18 ตอน บทที่ 10(1)_พี่ฮ่าว
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 10(1)
พี่ฮ่าว
Trigger Warnings/Content Warnings
การทำแท้ง
“ใช่ สนใจมาก” เซียวเยี่ยนจื่อยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันอยากทำความรู้จักเขามากๆ เพราะฉะนั้นฉันจะไปเคาะห้องเขาเดี๋ยวนี้แหละ” หญิงสาวพูดพร้อมกับลุกขึ้น
ฟางเซียงเซียงรีบถอดถุงมือออก โยนไว้ทางหนึ่งแล้วเดินเข้ามาขวางทันที “แกจะบ้าหรือไง”
เซียวเยี่ยนจื่อทิ้งตัวนั่งลง ทำหน้าล้อ “ใช่ ฉันต้องบ้าแน่ๆ ถ้าเกิดจู่ๆ ก็สนใจใครที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาแบบนี้”
ฟางเซียงเซียงกลอกตา ทำหน้าระอาใส่อย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะเดินกลับไปเก็บข้าวของในห้องน้ำที่หยิบออกมาใช้กลับเข้าที่เดิม
เซียวเยี่ยนจื่ออาศัยจังหวะนี้ย่องออกจากห้องไป เดินมุ่งหน้าไปที่ป้อมรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่ตึกของอะพาร์ตเมนต์
คนสองสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อวันก่อนล้วนอยู่ครบ หญิงสาวรีบสอดตัวเข้าไปร่วมวงกับพวกเขาโดยไม่ให้มีคนข้างนอกทันสังเกตเห็น เพราะการมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเหมาะสม
“สวัสดีค่ะทุกคน” เธอยิ้มแย้มทักทายอย่างร่าเริงเกินพอดี หากใครรู้จักเธอก็คงมองออกว่านี่เป็นการแสดง
อาอี๋สองคนที่กำลังสุมหัวนินทาจนหัวเกือบชนกันสะดุ้ง หันขวับมามองต้นเสียงอย่างเซียวเยี่ยนจื่อเป็นตาเดียว
หญิงวัยกลางคนทั้งสองแสดงสีหน้าว่าจดจำเธอได้ทันที
“เมื่อวันก่อนขอบคุณคุณสองคนมากเลยนะคะ” เซียวเยี่ยนจื่อรีบนั่งลงชวนพวกเขาคุยเพื่อสร้างความสนิทสนม “ถ้าไม่ได้พวกคุณเพื่อนฉันคงแย่”
สองคนที่ได้รับคำขอบคุณมีสีหน้ากระอักกระอ่วน กลอกตามองกันเลิ่กลั่ก นี่เป็นการมาขอบคุณที่ไหนกัน เห็นๆ อยู่ว่ามาทำให้พวกตนลำบากใจ
วันนั้นนอกจากสอดรู้สอดเห็นจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แม้แต่การแสดงความห่วงใยตามประสาคนอยู่อาศัยใกล้เคียงกันพวกตนก็ยังไม่ได้ทำ
“ไม่เป็นไรๆ ” อาอี๋ที่เซียวเยี่ยนจื่อจำได้ว่าเป็นแม่ของพนักงานรักษาความปลอดภัยของอะพาร์ตเมนต์ ทั้งยังเป็นเจ้าของห้องเช่าฝั่งตรงข้ามกับฟางเซียงเซียงโบกมือไปมาตรงหน้าตัวเอง “คนบ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้น”
อาอี๋อีกคนสีหน้าลำบากใจกว่าเดิม ไม่คิดว่าเพื่อนตัวเองจะกล้ารับคำขอบคุณทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ตนเองจึงยังคงปิดปากเงียบ
“ลำบากแล้วนะ อุตส่าห์มาขอบคุณถึงที่นี่”
เซียวเยี่ยนจื่อยิ้ม เธอไม่ได้ถือสาที่พวกเขาไม่มีความละอาย เพราะที่เธอมาขอบคุณพวกเขาก็ไม่ได้มีความจริงใจเหมือนกัน
“เล็กน้อยค่ะ วันนั้นเหมือนพวกคุณจะออกเงินค่ารถพยายาลให้ฉันนะคะ ฉันก็เลยถือโอกาสมาคืนเงินด้วยค่ะ”
หญิงวัยกลางคนทั้งสองพลันหันมาสบตากัน มองเห็นพิรุธจากท่าทางนี้ได้ชัดเจน
