21 ตอน บทที่ 11(2)_สตรีหมายเลขหนึ่ง
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 11(2)
สตรีหมายเลขหนึ่ง
ทั้งที่อยู่ฮาร์บินมาสองปีแล้วแต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เซียวเยี่ยนจื่อได้มาเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ โบสถ์เซนต์โซเฟีย จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ อาจเป็นเพราะเห็นจนชินแล้ว เพียงแต่ครั้งแรกของการลาพักผ่อน บรรยากาศของที่นี่ช่วยให้รู้สึกดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“นึกยังไงถึงอยากมาเที่ยวที่นี่” ฟางเซียงเซียงเห็นคนที่ชอบทำหน้าเคร่งขรึมเย็นชามีสีหน้าสดชื่นร่าเริงอย่างหาดูได้ยากก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “หรือว่าอยากมานานแล้วแต่เพิ่งจะมีเวลา”
คนถูกถามส่ายหน้า “จริงๆ ก็ธรรมดา พวกเราก็เห็นกันอยู่บ่อยๆ แล้วไม่ใช่เหรอ” เธอตอบกลั้วหัวเราะ “แต่เหมือนกับตลอดสองปีมานี้ ฉันขังตัวเองอยู่แต่กับงานๆๆ ตอนนี้เลยเหมือนได้ออกมาเจอโลกใหม่”
“ขนาดนั้นเชียว” ฟางเซียงเซียงคิดว่าอีกฝ่ายพูดเว่อร์เกินไป
“เธอไม่เหมือนกับฉันนี่” หญิงสาวเหล่ตามองเพื่อนสนิท “เวลาที่ไม่ต้องทำงานเธอมีการคบหาดูใจกับคนอื่น ไปเที่ยว เข้าสังคมตามปกติ”
ฟางเซียงเซียงไม่คิดจะเถียงแต่ก็อดส่ายหน้าไม่ได้อยู่ดี “ก็ทำไมถึงไม่ยอมคบหาดูใจกับใครซะทีล่ะ เธอทำตัวเองแท้ๆ นะเยี่ยนจื่อ”
“ขี้เกียจเสียเวลาน่ะ” เธอตอบอย่างไม่ใส่ใจจะหาเหตุผลที่แท้จริงให้ตัวเอง “เธอดูสิหมดคืนนี้เวลาเที่ยวฉันก็หมดแล้ว”
ฟางเซียงเซียงทำหน้านึกขึ้นได้ “จริงสิ พรุ่งนี้เธอต้องไปสัมมนาที่ปักกิ่ง”
“อืม” หญิงสาวพยักหน้า “พรุ่งนี้เธอจะไปรับเทียนเป่ามาอยู่ด้วยแล้วใช่ไหม”
“ถ้าฉันผลัดไปวันอื่น เธอจะไม่ไปสัมมนา แล้วมาเกาะติดฉันแจแทนหรือไง” ฟางเซียงเซียงประชดแต่สีหน้ากลับเคร่งเครียดจริงจัง “เธอเชื่อฉันซะทีเถอะน่าว่าฉันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ฉันจะกินยาให้ครบทุกมื้อ ทุกเม็ดตามที่หมอสั่ง”
เซียวเยี่ยนจื่อสบตาอีกฝ่ายนิ่ง “ก่อนหน้านี้ที่เธอหยุดกินยา เพราะคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะทำให้เธอหายดีได้โดยไม่ต้องกินยาใช่หรือเปล่า”
ฟางเซียงเซียงไม่กล้าสู้สายตาเพื่อน แต่ก็ยอมรับออกมาง่ายๆ “ฉันคิดเพ้อเจ้อไปเอง”
“เธอโชคร้ายที่ไปเจอคนเลวเข้าต่างหาก” เซียวเยี่ยนจื่อไม่เคยคิดว่าการเป็นคนอ่อนไหวง่ายของเพื่อนคือความอ่อนแอ หรือเพราะอีกฝ่ายเป็นแบบนั้นจึงสมควรถูกหลอกลวง ถูกรังแก
“แต่ว่านะเซียงเซียง แม้แต่ฉันยังเป็นที่พึ่งให้แกตลอดไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่แกจะเชื่อใจได้ดีที่สุดคือตัวแกเองนะ แกต้องเข้มแข็งเพราะตัวแกเอง ไม่ใช่เพราะมีคนอื่นเข้ามาเติมเต็ม”
