5 ตอน บทที่ 3(2)_พึ่งพิง
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 3(2)
พึ่งพิง
Trigger Warnings/Content Warnings
มีการบรรยายความรู้สึกและสภาพร่างกายของคนที่พยายามฆ่าตัวตายหลังได้รับความช่วยเหลือ
มีการบรรยายถึงความรู้สึกของผู้ใกล้ชิดผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย
เห็นแบบนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเซียวเยี่ยนจื่อถึงเปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนมากขนาดนี้ ตอนแรกเขานึกว่าเป็นเพราะเวลาที่ผันผ่านทำให้เธอโตขึ้น แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นมากกว่า
ฮ่าวป๋อชุนสะกดความไม่พอใจเอาไว้ บังคับตัวเองให้หมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม
ชายหนุ่มโยนถุงอาหารในมือลงถังขยะ ก่อนจะเดินไปที่รถของตัวเองแล้วขับออกไป
คืนนั้นเขาไม่ได้ติดต่อไปหาเซียวเยี่ยนจื่ออีก แต่ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวกลับไม่พ้นเรื่องของเธอ
เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกจากเสียงความวุ่นวายที่ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท แวบแรกหญิงสาวยังคงงัวเงีย ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นจากท่าหลับนก แล้วตื่นเต็มตาทันทีที่ตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เสื้อแจ็กเก็ตตัวใหญ่ที่คลุมอยู่บนตัวหญิงสาวพลันเลื่อนตกลงไปกองอยู่บนพื้นโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว หญิงสาวมองไปที่เสียงความวุ่นวายบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินที่ดังปลุกเธอ แล้วก็พบว่าฟางเซียงเซียงกำลังถูกย้ายออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“เพื่อนฉันเป็นยังไงบ้างคะ” เซียวเยี่ยนจื่อวิ่งเข้าไปถามหนึ่งในทีมแพทย์ สายตาเป็นประกายขึ้นมาจากความหวัง “ปลอดภัยแล้วใช่ไหมคะ”
คนถูกถามพยักหน้า “เราจะย้ายคนไข้ไปที่ห้องพักฟื้นเพื่อเฝ้าระวังอาการทางร่างกายและจิตใจหลังจากนี้อีกสักพัก จนกว่าจะแน่ใจว่าหายดีแล้ว”
เซียวเยี่ยนจื่อน้ำตาคลอ แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดีและโล่งอก “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
หญิงสาวหมุนตัวผละออกมา คิดจะไปจัดการเดินเรื่องจ่ายเงินตามขั้นตอนการรักษาของโรงพยาบาลให้เสร็จเรียบร้อย ฟางเซียงเซียงจะได้รับการรักษาอย่างไม่มีอะไรติดขัด จังหวะนั้นเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเผลอเหยียบอะไรเข้า
เซียวเยี่ยนจื่อก้มลงมองพื้นโดยอัตโนมัติ แล้วก็พบว่ามีเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนึ่งตกอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครนั่งอยู่แถวนี้นอกจากเธอ แล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสงสัย มองออกทันทีว่าเป็นบอมเบอร์แจ็กเก็ตของผู้ชาย เซียวเยี่ยนจื่อนึกขึ้นได้ในตอนนี้เอง ว่าก่อนจะเผลอหลับไปเธอกำลังรอฮ่าวป๋อชุนอยู่ หรือว่าแจ็กแก็ตตัวนี้จะเป็นของเขา แต่ว่า... บอมเบอร์แจ็กเก็ตแบบนี้ดูไม่ใช่สไตล์ของเขาเลยสักนิด
คิดไปคิดมา สุดท้ายเซียวเยี่ยนจื่อก็ตัดสินใจพาดมันไว้บนแขนแล้วเดินไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้ฟางเซียงเซียงโดยไม่คิดอะไรมาก
ร่างซูบผอมที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ แทบจะจมหายไปในผ้าห่มผืนใหญ่ของโรงพยาบาล มีเพียงใบหน้าไร้สีเลือดที่โผล่พ้นชายผ้าห่มออกมาเล็กน้อย ทว่ากลับยิ่งขับให้เจ้าของร่างนั้นดูคล้ายซากศพที่ทำให้คนมองแขนขาอ่อนแรงจนแทบก้าวต่อไปไม่ไหว