ความจริงต่อให้พวกเขายืนยันว่าเป็นคนจ่ายค่ารถพยาบาลให้เธอ เซียวเยี่ยนจื่อก็ไม่เชื่อเด็ดขาด เธอจึงแสร้งเอ่ยขึ้นมาว่า “หรือว่าฉันเข้าใจผิดไปคะเนี่ย”
“ดูเหมือนหนูจะเข้าใจผิดไปจริงๆ นั่นแหละ” อาอี๋ที่เงียบมาตลอดพูดขึ้น “แต่ถ้าจะหาคนเพื่อคืนเงินให้จริงๆ ล่ะก็…” หางเสียงถูกลากยาว ขณะที่คนพูดสบตากับเพื่อนอย่างมีความหมาย
อาอี๋อีกคนรีบรับไม้ต่อ “หนูอยากคืนเงินให้เขาจริงๆ เหรอ เขาอาจจะอยากช่วยก็ได้นะ”
คำพูดนี้เซียวเยี่ยนจื่อฟังแล้วรอยยิ้มกลายเป็นแข็งค้างขึ้นมาทันที สองคนนี้ช่างใส่ใจเพื่อนบ้านจนทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ
“พวกคุณรู้เหรอคะว่าใครช่วยฉัน”
“รู้สิ” ทั้งสองคนตอบออกมาพร้อมกัน
อาอี๋ที่มีลูกชายเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยพูดต่อ “เขาเป็นคนเช่าห้องฉันเอง ฉันว่าหนูอย่าไปยุ่งกับเขาเลย ในเมื่อเขาอยากใช้เงินก็ปล่อยเขาไปเถอะ”
อีกฝ่ายพูดแบบนี้กลับยิ่งทำให้เธอสงสัยหนักขึ้น จนไม่ว่ายังไงก็คงไม่ยุ่งไม่ได้ “เขาเป็นคนที่ไม่น่าไปยุ่งด้วยขนาดนั้นเลยเหรอคะ ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมคุณถึงกล้าให้เขาเช่าห้องล่ะคะ”
คนถูกถามทำหน้ายุ่ง วันนั้นพวกตนแอบย่องตามหญิงสาวไป เพราะอีกฝ่ายลืมปิดประตู ทำให้รับรู้ความเป็นไปในห้องได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นแล้วก็ยังสังเกตเห็นผู้เช่ารายนั้นทำตัวแปลกๆ ตนเห็นๆ อยู่ว่าเจ้าตัวเองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น ท่าทางเหมือนรู้จักคนด้านใน อยากจะเข้าไปช่วย แต่กลับยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าห้อง ไม่ยอมเข้าไป ทั้งยังช่วยโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลมาให้ด้วยซ้ำ
ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าสองฝ่ายไม่รู้จักกันมาก่อน อีกอย่างตนที่เป็นเจ้าของห้องเช่ากลับไม่เคยเห็นหน้าฝ่ายนั้นเต็มๆ เลยสักครั้ง พวกตนเลยคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นทำตัวลึกลับเกินไป
แต่ว่าเรื่องนี้หากตอบออกไปตรงๆ ก็เท่ากับเป็นการแฉตัวเองเสียเปล่าๆ
“แหมแม่หนู ดูคนก็ใช่ว่าจะดูแต่ภายนอกได้” คนพูดลากเสียงยาวอย่างกระมิดกระเมี้ยน “เอกสารที่เขายื่นตอนตกลงเช่าห้องไม่มีอะไรผิดปกติเลยนะ แค่คนเขามักจะชอบปิดหน้าปิดตาเท่านั้น”
เซียวเยี่ยนจื่อเกือบจะหลุดขำกับการพลิกลิ้นอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย นี่แสดงว่าคงจะรู้อะไรมาเยอะแต่ไม่อยากเปิดโปงตัวเองว่าเป็นคนสอดรู้สอดเห็นสินะ
เห็นหญิงสาวนิ่งเงียบไป อาอี๋ก็ร้อนตัว “ถ้าหนูอยากจะเจอเขาเพื่อขอบคุณจริงๆ ก็ลองไปเคาะห้องเขาดูสิ”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่รู้ว่าอาอี๋สองคนนี้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ จู่ๆ หญิงสาวเลยฉุกคิดขึ้นมาว่า ถ้าผู้ชายคนที่ช่วยเธอแบกฟางเซียงเซียงลงมาจากห้องคนนั้นไม่ใช่ผู้เช่าของอาอี๋คนนี้ที่อีกฝ่ายเห็นว่าเขาเป็นคนจ่ายค่ารถพยาบาลให้เธอ แต่เป็นเธอที่เข้าใจผิดไปเองล่ะ
