บทที่ 15(1)

 ข่าวฉาวใหม่

 

เซียวเยี่ยนจื่อจ้องคนตรงหน้าตาไม่กระพริบ ตอนนี้เธอเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ และทำไมคนแรกที่เธอเห็นหลังจากฟื้นขึ้นมาถึงเป็นเขา

จากที่แปลกใจจู่ๆ ในสมองก็มีแสงสว่างวาบผ่าน เธอจำเขาได้แล้ว เขาก็คือดาราที่มีข่าวฉาวแทบจะวันเว้นวันคนนั้น แต่ว่าทั้งที่จำได้แล้วแต่ก็เหมือนมีบางอย่างติดอยู่ในใจ

ชั่วขณะต่อมาคำบรรยายอย่างออกรสของอาอี๋ช่างใส่อกใส่ใจเพื่อนบ้านคนนั้นก็ไหลเข้ามาในสมอง

‘นอกจากหน้าตาของเขาที่เห็นไม่ชัดแล้ว อย่างอื่นล้วนดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร ต่อให้เห็นห่างออกไปหลายเมตรก็จำได้ทันทีแน่ๆ’

มีแต่คนที่เป็นดารานักแสดงเท่านั้นที่จะมีบุคลิกโดดเด่นอย่างนั้น

‘คนสูงประมาณนี้ ถือว่าสูงกว่ามาตรฐานผู้ชายทั่วไป สูบบุหรี่ด้วยแน่ะ กลิ่นบุหรี่จากตัวเขานี่ชัดเจนมาก’

เซียวเยี่ยนจื่อกวาดตามองหงเทียนสิงจากหัวจดเท้าอย่างไม่เกรงใจ ถึงเขาจะนั่งอยู่แต่ก็มองเห็นว่าเป็นคนที่สูงกว่ามาตรฐานจริงๆ

ตอนนี้เธอไม่ได้กลิ่นบุหรี่จากตัวเขา หญิงสาวกวาดตามองไปรอบห้อง จังหวะนั้นก็เห็นซองบุหรี่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงที่เธอนอนอยู่เมื่อครู่

‘เป็นคนผิวค่อนข้างขาวด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนสำอางอะไรก็เลยมีร่องรอยแดดบ่มให้เห็น’

ตอนนี้อยู่ในห้อง เขาทั้งไม่ได้ใส่ถุงมือ ไม่ได้สวมหมวกปิดหน้าตา ทำให้มองเห็นผิวขาวๆ ที่โดนแดดบ่มได้อย่างชัดเจน

เซียวเยี่ยนจื่อก็บอกไม่ถูกว่าทำไมเธอถึงมั่นใจนักว่าเขาก็คือผู้ชายที่ทำตัวเป็นสต็อล์กเกอร์และได้ช่วยเหลือเธอเอาไว้วันนั้น

แต่ถ้าความมั่นใจของเธอผิดไปจริงๆ มีเหตุผลอะไรที่คนมีชื่อเสียงคนหนึ่งต้องช่วยเหลือผู้หญิงแปลกหน้าที่กำลังถูกวางยา ซึ่งเสี่ยงมากต่อการที่ตัวเองจะตกเป็นเป้าของข่าวฉาวจนชื่อเสียงป่นปี้

ตอนนี้เธอชักอยากจะเปลี่ยนคำเรียกเขาจากสต็อล์กเกอร์ เป็นแฟนคลับซะแล้วสิ คนอะไรช่างโผล่มาในเวลาพอเหมาะพอเจาะทุกที

“ไหนคุณลองบอกมาซิ” หญิงสาวหรี่ตามองเขา “ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

เธออยากจะแน่ใจว่าตัวเองปะติดปะต่อเรื่องราวได้ถูกต้อง และเขาสมควรจะถูกเรียกว่าแฟนคลับได้หรือเปล่า

หงเทียนสิงไม่ได้มีสีหน้าลำบากใจสักนิด กลับกันเขาเหมือนจะดูเครียดขึ้นมาเมื่อต้องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อวาน แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เล่ามันออกมาจนหมดโดยไม่ติดขัดเลย

