม่ใช่หมาแมวที่ไหนที่เธอจะทำตัวไร้มารยาทใส่ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ด้วยฐานะของเขาตอนนี้ เธอควรจะรักษาหน้าเขาบ้าง
และที่สำคัญเขาทำให้เธอนึกได้ว่าเธอควรจะตอบแทนบุญคุณ ที่เขาให้เธอยืมเงินตั้งมากมายขนาดนั้น โดยไม่ร้องขออะไรเลย
ฮ่าวป๋อชุนหัวเราะ “แล้วได้ผลไหมล่ะ”
เซียวเยี่ยนจื่อถอนหายใจ “ที่ไหนคะ สักบ่ายสามนะคะ ไม่อยากกลับถึงบ้านมืด”
“ให้เธอเลือกดีกว่า พี่ไม่คุ้นกับที่นี่ ให้พี่ไปรับเธอที่บ้านนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเองสะดวกกว่า”
เหนือกว่าเหตุผลเรื่องการเดินทาง คือเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าบ้านของเธออยู่ไหน อย่างน้อยจะได้มีเส้นกั้นความสัมพันธ์เอาไว้บ้าง
“บ่ายสามไปเจอกันที่จงยางแล้วกันค่ะ”
แน่นอนว่าครั้งนี้ฮ่าวป๋อชุนก็รู้ทันเธอ แต่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เขาไม่จำเป็นต้องรู้เดี๋ยวนี้
ที่สำคัญในตอนนี้คือทำให้เธอยอมไปกินมื้อเย็นด้วยต่างหาก ซึ่งแค่เธอรับปากเขาก็ยิ้มออกแล้ว
หลังแยกกับฮ่าวป๋อชุนและยืนทำหน้าให้หนาจนไม่รู้สึกรู้สาแล้ว เซียวเยี่ยนจื่อก็เดินไปที่ร้านน้ำเต้าหู้เจ้าประจำ
อาอี๋[3]เจ้าของร้านยิ้มให้เธออย่างคนคุ้นหน้าคุ้นตา
“เหมือนเดิมค่ะ” เธอส่งเสียงดังกว่าระดับปกติเล็กน้อย เอ่ยกับอาอี๋ที่กำลังปั่นถั่วเหลืองอย่างขมีขมัน
พอเธอพูดจบอาอี๋ก็เทน้ำเต้าหู้จากเครื่องปั่นใส่แก้ว ปิดฝาแล้วยื่นให้เธอ “ไม่ต้องจ่ายเงินให้ฉันนะหนู”
เซียวเยี่ยนจื่อกำลังงงว่าเธอเพิ่งมาถึงแต่อาอี๋กลับปั่นน้ำเต้าหู้เตรียมไว้ให้เธอก่อนแล้วราวกับรู้ล่วงหน้า
“มีคนจ่ายให้แล้ว” หน้าตาของเธอคงจะมองดูฉงนสนเท่ห์มากจนอาอี๋ต้องเอ่ยเสริมออกมาอีกประโยค
ประโยคท้ายนี่เองที่ทำให้เธอถึงกับร้องอ้ออยู่ในใจอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เซียวเยี่ยนจื่อกลอกตาทำหน้าระอา
คนแซ่ฮ่าวคนนี้กะจะให้เธอติดหนี้บุญคุณจนต้องชดใช้ให้เขาไปชั่วชีวิตเลยหรือไง
“งั้นเอาเหมือนเดิมเพิ่มอีกแก้วค่ะ” เหมือนเดิมของเธอหมายถึงน้ำเต้าหู้หวาน[4]ที่มีแต่น้ำเต้าหู้ล้วนๆ ไม่มีน้ำตาลผสม
อาอี๋พยักหน้าหงึกๆ ขณะที่มือก็ขยับทำงานไปด้วย ครู่เดียวเซียวเยี่ยนจื่อก็ได้น้ำเต้าหู้เพิ่มมาอีกแก้ว
“ขอบคุณค่ะอาอี๋” เธอเอ่ยพร้อมกับยกมือถือขึ้นสแกนจ่ายเงิน
ทันทีที่จ่ายเงินเสร็จเซียวเยี่ยนจื่อก็หมุนตัวกลับหลังหัน โยนน้ำเต้าหู้แก้วแรกลงถังขยะใบหนึ่งจากถังต่างสีหลายถังที่ตั้งเรียงกัน ต่อหน้าต่อตาอาอี๋ ก่อนจะเดินจากไปไม่เหลียวหลัง ไม่แม้แต่จะพยายามมองหาว่าฮ่าวป๋อชุนยังอยู่แถวนั้นหรือเปล่า
คนที่กำลังปั่นน้ำเต้าหู้มือเป็นระวิง ขณะที่สายตามองตามแผ่นหลังลูกค้าประจำพลันหน้าเจื่อนลง
หญิงวัยกลางคนเผลอเหลือบมองไปทางคนที่ยืนดูดน้ำเต้าหู้ด้วยท่าทางเอื่อยๆ อยู่ข้างต้นไม้หน้าร้าน นึกเห็นใจขึ้นมาครามครัน ทั้งยังอดรู้สึกเสียหน้าแทนไม่ได้
“หนูคนนั้นเป็นลูกค้าประจำที่นี่” เธอพูดเสียงดังเล็กน้อยให้คนที่อยู่ห่างออกไปและกำลังเหม่อได้ยิน
“มาบ่อยๆ สักวันคงได้เลี้ยงแน่ แต่ขอเตือนสักประโยคเถอะ จีบผู้หญิงแบบนี้จะเข้าท่าเหรอเจ้าหนุ่ม”
ประโยคของอาอี๋ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ แม้แต่สีหน้าที่บ่งบอกว่าได้ยินที่ตนพูดก็ไม่มีให้เห็น
ถึงอย่างนั้นคนที่เห็นโลกมามากกว่าก็อดจะจุ้นจ้านอีกสักหน่อยไม่ได้ “ทางที่ดีก็ใช้วิธีตรงไปตรงมาเถอะ ทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ผู้หญิงเขาคงไม่ชอบ”
ออกปากเตือนตามประสาคนมีอายุ บวกกับรู้สึกเป็นห่วงคนอ่อนวัยกว่าตงิดๆ ก่อนหน้านี้ก็เห็นอีกฝ่ายยืนเหม่ออยู่กลางถนนจนโดนบีบแตรใส่เสียงดังสนั่นไปครั้งหนึ่งแล้ว
และยิ่งตอนนี้มีโอกาสได้พินิจรูปร่างหน้าตากันจนชัดก็รู้สึกคุ้นแปลกๆ เกิดความเอ็นดูสงสารขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
แต่คนอายุมากอย่างตนไม่ว่าอะไรก็คุ้นไปหมด บางอย่างที่ควรจะคุ้นกลับจำไม่ได้
แล้วคนกลางที่ลูกค้าแน่นร้านอยู่ตลอดเวลา สนใจเรื่องคนอื่นได้แป๊บเดียวก็ต้องกลับไปง่วนอยู่กับการจัดการเรื่องของตัวเองต่อ
[2] ช่วงเวลาไพรม์ไทม์ หมายถึง ช่วงเวลาสำคัญ หรือช่วงเวลายอดนิยมที่คนเราจะทำอะไรบางอย่างพร้อมๆ กัน เช่น ช่วงเวลาเดินทางตอนเช้าก่อนเวลาเข้างาน ช่วงเวลาหลังเลิกงานที่ครอบครัวจะมานั่งชมละครหลังข่าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน
[4] น้ำเต้าหู้ที่จีนจะมีน้ำเต้าหู้แบบหวานและแบบเค็ม
Comments (0)