วันนั้นความจริงแล้วเธอก็แค่สรุปเอาเองว่าเขาดูเหมือนจะเพิ่งออกมาจากห้องพักฝั่งตรงข้าม ใช่ว่าเธอเห็นจะจะตาเสียเมื่อไร
“คุณพอจะบอกรูปร่างลักษณะของเขาให้ฉันฟังได้ไหมคะ” เซียวเยี่ยนจื่อจ้องอาอี๋อย่างคาดหวัง “ถ้าเกิดผิดฝาผิดตัวขึ้นมาจะแย่เอา”
“นี่…” อาอี๋ทั้งสองคนตะลึงไป “จะเจอคนให้ได้จริงๆ เหรอ”
ใครว่าล่ะ
เธอคิดอย่างแต่กลับตอบอีกอย่าง “จริงสิคะ ฉันว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ชอบทำดีไม่หวังผลก็ได้ ทำตัวลึกลับขนาดนี้” เธอหัวเราะอย่างมีจริต
คนถูกคาดคั้นนิ่มๆ กระแอม “ก็…ฉันเห็นเขามักจะใส่หมวกแก๊ป เหมือนไม่อยากให้ใครเห็นหน้า” เงียบไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิดก็เอ่ยต่อว่า “แต่นอกจากหน้าตาของเขาที่เห็นไม่ชัดแล้ว อย่างอื่นล้วนดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร ต่อให้เห็นห่างออกไปหลายจั้งก็จำได้ทันทีแน่ๆ”
จู่ๆ อาอี๋ก็ยืนขึ้น แล้วชูมือขึ้นเหนือศีรษะตัวเองราวสิบชุ่น “คนสูงประมาณนี้ ถือว่าสูงกว่ามาตรฐานผู้ชายทั่วไป สูบบุหรี่ด้วยแน่ะ กลิ่นบุหรี่จากตัวเขานี่ชัดเจนมาก” อาอี๋ลากเสียงยาว
ดวงตาเซียวเยี่ยนจื่อหรี่ลง วันนั้นเธอก็ได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ออกมาจากตัวผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน ไม่ผิดแน่แล้ว ผู้ชายคนนั้นเป็นคนช่วยเธอจัดการเรื่องหลายเรื่องจนดูเหมือนเป็นความบังเอิญไปเสียหมด ทั้งยังพักอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกับฟางเซียงเซียงด้วย หรือว่านี่ก็เป็นความจงใจของเขา
“คุณแน่ใจนะคะ”
“แน่ใจสิ ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้นนะ” เจ้าตัวพยักหน้ายืนยันหนักแน่น “เป็นคนผิวค่อนข้างขาวด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนสำอางอะไรก็เลยมีร่องรอยแดดบ่มให้เห็น”
เซียวเยี่ยนจื่อเลิกคิ้วทำหน้าประหลาด อะไรจะลึกและละเอียดขนาดนั้น อากาศแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็แต่งตัวมิดชิดหรอกเหรอ
“ฉันเป็นคนช่างสังเกตและความจำดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้วน่ะ เห็นครั้งเดียวก็จำได้ไม่ลืม” คนเล่าหัวเราะเขินๆ รีบโบกมือเป็นพัลวันเพราะกลัวจะถูกหาว่าแต่งเรื่องหรือไม่ก็โดนจับได้ว่าใส่ใจคนอื่นจนถึงขั้นนี้
“บังเอิญวันนั้นฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกันที่เขาไม่ใส่ถุงมือ ไม่ใช่แค่นั้นนะ เสื้อก็ยังใส่แค่แจ็กเก็ตทับเสื้อด้านในตัวเดียว ทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้ เป็นคนที่ดูลึกลับและแปลกมากจริงๆ อย่างที่ฉันบอกไหมล่ะ”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่สนใจคำพูดกลบเกลื่อนของอีกฝ่าย เธอพยักหน้าช้าๆ กับตัวเอง
