บทที่ 10(1)

พี่ฮ่าว

Trigger Warnings/Content Warnings

การทำแท้ง

ใช่ สนใจมากเซียวเยี่ยนจื่อยิ้มเจ้าเล่ห์ ฉันอยากทำความรู้จักเขามากๆ เพราะฉะนั้นฉันจะไปเคาะห้องเขาเดี๋ยวนี้แหละหญิงสาวพูดพร้อมกับลุกขึ้น

ฟางเซียงเซียงรีบถอดถุงมือออก โยนไว้ทางหนึ่งแล้วเดินเข้ามาขวางทันที แกจะบ้าหรือไง

เซียวเยี่ยนจื่อทิ้งตัวนั่งลง ทำหน้าล้อ ใช่ ฉันต้องบ้าแน่ๆ ถ้าเกิดจู่ๆ ก็สนใจใครที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาแบบนี้

ฟางเซียงเซียงกลอกตา ทำหน้าระอาใส่อย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะเดินกลับไปเก็บข้าวของในห้องน้ำที่หยิบออกมาใช้กลับเข้าที่เดิม

เซียวเยี่ยนจื่ออาศัยจังหวะนี้ย่องออกจากห้องไป เดินมุ่งหน้าไปที่ป้อมรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่ตึกของอะพาร์ตเมนต์

คนสองสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อวันก่อนล้วนอยู่ครบ หญิงสาวรีบสอดตัวเข้าไปร่วมวงกับพวกเขาโดยไม่ให้มีคนข้างนอกทันสังเกตเห็น เพราะการมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเหมาะสม

สวัสดีค่ะทุกคนเธอยิ้มแย้มทักทายอย่างร่าเริงเกินพอดี หากใครรู้จักเธอก็คงมองออกว่านี่เป็นการแสดง

อาอี๋สองคนที่กำลังสุมหัวนินทาจนหัวเกือบชนกันสะดุ้ง หันขวับมามองต้นเสียงอย่างเซียวเยี่ยนจื่อเป็นตาเดียว

หญิงวัยกลางคนทั้งสองแสดงสีหน้าว่าจดจำเธอได้ทันที

เมื่อวันก่อนขอบคุณคุณสองคนมากเลยนะคะเซียวเยี่ยนจื่อรีบนั่งลงชวนพวกเขาคุยเพื่อสร้างความสนิทสนม ถ้าไม่ได้พวกคุณเพื่อนฉันคงแย่

สองคนที่ได้รับคำขอบคุณมีสีหน้ากระอักกระอ่วน กลอกตามองกันเลิ่กลั่ก นี่เป็นการมาขอบคุณที่ไหนกัน เห็นๆ อยู่ว่ามาทำให้พวกตนลำบากใจ

วันนั้นนอกจากสอดรู้สอดเห็นจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แม้แต่การแสดงความห่วงใยตามประสาคนอยู่อาศัยใกล้เคียงกันพวกตนก็ยังไม่ได้ทำ

ไม่เป็นไรๆ อาอี๋ที่เซียวเยี่ยนจื่อจำได้ว่าเป็นแม่ของพนักงานรักษาความปลอดภัยของอะพาร์ตเมนต์ ทั้งยังเป็นเจ้าของห้องเช่าฝั่งตรงข้ามกับฟางเซียงเซียงโบกมือไปมาตรงหน้าตัวเอง คนบ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้น

อาอี๋อีกคนสีหน้าลำบากใจกว่าเดิม ไม่คิดว่าเพื่อนตัวเองจะกล้ารับคำขอบคุณทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ตนเองจึงยังคงปิดปากเงียบ

ลำบากแล้วนะ อุตส่าห์มาขอบคุณถึงที่นี่

เซียวเยี่ยนจื่อยิ้ม เธอไม่ได้ถือสาที่พวกเขาไม่มีความละอาย เพราะที่เธอมาขอบคุณพวกเขาก็ไม่ได้มีความจริงใจเหมือนกัน

เล็กน้อยค่ะ วันนั้นเหมือนพวกคุณจะออกเงินค่ารถพยายาลให้ฉันนะคะ ฉันก็เลยถือโอกาสมาคืนเงินด้วยค่ะ

