บทที่ 15(2)

 ข่าวฉาวใหม่

 

หญิงสาวหันมาเก็บข้าวของ ตอนที่ไม่รู้ว่าจะเอาเสื้อผ้าเขากลับไปด้วยยังไงก็นึกถึงถุงผ้าที่ก่อนหน้านี้เคยใช้ใส่ชุดชั้นในของเธอ

เซียวเยี่ยนจื่อเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งพร้อมกับหยิบมันติดมือมา ตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำเธอก็พูดขึ้นลอยๆ “ขอบคุณที่จัดการเสื้อผ้าให้ฉันนะคะ” เห็นเขาหันมามอง เธอก็ยกถุงผ้าในมือขึ้นมา “ถุงผ้านี่ฉันขอนะ”

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก” หงเทียนสิงรู้สึกร้อนตัว “เมื่อวานผมโทรเรียกแม่บ้านมาช่วยจัดการ ผมไม่ได้แตะต้องของของคุณแม้แต่ชิ้นเดียว”

เซียวเยี่ยนจื่อทำปากเป็นรูปตัวโอ พูดอ้อคำหนึ่งแบบไร้เสียง “งั้นก็…ขอบคุณที่ช่วยผู้หญิงแปลกหน้าอย่างฉัน ทำให้คุณต้องมีข่าวฉาวเพิ่มอีกเรื่องแล้ว”

“คุณจะกลับแล้วใช่ไหม” หงเทียนสิงถามขึ้น ไม่คิดจะต่อประเด็นที่เธอพูด “เดี๋ยวผมไปส่ง”

เซียวเยี่ยนจื่อทำหน้าลังเลแล้วพูดว่า เปลี่ยนเป็นเรียกรถให้ฉันแทนดีกว่าค่ะ

ใจจริงชายหนุ่มอยากขับรถไปส่งเธอที่สนามบินด้วยตัวเอง แต่ถ้าเขาทัดทานความต้องการของเธอ อาจจะทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัดมากกว่าจะซาบซึ้ง แล้วมองเจตนาดีของเขาเป็นอย่างอื่นแทน

หงเทียนสิงพยักหน้า ได้ครับ

หญิงสาวยิ้มอย่างขอบคุณ ยอมรับการอำนวยความสะดวกของเขาแต่โดยดี

ตอนรถที่หงเทียนสิงเรียกให้มาถึงหน้าคอนโด ชายหนุ่มลงไปส่งหญิงสาวพร้อมเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่ง กำลังจะปิดประตูก็นึกอะไรขึ้นได้ “คุณมีปากกา หรืออะไรที่พอจะเขียนได้ไหม”

เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้ถามว่าเขาจะเอาไปทำอะไร เพียงเอี้ยวตัวไปล้วงหาปากกาในกระเป๋าตัวเองออกมาให้เขาแท่งหนึ่ง

หงเทียนสิงรับปากกามาพลางล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบใบเสร็จยับยู่ติดมือออกมาใบหนึ่ง พลิกด้านที่ว่างเขียนอะไรยุกยิกครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมันให้เซียวเยี่ยนจื่อ

“นี่เบอร์ผม ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรที่ต้นเหตุมาจากผม คุณโทรมาได้เลย”

เซียวเยี่ยนจื่อมองเขานิ่ง ไม่ได้ยื่นมือออกมารับใบเสร็จเก่าๆ แผ่นนั้น ขณะคิดว่าเขากำลังตีเนียนอยู่หรือเปล่า

เธอเลยแกล้งถาม “ถ้าไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนที่เกี่ยวกับคุณ โทรไม่ได้? ”

หงเทียนสิงรู้ทันความคิดเธอ ต่อให้เป็นเรื่องที่มีต้นเหตุมาจากเขา ชายหนุ่มคิดว่าเธอก็คงไม่โทรหาเขาอยู่ดี ที่ถามแบบนี้ก็เพราะคิดว่าเขามีเจตนาอื่นเลยลองหยั่งเชิงดูเท่านั้น

