22 ตอน บทที่ 12_ผูกพัน
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 12
ผูกพัน
Trigger Warnings/Content Warnings
การวางยาซึ่งเป็นวัตถุเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
เมื่อออกมาจากภัตตาคารเซียวเยี่ยนจื่อก็รู้สึกว่าอากาศด้านนอกหายใจสะดวกกว่ามาก รถเก๋งคันหนึ่งแล่นเข้ามาอยู่ในสายตา หญิงสาวจำได้ทันทีว่าเป็นรถของฮ่าวป๋อชุน
เธอเดินไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งโดยไม่รอให้เจ้าของรถเชื้อเชิญ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของที่นั่งโดยสารด้านหลังหันมาเลิกคิ้วมองเธอ อดแปลกใจไม่ได้ที่หนนี้เธอยอมขึ้นรถเขา
“ฉันอยากนั่งเงียบๆ ค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้หันไปมองเขา แต่พอรับรู้ถึงสายตาที่มองมา เธอจึงรีบเอ่ยดักเอาไว้ก่อน
สีหน้าของหญิงสาวไม่สู้ดีนัก ฮ่าวป๋อชุนจึงไม่ขัดความต้องการของเธอ เขายิ้มออกมาที่พบว่าเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากความรู้สึกอึดอัดแกมรำคาญใจ เธอเลือกที่จะวิ่งเข้ามาหาเขา ถึงจะเป็นสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เขาดันโผล่เข้ามาพอดีก็เถอะ
ฮ่าวป๋อชุนหันกลับไปสั่งคนขับรถ “ไปภัตตาคารเป๋ยไห่ฝั่งซ่าน”
เซียวเยี่ยนจื่อเข้าใจว่าเขาคงจะพาเธอไปกินข้าว เลยไม่ได้พูดอะไร เพราะที่เคยนัดกันไว้ทำให้มันจบๆ ไปวันนี้เลยก็ดีเหมือนกัน
วันนี้ในปักกิ่ง วุ่นวายเสียให้พอ กลับฮาร์บินแล้วเธอจะได้ใช้ชีวิตสงบสุขของตัวเองเหมือนเดิม
พนักงานของภัตตาคารเดินนำเธอกับฮ่าวป๋อชุนเข้ามาในห้องอาหารแบบส่วนตัวตามความต้องการของชายหนุ่ม
“นัดที่ฉันขอเลื่อนไปก็ยกมาไว้ตอนนี้เลยละกันนะคะ” เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ยขึ้นเมื่อพนักงานรับออเดอร์ผละไปแล้ว
เสียงเย็นชาของเธอดังก้องเป็นพิเศษในห้องเงียบๆ ที่มีเพียงพวกเขาสองคน
ฮ่าวป๋อชุนยกมุมปากยิ้ม “ตอนนี้พี่พูดได้แล้วใช่ไหม” สายตาที่มองสบหญิงสาวแฝงแววหยอกล้อ
“ตามสบายค่ะ”
ความจริงแล้วเวลาที่ต้องการจะสงบสติอารมณ์ เธอชอบที่จะอยู่เงียบๆ แต่ในเมื่อตอนนี้ก้าวเท้าเข้ามาผิดประตูแล้วจะทำตัวเสียมารยาทไม่จบไม่สิ้นไม่ได้
เธอหักหน้าสตรีหมายเลขหนึ่งอย่างที่ไม่มีใครกล้าทำไปแล้ว ตอนนี้จะมามีปัญหากับลูกชายสมาชิกพรรคฯ คนสำคัญอีกไม่ได้ สมองเธอยังไม่ได้มีปัญหาถึงขั้นหาเรื่องคนในแวดวงพรรคคอมมิวนิสต์ไปทั่ว
“สีหน้าเธอไม่เห็นบอกอย่างที่พูดเลย” ฮ่าวป๋อชุนเอ่ยเนิบๆ “เธอชอบอยู่เงียบๆ เวลาไม่สบอารมณ์ ยังเป็นแบบนั้นไม่เปลี่ยนสินะ”
สีหน้าของหญิงสาวไม่ได้ดูมีท่าทีอยากจะเสวนากับเขาขึ้นมาสักนิด “แต่ฉันว่าพี่เปลี่ยนไปมากเลยนะคะ”
ฮ่าวป๋อชุนเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ “ไม่คิดว่าเธอจะใส่ใจด้วย”
“ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายหรอกค่ะ” น้ำเสียงเธอเอื่อยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยจะพูด “แต่มันแตกต่างกันชัดเกินไป”