เซียวเยี่ยนจื่อเดินช้าๆ ไปนั่งลงข้างเตียง มองฟางเซียงเซียงที่นอนหลับสนิทผ่านดวงตาวาวน้ำอยู่ครู่หนึ่ง หน้าอกของอีกฝ่ายสะท้อนขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ หญิงสาวจึงปิดเปลือกตาลงแล้วผ่อนลมหายใจเหยียดยาว หลังสงบใจได้แล้วถึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ลุกขึ้นแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนโซฟาที่ตั้งชิดผนังห้องมุมหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เธอเผลอหลับไปน่าจะนานทีเดียว ตอนนี้แม้จะรู้สึกว่าเพลียมากแต่ก็ข่มตาหลับไม่ลงแล้ว ด้านนอกท้องฟ้ายังคงมืดสนิท แต่ก็ล่วงเข้าวันใหม่มาได้หลายชั่วโมงแล้ว อีกไม่นานฟ้าก็คงจะสว่าง เซียวเยี่ยนจื่อจึงคิดว่าจะงีบอยู่ตรงนี้สักพัก รอให้ฟางเซียงเซียงฟื้น ด้านนอกก็คงสว่างพอดี
โซฟาที่เธอนอนอยู่ไม่ได้ใหญ่อะไรนัก คนสองคนอาจจะนั่งไม่พอด้วยซ้ำ ทนนอนขดตัวอยู่ท่าเดียวได้ไม่ถึงชั่วโมงดีเซียวเยี่ยนจื่อก็ตัดสินใจลุกขึ้นมานั่งแล้วก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ดังแว่วออกมาจากท้องตัวเอง
ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ดูเหมือนจะติดขัดไปเสียหมด นอกจากจะต้องใส่เสื้อผ้าชุดเดิมก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเธอมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไปหญิงสาวคงหงุดหงิดจะแย่แล้วแต่พอเลื่อนสายตาไปยังคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง สุดท้ายเธอก็เพียงเม้มปากอย่างหดหู่
ทั้งฟางเซียงเซียงและเธอต่างก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ฮาร์บิน แต่ถึงจะมีอยู่ที่อื่นก็ไม่ต่างจากไม่มีเท่าไร ตลอดมาจึงได้แต่พึ่งพากันและกัน พอเป็นสถานการณ์ที่คนหนึ่งล้มลงแบบนี้ อีกคนจึงไม่กล้าให้อีกฝ่ายคลาดสายตา ตอนนี้ถึงจะหิวจนแบคทีเรียในท้องส่งเสียงประท้วงกันเกรียวกราวเซียวเยี่ยนจื่อก็ไม่กล้าปลีกตัวไปหาอะไรมากิน เพราะนั่นเท่ากับต้องทิ้งฟางเซียงเซียงเอาไว้เพียงลำพัง
หญิงสาวตัดสินใจไม่นอนต่อแต่เลือกหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ปกติเธอมักจะบังคับตัวเองไม่ให้ใช้โซเชียลมีเดียแบบพร่ำเพรื่อ เวลาที่มีจุดประสงค์ชัดเจนหรือเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้นเธอถึงจะเปิดมันขึ้นมา เพราะต่อให้เป็นคนที่เท่าทันหลักการอัลกอริทึ่มของแอปพลิเคชันเหล่านั้นอย่างเธอก็ยังถูกชักจูง หลอกล่อให้ใช้เวลาไปกับมันอย่างฟุ่มเฟือยได้แบบไม่รู้ตัว
และเพราะแบบนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าด้านนอกก็มองเห็นเป็นสีเทาแล้ว จังหวะนั้นเองร่างผอมบางบนเตียงคนไข้ก็ขยับพลิกตัว เซียวเยี่ยนจื่อพลอยขยับลุกขึ้นตามไปด้วยแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปหาก็เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว เธอจึงกลับลงไปนั่งอีกครั้ง สายตามองสังเกตเพื่อนสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละกลับไปมองหน้าจอมือถือ
นิ้วเรียวเลื่อนมาเจอข่าวบันเทิงอย่างหาได้ยาก นั่นแสดงว่านี่ต้องเป็นข่าวที่กำลังดังมากอย่างไม่ต้องสงสัย ข่าวนั้นเรียกให้เธอกวาดสายตาอ่านจนถึงอักษรตัวสุดท้าย ก่อนสีหน้าจะสะท้อนความประหลาดใจออกมา
“เยี่ยนจื่อ” เสียงแผ่วเครือดังขัดจังหวะความกระหายรู้เรื่องราวในวงการบันเทิงของเซียวเยี่ยนจื่อ
หญิงสาวละสายตาจากหน้าจอมือถือแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปยังคนที่กำลังส่งเสียงเรียกเธอจากบนเตียง แทบจะในเวลาเดียวกันที่ร่างเพรียวระหงถลาไปถึงข้างเตียง “เซียง...เซียงเซียง เธอ...”