“คุณจะโทรหรือไม่โทร หรือจะทิ้งกระดาษแผ่นนี้ทันทีเลยผมก็บังคับอะไรคุณไม่ได้ครับ”

หงเทียนสิงยื่นมือค้างอยู่ท่าเดิม ไม่ได้ชักมือกลับ เป็นเซียวเยี่ยนจื่อที่มีปฏิกิริยา หญิงสาวยื่นมือออกมารับทั้งปากกาและกระดาษที่จดเบอร์โทรศัพท์ของเขายัดใส่ในกระเป๋า

หันมาแกล้งถามเขายิ้มๆ “คราวนี้ ฉันกลับได้แล้วนะคะ?”

หงเทียนสิงปิดประตูรถให้เธอ ถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง ยืนส่งเธออยู่ที่เดิมจนรถที่เธอนั่งหายไปจากสายตา

ขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปด้านใน รถยนต์คันหนึ่งก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบอยู่เบื้องหน้า

คนขับลดกระจกลง หงเทียนสิงมองเห็นทันทีว่าเป็นกัวเหมยหลัน

“ใช้ได้นี่เทียนสิง” สีหน้าของกัวเหมยหลันมองดูยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มกลับไปไม่ถึงตา “ไม่เท่าไรก็พัฒนามาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ง่ายดีจริงนะ”

สีหน้าของหงเทียนสิงอึมครึมขึ้นมาทันที ทำไมเขาจะฟังไม่ออกว่าประโยคไม่มีหัวไม่มีท้ายของอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร

“เธอก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันกับพี่ พูดจาให้เกียรติกันหน่อยสิครับ” พูดจบเขาก็เดินกลับเข้าไปในคอนโดทันที

กัวเหมยหลันทุบกำปั้นลงไปบนพวงมาลัยอย่างโมโหจัด รอจนตัวเองสงบสติอารมณ์ลงได้ถึงค่อยออกรถ หมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปยังที่จอดรถของคอนโด

 

หลังรถเคลื่อนตัวออกจากคอนโดของหงเทียนสิง เซียวเยี่ยนจื่อที่นั่งเป็นผู้โดยสารอยู่ด้านหลังถึงเพิ่งมีเวลาเช็กโทรศัพท์มือถือ

แน่นอนว่าเธอขาดการติดต่อจากทุกคนนานเป็นวันขนาดนี้ จำนวนสายที่ไม่ได้รับจึงเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าตกใจ แต่ก็ไม่ได้เหนือการคาดหมายของหญิงสาว

จำนวนสายที่ไม่ได้รับเกือบร้อยสาย เกินครึ่งเป็นของฟางเซียงเซียง ส่วนที่เหลือเป็นของฮ่าวป๋อชุน หญิงสาวเมินสายของฮ่าวป๋อชุนไปโดยไม่เสียเวลาลังเล แล้วเลือกโทรกลับไปหาฟางเซียงเซียง

“เยี่ยนจื่อ!” ปลายสายกดรับตั้งแต่เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นครั้งแรก “แกเล่นอะไรอยู่”

น้ำเสียงโมโหของเพื่อนทำเอาคนฟังรู้สึกหนักใจกับการหาข้อแก้ตัวที่หลีกเลี่ยงความจริงแต่ฟังดูเข้าท่า น่าเชื่อถือ

“ใจเย็นๆ” เซียวเยี่ยนจื่อซื้อเวลาให้ตัวเองเล็กน้อย “ขอโทษที พอดีอาจารย์ที่นี่เขาชวนให้อยู่เที่ยวต่อน่ะ เมื่อคืนก็พากันไปร้องคาราโอเกะ ไม่มีใครห้ามใคร พากันเมาแอ๋ ฉันเลยไม่ได้รับสายแก”

ปลายสายเงียบไปอึดใจ “แต่ก่อนแกจะเมา ควรโทรบอกฉันสักคำไหม”

เซียวเยี่ยนจื่อไม่กล้าโกหกต่อ ยายคนแซ่ฟางจับโกหกเก่งใช่เล่น เธอเลยต้องงัดคำขอโทษที่มักจะใช้ได้ในทุกสถานการณ์ขึ้นมา “ฉันขอโทษที่ละเลยแก”