หญิงวัยกลางคนทั้งสองพลันหันมาสบตากัน มองเห็นพิรุธจากท่าทางนี้ได้ชัดเจน

ความจริงต่อให้พวกเขายืนยันว่าเป็นคนจ่ายค่ารถพยาบาลให้เธอ เซียวเยี่ยนจื่อก็ไม่เชื่อเด็ดขาด เธอจึงแสร้งเอ่ยขึ้นมาว่า หรือว่าฉันเข้าใจผิดไปคะเนี่ย

ดูเหมือนหนูจะเข้าใจผิดไปจริงๆ นั่นแหละอาอี๋ที่เงียบมาตลอดพูดขึ้น แต่ถ้าจะหาคนเพื่อคืนเงินให้จริงๆ ล่ะก็…” หางเสียงถูกลากยาว ขณะที่คนพูดสบตากับเพื่อนอย่างมีความหมาย

อาอี๋อีกคนรีบรับไม้ต่อ หนูอยากคืนเงินให้เขาจริงๆ เหรอ เขาอาจจะอยากช่วยก็ได้นะ

คำพูดนี้เซียวเยี่ยนจื่อฟังแล้วรอยยิ้มกลายเป็นแข็งค้างขึ้นมาทันที สองคนนี้ช่างใส่ใจเพื่อนบ้านจนทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ

พวกคุณรู้เหรอคะว่าใครช่วยฉัน

รู้สิทั้งสองคนตอบออกมาพร้อมกัน

อาอี๋ที่มีลูกชายเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยพูดต่อ เขาเป็นคนเช่าห้องฉันเอง ฉันว่าหนูอย่าไปยุ่งกับเขาเลย ในเมื่อเขาอยากใช้เงินก็ปล่อยเขาไปเถอะ

อีกฝ่ายพูดแบบนี้กลับยิ่งทำให้เธอสงสัยหนักขึ้น จนไม่ว่ายังไงก็คงไม่ยุ่งไม่ได้ เขาเป็นคนที่ไม่น่าไปยุ่งด้วยขนาดนั้นเลยเหรอคะ ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมคุณถึงกล้าให้เขาเช่าห้องล่ะคะ

คนถูกถามทำหน้ายุ่ง วันนั้นพวกตนแอบย่องตามหญิงสาวไป เพราะอีกฝ่ายลืมปิดประตู ทำให้รับรู้ความเป็นไปในห้องได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นแล้วก็ยังสังเกตเห็นผู้เช่ารายนั้นทำตัวแปลกๆ ตนเห็นๆ อยู่ว่าเจ้าตัวเองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น ท่าทางเหมือนรู้จักคนด้านใน อยากจะเข้าไปช่วย แต่กลับยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าห้อง ไม่ยอมเข้าไป ทั้งยังช่วยโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลมาให้ด้วยซ้ำ

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าสองฝ่ายไม่รู้จักกันมาก่อน อีกอย่างตนที่เป็นเจ้าของห้องเช่ากลับไม่เคยเห็นหน้าฝ่ายนั้นเต็มๆ เลยสักครั้ง พวกตนเลยคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นทำตัวลึกลับเกินไป

แต่ว่าเรื่องนี้หากตอบออกไปตรงๆ ก็เท่ากับเป็นการแฉตัวเองเสียเปล่าๆ

แหมแม่หนู ดูคนก็ใช่ว่าจะดูแต่ภายนอกได้คนพูดลากเสียงยาวอย่างกระมิดกระเมี้ยน เอกสารที่เขายื่นตอนตกลงเช่าห้องไม่มีอะไรผิดปกติเลยนะ แค่คนเขามักจะชอบปิดหน้าปิดตาเท่านั้น

เซียวเยี่ยนจื่อเกือบจะหลุดขำกับการพลิกลิ้นอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย นี่แสดงว่าคงจะรู้อะไรมาเยอะแต่ไม่อยากเปิดโปงตัวเองว่าเป็นคนสอดรู้สอดเห็นสินะ

เห็นหญิงสาวนิ่งเงียบไป อาอี๋ก็ร้อนตัว ถ้าหนูอยากจะเจอเขาเพื่อขอบคุณจริงๆ ก็ลองไปเคาะห้องเขาดูสิ

