14 ตอน บทที่ 7(2)_เปิดหน้าคณิกาเลื่องชื่อ
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 7(2)
เปิดหน้าคณิกาเลื่องชื่อ
Trigger Warnings/Content Warnings
มีการบรรยายถึงสภาพสังคมที่มีความเป็นปิตาธิปไตย
แน่นอนว่านี่เป็นแผนสำรองของนาง เพราะไม่กล้าคาดหวังมากนักว่าเขาจะมา แต่ในที่สุดเขาก็มา
เสียงตบโต๊ะดังปังปะทุขึ้นท่ามกลางเสียงแตกตื่นเซ็งแซ่ที่ฟังไม่ได้ศัพท์ “นี่มันเรื่องอะไรกัน ! ” ชายร่างท้วมที่ดูเหมือนขุนนางส่งเสียงตวาด
มามาที่เอาแต่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างทำอะไรไม่ถูกรู้สึกตัวในเวลานี้เอง นางกวาดตามองรอบด้านเร็วๆ ปราดหนึ่ง ในใจนึกก่นด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเซียวเยี่ยนจื่อกับชายเสียสติ ตัวขัดลาภของนางในคืนนี้
“ใคร... ใครก็ได้มาลากตัวสกปรกนี่ออกไปเดี๋ยวนี้ ! ” สายตาที่มองมาล้วนเต็มไปด้วยความไม่พอใจและสงสัยใคร่ดูเรื่องสนุก ทำให้นางรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง “ใต้เท้า คุณชายทั้งหลาย ใจเย็นๆ กันก่อนเถิด อย่าเพิ่งมีโทสะ” รอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งเพื่อเอาใจมองดูทั้งแหยทั้งเฝื่อน
ครู่หนึ่งบ่าวรับใช้ชายสองสามคนก็กรูกันเข้ามาฉุดกระชากลากถูหงเทียนสิง พยายามแกะชายหนุ่มที่เกาะติดหนึบอยู่กับเซียวเยี่ยนจื่อ กว่าจะแยกทั้งคู่ออกจากกันได้บ่าวชายทั้งหมดนั้นก็ถึงกับเหงื่อตก คาดไม่ถึงว่าคนสติไม่ดีคนหนึ่งจะมีแรงมากถึงเพียงนี้
“จับมันไปขัง แล้วเฝ้าไว้ให้ดี” มามาร้องสั่งพลางดึงเซียวเยี่ยนจื่อมาหลบอยู่ข้างตัว จากนั้นก็กระซิบสั่งความสาวใช้ที่ยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลัง “เร็วเข้า เจ้ารีบไปตามป้าหวัง”
แววตาของสาวใช้นั้นมองดูโง่งมจนมามาต้องกัดฟันขยายความอย่างอดทนระคนขุ่นใจ “ป้าหวังที่ขายซุปถั่วแดงนั่นอย่างไรเล่า”
สาวใช้เข้าใจในทันที “เจ้าค่ะ”
นางหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของพวกนางเหล่านี้ย่อมไม่อาจเล็ดรอดจากสายตาผู้ชมโดยรอบได้ แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ย่อมน่าสนใจกว่ามากและเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก พวกนางคิดจะทำอะไรกันพวกเขาล้วนไม่ใส่ใจ เวลานี้ที่พวกเขาต้องการคือคำตอบสำหรับเหตุการณ์เมื่อครู่
“ว่าอย่างไร ! ”