“ดูพูดเข้า” ฟางเซียงเซียงย่นคออย่างขนลุก “จะอ้วกแล้วเนี่ย”

“หายโมโหหรือยังล่ะ ไม่งั้นฉันจะทำให้แกอ้วกออกมาเดี๋ยวนี้เลย”

“ยังไม่หาย บอกมาก่อนว่าจะกลับเมื่อไร”

“กำลังกลับ จะกล้าปล่อยให้แกรอนานๆ ได้ไง”

“แกทำไปแล้วย่ะ” ฟางเซียงเซียงอดเหน็บไม่ได้ “นั่งเครื่องกลับใช่ไหม จะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ใช่ ฉันกำลังนั่งรถไปสนามบิน” เซียวเยี่ยนจื่อตอบพลางมองทาง “อีกสักพักนึงเลยกว่าจะถึง”

“งั้นแกจะถึงฮาร์บินกี่โมง”

เซียวเยี่ยนจื่อยกแขนขึ้นดูนาฬิกา คำนวณเวลาครู่หนึ่งถึงตอบปลายสาย

ฟางเซียงเซียงลากเสียงยาวตอบรับ ก่อนจะอ้างว่ามีสายซ้อนแล้วขอวางสายไป

กว่าเซียวเยี่ยนจื่อจะนั่งรถมาถึงสนามบิน รวมกับเวลาที่อยู่บนเครื่องบินด้วยแล้ว แม้จะใช้เวลาในการเดินทางกลับฮาร์บินไม่ได้มากมายแต่เพราะผลที่ตามมาหลังถูกวางยาทำให้วันนี้ทั้งวันเธอยังคงรู้สึกเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียอยู่ตลอด

เซียวเยี่ยนจื่อเพิ่งเดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารเสียงโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งเปิดเครื่องก็ดังขึ้น เป็นสายโทรเข้าจากฟางเซียงเซียง

“ฉันถึงสนามบินแล้ว” หญิงสาวเอ่ยประโยคแรกทันทีที่กดรับ “จะรีบกลับไปหาแกเดี๋ยวนี้แหละ”

ฟางเซียงเซียงถาม “กำลังเดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารใช่ไหม”

คนถูกถามตอบอืมคำหนึ่ง จังหวะที่สายตาซึ่งกำลังมองไปเรื่อยเปื่อยเลื่อนกลับมาตรงหน้าเธอก็แทบจะทำอุปกรณ์สื่อสารที่ถือแนบหูอยู่หลุดมือ

“แม่ครับ” เทียนเป่าวิ่งตรงมาหาเธอทันทีที่ฟางเซียงเซียงปล่อยเขาลงมาจากการอุ้ม

เซียวเยี่ยนจื่อยังตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ย่อตัวลงมารับเด็กชายไปอุ้มตามสัญชาตญาณ สายตาเงยขึ้นมองฟางเซียงเซียงที่กำลังเดินยิ้มกว้างเข้ามาหา

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับแม่”

 

หงเทียนสิงไม่ได้เปิดประตูรอกัวเหมยหลัน แต่เพิ่งจะหย่อนก้นนั่งลงไปบนโซฟาก็ได้ยินเสียงกดออดที่หน้าประตู เห็นได้ชัดว่าเธอทั้งร้อนใจและกำลังจะคลั่งเพราะเขา

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู ไม่รอให้เขาปิดประตูก่อนด้วยซ้ำคนเป็นแขกก็โพล่งขึ้นมาอย่างอัดอั้น

“เธอเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ไหมเทียนสิง! ” กัวเหมยหลันกระแทกกระเป๋าลงกับโต๊ะกระจกหน้าโซฟารับแขก “ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรเธอกันแน่”

“ผู้หญิงคนไหนครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วถามเหมือนไม่เข้าใจจริงๆ

“ผู้หญิงฮาร์บินคนนั้นไง เลิกไขสือซะที”