เซียวเยี่ยนจื่อไม่รู้ว่าอาอี๋สองคนนี้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ จู่ๆ หญิงสาวเลยฉุกคิดขึ้นมาว่า ถ้าผู้ชายคนที่ช่วยเธอแบกฟางเซียงเซียงลงมาจากห้องคนนั้นไม่ใช่ผู้เช่าของอาอี๋คนนี้ที่อีกฝ่ายเห็นว่าเขาเป็นคนจ่ายค่ารถพยาบาลให้เธอ แต่เป็นเธอที่เข้าใจผิดไปเองล่ะ

วันนั้นความจริงแล้วเธอก็แค่สรุปเอาเองว่าเขาดูเหมือนจะเพิ่งออกมาจากห้องพักฝั่งตรงข้าม ใช่ว่าเธอเห็นจะจะตาเสียเมื่อไร

คุณพอจะบอกรูปร่างลักษณะของเขาให้ฉันฟังได้ไหมคะเซียวเยี่ยนจื่อจ้องอาอี๋อย่างคาดหวัง ถ้าเกิดผิดฝาผิดตัวขึ้นมาจะแย่เอา

นี่…” อาอี๋ทั้งสองคนตะลึงไป จะเจอคนให้ได้จริงๆ เหรอ

ใครว่าล่ะ

เธอคิดอย่างแต่กลับตอบอีกอย่าง จริงสิคะ ฉันว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ชอบทำดีไม่หวังผลก็ได้ ทำตัวลึกลับขนาดนี้เธอหัวเราะอย่างมีจริต

คนถูกคาดคั้นนิ่มๆ กระแอม ก็ฉันเห็นเขามักจะใส่หมวกแก๊ป เหมือนไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเงียบไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิดก็เอ่ยต่อว่า แต่นอกจากหน้าตาของเขาที่เห็นไม่ชัดแล้ว อย่างอื่นล้วนดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร ต่อให้เห็นห่างออกไปหลายจั้งก็จำได้ทันทีแน่ๆ

จู่ๆ อาอี๋ก็ยืนขึ้น แล้วชูมือขึ้นเหนือศีรษะตัวเองราวสิบชุ่น คนสูงประมาณนี้ ถือว่าสูงกว่ามาตรฐานผู้ชายทั่วไป สูบบุหรี่ด้วยแน่ะ กลิ่นบุหรี่จากตัวเขานี่ชัดเจนมากอาอี๋ลากเสียงยาว

ดวงตาเซียวเยี่ยนจื่อหรี่ลง วันนั้นเธอก็ได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ออกมาจากตัวผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน ไม่ผิดแน่แล้ว ผู้ชายคนนั้นเป็นคนช่วยเธอจัดการเรื่องหลายเรื่องจนดูเหมือนเป็นความบังเอิญไปเสียหมด ทั้งยังพักอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกับฟางเซียงเซียงด้วย หรือว่านี่ก็เป็นความจงใจของเขา

คุณแน่ใจนะคะ

แน่ใจสิ ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้นนะเจ้าตัวพยักหน้ายืนยันหนักแน่น เป็นคนผิวค่อนข้างขาวด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนสำอางอะไรก็เลยมีร่องรอยแดดบ่มให้เห็น

เซียวเยี่ยนจื่อเลิกคิ้วทำหน้าประหลาด อะไรจะลึกและละเอียดขนาดนั้น อากาศแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็แต่งตัวมิดชิดหรอกเหรอ

ฉันเป็นคนช่างสังเกตและความจำดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้วน่ะ เห็นครั้งเดียวก็จำได้ไม่ลืมคนเล่าหัวเราะเขินๆ รีบโบกมือเป็นพัลวันเพราะกลัวจะถูกหาว่าแต่งเรื่องหรือไม่ก็โดนจับได้ว่าใส่ใจคนอื่นจนถึงขั้นนี้

 บังเอิญวันนั้นฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกันที่เขาไม่ใส่ถุงมือ ไม่ใช่แค่นั้นนะ เสื้อก็ยังใส่แค่แจ็กเก็ตทับเสื้อด้านในตัวเดียว ทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้ เป็นคนที่ดูลึกลับและแปลกมากจริงๆ อย่างที่ฉันบอกไหมล่ะ