ฟางเซียงเซียงก้มหน้าพลางผงกหัวถี่ๆ น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย เธอเข้าใจทุกอย่างที่เพื่อนพูดแต่ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกคอหอยจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ
“พอแล้วๆ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว” เซียวเยี่ยนจื่อลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ “มาถ่ายรูปกันเถอะ รีบเช็ดน้ำตาเข้าเร็ว”
ฟางเซียงเซียงยังสะอื้นไม่หายแต่กลับหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงเหมือนตอนที่เอ่ยกับเด็กเล็กอย่างเทียนเป่าไม่มีผิด
ไม่ใช่แค่เซียวเยี่ยนจื่อที่หวังให้เธอดูแลตัวเองให้ดี หวังให้เธอเข้มแข็งและหายดี แต่เธอเองก็คาดหวังกับตัวเองอยู่ในทุกๆ วันเหมือนกัน
งานฝูม่าวฮุ่ยโดยปกติแล้วแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับวงการแพทย์แผนจีนของเซียวเยี่ยนจื่อ ทว่าในปีนี้มีการเปิดตัวแนวปฏิบัติทางคลินิกที่ผสมผสานศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันเข้ากับศาสตร์การแพทย์แผนจีนซึ่งถูกคิดค้นและวิจัยขึ้นมาใหม่ เพื่อนำมาใช้รักษาและฟื้นฟูโรคที่มักจะเกิดกับทารกแรกเกิด
ในฐานะอาจารย์แพทย์แผนจีน เซียวเยี่ยนจื่อจึงได้รับเชิญให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน นอกจากนั้นแล้วหญิงสาวก็คิดว่าเธอสามารถนำสิ่งที่ได้ฟังไปต่อยอดการวิจัยในอนาคตของตัวเอง ทั้งยังนำไปพัฒนาการเรียนการสอนได้อีกด้วย เธอเลยเลือกตอบรับคำเชิญในครั้งนี้
ระหว่างนั่งฟังการบรรยายบนเวทีที่เป็นไปอย่างเข้มข้น โทรศัพท์มือถือของเซียวเยี่ยนจื่อมีสายเรียกเข้ามาเป็นระยะ หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจจะรับ กระทั่งในตอนที่เธอเดินออกมาจากในงานก็มีสายเข้ามาอีก
หญิงสาวขมวดคิ้วพลางหยุดฝีเท้า ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากในกระเป๋า เธอกลอกตามองฟ้าทันทีที่เห็นว่าใครโทรเข้ามา แต่หลังชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจกดรับ “ค่ะ พี่ฮ่าว”
“เธออยู่ไหน”
“อยู่มหา’ลัยค่ะ” เซียวเยี่ยนจื่อโกหกคำโต โดยที่สมองยังไม่ทันประมวลผลดีผลเสียเลยด้วยซ้ำ
“งั้นเหรอ” ฮ่าวป๋อชุนตอบรับน้ำเสียงสบายๆ “ทำไมพี่ถึงเห็นเธอยืนอยู่ทางเข้างานฝูม่าวฮุ่ยล่ะ”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้มีท่าทีตกใจที่ถูกจับได้สักนิด “ในเมื่อรู้อยู่แล้ว จะแกล้งถามให้ฉันชมหรือไงคะว่าเก่ง” น้ำเสียงเธอไม่ได้ฟังสบายเหมือนคนปลายสาย แต่แฝงความไม่พอใจอยู่ในที “พี่โทรมามีอะไรหรือเปล่าคะ ฉันเพิ่งเสร็จจากงานที่นี่ อยากรีบกลับที่พักไปพักผ่อน” เธอพูดพลางออกเดินต่อ สายตากวาดมองหารถแท็กซี่คันว่าง
“ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยากให้ชมไหม เธอลองชมดูสิ พี่จะได้รู้ว่าอยากหรือไม่อยาก”
เอ๊ะ! คนคนนี้นี่… ไม่ได้ฟังประโยคสุดท้ายที่เธอพูดเลยหรือยังไง
เซียวเยี่ยนจื่อกำลังคิดจะพูดกับเขาตรงๆ ว่าเธอต้องการกลับไปพักผ่อนโดยด่วน ไม่มีอารมณ์จะมารับมือกับการตามตื๊อของเขา จังหวะนั้นเสียงเตือนสายซ้อนก็ดังแทรกขึ้นมา