เซียวเยี่ยนจื่อทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ฟางเซียงเซียงที่มองเพื่อนสนิทผ่านม่านน้ำแวววามในดวงตายกมือขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง คนซึ่งกำลังไม่รู้จะรับมือกับอารมณ์ตัวเองอย่างไรจึงรีบยื่นมือไปหา กุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ แล้วน้ำตาจากความรู้สึกกดดัน และหวาดกลัวที่เก็บกลั้นมาตลอดก็พรั่งพรูออกมา
ทั้งคู่ต่างเงียบงันกันอยู่ครู่หนึ่ง ฟางเซียงเซียงใช้ดวงตาสะท้อนแววขอโทษระคนรู้สึกผิดสบตาเพื่อนสนิท ในขณะที่เซียวเยี่ยนจื่อก็สานสบตอบด้วยแววตาเช่นเดียวกัน
หลายนาทีหลังจากนั้นเซียวเยี่ยนจื่อก็ลากเก้าอี้มานั่งเป็นเพื่อนฟางเซียงเซียงอยู่ข้างเตียง ทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นสาเหตุให้ฟางเซียงเซียงมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลในตอนนี้แม้แต่คำเดียว แต่ในใจของเซียวเยี่ยนจื่อมาดหมายเอาไว้แล้วว่าถ้าเธอไม่ได้คำตอบในเรื่องนี้ เธอไม่มีวันเลิกรา
ในช่วงเวลาที่ยังปรับอารมณ์ไม่ทันแบบนี้เซียวเยี่ยนจื่อจึงทดแทนความเงียบด้วยการกดเปิดโทรทัศน์
ที่นอกหน้าต่างปรากฏลำแสงสีทองอ่อนๆ ระเรื่อขึ้นจากขอบฟ้า เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังผ่านกลางคืนที่ทั้งมืดมิดและยาวนานมาได้
ข่าวเช้าของวันนี้ถูกนำเสนอผ่านหน้าจอโทรทัศน์ที่เซียวเยี่ยนจื่อเพิ่งกดเปิด หญิงสาวไม่แปลกใจนักที่ข่าวแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาจะเป็นข่าวเดียวกันกับที่เธอเพิ่งอ่านผ่านตามาเมื่อครู่
“นายคนนี้นี่ ดังมากเลยเหรอ” หนนี้เธอไม่ได้เก็บความแปลกใจไว้กับตัวเองคนเดียวอีก ฟางเซียงเซียงฟื้นแล้วเธอจึงถือโอกาสเปรยให้เพื่อนฟัง “กล้าเทกองถ่ายจนต้องยกกองแบบนี้ แต่ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลยนะ”
ฟางเซียงเซียงที่ดูจะสนใจข่าวนี้ไม่แพ้กัน เพ่งมองรูปถ่ายของดาราที่เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ยถึงบนจอโทรทัศน์พลางครุ่นคิด “ฉันว่าฉันคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นผ่านสื่อไหน” หญิงสาวปรายตามองเพื่อนที่ยังไม่ละสายตาจากจอทีวี “เธอสนใจข่าวบันเทิงตั้งแต่เมื่อไร” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้คนฟังอดหันมามองหน้าคนพูดยิ้มๆ ไม่ได้