“ยังไง” เขายิ้มน้อยๆ คล้ายพอจะเดาได้ว่าเธอคงไม่ได้ชมเขาแน่ แต่ก็ยังชอบให้เธอแซะมากกว่าทำเย็นชาใส่ “ไหนเธอลองขยายความให้พี่ฟังหน่อยซิ”
“เมื่อก่อนพี่พูดจาน่าขนลุกไม่เป็นด้วยซ้ำ” เธอยังอยากจะบอกอีกว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญแบบนี้ แต่ยังไงก็ยังรู้สึกเกรงใจสถานะของเขาอยู่บ้าง
ฮ่าวป๋อชุนหัวเราะลั่นจนเสียงดังสะท้อนไปมา ไม่มีแววว่าจะไม่พอใจเธอ พอหัวเราะเสร็จก็พูดว่า “เพิ่งจีบผู้หญิงเป็นครั้งแรก ก็เลยไม่รู้ว่าต้องพูดยังไงน่ะ”
เอาอีกแล้ว เพิ่งจะบอกไปแท้ๆ
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ยอมสบตากับเขา ทำท่าทางราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด
ฮ่าวป๋อชุนไม่ใส่ใจ พูดต่อว่า “ไม่คิดเลยว่าจะทำให้เธอขนลุกไปซะได้”
“หนาวจังเลยค่ะ” เธอยกมือลูบแขนที่หุ้มด้วยเสื้อขนเป็ดตัวหนาที่มองยังไงก็ไม่เห็นว่าอากาศภายในห้องอาหารส่วนตัวตอนนี้จะทำอะไรกับผิวเธอได้ “ขนลุกไปหมดแล้ว”
ฮ่าวป๋อชุนรู้ว่าตัวเองโดนเหน็บอีกแล้ว เขายิ้มมองเธออย่างเอ็นดู “อันที่จริงเธอก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนไปเหมือนกัน”
“ฉันไม่เปลี่ยนไม่ได้หรอกค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อเบือนหน้ากลับมาสบตาเขา “พี่น่าจะรู้ว่าทำไมฉันถึงต้องเปลี่ยน”
“พี่รู้” ฮ่าวป๋อชุนไม่เหลือแววเย้าแหย่อยู่ในสีหน้า “ทั้งรู้และเข้าใจ เพราะฉะนั้นเธอยิ่งไม่ควรผลักไสพี่ไม่ใช่เหรอ แล้วก็ยิ่งไม่ควรมองพี่ว่าเป็นคนประเภทเดียวกันกับคนพวกนั้น” ประโยคท้ายน้ำเสียงของเขาเคร่งขึ้น ทั้งยังเจือแววชิงชังรางๆ
เซียวเยี่ยนจื่อมุ่นคิ้ว ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าเขาตั้งใจจะเดินไปในเส้นทางเดียวกันกับพ่อเขาและพ่อเธอ หญิงสาวก็มองเขาไม่เหมือนเดิมอีก และไม่มีวันจะเข้าใจด้วยว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนั้น
บรรยากาศในห้องอาหารส่วนตัวมีความอึดอัดเพิ่มเข้ามาทันที เซียวเยี่ยนจื่อไม่คิดว่าแบบนี้เธอจะกินข้าวอร่อย ขณะกำลังคิดจะเปลี่ยนเรื่องคุยพนักงานเสิร์ฟก็ทยอยยกอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะ
เบื้องหน้าสองหนุ่มสาวที่เคยว่างเปล่ามีอาหารหลายจานเพิ่มเข้ามา ทั้งสีสันและกลิ่นหอมที่ลอยมาแตะจมูกล้วนเรียกความเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี บรรยากาศหนาหนักชวนอึดอัดเมื่อครู่ค่อยๆ สลายไปโดยอัตโนมัติ
ทั้งคู่เริ่มคีบอาหารเข้าปาก พากันรับประทานอาหารเงียบๆ ฮ่าวป๋อชุนเหมือนจะรู้ตัวว่าเผลอทำให้หญิงสาวอึดอัด หลังจากทานกันไปได้สักพักก็เริ่มชวนเธอคุยอีกครั้ง แต่ไม่คิดจะไปแตะประเด็นก่อนหน้านี้อีก
“หลังจากวันนั้นพี่ก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเพื่อนเธอเลย” ฮ่าวป๋อชุนเอ่ยพลางคีบเป็ดปักกิ่งชิ้นหนึ่งวางลงในถ้วยเธอ “คงจะออกจากโรงพยาบาลแล้วสินะ”