“คุณพอจะเดาได้หรือเปล่าว่าใครวางยาคุณ” เขาถามทั้งที่สีหน้าเคร่งเครียดยังไม่คลายลง

เซียวเยี่ยนจื่อมองไม่เห็นพิรุธจากเขาแม้แต่นิดเดียว เธอเห็นเพียงความเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเธอที่เป็นผู้เคราะห์ร้าย แต่เธอไม่ได้ลืมว่าเขาเป็นนักแสดง ไม่รู้ว่าท่าทางเหล่านี้เป็นการสวมบทบาทผู้หวังดี ที่ทำออกมาได้อย่างแนบเนียนหรือเปล่า

“ฉันคิดว่าอาจจะเป็นคุณ” หญิงสาวตอบหน้าตาย

หงเทียนสิงไม่แม้แต่จะขยับลูกตา “ใช่ เป็นใครก็ได้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มพยักหน้าเนิบช้าซ้ำๆ “เพราะยาประเภทนี้ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณ คุณอาจจะถูกวางยาตั้งแต่ก่อนมาที่ร้านอาหาร หรือจะเป็นตอนที่อยู่ร้านอาหารก็ได้ทั้งนั้น”

เขาทั้งไม่ตกใจที่ถูกเธอกล่าวหา ทั้งยกเหตุผลมาพูดกับเธอจนหญิงสาวอึ้ง

ครู่หนึ่งผ่านไป หลังจากหายอึ้งแล้วเซียวเยี่ยนจื่อก็เดินไปนั่งที่ปลายเตียง ข้างๆ กันกับเจ้าของห้อง ไม่รู้ว่าจะระวังตัวกับเขาให้ตัวเองเหนื่อยไปทำไมอีก

หญิงสาวคิดทบทวนตามคำพูดของเขา แล้วก็พบว่า เป็นใครก็ได้ทั้งนั้นจริงๆ ยกเว้นเขา

ถ้าเขาตามติดเธอมาถึงปักกิ่งจริงๆ ก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่สามารถเข้าถึงตัวเธอจนสบช่องวางยาได้อยู่ดี คนที่จะวางยาเธอได้ต้องเป็นคนที่มีโอกาสเข้าถึงสิ่งที่เธอกินได้เท่านั้น

ทั้งภรรยาของพ่อเธอ ทั้งฮ่าวป๋อชุน ไม่ว่าใครก็ตัดออกจากบุคคลต้องสงสัยไม่ได้

เซียวเยี่ยนจื่อคิดไปคิดมาก็รู้สึกปวดหัว หญิงสาวคลึงหัวตา จังหวะนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังมองมาที่เธอพอดี

“เอาน้ำหน่อยไหม” เขาเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นจนหน้าผากย่น สายตาสะท้อนความใส่ใจถึงขนาดเธอที่ยังเบลอๆ อยู่ยังรู้สึกได้

เซียวเยี่ยนจื่อพยักหน้า พลางนวดหัวตาต่อ โดยไม่ได้ขยับตัว ครู่หนึ่งก็มีแก้วน้ำสะอาดยื่นมาตรงหน้า

หญิงสาวรับมายกขึ้นดื่ม จังหวะที่เงยหน้าขึ้นก็ทันได้เห็นชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะผลุนผลันหมุนตัวเดินกลับไป

เขาพูดโดยไม่หันมามองเธอ “คุณไม่ควรจะลดความระวังตัวตอนอยู่กับคนแปลกหน้าเร็วขนาดนั้น”

เซียวเยี่ยนจื่อแทบจะสำลักน้ำ หญิงสาวรีบกลืนน้ำลงคอแล้วลดแก้วลง “ว่าไงนะ”

เธอเอี้ยวตัวไปมองหาเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ แต่ก็มองไม่เห็นว่าคนเดินหายไปไหนแล้ว

เซียวเยี่ยนจื่อหันกลับมา แล้วจู่ๆ ก็พลันเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาขึ้นมาได้เอง หญิงสาวก้มลงมองสำรวจตัวเอง