เซียวเยี่ยนจื่อไม่สนใจคำพูดกลบเกลื่อนของอีกฝ่าย เธอพยักหน้าช้าๆ กับตัวเอง

คนคนนี้ถึงดูไม่น่าจะเป็นสตอล์กเกอร์ แต่พฤติกรรมของเขาล้วนชี้เป้าไปในทางนั้น เพราะฉะนั้นต่อให้เขาเคยช่วยเธอไว้ครั้งหนึ่ง แต่ถ้าหากมีการล้ำเส้นกันมากกว่านี้เธอไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่

พอรู้คำตอบที่ต้องการเซียวเยี่ยนจื่อก็ขอตัวออกมาทันที ไม่เสียเวลาพูดคุยต่อเพื่อสานสัมพันธ์อันดีในอนาคตกับหญิงวัยกลางคนทั้งสองด้วยซ้ำ

ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวล้วงมันขึ้นมาดูหน้าจอ พอเห็นว่าชื่อที่ปรากฏอยู่บนนั้นเป็นชื่อของฮ่าวป๋อชุนเธอก็กดปิดหน้าจอโดยไม่ลังเล ปล่อยให้โทรศัพท์สั่นไปเรื่อยๆ แบบนั้น

จังหวะที่เงยหน้าขึ้น เซียวเยี่ยนจื่อถึงกับผงะ ไม่รู้ว่าฟางเซียงเซียงมายืนอยู่ข้างหลังเธอเมื่อไร ไม่ยืนเฉยเปล่าๆ แต่ยังชะโงกหน้ามาใกล้จนผมของเธอกับอีกฝ่ายปลิวไสวมาแตะกัน

ท่าทางของฟางเซียงเซียงแสดงออกชัดว่าตั้งใจจะแกล้งเธอ แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับเหม่อลอย มองดูขัดแย้งกันอยู่ในที แต่เซียวเยี่ยนจื่อยังปรับอารมณ์ตัวเองไม่ทัน ถึงมองเห็นความผิดปกติแต่ก็ยังไม่ทันเอะใจ

ตกอกตกใจหมดหญิงสาวลูบอกตัวเอง แกนะแก

สมน้ำหน้าฟางเซียงเซียงฝืนยิ้ม สืบเรื่องหนุ่มในดวงใจได้ถึงไหนแล้วล่ะ

เซียวเยี่ยนจื่อไม่ปฏิเสธคำหยอกล้อ ทั้งยังปั้นยิ้มหน้าระรื่น ถึงแก่นเลยแหละ

 

เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้ตกลงกับฟางเซียงเซียงเอาไว้ก่อนว่าคืนนี้เธอจะค้างคืนที่นี่ แต่จนท้องฟ้ามืดแล้วหญิงสาวก็ยังคงขลุกอยู่ในห้องเพื่อน จึงถือเป็นอันเข้าใจตรงกันระหว่างเธอกับเจ้าของห้อง ว่าเซียวเยี่ยนจื่อคงจะพักอยู่กับฟางเซียงเซียงไปอีกสักระยะ

หญิงสาวไม่พูดอะไร แต่ฟางเซียงเซียงรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่วางใจเรื่องสภาพจิตใจของเธอ

เซียวเยี่ยนจื่อย่อมไม่มีทางวางใจ เพราะตั้งแต่กลับมาจากป้อมรักษาความปลอดภัย เธอก็สังเกตเห็นว่าท่าทางสดใสของฟางเซียงเซียงที่ตกค้างมาจากการได้เจอเทียนเป่านั้นเปลี่ยนไป อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ดูเซื่องซึม เหม่อลอยแปลกๆ ไม่รู้ว่าเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เพื่อจะแกล้งเธอเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา หรือว่าตั้งแต่ตอนไหน

เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกแล้ว ที่ตัวเองความรู้สึกช้าได้ขนาดนี้

หลังต่างคนต่างนั่งกินบะหมี่กันคนละมุมท่ามกลางความเงียบจนหมด เซียวเยี่ยนจื่อก็ได้จังหวะ มา ฉันขอจ่ายค่าเช่าเป็นแรงงานแทนละกันนะมือเรียวแบออกไปรอรับชามบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้าฟางเซียงเซียง เดี๋ยวฉันล้างเอง

เจ้าของห้องเหลือบตาขึ้นมอง ห้องฉันไม่มีเครื่องล้างจานก่อนจะถามเพื่อยืนยันคำขันอาสาของเพื่อน แกลืม?”