เซียวเยี่ยนจื่อเก็บอารมณ์สดใสที่ปรากฏขึ้นหลังเรื่องเลวร้ายผ่านพ้นของฟางเซียงเซียงเอาไว้ในใจ ครู่หนึ่งถึงย่นจมูกใส่อีกฝ่าย “ได้โอกาสหยุดพักทั้งที เสพเรื่องไร้สาระบ้างก็ไม่เลว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางเซียงเซียงจางลง “เธอไม่เคยลางาน” น้ำเสียงนั้นทำให้เซียวเยี่ยนจื่อแทบอยากจะเอาหัวตัวเองโขกกับราวกั้นเตียง “เป็นเพราะฉันใช่ไหม”
“ใช่” เซียวเยี่ยนจื่อหัวเราะเสียงดัง พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเธอกำลังอารมณ์ดีสุดๆ “ฉันขอบคุณเธอมากๆ เลยนะ ที่ผ่านมาฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่เธอก็รู้ ทั้งฉัน ทั้งเธอ ไม่มีครอบครัวให้กลับไปหา ไม่มีเพื่อนฝูงให้กลับไปพบปะสังสรรค์ แล้วจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องหยุดงาน”
สีหน้ารู้สึกผิดระคนไม่สบายใจของฟางเซียงเซียงคลายลง เธอไม่เชื่อท่าทางยิ้มหัวอารมณ์ดีของอีกฝ่าย แต่เหตุผลที่ยกมานั้นเธอกลับเชื่อสนิทใจ
“คนที่มหา’ลัย...”
“ไม่ต้องห่วง” เซียวเยี่ยนจื่อรู้ว่าเพื่อนกังวลเรื่องอะไร จึงรีบเอ่ยตัดบทเพื่อให้อีกฝ่ายคลายใจ “ตอนนี้เธอกับฉันคือคู่รักที่ลางานยาวกะทันหันเพื่อไปทริปกัน” เอ่ยจบก็กลอกตา แล้วทิ้งแผ่นหลังลงกับพนักเก้าอี้
ฟางเซียงเซียงต้องกลั้นขำกับท่าทางของอีกฝ่าย “ก็เธอไม่เคยปฏิเสธสักทีนี่นา ตอนนี้จะมาคร่ำครวญอะไร”
“เธอว่าถ้าฉันเปิดปากปฏิเสธหรืออธิบายขึ้นมา ในสายตาคนพวกนั้นจะไม่มองว่าฉันร้อนตัว? ” เสียงของเซียวเยี่ยนจื่อไม่ปกปิดความรู้สึกเซ็งจัด ไม่ว่าเธอจะพูดหรือไม่พูด คนอื่นจะไม่เลือกเชื่อเธอ แต่จะเลือกเชื่อจินตนาการของตัวเอง
ฟางเซียงเซียงส่ายหัวน้อยๆ ในความคิดเธอมีวิธีการมากมายที่จะไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แต่ความจริงที่เป็นแบบนี้เพราะความหัวแข็ง ไม่แยแสผู้คนของเซียวเยี่ยนจื่อต่างหาก
“หรือว่าเธอควรมีแฟนได้แล้ว”
ฟางเซียงเซียงพูดอย่างจริงใจ เซียวเยี่ยนจื่อเองก็มองความรู้สึกที่สะท้อนผ่านทั้งแววตาและน้ำเสียงของอีกฝ่ายออก เพียงแต่มีแค่เธอที่รู้ว่า หากฟางเซียงเซียงยังเป็นแบบนี้ เธอคงไม่กล้า...
