2 ตอน บทที่ 2(1)__เรื่องไม่คาดฝัน
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 2
เรื่องไม่คาดฝัน
Trigger Warnings/Content Warnings
มีการฆ่าตัวตาย
มีการบรรยายถึงความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงของผู้ใกล้ชิดผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย
‘เครื่องดึงดูดสายตา’ คล้ายจะเป็นคำจำกัดความของเซียวเยี่ยนจื่อเวลาที่เธอย่างกรายเข้ามาในคณะ ทั้งจากชื่อเสียงที่สร้างให้มหา’ลัยและจากความเย่อหยิ่งที่แผ่ไปทั่วตัว แน่นอนว่าความสนใจที่เธอได้รับมักจะเป็นไปในทางลบ
และวันนี้ก็ดูเหมือนจะพิเศษกว่าทุกวัน หญิงสาวรู้สึกราวกับกำลังจะถูกฉีกทึ้งจากสายตาริษยาและสงสัยใคร่รู้ของผู้คน
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เธอคาดเดาได้ทันทีว่าแม้เธอจะอยากเลี่ยงแทบตายแต่ก็มีคนเห็นเธอยืนคุยกับฮ่าวป๋อชุนจนได้ จากนั้นก็เอามาโพนทะนาต่อ ใส่สีตีไข่เพิ่มรสชาติให้เรื่องเล่าของตัวเองจนความจริงไม่เหลือเค้าเดิม
เป็นสถานการณ์ชวนอึดอัดที่คนทั่วไปคงอยากจะละลายหายไปกับหิมะ ทว่าเซียวเยี่ยนจื่อกลับชินชาจนติดจะเอือมระอาเสียแล้ว แต่เพราะวันนี้พิเศษไปกว่าทุกวันหญิงสาวเลยอดที่จะมีอารมณ์หงุดหงิดพ่วงเข้ามาด้วยไม่ได้
วันนี้เซียวเยี่ยนจื่อมีสอนแต่เช้า หลังจากเดินฝ่าสายตามากมายที่จับจ้องมาที่เธออย่างไม่คิดจะรักษามารยาทเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองได้ หญิงสาวก็เปิดคอมพิวเตอร์ ตั้งใจว่าจะทบทวนสิ่งที่จะสอนในวันนี้อีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มสอนจริงในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
ในตอนแรกเธอยังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าเป็นอย่างดี เพราะทำแบบนี้แล้วความหงุดหงิดก็จะถูกเบี่ยงเบนจนหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ความเคยชินที่มักจะเห็นเจ้าของโต๊ะด้านหน้านั่งประจำที่ตัวเองอยู่ก่อนแล้วทุกครั้งที่เธอเข้ามา ซึ่งวันนี้ต่างออกไปตรงที่เธอมองไม่เห็นใคร เลยทำให้เธอไม่ค่อยมีสมาธินัก
เธอก้มลงมองนาฬิกาข้อมือบ่อยกว่าการจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ครั้งแรกยังเหลือเวลาอีกราวสิบนาทีกว่าจะถึงเวลาเข้าสอนของอีกฝ่าย ครั้งที่สองและสามเซียวเยี่ยนจื่อเริ่มร้อนรนเพราะโต๊ะทำงานด้านหน้าเธอยังคงว่างเปล่าและก็ล่วงเลยเวลาเข้าสอนของเจ้าของโต๊ะมาพอสมควรแล้ว
ต่อให้บังเอิญเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เจ้าตัวมีเหตุให้เข้าสอนสาย แต่ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว ควรจะเห็นอีกฝ่ายมาปรากฏตัวได้แล้ว หรือไม่โทรศัพท์ของเธอก็ควรจะมีสายเรียกเข้าจากอีกฝ่ายไม่ใช่ยังคงเงียบกริบอยู่แบบนี้