ตอนที่เดินมานั่ง เธอวางหมอนไว้ข้างตัวโดยที่ลืมไปว่าตอนแรกนั้นเธอใช้มันปิดหน้าอกที่ไร้ชุดชั้นใน ตอนนี้ไม่มีมันแล้ว บวกกับเสื้อยืดที่ใหญ่กว่าตัวจนคอเสื้อย้วยต่ำลงเผยร่องอก จากมุมมองของเขาเมื่อกี้นี้ย่อมเห็นไปถึงไหนต่อไหน

เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกอายจนโมโห หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปตั้งแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงด้วยแรงที่ไม่เบาหนัก โชคดีที่เนื้อแก้วค่อนข้างทนทาน ไม่งั้นคงแตกไปแล้ว

เธอเดินกอดอกตามกลิ่นบุหรี่ไป ก่อนจะมองเห็นคนสูบยืนอยู่ตรงระเบียง เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้เปิดประตูกระจกออกไป แต่หยุดยืนพูดอยู่ตรงนั้น

“ฉันขอใช้ห้องน้ำนะคะ”

ระหว่างเธอและเขามีประตูกระจกกั้นอยู่ชั้นหนึ่งแต่เสียงของเซียวเยี่ยนจื่อไม่ถือว่าเบา ยังไงหงเทียนสิงก็ต้องได้ยิน

ชายหนุ่มพ้นควันบุหรี่ออกมาจนหมดถึงเอ่ยตอบ “ตามสบายครับ” ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหญิงสาว หงเทียนสิงเลยเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้

ชายหนุ่มรีบตะโกนต่อจากประโยคเมื่อครู่ “ของส่วนตัวของคุณผมตั้งไว้ให้ในห้องน้ำครับ”

เซียวเยี่ยนจื่อคลายสีหน้าบึ้งตึง อย่างน้อยเขาก็ไม่รอให้เธอถามออกมาเอง

หญิงสาวหมุนตัวเดินไปเข้าห้องน้ำ บนเคาน์เตอร์ล้างหน้ามีเสื้อผ้าตัวเก่าของเธอวางทับอยู่บนถุงผ้าที่มองปุ๊บก็รู้ทันทีว่าข้างในใส่อะไรไว้

เซียวเยี่ยนจื่อหยิบทั้งหมดออกมาสำรวจดู พบว่าพวกมันถูกซักแห้งจนเรียบร้อยพร้อมใส่ ชุดของเธอยังไม่เท่าไรแต่ชุดชั้นในสองชิ้นเล็กของเธอนี่สิเขาก็ลงมือซักให้ด้วยเหรอ

แม้ความสงสัยจะยังติดอยู่ในใจแต่เธอไม่มัวโอ้เอ้ รีบอาบน้ำ แต่งตัวด้วยชุดเดิมของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็พับเสื้อผ้าของชายหนุ่มที่เขาให้ยืมใส่ถือออกมา

ตอนนี้เองเสียงจากโทรทัศน์ก็ดังมาเข้าหู เซียวเยี่ยนจื่อเลื่อนสายตาไปมองที่หน้าจอโดยอัตโนมัติ

ข่าวที่ปรากฏบนจอเป็นข่าวนักแสดงชื่อดังคนหนึ่งอุ้มหญิงสาวในสภาพกึ่งเปลือยออกมาจากร้านอาหาร ท่าทางที่โอบอุ้มกันอยู่นั้น เซียวเยี่ยนจื่อเห็นแล้วก็เกือบจะเบือนหน้าหนี

หมีโคอาล่า ทั้งภาพและเสียงของคำคำนี้โผล่ขึ้นมาในหัวของเธอทันที

หน้าอายเกินไปแล้ว

หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองอย่างอัดอั้น นักแสดงชายคนนั้นมองเห็นค่อนข้างชัดว่าเป็นหงเทียนสิง ส่วนผู้หญิงคนนั้น เซียวเยี่ยนจื่ออยากจะให้เป็นคนอื่นจริงๆ แต่ความจริงที่ว่าเป็นเธอยังไงก็หนีไม่พ้น