มามากำลังมองตามหลังสาวใช้ไปอย่างร้อนใจ เสียงนี้ทำเอานางสะดุ้ง หันกลับมาก็เห็นคุณชายที่เอ่ยปากเสนอราคาประมูลเป็นคนแรกกำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าโกรธกรุ่น ไม่ได้ดั่งใจ “5 เฟิน...ข้าให้เกียรตินางถึงเพียงนี้... ตอนนี้มิใช่ว่าไอ้ตัวขี้เรื้อนนั่นชุบมือเปิบไปแล้วหรือ”
“ไอ้หยา...คุณชายกล่าวหนักเกินไปแล้ว”
“หอหงไถของเจ้าช่างขวัญกล้านัก” ชายอีกคนพูดขึ้นมาบ้าง คนคนนี้เห็นได้ชัดว่ามีสง่าราศรีกว่าขุนนางร่างท้วมอีกคนหนึ่งมาก
“ใต้เท้าทั้งหลาย คุณชายทั้งหลายโปรดระงับโทสะลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” มามาจิกเล็บลงไปบนเนื้อต้นแขนของเซียวเยี่ยนจื่อ คิดแต่จะระบายอารมณ์จนลืมไปว่าอาจทำให้นางเสียโฉม “เจ้ากลายเป็นใบ้ไปแล้วหรือ ขอโทษพวกเขาเร็วเข้า”
เซียวเยี่ยนจื่อใช้เล็บจิกฝ่ามืออ่อนนุ่มของตัวเองจนรู้สึกแสบ อึดใจใหญ่ถึงได้ยอมขยับปาก ทว่าสิ่งที่นางเอ่ยออกมากลับทำให้มามาแทบจะล้มทั้งยืน
“ข้าน้อยแปดเปื้อนเสียแล้ว ไม่กล้าคิดเพ้อฝันจะปรนนิบัติพวกท่าน ขออภัยคุณชายและใต้เท้าทั้งหลายด้วยเจ้าค่ะ”
มามากัดริมฝีปากแทบห้อเลือดเพื่อกลั้นเสียงกรีดร้องอาละวาด ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าสินค้าชิ้นนี้ของตนนั้นอย่างไรก็เสียราคาแล้วแต่คงไม่ถึงกับขายไม่ออก เดิมทีนางยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย หากคนพวกนี้คลายโทสะลง บางทีการประมูลเปิดหน้าอาจจะยังดำเนินการต่อไปได้
ทว่าสถานการณ์ในเวลานี้ย่ำแย่ถึงขีดสุดจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว วาจาของเซียวเยี่ยนจื่อเท่ากับเป็นการจุดไฟเผาตัวเองชัดๆ นอกจากตัวนางจะไม่มีทางขายออกแล้วก็อาจจะทำให้กิจการของหอหงไถดำเนินต่อไปอย่างยากลำบากอีกด้วย
“บุตรสาวขุนนางทรราชเดิมทีก็ไม่นับว่าใสสะอาดอะไร” เสียงของขุนนางท่าทางสง่างามผู้นั้นดังก้อง เห็นชัดว่าโมโหจนเสียกิริยา “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ท่าทางหยิ่งยโสนั่นมันอะไรกัน”
คุณชายที่เป็นผู้เปิดประมูลขมวดคิ้ว สีหน้าท่าทางแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย แม้ประโยคนั้นจะถูกต้องทุกอย่าง แต่ที่ผิดก็เพราะมันออกมาจากปากบุรุษ ทั้งยังเป็นขุนนางผู้รับใช้แผ่นดินอีกด้วย
สุดท้ายเขาเพียงเหลือบมองไปทางเซียวเยี่ยนจื่อแวบหนึ่ง ผ้าคลุมหน้าหลุดออกไปนานแล้ว ใบหน้างดงามของนางถูกเปิดเผยสู่สาธารณชน ดวงหน้าที่เล็กเพียงฝ่ามือประกอบด้วยโครงคิ้วกิ่งหลิวเหนือดวงตากลมโตที่หางตาเรียวชี้ขึ้นพองาม จมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากรูปกระจับที่ด้านล่างอิ่มย้อย ด้านบนบางพอเหมาะพองาม ไม่ว่าจะมองทีละส่วนหรือมองรวมๆ ก็ยังนับว่างาม