ในตอนที่เซียวเยี่ยนจื่อกำลังจะลุกออกไปใช้โทรศัพท์มือถือข้างนอก เพื่อความเป็นส่วนตัว ใครคนหนึ่งก็ชะโงกหน้าเข้ามาที่หน้าประตู
อีกฝ่ายยืนขวางอยู่หญิงสาวจึงได้แต่ยืนสบตากับเขานิ่ง เพราะก้าวเท้าออกไปไม่ได้ เธอส่งสายตาแทนการเอ่ยถามว่าเขามีธุระอะไรกับเธอ แต่แทนที่ฝ่ายตรงข้ามจะเอ่ยตอบหรือพยายามทำความเข้าใจกับการสื่อสารผ่านสายตาของเธอ เขากลับนิ่งขึงไปด้วยความประหม่า เพราะไม่คิดว่าจะได้ประสานสายตากับหญิงสาวตรงๆ ในระยะประชิดแบบนี้
เซียวเยี่ยนจื่อกำลังร้อนใจ เห็นคนที่ยืนขวางตัวเองอยู่มัวแต่นิ่งอึ้งไม่ยอมพูดจาจึงเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงไม่ปกปิดความรำคาญ “ฉันกำลังรีบ มีธุระอะไรรึเปล่าคะ”
คนถูกถามรู้สึกตัวทันที เขาได้สติกลับมาแล้วก็จริงแต่เพราะก่อนหน้านี้กำลังประหม่า ความรำคาญในน้ำเสียงที่หญิงสาวจงใจเปิดเผยจึงเพียงได้ยินแต่ไม่ทันได้ฟัง
ใบหูของเขาแดงเถือกด้วยความเขินจัด ขณะที่เอ่ยตอบตะกุกตะกักก็ไม่กล้าสบตากับเธอ “ผมไม่รู้ว่าอาจารย์เซียวชอบกินน้ำเต้าหู้หรือเปล่า” สายตาปรายมองไปบนโต๊ะหญิงสาว “แต่คิดว่ายังไงน้ำเต้าหู้ก็ดีต่อสุขภาพนะครับ กินเช้าๆ ก็อิ่มสบายท้องพอดี ไม่แน่นท้องจนเกินไป”
นี่เขากำลังเปิดคลาสสอนโภชนาการงั้นเหรอ?
เซียวเยี่ยนจื่อขมวดคิ้วงุนงง แต่พอหันมองไปตามสายตาอีกฝ่ายเธอก็เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อทันที
ตอนแรกที่เข้ามานั่งเธอไม่ได้สังเกตว่ามีถ้วยน้ำเต้าหู้ตั้งอยู่ อาจเป็นเพราะอารมณ์หงุดหงิดที่หอบมาจากด้านนอก บวกกับสีของถ้วยกลืนไปกับสีโต๊ะจนไม่เป็นที่สังเกต
วันนี้เป็นวันประหลาด… มีแต่คนอยากจะเลี้ยงน้ำเต้าหู้เธอ
เซียวเยี่ยนจื่อพยายามควบคุมลูกตาตัวเองไม่ให้กลอกไปด้านบน “อาจารย์ซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ฉันเหรอคะ” เธอจำชื่ออีกฝ่ายไม่ได้เลยเรียกเขาแบบกลางๆ
“เปล่าหรอกครับ” คนถูกถามยิ้มเขิน ถือโอกาสเลื่อนสายตากลับมาสังเกตสีหน้าเธอ “ผมทำเองครับ”
แทนที่จะได้เห็นสีหน้าซาบซึ้ง หญิงสาวกลับทำแค่เลิกคิ้ว “ขอบคุณมากค่ะ แต่คงไม่ต้องรบกวนมั้งคะ” เซียวเยี่ยนจื่อพูดออกไปตรงๆ ตามที่คิด ไม่ทันได้นึกถึงความรู้สึกคนฟัง “ฉันไม่สะดวกรับของจากคนที่ไม่คุ้นเคยกันน่ะค่ะ” พอพูดออกไปแล้วความสนใจของเธอก็ไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึกของคู่สนทนาอยู่ดี
หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายอึ้งไปก็เอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าหมดธุระแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” เตรียมจะก้าวเท้าเบี่ยงหลบคนที่ยืนขวางเพื่อเดินออกไปอยู่แล้ว ในตอนนี้เองเธอพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “อาจารย์มาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้วสินะคะ”