“แป๊บนะคะ ฉันมีสายเข้า” ไม่รอให้เขาตอบรับ เธอก็กดตัดสายเขาทิ้งทันที
สายโทรศัพท์ที่ซ้อนเข้ามาเป็นสายที่เธอไม่อยากรับพอๆ กับสายของฮ่าวป๋อชุน แต่กลับปฏิเสธได้ยากกว่ามาก หญิงสาวกดรับทั้งที่อึดอัดใจ “ค่ะ”
เธอตอบรับสั้นๆ เพราะเข้าใจว่าเจ้าของเบอร์คงไม่คิดจะคุยกับเธอเอง คนที่อยู่ปลายสายคงเป็นมือขวาของเขา
“ตอนนี้เธออยู่ปักกิ่งใช่ไหม”
น้ำเสียงบอกวัยที่ล่วงเลยแต่แฝงความเผด็จการและทรงอำนาจที่ดังมาจากปลายสายทำเอาคนฟังนิ่งงันไปเพราะรู้สึกผิดคาด
หลังจากคลายความประหลาดใจ กำลังคิดจะตอบกลับ ปลายสายก็เอ่ยต่อว่า “ไม่เจอกันนานทีเดียว มากินข้าวด้วยกันหน่อยสิ ฉันส่งคนไปรับเธอแล้ว รีบๆ มาล่ะ”
พูดจบก็วางสายทันที นั่นเป็นการบอกกลายๆ ว่าถึงเธอคิดจะปฏิเสธ แต่เขาไม่อนุญาตให้เธอทำแบบนั้น
เซียวเยี่ยนจื่อปล่อยแขนข้างที่ถือโทรศัพท์ตกลงข้างตัว โทรศัพท์ที่อยู่ในมือถูกกำแน่นโดยไม่รู้ตัว เวลานั้นเองรถเก๋งสองคันก็แล่นเข้ามาจอดเทียบริมฟุตปาธตรงหน้าเธอ
คนขับรถเก๋งคันแรกวิ่งลงมาเปิดประตูห้องโดยสารด้านหลังพลางผายมือเป็นนัยเชื้อเชิญเธอ พร้อมกันนั้นรถเก๋งคันที่จอดต่อท้ายก็ลดกระจกลงจนเธอมองเห็นคนที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารด้านหลัง
ฮ่าวป๋อชุนไม่ได้มองเธอ ชายหนุ่มหรี่ตามองคนที่ผายมือเชื้อเชิญเธอขึ้นรถ ครู่หนึ่งถึงเลื่อนสายตามามองเธอที่กำลังยืนนิ่งขึงอยู่กับที่ เพราะจู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
“ท่านเรียกไปหาเหรอ” เพียงแค่มองปราดเดียวชายหนุ่มก็อ่านสถานการณ์ออกหมด “ขึ้นรถพี่เถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง บอกให้เขาขับนำไป” ฮ่าวป๋อชุนพยักเพยิดไปทางคนขับรถคันหน้าที่หันมาหรี่ตามองเขาบ้าง
ไม่ว่าเลือกทางไหนก็ไม่ทำให้อารมณ์เธอดีขึ้นมาทั้งนั้น แต่หากเธอเลือกไปกับฮ่าวป๋อชุน ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามวลอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนักของเธอตอนนี้จะถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมายิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า
“พี่ฮ่าวคะ ตอนนี้ฉันต้องรีบไปก่อน ไว้เจอกันนะคะ” พูดจบเธอก็ก้าวขึ้นรถอีกคันทันที
ฮ่าวป๋อชุนอารมณ์กรุ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่ได้รู้สึกโกรธที่โดนปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า เพียงแต่เมื่อผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้เลยเริ่มจะกดความรู้สึกไม่ได้ดั่งใจเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ทว่าเซียวเยี่ยนจื่อมีความหมายกับเขามากเกินกว่าจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ท่าทางเฉยชา การปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าของเธอสร้างความผิดหวังให้เขาได้ไม่นานนักหรอก