“ขอบคุณค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อพยักหน้า “เพื่อนฉันออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่สองวันก่อนแล้วค่ะ จริงๆ ไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้ไปเยี่ยมก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“รู้จักสิ เพื่อนเธอก็ต้องนับว่าเป็นคนรู้จักพี่เหมือนกัน” โมเมจบเขาก็ถามต่อ ทำเป็นไม่เห็นหญิงสาวกลอกตา “ว่าแต่เพื่อนเธอหายดีแล้ว? ”
เซียวเยี่ยนจื่อเริ่มกินช้าลง เธอคลึงขมับตัวเองพลางตอบ “ฉันหวังให้เป็นแบบนั้นค่ะ” หญิงสาวถอดเสื้อขนเป็ดตัวนอกออก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอากาศในห้องนี้ร้อนเกินไป “แต่ถ้าเฉพาะทางด้านร่างกายก็ถือว่าหายดีร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว”
“ร้อนเหรอ” ฮ่าวป๋อชุนเห็นท่าทางเธอก็ถามขึ้น “ให้พี่เรียกพนักงานมาปรับฮีตเตอร์ให้ดีไหม”
“ก็ดีค่ะ”
ฮ่าวป๋อชุนทำตามที่เธอร้องขอ ตอนที่พนักงานปรับฮีตเตอร์เสร็จเรียบร้อยกำลังจะออกไป เซียวเยี่ยนจื่อก็เรียกเขาไว้ “ช่วยปิดไปเลยได้ไหมคะ”
ฮ่าวป๋อชุนมองเธออย่างแปลกใจแต่ไม่ได้ขัดอะไร ตอนนั้นเองจู่ๆ เธอก็ผุดลุกขึ้น ทั้งพนักงานของภัตตาคารและชายหนุ่มหันมามองเธอเป็นตาเดียว
“ไม่ต้องแล้วค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อตะโกนเสียงดังคล้ายไม่พอใจที่อีกฝ่ายทำอะไรไม่ทันใจ “พี่ฮ่าวคะ ฉันขอตัวกลับเลยดีกว่า”
พูดจบเธอก็คว้ากระเป๋ากับเสื้อขนเป็ดที่เพิ่งถอดออก เดินออกจากห้องอาหารไปทันที คนร่วมโต๊ะตามอารมณ์เธอไม่ทัน จนไม่ทันได้เอ่ยทักท้วง
ฮ่าวป๋อชุนรีบวางตะเกียบแล้วลุกขึ้น คิดจะตามเธอไป แต่แล้วก็ชะงัก กลับลงไปนั่งตามเดิม จู่ๆ เขาก็คิดว่าตามเธอไปตอนนี้ก็ไม่ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมา
เซียวเยี่ยนจื่อในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาพูดดีด้วยแล้วเธอจะดีตอบทันทีทันใด แต่เธอจะถอยหลังไปหลายก้าว เว้นระยะห่างเพื่อพิจารณาคำพูดเขาว่าควรจะตอบสนองแบบไหน
ฮ่าวป๋อชุนมีเวลาเหลือเฟือและใจเย็นพอ ตอนนี้เธอไม่ง่าย แต่รออีกหน่อยก็ไม่แน่
ทางด้านเซียวเยี่ยนจื่อที่ก้าวเท้าเร็วๆ เท่าที่จะเร็วได้ เดินออกมาจากนอกตัวอาคารที่เป็นห้องอาหาร กระทั่งมาถึงทางเดินที่ทอดยาวตัดผ่านลานสวนสไตล์จีนร่างกายของเธอก็เซวูบไปปะทะผนังปูนด้านข้างอย่างแรง
เธอฝืนใช้มือยันผนังเพื่อพยุงไม่ไห้ตัวเองทรุดลงกับพื้น ยิ่งออกมาปะทะกับอากาศด้านนอกเธอกลับยิ่งร้อนเหมือนมีเตาเผาอยู่ในตัว อาการวิงเวียนที่หัวก็ทวีขึ้นคล้ายมีรถไฟเหาะวิ่งวนอยู่ในนั้นไม่หยุด
เซียวเยี่ยนจื่อพอจะมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง เธอรู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองโดนวางยา แต่เป็นตอนไหนยังไงนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดเธอตอนนี้
หากอยู่ฮาร์บินเธออาจจะยังพอติดต่อฟางเซียงเซียงให้มาช่วยได้ แต่ตอนนี้เธออยู่ไกลถึงปักกิ่ง นอกจากจะมาช่วยเธอไม่ได้แล้วก็ยังพลอยจะทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงเธอเสียเปล่าๆ
