10 ตอน บทที่ 5(3)_ฆาตกรรมดารา
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 5(3)
ฆาตกรรมดารา
Trigger Warnings/Content Warnings
มีการบรรยายถึงพฤติกรรมที่มีลักษณะคล้ายสตอล์กเกอร์ (โรคจิตที่มีพฤติกรรมชอบสะกดรอยตาม)
การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
สิ่งที่เธอพูดอาจเป็นได้เพียงการระบายความเจ็บแค้นของคนที่กำลังจะตาย หากว่าเขาไม่ได้รักเธอมากมายจนอยากตายไปพร้อมกัน
“ฮึ! ” หงเทียนสิงยิ้มขื่น แต่ต่อให้นึกเยาะเย้ยหรือทำโทษตัวเองอย่างไร ความรู้สึกเจ็บแปลบระคนอึดอัดในโพร่งอกก็ไม่เคยจางหาย กลับยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเขาต้องชดใช้ทั้งชีวิตนี้ให้เธอ
หางตาของชายหนุ่มมองเห็นพนักงานโมเต็ลคนเดิมเดินเข้ามาใกล้ จึงเงยหน้าขึ้นมอง
“นี่ครับ” เขายื่นโทรศัพท์มือถือให้หงเทียนสิง พอเห็นชายหนุ่มเลิกคิ้วก็อธิบายว่า “เธอบอกว่ายังคุยกับคุณไม่จบครับ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สีหน้าอึดอัดรำคาญเผยออกมาเล็กน้อย ขณะยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มาแนบหู “อืม”
“พอใช้ประโยชน์ฉันเสร็จก็รำคาญกันขึ้นมาทันทีเลยสิ” กัวเหมยหลันอดประชดไม่ได้
“มีอะไรไว้ค่อยคุยกันตอนผมกลับไปก็ได้นี่”
“ตอนนี้เธอเหลือแต่ตัว จะกลับยังไง”
“ผมจำได้ว่าพี่มีเพื่อนทำงานอยู่สนามบินฮาร์บิน”
ถึงไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่เธอคงรู้ตั้งแต่ตอนที่คุยกับพนักงานของโมเต็ลแล้ว เขาปิดบังเธอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
กัวเหมยหลันกลอกตาที่ต้อนอย่างไร คนอายุน้อยกว่าก็ไม่จนมุม “แปลว่ายังไม่คิดจะกลับตอนนี้? ” น้ำเสียงเผยอารมณ์เหลือเชื่อ “เธอไปทำอะไรที่นั่นกันแน่”
หงเทียนสิงเงียบไปนานจนคนถามคิดว่าเขาจะไม่ตอบแล้ว แต่ครู่ต่อมาก็ได้ยินเขาเอ่ยว่า “ผมแค่คิดว่ามาที่นี่แล้วอาการที่เป็นอยู่อาจจะหาย”
การได้เห็นเธอเพียงในฝันเทียบกับการได้เห็นเธออยู่ในสายตาแล้ว ทรมานกว่ามาก ถึงจะแค่ได้เห็นแต่ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้เลยก็ตาม… แต่ท้ายที่สุดแล้วอาการที่เขาเป็นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ฝันเห็นเธอกลับไม่ได้หายไป ทั้งยังคล้ายจะเป็นหนักกว่าเดิม
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบหนึ่งเดือนก่อน...
หงเทียนสิงฆ่าเวลาระหว่างรอคิวถ่ายฉากของตนเองในซีรีส์เรื่องหนึ่งด้วยการนั่งไถโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยๆ อย่างเบื่อหน่าย ไม่ได้สนใจในเรื่องไหนเป็นพิเศษ ครู่ใหญ่นิ้วมือก็หยุดชะงัก สายตาจ้องเขม็งไปที่ภาพข่าวในแวดวงวิชาการภาพหนึ่ง
ทุกอย่างรอบด้านหยุดนิ่งลง มีเพียงหญิงสาวที่อยู่ในภาพนิ่งภาพนั้นที่ราวกับขยับเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงหน้าเขา อยู่ในความทรงจำ อยู่ในหัวใจ... แม้ว่าตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเธอนอกความฝัน
แต่เป็นอีกครั้งในจำนวนครั้งที่นับไม่ถ้วน ตลอดชีวิตยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่ภาพความทรงจำ ภาพความฝันไหลบ่าเข้ามาในสมองของหงเทียนสิงราวกับน้ำป่า สมองของเขาสับสนอึงอล ทุกอย่างรอบด้านชะงักนิ่ง ชายหนุ่มราวกับถูกดึงกลับไปในช่วงเวลาที่เขาเคยมีความสุขที่สุดในชีวิต และเจ็บปวดเจียนตายในขณะเดียวกัน