คนคนนี้ถึงดูไม่น่าจะเป็นสตอล์กเกอร์ แต่พฤติกรรมของเขาล้วนชี้เป้าไปในทางนั้น เพราะฉะนั้นต่อให้เขาเคยช่วยเธอไว้ครั้งหนึ่ง แต่ถ้าหากมีการล้ำเส้นกันมากกว่านี้เธอไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่
พอรู้คำตอบที่ต้องการเซียวเยี่ยนจื่อก็ขอตัวออกมาทันที ไม่เสียเวลาพูดคุยต่อเพื่อสานสัมพันธ์อันดีในอนาคตกับหญิงวัยกลางคนทั้งสองด้วยซ้ำ
ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวล้วงมันขึ้นมาดูหน้าจอ พอเห็นว่าชื่อที่ปรากฏอยู่บนนั้นเป็นชื่อของฮ่าวป๋อชุนเธอก็กดปิดหน้าจอโดยไม่ลังเล ปล่อยให้โทรศัพท์สั่นไปเรื่อยๆ แบบนั้น
จังหวะที่เงยหน้าขึ้น เซียวเยี่ยนจื่อถึงกับผงะ ไม่รู้ว่าฟางเซียงเซียงมายืนอยู่ข้างหลังเธอเมื่อไร ไม่ยืนเฉยเปล่าๆ แต่ยังชะโงกหน้ามาใกล้จนผมของเธอกับอีกฝ่ายปลิวไสวมาแตะกัน
ท่าทางของฟางเซียงเซียงแสดงออกชัดว่าตั้งใจจะแกล้งเธอ แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับเหม่อลอย มองดูขัดแย้งกันอยู่ในที แต่เซียวเยี่ยนจื่อยังปรับอารมณ์ตัวเองไม่ทัน ถึงมองเห็นความผิดปกติแต่ก็ยังไม่ทันเอะใจ
“ตกอกตกใจหมด” หญิงสาวลูบอกตัวเอง “แกนะแก”
“สมน้ำหน้า” ฟางเซียงเซียงฝืนยิ้ม “สืบเรื่องหนุ่มในดวงใจได้ถึงไหนแล้วล่ะ”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ปฏิเสธคำหยอกล้อ ทั้งยังปั้นยิ้มหน้าระรื่น “ถึงแก่นเลยแหละ”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้ตกลงกับฟางเซียงเซียงเอาไว้ก่อนว่าคืนนี้เธอจะค้างคืนที่นี่ แต่จนท้องฟ้ามืดแล้วหญิงสาวก็ยังคงขลุกอยู่ในห้องเพื่อน จึงถือเป็นอันเข้าใจตรงกันระหว่างเธอกับเจ้าของห้อง ว่าเซียวเยี่ยนจื่อคงจะพักอยู่กับฟางเซียงเซียงไปอีกสักระยะ
หญิงสาวไม่พูดอะไร แต่ฟางเซียงเซียงรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่วางใจเรื่องสภาพจิตใจของเธอ
เซียวเยี่ยนจื่อย่อมไม่มีทางวางใจ เพราะตั้งแต่กลับมาจากป้อมรักษาความปลอดภัย เธอก็สังเกตเห็นว่าท่าทางสดใสของฟางเซียงเซียงที่ตกค้างมาจากการได้เจอเทียนเป่านั้นเปลี่ยนไป อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ดูเซื่องซึม เหม่อลอยแปลกๆ ไม่รู้ว่าเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เพื่อจะแกล้งเธอเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา หรือว่าตั้งแต่ตอนไหน
เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกแล้ว ที่ตัวเองความรู้สึกช้าได้ขนาดนี้
หลังต่างคนต่างนั่งกินบะหมี่กันคนละมุมท่ามกลางความเงียบจนหมด เซียวเยี่ยนจื่อก็ได้จังหวะ “มา ฉันขอจ่ายค่าเช่าเป็นแรงงานแทนละกันนะ” มือเรียวแบออกไปรอรับชามบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้าฟางเซียงเซียง “เดี๋ยวฉันล้างเอง”
เจ้าของห้องเหลือบตาขึ้นมอง “ห้องฉันไม่มีเครื่องล้างจาน” ก่อนจะถามเพื่อยืนยันคำขันอาสาของเพื่อน “แกลืม?”