ช่วงนี้เธอไม่อยากให้เพื่อนแบกรับความรู้สึกที่หนักเกินไปสำหรับอีกฝ่าย ถึงจะอยู่ในสภาพที่แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบนี้ แต่เธอก็มั่นใจว่าเธอจะปกป้องตัวเองได้
หญิงสาวเดินโซซัดโซเซไปถึงห้องน้ำได้อย่างที่ตั้งใจ เคราะห์ร้ายที่ไม่มีใครให้เธอขอความช่วยเหลือสักคน เธอตัดสินใจล็อกประตูห้องน้ำจากด้านใน ขังตัวเองเอาไว้ในนั้น หากว่าวันนี้เธอไม่รอดตาย แต่อย่างน้อยก็รอดจากเงื้อมมือคนที่ประสงค์ร้ายกับเธอ
หงเทียนสิงพาพี่สาวและลูกสาวของเธอออกมากินข้าวนอกบ้านอย่างหาได้ยาก ชายหนุ่มให้เหตุผลว่าทั้งคู่ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานานต้องคิดถึงรสชาติอาหารจีนแน่ๆ ซึ่งคนเป็นพี่สาวก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งยังยิ้มรับด้วยความซาบซึ้งที่คนเป็นน้องชายใส่ใจเธอกับลูกอย่างไม่เคยเป็น
กระทั่งมาถึงภัตตาคาร นั่งรับประทานอาหารกันไปได้พักหนึ่ง หงเทียนเหยาถึงค่อยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด น้องชายเธอใส่ใจเธอกับลูกที่ไหนกันล่ะ ไอ้ตัวแสบคนนี้มีจุดประสงค์แอบแฝงชัดๆ ไม่รู้ว่าประจบเธอครั้งนี้คิดจะร้องขออะไรอีก
อาการที่หงเทียนสิงคีบข้าวเข้าปากไป สีหน้าก็มีแววครุ่นคิดตลอดเวลา ดูเหมือนปลีกตัวออกไปอยู่กับความคิดตัวเอง ไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคนในครอบครัวทำให้หงเทียนเหยารู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาทุกที
“เป็นอะไรของแกน่ะเทียนสิง” คนเป็นพี่สาวเห็นแล้วก็นึกรำคาญ “ชวนฉันกับลูกมากินข้าวนอกบ้าน หรือให้มาดูแกนั่งบื้อแบบนี้”
หงเทียนสิงเหลือบตามองพี่สาว สีหน้าคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกไปดีหรือไม่
หงเทียนเหยาทิ่มตะเกียบลงไปในถ้วยข้าวอย่างนึกโมโห “มีอะไรก็พูดมา”
พอถูกตวาดคนเป็นน้องก็อ้าปาก ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ถูกหลานตัวน้อยพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“หนูปวดฉี่”
“ปวดฉี่เหรอลูก” หงเทียนเหยาละสายตาจากน้องชายไปมองลูกสาว “ปะ เดี๋ยวแม่พาไปห้องน้ำ”
หงเทียนสิงคลายสีหน้าลง นึกโล่งใจที่มีเวลาให้เรียบเรียงคำพูดดีๆ ต่ออีกนิด
ตอนจูงมือลูกสาวกำลังจะเดินออกจากห้องอาหารไปหงเทียนเหยาไม่วายหันมามองน้องชาย สายตาบอกว่าทันทีที่เธอกลับมาต้องได้คำตอบจากเขา
หงเทียนสิงวางตะเกียบลง กอดอกใคร่ครวญคำพูดที่จะพูดกับพี่สาวตอนเธอกลับมาอย่างจริงจัง
ชายหนุ่มรออยู่นานมากจนรู้สึกถึงความผิดปกติจึงคิดจะออกไปตาม ตอนนั้นเองหงเทียนเหยาก็จูงลูกสาวเดินกลับเข้ามาพลางบ่นงึมงำ
“ห้องน้ำฝั่งที่อยู่ใกล้ใช้งานไม่ได้ ฉันเลยต้องพาเจด้าเดินไปห้องน้ำอีกฝั่ง” เธอเหลือบมองลูกสาวที่ตาแดงจมูกแดงเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา “ไปถึงไม่ทันลูกเลยอั้นไม่ไหว”
หงเทียนสิงชะโงกมองท่อนล่างหลานสาวทันที แล้วก็เห็นว่าเดิมที่เป็นกระโปรงบานตัวสวยตอนนี้กลับเป็นกางเกงใส่อยู่บ้านที่พี่สาวเขาใส่ติดกระเป๋าสำรองเอาไว้เผื่อว่าจะเกิดกรณีฉุกเฉินแบบนี้