จางตงเจ๋อที่ถูกคำพูดของหญิงสาวทำร้ายจิตใจจนแทบยืนไม่อยู่กะพริบตาถี่ๆ เรียกสติตัวเอง ครู่หนึ่งถึงเปล่งเสียงแผ่วเบาตอบคำถามของเธอ “ใช่ครับ”
“เห็นอาจารย์ฟางบ้างไหมคะ”
“ไม่เห็นนะครับ” ตอบออกไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่ใช่คำตอบที่คนฟังจะพอใจ จางตงเจ๋อจึงทำหน้าครุ่นคิดขณะนึกย้อนความทรงจำของตัวเองอย่างจริงจัง
ถึงหญิงสาวจะไม่รับน้ำใจจากเขาแต่ถ้าข้อมูลของเขามีประโยชน์กับเธอ ไม่แน่ว่าต่อไปเธออาจจะมีท่าทีเป็นมิตรกับเขามากกว่านี้ “ผมมาถึงคนแรก นอกจากไปเข้าห้องน้ำมาเมื่อกี้ ก็ไม่ได้ออกไปไหน มั่นใจว่ายังไม่เห็นอาจารย์ฟางเข้ามานะครับ”
เซียวเยี่ยนจื่อทำหน้ายุ่ง คนที่กำลังมองมาสัมผัสได้ว่าเธอกำลังกังวลจึงเอ่ยปลอบ “อาจารย์ฟางลางานแต่ไม่ได้บอกอาจารย์เซียวรึเปล่าครับ”
หญิงสาวไม่แสดงออกว่าคล้อยตามหรือเห็นแย้งกับข้อสันนิษฐานของอีกฝ่าย เพียงก้าวขาขึ้นหน้าอีกก้าว บังคับให้เขาขยับหนี แล้วเธอก็เดินผ่านเขาออกไปโดยไม่พูดอะไร
เซียวเยี่ยนจื่อพยายามโทรหาฟางเซียงเซียงเพื่อจะถามให้รู้เรื่องเพราะไม่ชอบอยู่กับความไม่ชัดเจนแบบนี้ แต่กลับไร้การตอบรับจากปลายสาย ความร้อนใจกลายเป็นกลุ่มก้อนอารมณ์ที่หนาแน่นขึ้นทุกที แต่สุดท้ายเธอยังคงมีหน้าที่ที่ต้องไปทำ
หญิงสาวเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะทำงานเพื่อเตรียมอุปกรณ์และเอกสารต่างๆ สำหรับการสอน จากนั้นก็เดินผ่านจางตงเจ๋อที่มองตามการเคลื่อนไหวของเธอด้วยสีหน้าซึมกะทือ พร้อมกับที่หอบเอามวลอารมณ์อันไม่ปกติไปด้วย
เพิ่งจะก้าวพ้นประตูห้องมาได้ไม่เท่าไรเสียงสนทนาที่ไม่เบานักก็แว่วมาเข้าหู
“อาจารย์จางจีบอาจารย์เซียวอยู่เหรอคะ” ถึงเสียงจะไม่ได้ดังนักแต่ก็ฟังออกไม่ยากว่าเจ้าหน้าที่สาวจากฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยเป็นคนเอ่ยประโยคนี้
“จะไหวเหรอคะ คู่แข่งดูดีอย่างกับนายแบบ อาจจะเป็นพวกคนในวงการหน้ากล้อง วงการสื่อพวกนั้นจริงๆ ก็ได้นะคะ”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่แม้แต่จะชะงักฝีเท้า ไม่มีความอยากรู้ในคำตอบของจางตงเจ๋อ หรืออยากรู้ว่าตัวเองจะถูกพูดถึงลับหลังอย่างไรแม้แต่นิดเดียว จะบอกว่าเธอชินชาแล้วก็ว่าได้กับการถูกพูดถึงลับหลังในลักษณะนี้ ความรู้สึกเขินอายยิ่งไม่มีแต่กลับเอือมระอาจนได้แต่กลอกตาทุกครั้งที่ได้ยิน
ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เบื่อจะฟังและรู้สึกว่าไร้สาระสิ้นดี
จีบงั้นเหรอ?