มองจนพอใจแล้วก็สะบัดแขนเสื้อจากไป แม้จะอดมองนางให้นานหน่อยไม่ได้ แต่ความต้องการในตัวนางกลับหมดลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เกิดเป็นคนมีหน้าตาให้ต้องรักษา ที่บอกว่าแปดเปื้อนก็ไม่ใช่วาจาผลักไสพวกเขาแต่เพียงอย่างเดียว เขาเห็นอยู่เต็มสองตาว่านางเป็นเช่นนั้นจริงๆ ของล้ำค่าเปื้อนมูลสุนัขอย่างไรก็ต้องตัดใจทิ้งไป
คนส่วนใหญ่ได้ฟังวาจาดูถูกดูแคลนของขุนนางผู้นั้นก็รู้สึกเห็นใจหญิงสาวไม่น้อย สาวงาม ต่อให้เป็นสาวงามที่แปดเปื้อนแต่อย่างไรก็เป็นสิ่งที่พึงรักพึงถนอมของบุรุษมาแต่ไหนแต่ไร หลายคนจึงล้วนคิดว่าวาจาเช่นนั้นเป็นการกล่าวหนักเกินไป สุดท้ายบรรยากาศคุกรุ่นจึงเบาบางลงทันที
หลายคนพากันจ้องมองนางให้นานหน่อย ก่อนจะไม่มีโอกาสอีก จากนั้นก็พากันสลายตัวไปอย่างช้าๆ จนเหลือเพียงไม่กี่คนที่ไม่ว่าอย่างไรโทสะก็ไม่ยอมบรรเทาลง
ทว่าเมื่อมองไปรอบๆ ก็ตระหนักได้ว่าพวกตนกำลังหาเรื่องหญิงคณิกานางหนึ่ง แท้จริงต้องการอะไรหรือ โดนคนเสียสติแย่งนางไปต่อหน้าต่อหน้าก็นับว่าเสียหน้าไปครั้งหนึ่งแล้ว นี่ยังจะหาเรื่องทะเลาะกับพวกนางให้อับอายขายหน้าซ้ำสองอีกหรือ ไยไม่รีบไปให้พ้นเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ใครๆ จะจำหน้าได้ แล้วถือเสียว่าพวกเขาไม่เคยมา !
เวลานี้โถงกว้างของหอหงไถที่เคยคึกคักจึงกลายเป็นว่างเปล่าและเงียบงัน หวังซูที่รีๆ รอๆ อยู่ด้านหน้าเพื่อดูสถานการณ์จึงอาศัยจังหวะนี้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นๆ
นางได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากสาวใช้ของมามาหอหงไถระหว่างรีบเดินทางมาที่นี่คร่าวๆ แล้ว ตอนแรกที่ได้ฟังก็รู้สึกตกใจพอดูแล้ว ครั้นมาเห็นกับตาตัวเองยิ่งรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก
เรื่องที่ตนซึ่งไม่ใช่ญาติฝ่ายไหนของเซียวเยี่ยนจื่อถูกเรียกตัวมากะทันหันในเวลาเช่นนี้ก็นับว่าเข้าใจได้ เพราะนอกจากเซียวเยี่ยนจื่อแล้ว คนในตระกูลของนางทั้งหมดล้วนถูกเนรเทศไปเป็นทาสอยู่ชายแดนห่างไกล ตนซึ่งเป็นภรรยาของสหายผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับนายท่านตระกูลเซียว แม้ไม่ใช่ญาติแต่ด้วยมนุษยธรรมย่อมต้องช่วยดูแลเด็กสาวคนนี้ให้ดี กระนั้นก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความสงบสุขของครอบครัวตัวเองด้วย