ชายหนุ่มมองตามรถที่จอดซ้อนอยู่ด้านหน้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ความเงียบภายในห้องโดยสารก่อมวลความอึดอัดกดดันขึ้นมาอย่างน่าประหลาดราวกับอีกเพียงครู่รถคันนี้ก็จะระเบิดออก
แต่แล้วหลังจากความเงียบก่อตัวขึ้นมาได้ครู่เดียว ฮ่าวป๋อชุนก็สั่งคนขับรถให้ขับตามรถที่หญิงสาวโดยสารไปราวกับไม่รู้จักคำว่าย่อท้อ
เซียวเยี่ยนจื่อถูกพามาที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง เธอเดินตามพนักงานหญิงของร้านเข้าไปด้านในโดยที่เข้าใจว่าคนที่รอเธออยู่ที่โต๊ะอาหารเป็นพ่อของเธอ คนที่โทรสั่งให้เธอมาพบ แต่เมื่อเดินใจลอยไปถึงหน้าโต๊ะกลับพบว่าคนที่รออยู่เป็นภรรยาของเขา ภรรยาที่คนส่วนใหญ่รับรู้ว่าเป็นภรรยาคนแรกและคนเดียวของหูจื้อจง ผู้นำสูงสุดของประเทศ
ผู้หญิงวัยกลางคนที่ทั้งเสื้อผ้าและทรงผมเปล่งราศรีคนมีเงิน มีอำนาจทุกกระเบียดนิ้วสบตาเธอแล้วคลี่รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “สีหน้าแบบนี้ ตกใจหรือผิดหวังล่ะ” พูดจบก็หัวเราะในลำคอ “นั่งสิ”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ขยับ “ไม่ล่ะค่ะ ฉันไม่ได้มาพบคุณ คงต้องขอตัว”
“ใช่สิ เธอไม่ได้มาพบฉัน” อีกฝ่ายทำตาโต “แต่ฉันเป็นคนเรียกเธอมาพบเอง อ้อ ใครเป็นคนโทรหาเธอ เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก จริงไหม”
เซียวเยี่ยนจื่อหน้าเครียดขึ้นมาทันที ครอบครัวนี้ต้องการอะไรจากเธอกันแน่
“นั่งเถอะ ไม่งั้นพ่อเธอคงผิดหวังแย่เลยนะ”
หญิงสาวกำหมัดแน่น ก่อนจะนั่งลงตามคำ ‘เชื้อเชิญ’ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าใครจะผิดหวังอย่างที่คนฝั่งตรงข้ามเอ่ย แต่เป็นเพราะเธอรู้ดีว่านั่นคือคำขู่
เซียวเยี่ยนจื่อไม่อยากสูญเสียชีวิตที่สงบสุขของเธอไป หลายปีที่ผ่านมานี้เธออยู่ได้โดยไม่ต้องมีครอบครัวคอยค้ำจุน แม้จะรู้สึกอ้างว้างในบางครั้งแต่คนในครอบครัวที่เหลืออยู่ เธอไม่เคยต้องการ และนี่คือชีวิตที่เธอเลือกแล้ว
“มีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ” เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ยพลางกวาดตามองอาหารละลานตาที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ “คุยกันให้เสร็จค่อยทานเถอะค่ะ เพราะตอนนี้ฉันคงทานไม่ลง”
คนที่เพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้นมาถือ หัวเราะจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่ ก่อนจะวางตะเกียบกลับลงไปที่เดิม “ได้สิ เอาตามเธอว่า เพราะอันที่จริงวันนี้ฉันเองก็เป็นฝ่ายมาขอให้เธอช่วย”
เซียวเยี่ยนจื่อเลิกคิ้ว คนฝั่งตรงข้ามไม่ได้รีบเฉลยออกมาแต่กลับไพล่ไปยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดแทน “น้องชายเธอโตเป็นหนุ่มแล้วนะ ปีหน้าก็จะเข้ามหา’ลัยแล้ว”