เธอไม่มีทางจะแยกจากอีกฝ่ายไปมีชีวิตของตัวเองได้ อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เซียวเยี่ยนจื่อไม่เห็นความจำเป็นของการมีแฟน เธอดูแลทั้งชีวิตและความรู้สึกของตัวเองได้เป็นอย่างดี การมีแฟนอาจเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับชีวิตที่เป็นระบบระเบียบดีอยู่แล้วของเธอก็ได้
เหตุผลแรกนั้น เซียวเยี่ยนจื่อไม่มีทางบอกให้ฟางเซียงเซียงรู้ แต่เหตุผลหลังเธอยังไม่ทันจะได้ปริปาก เสียงความเคลื่อนไหวที่หน้าประตูก็หันเหความสนใจของทั้งเธอและอีกฝ่ายไปเสียก่อน
พยาบาลเข็นอาหารมื้อเช้าเข้ามา เซียวเยี่ยนจื่อจึงช่วยประคองคนบนเตียงให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงเพื่อจะได้รับประทานอาหารได้สะดวก
ควันที่ลอยกรุ่นขึ้นมาจากอาหารที่เพิ่งปรุกสุกใหม่ๆ ลอยกระทบจมูกของเซียวเยี่ยนจื่อที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่งผลให้ต่อให้เธอจะเก็บสีหน้าท่าทางได้ดีขนาดไหนแต่กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารที่ไม่มีวันเชื่อฟังคำสั่งของเธอก็สั่นสะท้านจนส่งเสียงแว่วออกมาถึงข้างนอก
มือที่กำลังขยับจัดวางหมอนให้ฟางเซียงเซียงพิงพลันชะงัก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนป่วยปรายตามองมา ทั้งคู่จ้องกันนิ่งเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง เซียวเยี่ยนจื่อยังตีหน้านิ่ง แต่ฟางเซียงเซียงกลับหลุดขำพรืดออกมา
“ไปหาอะไรกินได้แล้ว” ฟางเซียงเซียงชิงเอ่ยขึ้นก่อนที่คนซึ่งกำลังหิวจัดจะทันได้แก้ตัว หญิงสาวพยักเพยิดไปทางพยาบาลที่ยืนอยู่ทางหนึ่ง “ฉันไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว เธอก็เห็น”
ในตอนที่ฟางเซียงเซียงเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา เธอมองเห็นหน้าเซียวเยี่ยนจื่อเป็นอย่างแรก ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเสียอีก ความรู้สึกอบอุ่นระคนโล่งใจที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่กลบทับอยู่เหนือการรับรู้อื่นใด ตอนนี้เธอถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าชุดที่เธอมั่นใจว่าเซียวเยี่ยนจื่อตั้งใจเลือกเป็นอย่างดีก่อนจะใส่ออกจากบ้านเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงเป็นด่างดวง ฟางเซียงเซียงจึงเอ่ยเสริมออกมาอีกประโยคด้วยน้ำเสียงที่เบาลงจนคนฟังไม่รับรู้ถึงกระแสสั่นเครือ
“เปลี่ยนชุดด้วยล่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อจับสังเกตเธอ จนเธอต้องฝืนคลี่ยิ้ม “เห็นเธอในสภาพนี้แล้วทนดูไม่ได้เลย”
เซียวเยี่ยนจื่อมีสีหน้าลังเล หลังมองฟางเซียงเซียงสลับกับนางพยาบาลอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปเอ่ยกับพยาบาลว่า “ยังไงฉันฝากดูแลเพื่อนฉันสักครู่หนึ่งนะคะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ” พยาบาลวัยสาวเอ่ยอย่างเอื้ออารีแม้ใบหน้าจะไร้รอยยิ้ม “เป็นหน้าที่ฉันอยู่แล้ว”