“เสี่ยวเซียว” เรียกพลางดึงมือขาวเนียนที่กำแน่นมาแกะออก แล้วก็ได้เห็นเลือดซิบๆ เป็นรอยเล็บอยู่บนฝ่ามือคู่นั้น “เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” หวังซูไม่รอคำตอบ สายตาเลื่อนไปมองมามาที่กำลังมองมาที่พวกนางขวางๆ
“เหตุใดเจ้าไม่ควบคุมสถานการณ์ให้ดี รู้ว่าวันนี้มีงานใหญ่ ไยไม่หาคนมาดูแลให้เข้มงวด ปล่อยให้คนสติไม่ดีคนหนึ่งเข้ามาได้อย่างไร”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหลานสาวเจ้าจะมีเสน่ห์ดึงดูดได้กระทั่งกับคนขี้เรื้อนเสียสติ”
“ปากพล่อยนัก !” หวังซูยกนิ้วขึ้นชี้หน้า “โดนตบให้เลือดกลบเสียทีเป็นอย่างไร”
“ลองดูซิ” มามากอดอกท้าทาย “เจ้ามีปัญญาชดใช้ให้ข้าก็ลองดู ทั้งค่าที่ทำร้ายร่างกายข้าแล้วก็ค่าเสียหายในวันนี้ด้วย”
ท่าทีของหวังซูแปรเปลี่ยนทันควัน “ค่าเสียหายอะไร” สองมือที่ประคองมือเล็กของหลานสาวปล่อยออก ขณะที่คนก็ขยับตัวเล็กน้อยอย่างวุ่นวายใจ “เสี่ยวเซียวถูกขายให้เจ้า นางเป็นสมบัติของเจ้าจะมาเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้อื่นได้อย่างไร”
มามาหัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างสมใจ “เป็นอย่างไรเล่าเซียวเหนียง ผู้ใหญ่ที่เจ้าพึ่งพา” สายตาดูแคลนกวาดมองสองป้าหลาน ก่อนจะหันไปหาคนของตน “ไปลากตัวขี้เรื้อนนั่นมา”
พอหงเทียนสิงถูกพาตัวออกมา มามาก็เอ่ยขึ้นว่า “หวังซู หลานสาวเจ้า อย่างไรข้าก็ใช้นางทำการค้าไม่ได้แล้ว” พอได้เอ่ยเรื่องนี้อย่างจริงจัง ความขุ่นเคืองก็ผุดขึ้นมาอีกระลอก หัวคิ้วที่วาดจนเข้มจึงขมวดแน่นเข้าทุกที “เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ให้ข้าถือสาเลยก็คงไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าสองป้าหลานก็ต้องหาวิธีมาชดใช้ให้ข้า”
“นี่...นี่จะชดใช้อย่างไร” หวังซูหน้าซีด ในใจนึกห่วงกังวลถึงบุตรสาวและหลานสาวในตระกูลเหล่านั้นของนาง ทั้งยังชื่อเสียงของตระกูลอีก เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบปัดให้พ้นตัว “เสี่ยวเซียว อย่างไรก็ไม่ใช่หลานสาวในสายเลือดข้า นางพึ่งพาข้าก็เพราะไม่มีผู้อื่นแล้ว เจ้าคิดจะรังแกคนให้จนมุมเลยเชียวหรือ”
หวังซูเดิมที ผู้เป็นสามีก็ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีฐานะใหญ่โตอะไร เป็นเพียงขุนนางสังกัดกองธงน้ำเงินขลิบ[1]เท่านั้น ที่มารู้จักนายท่านตระกูลเซียว ขุนนางกองธงขาวได้ ก็เพราะคนเขาเคยมีบุญคุณต่อกัน ทั้งนายท่านเซียวก็ไม่ใช่ชนชั้นสูงประเภทชอบแบ่งชั้นวรรณะ รังเกียจคนต่ำศักดิ์กว่า ด้วยเหตุนี้ยามอีกฝ่ายตกที่นั่งลำบาก นางและสามีต่อให้ไร้กำลังก็ยังพยายามอย่างสุดความสามารถ ทว่าดูเหมือนการช่วยเหลือในครานี้กำลังจะถึงทางตันเสียแล้วกระมัง