มือที่แบรอของเซียวเยี่ยนจื่อขยับมาเท้าสะเอว ฉันดูเป็นคนที่พอไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกก็กลายเป็นง่อยไปเลยรึไง

ฟางเซียงเซียงทำสีหน้ากลั้นขำ ฉันไม่ได้พูดนะในที่สุดก็ยอมยกชามเปล่าของตัวเองยื่นให้อีกฝ่าย

เซียวเยี่ยนจื่อสองมือถือชาม สองเท้าเดินไปที่อ่างล้างจาน แต่สมองกลับครุ่นคิดว่าจะเริ่มพูดยังไงดี

ระหว่างที่ลงมือล้างจานหญิงสาวก็ส่งเสียงเรียกโดยไม่ได้หันมา นี่ เซียงเซียง

เสียงขานรับเนือยๆ ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงจากโทรทัศน์ที่เพิ่งจะถูกกดเปิด

เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกว่าแบบนี้ช่วยลดความอึดอัดใจของเธอได้ไม่น้อยเลย แกมีเรื่องในใจใช่ไหมเธอตะเบ็งเสียงให้ดังกว่าระดับเสียงของโทรทัศน์เล็กน้อย ฉันโอเคเลยนะ ถ้าแกจะเล่าให้ฉันฟัง ไม่มีปัญหาเลย

ถึงจะมีเสียงโทรทัศน์ดังอยู่เป็นระยะจนไม่ทำให้บรรยากาศเงียบเกินไป แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากปากฟางเซียงเซียงคนที่จดจ่อรอฟังก็อดใจแป้วไม่ได้เหมือนกัน

หญิงสาวรีบเก็บชามที่ล้างเสร็จเรียบร้อยและเช็ดจนแห้งเข้าไปในลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์ แล้วเดินออกมาหาเพื่อน เพื่อจะได้สนทนากันได้ถนัดๆ และสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย

เห็นได้ชัดว่าฟางเซียงเซียงไม่ได้สนใจเนื้อหาในโทรทัศน์ เธอนั่งเหม่อลอยจนเซียวเยี่ยนจื่อใจหาย ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนกับศพไม่มีผิด

เซียงเซียงเซียวเยี่ยนจื่อลนลานคว้ามือเพื่อนมากุมไว้ ฉันไม่อยากรู้แล้ว แกไม่ต้องใส่ใจที่ฉันพูดแล้ว

ฟางเซียงเซียงยังคงเงียบแต่สีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาคล้ายกำลังถกเถียงกับตัวเองก็ทำให้คนที่ลอบสังเกตอยู่แอบถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยก็ดีกว่าสีหน้าแข็งทื่อเหมือนคนตาย

เซียวเยี่ยนจื่อขยับตัวนั่งหันหน้าเข้าหาจอโทรทัศน์ กอดแขนซบไหล่คนข้างๆ ท่าทางคล้ายกำลังออดอ้อน แล้วทำเป็นจดจ่อกับเนื้อหาที่สะท้อนผ่านจอ เรื่องที่ควรหัวเราะก็หัวเราะจนเต็มเสียง เรื่องที่ควรวิจารณ์ก็ส่งเสียงวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน พยายามดึงความสนใจของอีกฝ่ายด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงของตัวเอง

แต่ทั้งหมดที่เธอทำกลับไร้ผล เมื่อจู่ๆ ฟางเซียงเซียงก็โพล่งถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พี่ฮ่าว... ฉันเห็นชื่อนี้โทรเข้ามาหาแกชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังไม่เลิกหมกมุ่นกับความคิดตัวเองที่เซียวเยี่ยนจื่อเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมา แกมีคนรู้จักแซ่นี้ด้วยเหรอ