ทว่าเรื่องอื่นที่อีกฝ่ายหยิบยกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น กลับทำให้คนฟังรู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องที่เธอจะถูกร้องขอนั้นน่าจะเป็นเรื่องอะไร
การจะเข้ามหาวิทยาลัยในระบบรับตรงนั้น วิธีการหนึ่งคือการใช้งานวิจัยที่มีรางวัลการันตีเป็นใบเบิกทางเข้าไป เนื่องจากมหาวิทยาลัยจะให้คะแนนเพิ่มเป็นพิเศษสำหรับบุคคลที่มีงานวิจัยที่ได้รับรางวัลเป็นส่วนหนึ่งในโปรไฟล์ ซึ่งวิธีการนี้ถือเป็นวิธีลัดที่รัฐบาลออกนโยบายยกเลิกไปแล้ว แต่เป็นที่รู้กันในวงแคบว่าในบางมหาวิทยาลัยยังสามารถใช้วิธีการนี้ได้อยู่
เซี่ยวเยี่ยนจื่อนิ่งเงียบ ทั้งที่ใจจริงเธออยากจะลุกขึ้นมากวาดจานอาหารหลายสิบจานบนโต๊ะลงไปบนพื้นให้หมด เพื่อระบายความคับข้องใจ
“อ้อ ลืมไป” สตรีหมายเลขหนึ่งแสร้งเอ่ย “เธอมีพี่น้องที่ไหนกันล่ะ”
“ใช่ค่ะ ฉันเป็นลูกคนเดียว” เซียวเยี่ยนจื่อไม่สะทกสะท้าน “ดังนั้น สิ่งที่คุณจะขอร้องฉันคือ? ” เธอเลิกคิ้วอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลางหว่างคิ้วกลับไร้รอยกังขา
คนถูกถามมองออกว่าคู่สนทนาเดาได้แล้วจึงยิ้มออกมา เธอค่อนข้างรู้สึกพอใจที่อีกฝ่ายเข้าใจอะไรง่ายดี “เธอเป็นคนฉลาด” เปิดประโยคด้วยคำชมเพื่อที่คนฟังจะได้ตอบรับคำขอร้องง่ายขึ้น อย่างน้อยคนพูดก็เข้าใจว่าเป็นแบบนั้น
“งานวิจัยชิ้นล่าสุดของเธอที่กำลังจะส่งเข้าชิงรางวัล เรียกราคามาได้เลย ในฐานะคนเป็นแม่ฉันทุ่มให้ลูกชายฉันไม่อั้น”
“คนเป็นพ่อก็เห็นด้วยกับไอเดียนี้สินะคะ”
คนถูกถามยิ้มเฉย ไม่ได้มีความหนักใจอยู่ในสีหน้า เธอมั่นใจมากว่าหญิงสาวจะไม่ปฏิเสธ
“ครอบครัวพวกคุณนี่ ทุ่มเทให้ลูกชายเพียงคนเดียวจนน่าอิจฉาเชียวค่ะ” สีหน้าของเซียวเยี่ยนจื่อเรียบเฉย “แต่ว่างานวิจัยของฉัน น่าเสียดายที่มันประเมินค่าไม่ได้”
หญิงสาวรู้ว่าคนฟังจะเข้าใจว่าประเมินค่าไม่ได้นั้นหมายถึงว่าเธอไม่ขาย นอกจากจะไม่ต้องการสนับสนุนการใช้วิธีการที่ไม่ซื่อตรงในการเข้ามหา’ลัยแล้ว เธอก็ยังไม่ได้พร่องในจรรยาบรรณของนักวิจัย เงินและอำนาจล้นฟ้าของพวกเขาซื้อจรรยาบรรณของเธอไม่ได้
“ฉันควรจะปรบมือให้เธอหรือเปล่านะ ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะปฏิเสธคำขอของฉัน” เสียงเยียบเย็นของอีกฝ่ายชวนให้เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกไม่สบายตัว แต่ท่าทีของเธอยังคงแสดงการยืนกราน ไร้วี่แววว่าจะอ่อนลง
คนที่บอกว่าจะทุ่มไม่อั้นเพื่อลูกชายจึงเอ่ยต่อ “หรือว่าต้องให้พ่อเธอเป็นคนมาขอร้อง? ”
เซียวเยี่ยนจื่อนิ่งไปเพียงอึดใจเดียว “เขาคงไม่คิดว่าคุณจะจัดการเรื่องง่ายๆ แค่นี้ด้วยตัวเองไม่ได้มั้งคะ”
ใบหน้ายิ้มน้อยๆ อย่างเป็นต่อของสตรีวัยกลางคนแข็งค้างไปจนจับสังเกตได้ เซียวเยี่ยนจื่อเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออก “อีกอย่าง ช่วงนี้ท่านก็กำลังกวาดล้างการทุจริต เรื่องแบบนี้จริงๆ แล้วท่านคงไม่มีส่วนรู้เห็นกับคุณ ใช่ไหมละคะ” เธอจงใจเน้นเสียงในประโยคท้าย