น้ำหยดหนึ่งร่วงจากดวงตาพร่าเลือนและแดงก่ำกระทบลงบนจอมือถือ แค่หยดเดียวนั้นเหมือนหนักเป็นพันตัน ทันทีที่กระทบลงมาเครื่องสื่อสารที่ถืออยู่ในมือก็ร่วงหล่น
เสียงตกกระแทกพื้นของโทรศัพท์มือถือเครื่องบางดึงสติของหงเทียนสิงกลับมาก่อนที่เขาจะจมอยู่กับความเจ็บปวดจนขาดอากาศหายใจ
วินาทีถัดมาชายหนุ่มก็ก้มลงเก็บมัน แล้วคว้าเพียงเสื้อแจ็กเก็ตติดมือก่อนจะวิ่งออกไปจากกองถ่าย ไม่ได้มีความคิดจะเทกอง เพียงแค่ตอนนี้ความคิดเดียวที่เขามีคือไปหาเธอ
หงเทียนสิงมาถึงฮาร์บินโดยที่แทบจะมีแต่ตัว แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะใช้ชีวิตที่นี่ยังไง จะต้องอยู่อีกนานแค่ไหน เพราะเมื่อเขาพบเธอซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนฮาร์บิน ทุกวัน ทุกเวลา สิ่งที่เขาทำมีเพียงตามเฝ้ามองเธอจากไกลๆ ถ่ายรูปเธอเผื่อเก็บเอาไว้ดูเวลาคิดถึง ตัดขาดจากชีวิตปกติของตัวเอง ทำตัวเหมือนพวกสตอล์กเกอร์ไม่มีผิด
เขาเฝ้ามองเธออยู่อย่างนั้น แต่ไม่เคยเรียกร้องต้องการมากไปกว่านั้น จนรู้แบบแผนการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเธอ รู้จักเพื่อนสนิทที่เธอรักเหมือนครอบครัว จนนั่งไม่ติดเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายไปสอน
เห็นเธอเป็นแบบนั้นเขาเลยผละจากเธอไปหาเพื่อนเธอที่อะพาร์ตเมนต์เจ้าตัว เพราะเป็นเรื่องบังเอิญมากที่ฝ่ายนั้นอาศัยอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามเขาพอดี
เมื่อไปถึงหงเทียนสิงก็พบว่าห้องปิดเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ เขาสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องร้ายมากกว่าดี เลยตัดสินใจสั่งอาหารผ่านแอปให้มาส่งที่ห้องเธอแต่ใส่เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปแทน จากนั้นก็ปิดเครื่อง พอพนักงานส่งอาหารติดต่อคนสั่งไม่ได้ ตอนนั้นต้องมีหนทางให้รู้ชัดแน่ว่าภายในห้องเพื่อนสนิทของหญิงสาวเกิดอะไรขึ้น
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคนที่เข้าไปเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเป็นคนแรกก็เป็นเธอเอง เขาคิดว่าเธอคงจะกลัวและกังวลมากจนลืมปิดประตูห้อง ทำให้เขาที่เฝ้าอยู่ห่างๆ ด้านนอกรับรู้เหตุการณ์ข้างในหมดทุกอย่าง และเป็นคนโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลตัดหน้าเธอ พร้อมกับจ่ายเงินแทนเธอด้วย
วันที่เธอรอฟังอาการของเพื่อนสนิทอยู่หน้าห้องฉุกเฉินจนเผลอหลับไป เป็นครั้งแรกที่เขาอยากทำมากกว่าเฝ้ามอง เขาอยากให้เธอนอนหลับสบาย อย่างน้อยจะได้บรรเทาความเหนื่อยล้าจากความกระวนกระวายใจลงไปได้บ้าง
คืนนั้นเขาเลยห่มแจ็กเก็ตของตัวเองให้เธอ และใช้ไหล่ของตัวเองต่างหมอนให้เธอหนุนนอน
“โรคนอนไม่หลับของเธอ หมอที่ปักกิ่งยังรักษาไม่หาย หมอที่นั่นจะไว้ใจได้แค่ไหน”
หงเทียนสิงหลุดจากความคิดตัวเองเมื่อกัวเหมยหลันส่งเสียงถามมาตามสาย
กัวเหมยหลันเว้นช่วงพูดไปครู่หนึ่งคล้ายนึกอะไรได้ ก่อนจะพูดต่อว่า “หมอแผนจีนเหรอ”
“อืม” หงเทียนสิงไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิดของคนถาม สายตากลอกไปมาอย่างครุ่นคิด “ฝังเข็มน่ะ”
เสียงผ่อนลมหายใจยาวด้วยความจนใจดังมาตามสาย “เธอต้องกำหนดวันกลับที่แน่นอนมาให้ฉัน ไม่งั้นอย่าหวังแม้แต่หยวนเดียวจากเพื่อนฉัน” น้ำเสียงเฉียบขาดนั้นไม่ได้ทำให้หงเทียนสิงนึกกลัว แต่ก็ไม่กล้าต่อรองหรือบ่ายเบี่ยงอะไรอีก