ผู้ชายส่วนมากที่เห็นเธอครั้งแรกก็ตอบสนองในความไม่เหมือนใครของเธอกันแบบนี้ทั้งนั้น แต่พอเห็นว่าเสียเวลาเปล่าก็รีบถอนตัวทันทีเพื่อจะได้ไม่เสียศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของตัวเองไป สุดท้ายที่บอกว่ารักแรกพบก็เป็นแค่แรงขับของฮอร์โมนในร่างกายเท่านั้น เห็นของที่ทั้งสวยทั้งไม่เหมือนใคร ใครบ้างจะไม่ตื่นเต้น
บทสนทนาของคนในห้องยังคงดำเนินต่อไปโดยที่เซียวเยี่ยนจื่อไม่มีโอกาสได้ยิน
“ผม…ไม่รู้สิครับ” จางตงเจ๋อตอบอย่างห่อเหี่ยว “บางทีอาจจะใช่”
“อาจารย์ไม่ได้ยินข่าวลือของอาจารย์เซียวเรื่องอาจารย์ฟางเหรอคะ”
“ได้ยินครับ” ข่าวลือที่ว่า จางตงเจ๋อกลับไม่รู้สึกว่ามีมูลเลยสักนิด เซียวเยี่ยนจื่อกับฟางเซียงเซียงดูสนิทกันมากก็จริง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนรัก ก็สมควรจะดูแน่นแฟ้นกว่าคนที่เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ “แต่ผมไม่เห็นรู้สึกว่าจะเป็นอย่างข่าวลือ”
“งั้นก็ช่างเถอะค่ะ” คนที่เชื่อข่าวลือนั้นอย่างสนิทใจเกือบจะเบะปากให้คนที่ถูกความรักทำเอาตาบอด “แต่พูดถึงอาจารย์ฟาง เมื่อกี้ฉันไปได้ยินมาว่าคลาสเภสัชสมุนไพรจีนของอาจารย์ฟางถูกนักศึกษาคอมเพลน เพราะเจ้าตัวไม่เข้าสอนค่ะ แล้วก็ไม่แจ้งล่วงหน้าด้วย หายไปดื้อๆ ”
จางตงเจ๋อมีท่าทีตื่นตัวขึ้นมาทันที “ไม่ได้แจ้งลาเอาไว้เหรอครับ”
“ถ้าทำถูกต้องตามระบบแล้วนักศึกษาจะคอมเพลนเหรอคะ” พูดจบก็ส่งค้อนให้คนถามไปวงหนึ่ง
เซียวเยี่ยนจื่อพยายามทำหน้าที่อาจารย์อย่างสุดความสามารถ เวลาตลอดสองชั่วโมงที่เพิ่งผ่านพ้นไปยาวนานเหมือนสองวัน เธอพยายามจะไม่ขอตัวออกไปโทรศัพท์แต่กัดฟันสอนยาวอย่างต่อเนื่อง ทันทีที่จบคลาสหญิงสาวก็เตรียมจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาฟางเซียงเซียง
“อาจารย์เซียวครับ” เสียงหอบๆ ส่งเสียงเรียกเธอมาแต่ไกล พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นจางตงเจ๋อ เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
หญิงสาวไม่คิดจะสนใจคนเอ่ยเรียก ไม่แม้แต่จะขานรับ ขณะที่พยายามจะติดต่อเพื่อนสนิทอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งๆ ที่ดูเหมือนจะไร้ความหมาย
จางตงเจ๋อเดินเร่งฝีเท้ามาจนถึงตัวเซียวเยี่ยนจื่อ “ผมได้ยินมาว่าอาจารย์ฟางโดนนักศึกษาคอมเพลนเพราะไม่เข้าสอน” แม้จะมีเหงื่อโทรมหน้าเพราะวิ่งมา แต่ตอนนี้เขายิ้มออกแล้ว เพราะหญิงสาวหันขวับมาจ้องเขาตาเขม็ง เห็นได้ชัดว่ากำลังตั้งใจฟังที่เขาจะพูด
“อาจารย์ฟางไม่ได้ลางานเอาไว้ล่วงหน้าก็เลยไม่มีการแจ้งอะไรกับนักศึกษา”
สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะบอกเธอคือฟางเซียงเซียงหายไปดื้อๆ ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวกับใคร เซียวเยี่ยนจื่อขยับตัว สีหน้าร้อนใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอกำลังจะขยับเท้าวิ่ง แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันมาพูดกับเขาอีกประโยค “ประชุมคณะตอนบ่าย ฝ่ายบอกทุกคนด้วยนะคะว่าฉันกับอาจารย์ฟางติดธุระด่วน”