“ข่าวเมื่อกี้เดี๋ยวผมแก้ปัญหาเอง” หงเทียนสิงเอ่ยเบี่ยงประเด็น ไม่สนใจจะพูดเรื่องที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง “พี่ก็อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ใช่ว่าผมมีข่าวฉาวน้อยซะเมื่อไร”

“ทั้งฉัน ทั้งพี่สาวเธอไม่มีใครคิดจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่หรอก เธอต่างหาก เป็นบ้าหรือไงถึงไปอุ้มผู้หญิงถูกวางยาออกมาจากร้านอาหารแบบนั้น หรือรู้สึกว่าข่าวฉาวตัวเองยังน้อยไป”

หงเทียนสิงสะดุดใจ ข่าวที่ออกไปไม่มีสำนักข่าวไหนระบุว่าผู้หญิงในภาพข่าวถูกวางยาแม้แต่ที่เดียว แล้วทำไมผู้จัดการส่วนตัวเขาถึงพูดออกมาแบบนั้น

ชายหนุ่มหันไปมองกัวเหมยหลัน ท่าทางไม่แสดงออกว่ากำลังข้องใจสุดขีด แต่กลับพบว่าสีหน้าอีกฝ่ายปกติดีทุกอย่างเหมือนไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ ออกมา

“ถ้าพี่มาหาผมเพราะเรื่องข่าว ตอนนี้ก็คงหมดธุระแล้ว?”

“ไม่ต้องรีบไล่กันหรอก” น้ำเสียงกัวเหมยหลันเย็นลงเหมือนถูกปิดสวิตซ์ “พี่สาวเธอทั้งต้องคอยดูแลต่าตา แล้วยังต้องคอยตามเช็ดก้นให้เธออีก สงสารพี่สาวเธอบ้างเถอะเทียนสิง หลังจากนี้คิดจะทำอะไรก็คิดถึงเทียนเหยาบ้าง”

ทำไมเขาจะไม่คิดถึงพี่สาว แต่บางครั้งก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะเขาก็ปล่อยวางเรื่องของเซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้เหมือนกัน

กัวเหมยหลันกลับไปทันที หลังจากเอ่ยประโยคนั้นจบจนหงเทียนสิงรู้สึกผิดคาด ชายหนุ่มไม่ได้ลงไปส่งเธอ แต่นั่งใคร่ครวญบางอย่างอยู่ที่เดิมเงียบๆ

ครู่ใหญ่เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเข้าเว่ยปั๋วของตัวเอง แล้วโพสต์ข้อความหลายประโยค จากนั้นก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์ต่อทันที คอมเมนต์ที่สองและสามตามมาเป็นวินาทีต่อวินาที ในเวลาชั่วไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นก็ไม่สามารถนับคอมเมนต์ทั้งหมดที่ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่องได้แล้ว

แต่ก็มีคอมเมนต์หนึ่งที่มีการตอบกลับและการรีโพสต์เป็นจำนวนมาก ทำให้ยากที่จะมองข้ามไป

ใฝ่เรียนรู้ : [ถ้าไม่ใช่คนคุ้นเคย ต่อให้สวยขนาดไหน เป็นฉันคงไม่กล้าอุ้มออกมาแบบนั้น ฮ่าๆๆ แล้วยิ่งไม่มาออกโรงปกป้องจนไม่เห็นหัวต้นสังกัดแบบนี้หรอก]

[การตอบกลับ]

อยากรู้จัง : [แอบคบกันแหง]

แอบมองอยู่ : [คงไม่อยากให้ต้นสังกัดรู้ แต่ฉันรู้แล้วล่ะ ฮ่าๆๆ]

ได้ได้ได้[1] : [แต่ถ้าปกป้องฉันแบบนี้นะ ฉันรักตายเลย รักนะเสี่ยวสิงของฉัน]

 

 



[1] ได้ได้ได้ มาจากคำว่า 行行行 (อ่านว่า สิงสิงสิง) เป็นตัวอักษรที่อยู่ในชื่อของหงเทียนสิง