ที่ต้องเป็นงานวิจัยของเธอก็คงเพราะแบบนี้ พวกเขารู้ว่าเธอจะไม่มีวันแพร่งพรายเรื่องนี้ เพราะเธอที่เป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบคงไม่กล้าเสี่ยงทำเรื่องที่เป็นอันตรายกับตัวเองแบบนั้น
และเธอรู้มานานแล้วว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดไม่เคยมีความห่วงใยในตัวเธอหรือกระทั่งไม่เคยเห็นเธอเป็นลูกสาว ดังนั้น พวกเขามีวิธีการมากมายที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า เธอจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด
แต่พวกคนมีอำนาจมักจะมีข้อบกพร่องที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเขามักจะมั่นใจในตัวเองจนเกินไป
ความจริงแล้ว การที่เธอไม่เหลือใครในชีวิตอีกแล้วเป็นแต้มต่อของเธอ เธอไม่ห่วงชีวิตตัวเองและยิ่งไม่มีคนข้างหลังให้ต้องคอยห่วงกังวล
“หมดธุระแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” เธอลุกขึ้นทันทีที่เอ่ยจบประโยค
ไม่มีการเรียกรั้ง หรือการทิ้งท้ายด้วยประโยคข่มขู่ เหน็บแนม
เซียวเยี่ยนจื่อหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังจึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าใบหน้าของสตรีหมายเลขหนึ่งตอนนี้ทั้งซีดขาวและเคร่งเครียด
สตรีวัยกลางคนลนลานหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาต่อสายหาใครบางคนทันที “คุณผู้หญิงคะ” ท่าทีวางอำนาจเปลี่ยนเป็นหงอสั่น ราวกับมาดนางพญาเมื่อครู่เป็นแค่การแสดง “ฉันขอโทษค่ะ ไม่ว่าจะกล่อมจะขู่ยังไงมันก็ปฏิเสธท่าเดียว”
หลายวันก่อนเธอโทรไปบอกคนปลายสายว่าลูกชายของอีกฝ่ายทะเลาะกับคนเป็นพ่อใหญ่โตเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะแม้แต่การสอบปลายภาคระดับมัธยม เจ้าตัวก็ยังทำให้คนเป็นพ่อขายหน้า
อีกฝ่ายซึ่งเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งตัวจริงเลยบอกแผนการกับเธอมาเป็นฉากๆ ราวกับผ่านการไตร่ตรองมาแล้วเป็นอย่างดี เธอรู้สึกว่าแผนการที่ได้ฟังนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าคุณผู้ชายของบ้านเองดันเห็นด้วยกับแผนการนี้
เธอที่สวมบทบาทสตรีหมายเลขหนึ่งมาโดยตลอด แม้จะยังกล้าๆ กลัวๆ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งจากเจ้านาย วันนี้เธอเลยต้องมาแสดงละครต่อหน้าลูกสาวเจ้านายอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เจออีกฝ่ายมาหลายปี
“ฉันเดาไว้อยู่แล้วล่ะ” ปลายสายตอบกลับมาเรียบๆ “ปล่อยมันไป ฉันมีวิธีอื่น”
เห็นสตรีหมายเลขหนึ่งตัวจริงไม่ได้มีอารมณ์กับการทำงานพลาดของเธอ เกาถานจึงพอหายใจหายคอโล่งขึ้น ทั้งยังเกิดความใจกล้าขึ้นมา “ที่คุณผู้หญิงไปฮาร์บินก็เพื่อจัดการเรื่องนี้เหรอคะ คราวนี้มันคงต้องยอมแน่ ฉันละอยากให้คุณผู้หญิงเห็นท่าทางหน้าตั้งคอเชิดของมันเมื่อกี้นี้จริงๆ ”
เสียงพ่นลมหายใจอย่างดูแคลนดังมาตามสาย “ท่าทางอย่างนั้นน่ะ ฉันเห็นมาแล้วล่ะ”
Comments (0)