“งั้นกลับบ้านกันเลยดีกว่าไหม” หงเทียนสิงเสนอ
“ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวเจด้าจะยิ่งงอแง”
“งั้นผมไปเข้าห้องน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวเรากลับกันเลย” หงเทียนสิงลุกขึ้นยืน
“ฝั่งนี้ห้องน้ำชายยังใช้ได้นะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไป
ตอนที่เดินมาถึงหน้าห้องน้ำ เพราะเป็นทางผ่านของสายตาหงเทียนสิงเลยมองไปที่ห้องน้ำหญิงโดยไม่ได้ตั้งใจ ประตูห้องน้ำปิดเงียบโดยไม่มีการแปะกระดาษบอกว่าเสีย หรือมีป้ายตั้งไว้ให้ลูกค้ารู้
ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเพราะรู้สึกว่าแปลก แต่ก็เดินผ่านไปโดยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ จังหวะนั้นเสียงครางเล็กๆ ก็ดังลอดออกมา ฝีเท้าหงเทียนสิงพลันหยุดชะงัก
ชายหนุ่มพยายามเงี่ยหูฟัง แต่เสียงนั้นเงียบหายไปแล้ว เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าไม่ได้ยินอะไรอีก เมื่อกี้นี้คงหูแว่วไปเอง ถึงค่อยเดินต่อไปเข้าห้องน้ำชายที่อยู่ติดกัน
ในตอนที่หงเทียนสิงเดินออกมาจากห้องน้ำเสียงครางแบบเดิมก็ดังขึ้นอีก ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้เขาได้ยินเสียงคล้ายคนโก่งคออาเจียน
ชายหนุ่มยืนฟังจนแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด แล้วก็ตัดสินใจเดินไปหาพนักงานของภัตตาคารคนหนึ่ง พยายามอธิบายให้อีกฝ่ายฟังเป็นการส่วนตัว เขาไม่รู้ว่าในห้องน้ำมีอะไรเกิดขึ้น แต่คนยิ่งรู้น้อยย่อมดีกว่า ทั้งในแง่ของชื่อเสียงภัตตาคาร และความเป็นส่วนตัวของเขาด้วย
พนักงานคนที่เขาเจรจาด้วยเห็นเขาก็จำได้แต่แรก พอเขาอธิบายสิ่งที่เจอมาก็รู้ทันทีว่าต้องจัดการอย่างไรจึงจะเหมาะสม
ฝ่ายนั้นไปหากุญแจห้องน้ำหญิงมา ดูเหมือนคิดจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด หงเทียนสิงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องไปยุ่งกับเรื่องนี้อีก ขณะกำลังจะเดินกลับไปหาครอบครัวก็รู้สึกอึดอัดในโพร่งอก จู่ๆ ก็หายใจลำบากขึ้น
ชายหนุ่มนวดหน้าอกตัวเองหมายจะช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น ทว่ากลับรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมีอะไรมาอุดหลอดลม
หงเทียนสิงเริ่มหายใจไม่ออก ความรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังจะจมน้ำ ตอนนั้นเองไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาหมุนตัวกลับไปมองที่หน้าห้องน้ำหญิง จากตรงนี้ชายหนุ่มเห็นทุกอย่างชัดเจน
พนักงานหญิงคนนั้นไขกุญแจเปิดประตูห้องน้ำออกได้แล้ว หงเทียนสิงเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดปากพลางมองเข้าไปด้านในอย่างตื่นตะลึง ไม่ทันได้ชั่งน้ำหนักว่าเขาควรเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้หรือไม่ สองเท้าก็วิ่งกลับไปที่หน้าห้องน้ำหญิงแล้ว
ภาพที่ปรากฏสู่สายตาทำให้หงเทียนสิงแทบคลั่ง
“อาจื่อ! ”
Comments (0)