ภาพข่าวที่ฉายอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์เบื้องหน้าเรียกความสนใจจากฮ่าวป๋อชุน จนชายหนุ่มต้องรีบวางถ้วยชาในมือลง แล้วจดจ่อความสนใจไปกับการรายงานข่าว
ช่วงกลางดึกของคืนวานเขาเจอเด็กหนุ่มที่ปรากฏอยู่ในภาพข่าวที่ไนท์คลับเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่ฟางเซียงเซียงพักรักษาตัวเท่าไรนัก เขาเลยสั่งให้ลูกน้องไปสืบประวัติฝ่ายนั้นมา จนได้รู้ว่าเจ้าตัวเป็นนักแสดงหนุ่มที่เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน แต่กลับได้รับความนิยมสูงเกินกว่าที่นักแสดงเพิ่งเข้าวงการมาใหม่ๆ น่าจะได้รับ หนึ่งในปัจจัยเกื้อหนุนที่ฮ่าวป๋อชุนคาดเดาได้ก็คงจะเป็นการที่อีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัวเจ้าของบริษัทผู้ผลิตสื่อบันเทิงและเป็นค่ายต้นสังกัดนักแสดงผู้ทรงอิทธิพลอันดับต้นๆ ของประเทศ
แต่เรื่องที่ชายหนุ่มยังคงเดาไม่ออกหลังจากรู้ประวัติของอีกฝ่ายอย่างละเอียดแล้วก็คือ เด็กหนุ่มคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับเซียวเยี่ยนจื่ออย่างไร
ทางด้านหญิงสาวที่ฮ่าวป๋อชุนกำลังนึกถึงก็กำลังเบิกดวงตากลมเรียวเพ่งมองจอโทรทัศน์ภายในห้องพักผู้ป่วยซึ่งกำลังฉายภาพข่าวของนักแสดงหนุ่มคนเดียวกัน
ริมฝีปากอิ่มเผยอออกเล็กน้อยด้วยความอึ้งจัด “ข่าวเทกองถ่ายก่อนหน้านี้ยังแรงไม่พอเหรอเนี่ย”
ฟางเซียงเซียงที่สายตากำลังมองไปที่หน้าจอโทรทัศน์อยู่เช่นเดียวกันก็มีสีหน้าไม่ต่างกันเท่าไร แต่พอได้ยินเพื่อนรักเอ่ยแสดงความคิดเห็นออกมาคล้ายมีอารมณ์ร่วมกับข่าวไม่น้อยจึงอดปรายตามามองไม่ได้
“นี่เธออินกับข่าวดาราตั้งแต่เมื่อไร” หญิงสาวหรี่ตาอย่างจับผิด “หรือดาราคนนี้ดันตรงสเป็ก”
เซียวเยี่ยนจื่อละสายตาจากภาพหงเทียนสิงที่นอนเปลือยท่อนบน มีเพียงผ้าห่มคลุมปิดอย่างหมิ่นเหม่ในจอโทรทัศน์มาถลึงใส่คนแซว ก่อนจะเผยยิ้มร้ายแล้วเอ่ยหน้าตายออกมา “ทั้งหนุ่มทั้งหล่อมองเพลินดีจะตาย”
ฟางเซียงเซียงหัวเราะกับท่าทางเสแสร้งของเพื่อน “แกนี่ก็แปลกคน หรือแกจะไม่ได้ชอบผู้ชายอย่างที่คนเขาพูดกันจริงๆ ”
“ไม่ว่าจะชายหรือหญิงฉันก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ” นิ้วชี้ที่เล็บตัดสั้นสะอาดไร้การตกแต่งชี้เข้าที่หน้าอกตัวเอง “ฉันชอบตัวเอง”
ฟางเซียงเซียงหรี่ตาเบะปากใส่ด้วยสีหน้าดูถูก “มั่นๆ อย่างนี้ ระวังจะตกหลุมรักไม่รู้ตัว ถอนตัวไม่ขึ้น”
เซียวเยี่ยนจื่อเพียงส่งรอยยิ้มท้าทายให้เพื่อน ราวกับจะบอกว่าไม่มีวันนั้นเสียล่ะ แต่ในใจกลับคิดว่าอีกฝ่ายต้องมานอนโรงพยาบาลแบบนี้ก็เพราะรักคนอื่นมากกว่าตัวเองไม่ใช่เหรอ ผู้ชายคนแล้วคนเล่าที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฟางเซียงเซียงถ้าไม่ใช่พวกเศษสวะก็เป็นพวกที่ไม่คู่ควร แล้วเธอยังจะกล้าไปหลงรักใครอีกเหรอ
อีกอย่างความรักมีจริงที่ไหนกัน ความรักก็เป็นแค่นิยามของความรู้สึกในชั่วขณะที่ออกซิโตซิน[1]ถูกขับออกมาเท่านั้นแหละ
[1] ฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) หรือฮอร์โมนที่มีชื่อเล่นชื่อหนึ่งว่า Love Hormone เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความผูกพัน ความรู้สึกอยากอยู่ร่วม อยากใกล้ชิดกับคนคนหนึ่ง
Comments (0)