ผละจากจางตงเจ๋อมา เซียวเยี่ยนจื่อก็วิ่งออกมาด้านหน้ามหา’ลัย โบกแท็กซี่ไปยังอะพาร์ตเมนต์ของฟางเซียงเซียง ซึ่งแม้จะอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก แต่คนกำลังร้อนใจยังไงก็รู้สึกว่าไกลอยู่ดี
การขาดงานแบบไร้ความรับผิดชอบของฟางเซียงเซียงอาจดูเป็นเรื่องปกติในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบพวกเธอสองคนนัก แต่เซียวเยี่ยนจื่อกลับมองต่างออกไป เพราะมีเพียงเธอที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีโรคประจำตัว
เธอกับฟางเซียงเซียงตัวติดกันจนชวนให้คนอื่นเข้าใจผิด คล้ายพวกเธอสองคนขาดกันไม่ได้ แต่ความจริงแล้วเป็นฟางเซียงเซียงที่ขาดเซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้
โรคซึมเศร้าที่อีกฝ่ายเป็นอยู่ ประกอบกับพักหลังดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นทำให้เซียวเยี่ยนจื่อต้องคอยระวังไม่ให้อีกฝ่ายคลาดสายตา ตอนนี้เจ้าตัวดันมาเงียบหายไปแบบนี้ สิ่งที่เซียวเยี่ยนจื่อคิดออกจึงมีแค่ความคิดในแง่ร้ายเพียงอย่างเดียว ที่เธอได้แต่ภาวนาไม่ให้มันเกิดขึ้นจริง
รถแท็กซี่พาเซียวเยี่ยนจื่อมาถึงอะพาร์ตเมนต์ของฟางเซียงเซียงในเวลาเกือบสิบนาทีหลังจากนั้น หญิงสาวก้าวลงจากรถคิดจะวิ่งไปกดรหัสผ่านเพื่อเปิดประตูใหญ่หน้าทางเข้าหมู่ตึกของอะพาร์ตเมนต์ แต่คนกลุ่มใหญ่ที่กำลังยืนถกเถียงกันขวางทางเธออยู่
“ให้ผมฝากไว้ที่คุณก็สิ้นเรื่องแล้ว” ชายคนหนึ่งที่อยู่ในยูนิฟอร์มสีเหลืองของแอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่ชื่อดังโวยวายเสียงดังกับพนักงานรักษาความปลอดภัย “นี่มันเสียเวลาผมมากนะ ออเดอร์ผมก็หายไปหลายออเดอร์แล้ว”
“ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ...”
พนักงานรักษาความปลอดภัยพยายามจะไกล่เกลี่ยอย่างใจเย็น แต่โอกาสของเขาถูกตัดฉับจากการโพล่งขึ้นมาของอาอี๋เสื้อสีแดงคนหนึ่ง “พูดอย่างนี้ก็เห็นแก่ตัวสิ” เธอชี้หน้าต่อว่าพนักงานส่งอาหารอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นแทน “ถ้าของหายขึ้นมาลูกชายฉันจะรับผิดชอบไหวเหรอ”
“ถ้าเขาไม่ขโมยไปกินมันจะหายไปได้ยังไง” คนถูกตำหนิว่าเห็นแก่ตัวเถียง
“แกว่ายังไงนะ! ” อาอี๋เสื้อแดงเตรียมจะพุ่งเข้าไปขยำคอพนักงานส่งอาหาร
อาอี๋เสื้อเหลืองที่ยืนอยู่ข้างๆ กันรีบยกแขนขึ้นขวางแล้วพยายามเจรจาแทน “ลองโทรไปหาแม่คนแซ่ฟางนั่นอีกทีสิ” แม้จะฝืนพูดจากันดีๆ แต่สีหน้ากลับไม่ได้ดีไปกว่ากัน “ก่อนหน้านี้อาจจะไม่ได้อยู่กับโทรศัพท์ เรื่องนี้ยังไงก็ไม่ควรผลักภาระให้คนอื่น”
“พวกคุณไม่ใช่เพื่อนบ้านเธอหรือไง” พนักงานส่งอาหารไม่ยอมแพ้ “ไม่คิดจะไปดูเธอหน่อยเหรอ คนบ้าอะไรสั่งอาหารทิ้งไว้แล้วหายไปดื้อๆ แบบนี้น่ะ”