หากช่วยเหลือผู้อื่นจนตัวเองเดือดร้อน ตายไปแล้วหวังซูจะมองหน้าบรรพบุรุษได้อย่างไร
“ป้าหวัง” เซียวเยี่ยนจื่อที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด ส่งเสียงเรียกแผ่วพร่าทว่าแฝงความเด็ดเดี่ยว “ป้าอย่าเพิ่งกังวลไป ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับท่าน เรื่องเดือดร้อนไม่มีทางลามไปถึง” นางหันไปมองมามาที่ยืนกอดอกหน้าบึ้ง “เรื่องชดใช้ มามาไม่ต้องห่วง จำนวนเงินประมูลการเปิดหน้าสูงสุดวันนี้คือ 8 เฟิน ข้าจะหาเงินมาชดใช้ให้มามา”
เซียวเยี่ยนจื่อเข้าใจดีว่าหากการประมูลไม่ถูกทำลาย ราคาประมูลอาจจะสูงกว่านี้ได้อีกเล็กน้อย แต่นางไม่มีทางหาเรื่องให้ตัวเองเสียเปรียบ
แล้วอีกฝ่ายก็ค้านขึ้นมาดังคาด “8 เฟิน ? ...นั่นก็เพราะการประมูลถูกตัวขี้เรื้อนนี่พังเสียก่อน มิเช่นนั้นจะน้อยเพียงนี้หรือ” น้ำเสียงฟังชัดว่าไม่ยินยอม ปลายนิ้วที่ประดับด้วยเล็บยาวโค้งชี้ไปที่หงเทียนสิงอย่างคาดโทษ
“น้อยหรือ... ” น้ำเสียงของหญิงสาวสงบนิ่ง ไม่มีวี่แววว่าจะยอมอ่อนข้อ “การเปิดหน้าที่ผ่านมาท่านเคยได้มากเท่านี้หรือ เหตุใด 8 เฟินนี้จึงบอกว่าน้อยไปเล่า”
มามาชักสีหน้า หาคำมาโต้แย้งไม่ได้ชั่วขณะ สายตากลอกไปมาเพื่อหาทางลงให้ตนเอง พลันนั้นก็มองเห็นหงเทียนสิง
“เซียวเหนียง เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ต่อรองหรือ วันนี้เจ้าโดนตัวขี้เรื้อนนี่ทำเสียหมดราคาต่อสายตาคนมากมาย วันหน้ายังคิดจะหาชายหนุ่มที่ไหนมาพึ่งพาได้อีกหรือ” นางหันกลับมามองหญิงสาว แล้วยิ้มอย่างคนที่กำลังกำชัยชนะ “แต่ว่า เห็นแก่ที่เคยชุบเลี้ยงสั่งสอนกันมาชั่วเวลาหนึ่ง ข้าจะจัดการเรื่องแต่งงานของเจ้ากับ... เจ้าหนุ่มนี่ให้” จู่ๆ นางก็คิดว่าคำว่า ‘ตัวขี้เรื้อน’ นี่ไม่ค่อยเหมาะ “ขอแค่เจ้าทำสัญญาชำระหนี้สิน 1 เหลียง[2] ภายในเวลา 1 ปีกับข้า”
“แต่งงาน !” หวังซูโพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ “กับเจ้าคนเสียสตินี่น่ะหรือ”
มามาทำเพียงเหยียดยิ้ม ส่วนเซียวเยี่ยนจื่อเพียงปรายตามองไปที่หงเทียนสิงแวบหนึ่ง ท่าทีของนางหากจะบอกว่าไม่ตกใจเลยก็คงไม่ใช่ ทว่าความตกใจก็กลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้คนเริ่มคือนาง ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรนางล้วนเตรียมใจรับไว้หมดแล้ว