“รบกวนด้วยนะคะ” เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ยคำเกรงใจตามมารยาทจบก็หันไปสบตากับฟางเซียงเซียง สองเพื่อนสาวพยักหน้าให้กัน จากนั้นเซียวเยี่ยนจื่อก็ผละออกไปจากห้องพักผู้ป่วย
ฟางเซียงเซียงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาไร้ชีวิตชีวาขณะมองตามแผ่นหลังเพื่อนสนิทออกไป เธอคาดหวังกับตัวเองในเวลานี้เองว่าเธอต้องหายดีให้ได้ในสักวัน
เซียวเยี่ยนจื่อเดินออกมาถึงโถงด้านหน้าของโรงพยาบาลก็มองเห็นคนที่รับปากกับเธอเมื่อคืนว่าจะเอาข้าวมาให้ยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ เธอเหลือบตามองแจ็กเก็ตที่พาดอยู่ที่แขนโดยอัตโนมัติ
“คนไข้ชื่ออะไรคะ” พยาบาลสาวที่ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการรับมือกับผู้มาใช้บริการโรงพยาบาลสารพัดรูปแบบ เอ่ยถามชายหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์
คนถูกถามเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำและแผ่วเบากว่าในยามปกติเล็กน้อย “ฟางเซียงเซียง”
เซียวเยี่ยนจื่อที่กำลังเดินเข้าไปหาฮ่าวป๋อชุน เดินจะถึงตัวอีกฝ่ายอยู่แล้ว ถ้าไม่เพราะคำตอบของเขาทำให้เธอต้องหยุดฝีเท้าลงเสียก่อน
หญิงสาวรู้จักกับชายหนุ่มมานานมากแล้ว ก่อนหน้าที่จะมาสนิทสนมกับฟางเซียงเซียงเสียอีก ในตอนที่เธอเพิ่งมารู้จักกับฟางเซียงเซียง เธอกับฮ่าวป๋อชุนก็ขาดการติดต่อกันไปนานแล้ว เธอจึงไม่เคยมีโอกาสบอกเขาว่าตัวเองมีเพื่อนสนิทชื่อฟางเซียงเซียง
เมื่อคืนที่คุยโทรศัพท์กัน เธอก็ไม่ได้พูดชื่อเพื่อนออกมา เซียวเยี่ยนจื่อมั่นใจว่าเธอจำไม่ผิดแน่ แต่พอลองนึกดูดีๆ แล้ว เรื่องที่เธอมาเป็นอาจารย์มหา’ลัยอยู่ที่ฮาร์บินเธอก็ไม่เคยบอกเขาเหมือนกัน แต่เขากลับโผล่มาเจอกับเธอได้ราวกับรู้ความเป็นไปของเธอมาโดยตลอดและมีการนัดกันไว้ล่วงหน้า
สุดท้ายหญิงสาวก็สรุปกับตัวเองอย่างไม่คิดอะไรมากว่า ถ้าคนที่ทำอาชีพอย่างเขาอยากจะรู้ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ทั้งยังไม่ใช่ความลับอะไรพวกนี้คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ก่อนที่พยาบาลซึ่งกำลังจะหาหมายเลขห้องพักคนไข้ของฟางเซียงเซียงตามคำขอของฮ่าวป๋อชุนเจอ เซียวเยี่ยนจื่อที่ตัดสินใจก้าวเท้าต่อก็เดินมาถึงตัวชายหนุ่ม “พี่ฮ่าว”
ฮ่าวป๋อชุนหันมาตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นเซียวเยี่ยนจื่อแววตาเรียบนิ่งก็ปรากฏความอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเมื่อเหลือบไปเห็นแจ็กเก็ตที่พาดอยู่ที่แขนหญิงสาว
สายตาของฮ่าวป๋อชุนกวาดมองไปรอบๆ โดยอัตโนมัติ ผู้ชายคนเมื่อคืนไม่อยู่แล้วดังคาด ชายหนุ่มเลื่อนสายตากลับมามองเจ้าของเสียงเรียก ก่อนสีหน้าจะสะท้อนความตกใจออกมาเล็กน้อย “เลือดนี่มัน...”