“ใช่ พวกฉันเป็นเพื่อนบ้านเธอ” อาอี๋เสื้อแดงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบ “ห้องที่ฉันเปิดเช่าก็อยู่ตรงข้ามห้องเธอ แต่เรื่องของเพื่อนบ้านต้องเป็นเรื่องของพวกฉันด้วยงั้นเหรอ”
อาอี๋เสื้อเหลืองรีบเสริม “แล้วยัยคนแซ่ฟางนี่ก็ชอบทำตัวแปลกๆ พวกเราไม่เข้าไปยุ่งด้วยหรอก”
“ผมคิดว่าจะลองไปแจ้งที่สำนักงานของอะพาร์ตเมนต์ดู” พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนกระสับกระส่ายร้อนใจไม่มีปากเสียงเอ่ยขึ้นมาในที่สุด “แต่เรื่องฝากของไว้ที่ผม หรือจะให้ผมบุกไปถึงห้องผู้อยู่อาศัยผมคงทำไม่ได้ครับ ถึงจะแค่ไปดูเท่านั้นก็เถอะ”
“นี่พวกคุณกำลังพูดถึงคนแซ่ฟางไหน” เซียวเยี่ยนจื่อถูกขวางทางเข้า ทำให้ต้องยืนฟังพวกเขาถกเถียงกันอย่างเสียไม่ได้ และสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้เธอสังหรณ์ใจแปลกๆ “ใช่ผู้หญิงที่อยู่ตึกเอ ห้อง 528 รึเปล่า”
คนทั้งกลุ่มหันมามองเซียวเยี่ยนจื่อเป็นตาเดียว ยุติการเถียงกันชั่วคราว พนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นเธอก็จำได้ทันที แววตาเคร่งเครียดเป็นประกายขึ้นมาด้วยความหวัง “คุณเป็นเพื่อนเธอใช่ไหมครับ”
“ถ้าหมายถึงฟางเซียงเซียง ตึกเอ ห้อง 528 ล่ะก็ ใช่ค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อสีหน้าเคร่งเครียด “มีเรื่องอะไรกับเธองั้นเหรอคะ”
“คุณช่วยรับนี่ไปด้วยครับ” พนักงานส่งอาหารรีบส่งถุงอาหารในมือมาให้เซียวเยี่ยนจื่อโดยไม่รอช้า “เพื่อนของคุณสั่งอาหารไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่พอผมมาถึงกลับติดต่อเธอไม่ได้”
เซียวเยี่ยนจื่อถูกยัดเยียดถุงอาหารโดยไม่ทันตั้งตัวเลยจำต้องรับไว้ ขณะที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังขา “สั่งอาหารเหรอคะ จะเป็นไปได้ยังไง...” เธอเหม่อไปด้วยความงุนงงเพียงชั่วขณะแล้วก็ฉุกคิดได้ว่า ตอนนี้เธอยิ่งต้องรีบไปที่ห้องฟางเซียงเซียง “เรื่องอาหารนี่ เดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ”
คนที่เหลือซึ่งไม่รวมพนักงานส่งอาหารที่พอยัดถุงอาหารใส่มือเซียวเยี่ยนจื่อสำเร็จก็บึ่งรถจักรยานยนต์จากไปทันที มองตามแผ่นหลังรีบร้อนของเซียวเยี่ยนจื่อไปด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น กระทั่งอดใจไม่ไหวจนต้องเดินย่องตามไปเงียบๆ
สองเท้าในสโนว์บูทลายแปลกตาก้าวเร็วๆ ไปที่หน้าห้องหมายเลขห้าสองแปด ห้องพักของฟางเซียงเซียง เมื่อถึงหน้าประตูก็พรมนิ้วสั่นระรัวกดรหัสไปบนที่ล็อกประตูแบบดิจิทัล
เสียง ‘ติ๊ด’ ดังขึ้นเบาๆ
เซียวเยี่ยนจื่อรีบผลักประตูปรี่เข้าไปในห้อง เหมือนมีระเบิดเวลาที่รอเธอไปยุติการทำงานของมันอยู่ข้างใน
“เซียงเซียง” หญิงสาวส่งเสียงเรียกชื่อเพื่อนพลางเดินตามหาอีกฝ่ายไปจนทั่ว แต่นอกจากจะไร้เสียงตอบรับแล้วก็ยังไร้ร่องรอยคน