ภาพข่าวที่ออกมา เห็นๆ กันอยู่ว่าซูมถ่ายมาจากที่ไกลจนสุด แต่เพราะหงเทียนสิงใช้หมวกของตัวเองสวมให้เธอ  ในสายตาคนอื่น ไม่ว่ายังไงก็มองเห็นหน้าเธอไม่ชัด

แต่เซียวเยี่ยนจื่อเห็นตัวเองมาทั้งชีวิตจะจำตัวเองไม่ได้ได้ยังไง

ทันทีที่ข่าวนั้นจบลงหงเทียนสิงที่นั่งหันหลังให้เธออยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ก็หยิบรีโมตขึ้นมากดปิด

เสียงสายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นไม่หยุด แต่เขาเพียงปรายตามองด้วยสีหน้ากึ่งรำคาญใจแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะรับสาย

จังหวะนั้นเองหงเทียนสิงพลันเอี้ยวตัวหันมามองข้างหลัง คล้ายกับรู้สึกได้ว่าเสียงน้ำไหลในห้องน้ำเงียบลงนานแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นคนออกมา

สี่ตาประสานกัน ความรู้สึกเคร่งเครียดระคนเสียใจฉายชัดอยู่ในแววตาของหงเทียนสิง

เซียวเยี่ยนจื่อรีบคลายสีหน้ากระอักกระอ่วน ตีหน้าเรียบนิ่งสู้สายตากับเขา นานหลายนาทีที่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรเสียที

เป็นเซียวเยี่ยนจื่อที่ทนไม่ไหว เลิกคิ้วขึ้นพลางชูเสื้อผ้าของชายหนุ่มที่ถืออยู่ในมือ “ฉันควรจะเอาไปซักก่อนแล้วค่อยมาคืนคุณ” เธอลดแขนกลับลงมาตามเดิม แล้วยิ้มบางๆ อย่างช่วยไม่ได้ “แต่บ้านฉันอยู่ฮาร์บิน ถ้าต้องเดินทางไกลขนาดนั้น เพื่อแค่เอาเสื้อผ้ามาคืน” แล้วเธอก็เงียบไป รู้ว่าพูดแค่นี้เขาคงเข้าใจแล้ว

“คุณเก็บไว้เถอะ ไม่ต้องคืนผมหรอก” แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว เผยอปากค้างเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ

เซียวเยี่ยนจื่อเห็นเขากระอึกกระอัก ก็ช่วยลดความลำบากใจให้ หญิงสาวเลิกจ้องเขา หมุนตัวเดินไปทางอื่น เหมือนไม่ได้สนใจว่าเขาจะพูดอะไร

หงเทียนสิงไม่มีทางหายอึดอัดใจ เพราะตอนที่เขาหันมาเห็นเธอยืนอยู่หน้าห้องน้ำ เห็นชัดๆ ว่าเธอได้ดูข่าวนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงสีหน้าเธอจะเหมือนไม่สะทกสะท้านแต่ในใจ ใครจะไปรู้ได้

ผู้หญิงคนนี้ชอบตีสีหน้าเย็นชา กลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงมาแต่ไหนแต่ไร

“ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา “คุณไม่ต้องกลัวว่าจะเสียหาย”

เซียวเยี่ยนจื่อนั่งเช็ดผมอยู่บนเตียง ท่าทางยังคงไม่ทุกข์ร้อน “คุณจะจัดการยังไง”

เขาหลุบตาลง สีหน้าเครียดๆ ยิ่งดูย่ำแย่กว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าเขาตอบคำถามเธอไม่ได้

เซียวเยี่ยนจื่อเห็นแบบนั้นก็ไม่อยากแกล้งคนแล้ว อันที่จริงเขาดูเหมือนจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ดีด้วยซ้ำ แต่บางทีก็ทำตัวเหมือนคนมีวุฒิภาวะเกินตัว เพื่อพยายามจะกางปีกปกป้องสุภาพสตรีอย่างเธอ

หญิงสาวอยากจะบอกว่าไม่จำเป็นเลยจริงๆ

“ฉันไม่กลัวว่าตัวเองจะเสียหาย” น้ำเสียงของเธอเรียบเรื่อย “คุณไม่ต้องสนใจฉัน จัดการเรื่องของตัวเองเถอะ ข่าวฉาวไม่เว้นแต่ละวันอย่างนี้ คุณยังเป็นนักแสดงอยู่ได้ยังไงน่ะ”

เธอพูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้หวังเอาคำตอบ แต่หงเทียนสิงกลับตอบออกมาจริงๆ

“ค่ายชูเซ่อซิงเป็นของพี่สาวผมน่ะ”

เซียวเยี่ยนจื่อเลิกคิ้ว ตาโต สีหน้าไม่ปกปิดความแปลกใจ

นี่เท่ากับเป็นการบอกว่าก็เพราะเป็นธุรกิจครอบครัว นักแสดงที่ภาพลักษณ์แย่อย่างเขาถึงยังมีที่ยืนอยู่ในวงการได้

เป็นเรื่องที่ควรจะหลบเลี่ยงไม่พูดถึงแท้ๆ แต่เขากลับพูดออกมาอย่างไม่แยแส

เซียวเยี่ยนจื่อลองเดา “ความจริงแล้วคุณก็ไม่ได้อยากทำอาชีพนี้? ”

“ครับ” เขาตอบออกมาง่ายๆ เหมือนเดิม “แต่ผมมีพี่คนเดียว บางครั้งอะไรตามใจเธอได้ก็ต้องทำ”

เซียวเยี่ยนจื่อยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เห็นหน้าเขาครั้งแรก เธอรู้สึกว่าเขาเป็นตัวแสบคนหนึ่ง แต่เท่าที่ได้ฟังคำพูดและความคิดของเขา เธอกลับพบว่าคนคนนี้เหมือนจะมีมุมอ่อนโยนซ่อนอยู่ แต่ทำราวกับกลัวคนอื่นจะรู้อย่างนั้นแหละ

ตอนนี้เธอชักอยากจะรู้แล้วว่าคนอย่างเขามาเป็นสต็อล์กเกอร์เธอได้ยังไง หรือว่าสมัยเด็กๆ เธอกับเขาเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน เหมือนพล็อตนิยายวัยรุ่น อะไรเทือกๆ นั้น

เซียวเยี่ยนจื่อจู่ๆ ก็หลุดขำความคิดตัวเอง กระทั่งเหลือบไปเห็นสายตาฉายแววสงสัยที่ติดอยู่บนสีหน้าคล้ายไม่พอใจของหงเทียนสิงเธอถึงหุบปากฉับ เรียกคืนสีหน้าเรียบนิ่งกลับมา

หญิงสาวเสก้มหน้าพับผ้าเช็ดผม พอจะมองออกว่าเด็กหนุ่มอย่างเขาคงคิดว่า ในสายตาเธอการที่เขายอมตามใจพี่สาวเหมือนเด็กว่านอนสอนง่ายนั้นเป็นเรื่องน่าขำ

“ถ้าไม่ทำอาชีพนี้ แล้วคุณอยากทำอะไรล่ะ”

หงเทียนสิงไม่ตอบคำถามเธอ “มานั่งคุยกับผมเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้ คุณไม่ระแวงผมแล้วหรือไง”

“ต้องระแวงด้วยเหรอ” เซียวเยี่ยนจื่อตอบหน้าตาย “ฉันว่าคุณน่าจะอายุน้อยกว่าฉันนะ ถ้าจะมีใครทำอะไรใคร น่าจะเป็นฉันทำคุณมากกว่า”

หงเทียนสิงมุ่นคิ้ว หน้าตึง เซียวเยี่ยนจื่ออยากจะขำท่าทางไม่พอใจของเขา ถึงจะไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจประโยคที่เธอบอกว่าเขาเด็กกว่าหรือประโยคหลัง หรือว่ารวมกันทั้งสองประโยค

“อารมณ์แปรปรวนง่ายจริงนะ หรือเป็นเพราะอยู่ในวัยกำลังโต”

“นี่คุณ! ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

เซียวเยี่ยนจื่อเลิกคิ้ว ดวงตาฉายแววล้อเลียน หงเทียนสิงจึงหันหน้ากลับไป ไม่มองเธออีก