มือที่แบรอของเซียวเยี่ยนจื่อขยับมาเท้าสะเอว “ฉันดูเป็นคนที่พอไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกก็กลายเป็นง่อยไปเลยรึไง”
ฟางเซียงเซียงทำสีหน้ากลั้นขำ “ฉันไม่ได้พูดนะ” ในที่สุดก็ยอมยกชามเปล่าของตัวเองยื่นให้อีกฝ่าย
เซียวเยี่ยนจื่อสองมือถือชาม สองเท้าเดินไปที่อ่างล้างจาน แต่สมองกลับครุ่นคิดว่าจะเริ่มพูดยังไงดี
ระหว่างที่ลงมือล้างจานหญิงสาวก็ส่งเสียงเรียกโดยไม่ได้หันมา “นี่ เซียงเซียง”
เสียงขานรับเนือยๆ ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงจากโทรทัศน์ที่เพิ่งจะถูกกดเปิด
เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกว่าแบบนี้ช่วยลดความอึดอัดใจของเธอได้ไม่น้อยเลย “แกมีเรื่องในใจใช่ไหม” เธอตะเบ็งเสียงให้ดังกว่าระดับเสียงของโทรทัศน์เล็กน้อย “ฉันโอเคเลยนะ ถ้าแกจะเล่าให้ฉันฟัง ไม่มีปัญหาเลย”
ถึงจะมีเสียงโทรทัศน์ดังอยู่เป็นระยะจนไม่ทำให้บรรยากาศเงียบเกินไป แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากปากฟางเซียงเซียงคนที่จดจ่อรอฟังก็อดใจแป้วไม่ได้เหมือนกัน
หญิงสาวรีบเก็บชามที่ล้างเสร็จเรียบร้อยและเช็ดจนแห้งเข้าไปในลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์ แล้วเดินออกมาหาเพื่อน เพื่อจะได้สนทนากันได้ถนัดๆ และสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าฟางเซียงเซียงไม่ได้สนใจเนื้อหาในโทรทัศน์ เธอนั่งเหม่อลอยจนเซียวเยี่ยนจื่อใจหาย ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนกับศพไม่มีผิด
“เซียงเซียง” เซียวเยี่ยนจื่อลนลานคว้ามือเพื่อนมากุมไว้ “ฉันไม่อยากรู้แล้ว แกไม่ต้องใส่ใจที่ฉันพูดแล้ว”
ฟางเซียงเซียงยังคงเงียบแต่สีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาคล้ายกำลังถกเถียงกับตัวเองก็ทำให้คนที่ลอบสังเกตอยู่แอบถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยก็ดีกว่าสีหน้าแข็งทื่อเหมือนคนตาย
เซียวเยี่ยนจื่อขยับตัวนั่งหันหน้าเข้าหาจอโทรทัศน์ กอดแขนซบไหล่คนข้างๆ ท่าทางคล้ายกำลังออดอ้อน แล้วทำเป็นจดจ่อกับเนื้อหาที่สะท้อนผ่านจอ เรื่องที่ควรหัวเราะก็หัวเราะจนเต็มเสียง เรื่องที่ควรวิจารณ์ก็ส่งเสียงวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน พยายามดึงความสนใจของอีกฝ่ายด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงของตัวเอง
แต่ทั้งหมดที่เธอทำกลับไร้ผล เมื่อจู่ๆ ฟางเซียงเซียงก็โพล่งถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “พี่ฮ่าว... ฉันเห็นชื่อนี้โทรเข้ามาหาแก” ชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังไม่เลิกหมกมุ่นกับความคิดตัวเองที่เซียวเยี่ยนจื่อเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมา “แกมีคนรู้จักแซ่นี้ด้วยเหรอ”
Comments (0)