เซียวเยี่ยนจื่อเห็นสีหน้าเขาจึงรีบอธิบาย “ของเพื่อนฉันน่ะค่ะ”
จากที่คุยกันเมื่อคืนฮ่าวป๋อชุนคิดไม่ถึงว่าอุบัติเหตุของเพื่อนเธอที่ว่าจะทำให้เธออยู่ในสภาพมอมแมมแบบนี้ “นี่หมายความว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้ปลีกตัวไปไหนเลยเหรอ”
“ค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อพยักหน้า ทั้งยังมองเขาด้วยสายตาเจือแววขุ่นเคือง “ข้าวก็ยังไม่ได้กินค่ะ นี่ก็กำลังจะออกไปหาอะไรกินสักหน่อย”
ฮ่าวป๋อชุนขมวดคิ้ว แววตาสะท้อนความสับสนเล็กน้อย คนที่มองอยู่ไม่เข้าใจท่าทางแบบนั้นของเขา แต่เห็นแล้วกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ไม่รู้ว่ากำลังโมโหเขาหรือโมโหหิว
“ลืมไว้ใช่ไหมคะ” เธอเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยื่นแขนที่มีเสื้อแจ็กเก็ตพาดอยู่ไปตรงหน้าเขา “แล้วเมื่อคืนมาแล้วทำไมไม่ปลุกฉัน”
ฮ่าวป๋อชุนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าที่งุนงงสับสนอยู่ก่อนหน้ายิ่งฉายชัด ก่อนที่เขาจะรีบปรับให้กลับมาเป็นปกติ ขณะที่หลุบตาลงมองเสื้อแจ็กเก็ตบนแขนเธอพลางยื่นมือออกมารับ “เห็นเธอหลับสบายออกอย่างนั้น”
เซียวเยี่ยนจื่อถอนหายใจยาว ไม่มีเหตุผลอะไรต้องหาเรื่องมาตำหนิหรือขุ่นเคืองเขาไม่เลิกอีก เดิมทีเธอก็ไม่คิดจะหวังพึ่งเขาขนาดนั้นอยู่แล้ว เพราะพึ่งพาครั้งหนึ่งระยะห่างของความสัมพันธ์ที่เธอสร้างขึ้นก็ร่นเข้ามานิ้วหนึ่งทันที
“แล้วนี่มาทำไมแต่เช้าคะ” หญิงสาวหลุดปากถามตามมารยาท ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “อ้อ คงมาเอาเสื้อสินะคะ”
ฮ่าวป๋อชุนกวาดตามองอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหันกลับมาตอบเธอด้วยท่าทีสบายๆ “เปล่าหรอก แต่รู้ว่าเธอคงหิวจะแย่แล้วก็เลยรีบมา ไม่ดีหรือไง”
ความจริงแล้วเขาก็แค่อยากมาดูอะไรให้แน่ใจ เพราะเมื่อคืนไม่สบอารมณ์จนผลุนผลันไปหน่อย แต่ตอนนี้ท่าทางของหญิงสาวทำให้เขาต้องทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองคิดใหม่เสียแล้ว สุดท้ายเลยต้องเออออตามเธอไปจนกว่าจะหาคำตอบที่ค้างคาใจให้ตัวเองได้
ชายหนุ่มหันไปหาพยาบาลที่เขาคุยค้างไว้ “ไม่มีอะไรแล้วนะครับ ไม่รบกวนแล้ว”
เซียวเยี่ยนจื่อทำเป็นไม่ได้ยินที่เขาพูดเหมือนว่าจะอาสาพาเธอไปกินข้าว ตอนนี้จึงเป็นจังหวะที่จะขอปลีกตัวได้พอดี “ฉันขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบก็ทำท่าจะผละออกไปทันที
“เดี๋ยวสิ” ฮ่าวป๋อชุนหันมาคว้าแขนเธออย่างรวดเร็ว
เซียวเยี่ยนจื่อถูกรั้งไว้แบบนี้ก็ได้แต่หันมาขมวดคิ้วมองแขนตัวเองที่ถูกมือเขารวบไว้
“ไปด้วยกันสิ” ฮ่าวป๋อชุนปล่อยแขนเธอ เสียงเอ่ยนุ่มนวลราวกับไม่รับรู้ถึงความไม่เต็มใจของอีกฝ่าย “พี่ก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน”
ยื้อยุดกันไปมาแบบนี้ยิ่งจะทำให้เธอเสียเวลาไปกันใหญ่ สุดท้ายเซียวเยี่ยนจื่อเลยยอมฝืนใจตัวเองไปกินข้าวกับเขา