เซียวเยี่ยนจื่อใจเสียหนักกว่าเก่า สองขาสั่นเทาเมื่อเหลือเพียงแค่ห้องน้ำที่เธอยังไม่ได้เข้าไปหาดู
ทันทีที่ผลักประตูห้องน้ำเข้าไป แม้จะยกมือขึ้นมาปิดปากสะกดกลั้นเสียงกรีดร้องเอาไว้ได้ทันแต่ความตกใจก็ทำให้ร่างของหญิงสาวทรุดลงไปกับพื้นทันที
แค่เห็นร่างซีดขาวของฟางเซียงเซียงที่นอนจมกองเลือดอยู่ใต้ฝักบัว เธอก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
เซียวเยี่ยนจื่อฝืนพยุงตัวเองขึ้น พาสองขาไร้เรี่ยวแรงวิ่งพล่านไปในบ้านของฟางเซียงเซียงเพื่อหากล่องปฐมพยาบาล ทั้งที่เคยจำได้ว่าอยู่ที่ไหนแต่ในขณะที่ทั้งสมองและดวงตาต่างพากันพร่าเลือนอย่างห้ามไม่อยู่ เธอกลับรู้สึกว่าความคุ้นเคยทุกอย่างหายไปพร้อมกับความเข้มแข็งที่เธอเคยมี
หญิงสาวรู้สึกเหมือนนานนับชั่วโมงกว่าที่เธอจะหากล่องปฐมพยาบาลเจอ แม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น เธอหิ้วมันวิ่งไปหาร่างเปลือยเปล่าของเพื่อนที่มีกองเลือดเป็นที่นอน สองมือปาดเช็ดน้ำมูกน้ำตาพลางเรียกสติของตัวเองกลับมาเหมือนกำลังเรียกเด็กดื้อคนหนึ่งที่มัวแต่วิ่งเล่นไม่ยอมมากินข้าว
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้ยกมืออังใต้จมูกเพื่อน เพราะมองจากภายนอกก็ยังเห็นได้ว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจแม้ว่าจะรวยรินเต็มที หญิงสาวหยิบอุปกรณ์ในการห้ามเลือดออกมา ความลนลานของเธอหายไป ทุกอย่างดำเนินการไปตามลำดับที่ควรจะเป็น หลังการห้ามเลือดเธอแตะไปที่ชีพจรของฟางเซียงเซียงพร้อมยกข้อมือขึ้นดูเวลา จากนั้นก็เริ่มนับ
ตอนนี้ไม่มีใครช่วยเธอได้ เซียวเยี่ยนจื่อเองก็ไม่ได้หวังจะพึ่งพาใคร หลังถอดเสื้อขนเป็ดตัวนอกของตัวเองคลุมร่างหนาวเย็นให้เพื่อนแล้ว หญิงสาวก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรเรียกรถพยาบาล
เธอแจ้งทุกอย่างที่ควรจะแจ้ง แต่กลับได้รับคำตอบที่ทำให้ต้องประหลาดใจ
มีคนโทรเรียกรถพยาบาลแล้ว?
เซียวเยี่ยนจื่อเม้มปากแน่น มีหลายอย่างที่สร้างความกังขาให้เธอแต่การจะหาคำตอบเป็นเรื่องที่สำคัญรองลงมา
ในเมื่อมีคนเรียกรถพยาบาลไปแล้วตั้งแต่ก่อนหน้าที่เธอจะโทรไป ตอนนี้รถพยาบาลก็คงใกล้จะมาถึงแล้ว
หญิงสาวพยายามจะแบกเพื่อนไปขึ้นรถพยาบาลด้านล่าง แม้อีกฝ่ายจะร่างกายผอมบาง น้ำหนักก็ไม่ได้เยอะอะไร แต่เรื่องใช้แรงก็ยังเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของเธออยู่ดี ไม่ว่าจะหนักหรือเบา
หญิงสาวตัดสินใจวิ่งออกไปหน้าประตูที่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองลืมปิด ตั้งใจว่าจะตะโกนขอความช่วยเหลือ เผื่อว่าคนจากห้องพักใกล้เคียงจะพอมีคนที่มีน้ำใจอยู่บ้าง ทว่ายังไม่ทันจะตะโกน สายตาเธอก็ปะทะเข้ากับแผ่นหลังของใครคนหนึ่ง ที่คล้ายว่าเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องตัวเอง
“คุณคะ”
Comments (0)