อีกประการหนึ่ง ในเมืองเป่ยจิงนี้นางเหลือตัวคนเดียวไม่มีใครให้พึ่งพา วันนี้สามารถรอดพ้นจากการเป็นหญิงคณิกาไปตลอดชีวิตได้แล้ว ทว่าวันหน้าไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางอีก
มนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อเจ้าอ่อนแอนอกจากจะไม่มีผู้ใดเหลียวแลแล้วก็ยังถูกรังแกได้ง่าย
ดังนั้น หากไตร่ตรองโดยไร้อคติ คนเสียสติผู้นี้สามารถเป็นเกาะป้องกันให้นางได้
“เรื่องแต่งงานคงไม่ต้องรบกวนมามากระมัง” หญิงสาวหันไปทางหวังซู “ป้าหวังจะจัดการเรื่องนี้ให้ข้าเอง คงไม่ถึงกับต้องเป็นงานใหญ่โตอะไร ดังนั้น ถือว่าข้าไม่มีอะไรติดค้างมามาแม้แต่น้อย แต่ 8 เฟินนี้ถือเป็นการทดแทนบุญคุณตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะนอกจากป้าหวัง ก็เป็นมามาที่ข้าพึ่งพามาโดยตลอด”
มามาหน้าเสีย วาจาของอีกฝ่ายทำนางหาถ้อยคำโต้กลับไม่ได้อีกคราแล้ว
“เสี่ยวเซียว...”
เซียวเยี่ยนจื่อแตะแขนหวังซูแล้วยิ้ม ท่าทางบอกเป็นนัยว่าเรื่องนี้ให้นางตัดสินใจเองดีที่สุดแล้ว ก่อนจะหันไปทางหงเทียนสิง “ปล่อยเขา”
บ่าวชายสองคนที่จับแขนหงเทียนสิงเอาไว้คนละข้าง หันไปมองมามาเพื่อขอความเห็น อึดใจใหญ่ก็ได้รับสัญญาณให้ปล่อยตัวชายหนุ่ม สัญญาณนี้ยังเป็นการบอกเซียวเยี่ยนจื่อกลายๆ อีกด้วยว่าแม้จะด้วยความขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ตนก็ยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่ายแล้ว
คนของหอหงไถต่างสะบัดหน้าจากไป เหลือเพียงหวังซู เซียวเยี่ยนจื่อ และหงเทียนสิงสามคน
หวังซูกับเซียวเยี่ยนจื่อยังคงกระซิบกระซาบโต้เถียงกันอย่างหาข้อสรุปไม่ได้ หงเทียนสิงจึงถูกทิ้งให้ยืนเคว้งอยู่ทางหนึ่ง ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวแวบหนึ่ง แววตาที่ควรจะทึ่มทื่อโง่งมกลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและว้าวุ่น เซียวเยี่ยนจื่อพลันเลื่อนสายตามาประสานกับเขาพอดี ชายหนุ่มหลบไม่ทัน สุดท้ายจึงวิ่งออกไปข้างนอก
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้ตามไป แต่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนเหม่อลอย ไม่ได้ฟังคำพร่ำบ่นของหวังซูแม้แต่น้อย
[1] เอกสารโบราณมีการเรียงลำดับกองธงต่าง ๆ ไว้ จากกองธงที่มีสิทธิ์สูงสุดไปจนถึงกองธงต่ำสุดในระบบของแปดกองธง ดังนี้ กองธงเหลืองขลิบ(镶黄旗) กองธงเหลือง(正黄旗) กองธงขาว(正白旗) กองธงแดง(正红旗) กองธงขาวขลิบ(镶白旗) กองธงแดงขลิบ(镶红旗) กองธงน้ำเงิน(正蓝旗) กองธงน้ำเงินขลิบ(镶蓝旗) (ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ ชมรมผู้สนใจข้อมูลราชวงศ์ชิง)
Comments (0)