ฮ่าวป๋อชุนพาหญิงสาวไปร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก เพราะแบบนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านจึงมักจะเป็นญาติคนไข้ สภาพกึ่งสยดสยองของเซียวเยี่ยนจื่อในเวลานี้เมื่อมองผ่านสายตาของพนักงานในร้านจึงถือเป็นเรื่องปกติ
ชายหนุ่มจัดแจงสั่งอาหารให้เธอเสร็จสรรพ หลังพนักงานรับออเดอร์ผละไปแล้ว เซียวเยี่ยนจื่อก็มองฮ่าวป๋อชุนด้วยสายตาปรามาส “มั่นใจจังนะคะ ไม่คิดว่าฉันอาจจะเปลี่ยนเมนูโปรดไปแล้วบ้างเหรอ”
สีหน้ามั่นอกมั่นใจยังคงไม่เลื่อนหายไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม เขายิ้มกว้างให้เธออย่างท้าทาย “แต่เธอก็ยังไม่เปลี่ยนจริงๆ นี่”
หญิงสาวส่ายหน้ายิ้มอย่างระอา แล้วไม่พูดอะไรอีก จังหวะนั้นเองฮ่าวป๋อชุนกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาว่า “ไม่เปลี่ยนทั้งเมนูโปรด ทั้งคนที่อยู่ในใจ”
คราวนี้เซียวเยี่ยนจื่อกลับเห็นความไม่มั่นใจสะท้อนออกมาจากแววตาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธออย่างชัดเจน และดูเหมือนว่าถ้อยคำที่ถือเป็นประโยคบอกเล่าของเขากลับต้องการคำตอบจากปากเธอ
หญิงสาวไม่ได้หลบสายตาที่มองมาอย่างรอคอย เธอเลิกคิ้วขึ้นแล้วหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขัน “ฉันยอมรับว่ายังไม่ได้เปลี่ยนเมนูที่ชอบจริงๆ แต่คนที่อยู่ในใจอะไรนั่น พี่ไปเอามาจากไหนคะ”
ฮ่าวป๋อชุนเห็นเธอมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเสียหน้า “หรือว่าตอนนี้เธอมีแฟนแล้ว”
จากเหตุการณ์ที่เขาเห็นเมื่อคืน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าท่าทีที่เธอมีต่อเขาเปลี่ยนไปเพราะเธอกำลังแอบคบใครอยู่ แต่นอนนึกมาทั้งคืนแล้ว เหตุผลที่เธอต้องปกปิดเรื่องนี้ชายหนุ่มก็นึกออกอยู่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือคนที่เธอแอบคบอยู่เป็นบุคคลสาธารณะ กระทั่งจนถึงเมื่อครู่นี้ ที่เธอเข้าใจผิดว่าแจ็กเก็ตตัวนั้นเป็นของเขา เขาเลยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองเข้าใจนั้นถูกหรือผิด ทางเดียวที่จะได้คำตอบคงมีเพียงถามเธอไปตรงๆ
“เปล่าค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อตอบออกมาเรียบๆ โดยไม่เสียเวลาคิด “ฉันยังไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัว” น้ำเสียงของเธอบ่งบอกว่าไม่ค่อยอยากสนทนากับเขาในเรื่องนี้นัก เพราะเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังจะนำไปสู่หัวข้อที่ทำให้เธออึดอัด แต่พอเขาพูดขึ้นมาแล้วเธอก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “คราวหลังไม่ต้องเลี้ยงน้ำเต้าหู้ฉันแล้วนะคะ ฉันไม่สะดวกใจ”
ฮ่าวป๋อชุนฟังออกถึงน้ำเสียงที่อยากหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้ของเธอ แต่ประโยคสุดท้ายของเธอเขาฟังไม่เข้าใจจริงๆ
สายตาฮ่าวป๋อชุนพลันเลื่อนไปมองแจ็กเก็ตที่เขาวางส่งๆ เอาไว้บนโต๊ะ สุดท้ายกลับไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องน้ำเต้าหู้ แต่เอ่ยประโยคที่ไม่มีหัวไม่มีท้ายออกมาแทน
“เยี่ยนจื่อ คบกับพี่เถอะ”
Comments (0)