20 ตอน บทที่ 11(1)_สตรีหมายเลขหนึ่ง
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 11(1)
สตรีหมายเลขหนึ่ง
หงเทียนสิงที่เห็นความเคลื่อนไหวจากทางหางตามีปฏิกิริยาในวินาทีต่อมา ชายหนุ่มคว้าแขวนผู้จัดการส่วนตัวเอาไว้ก่อนที่เธอจะก้าวถึงตัวเซียวเยี่ยนจื่อ
เขาเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรก็ในตอนนี้เอง สิ่งที่เขาพยายามจะปกปิดดูเหมือนว่าผู้จัดการส่วนตัวของเขาคนนี้จะสืบจนรู้หมดแล้ว
สายตาของกัวเหมยหลันที่มองตรงไปที่เซียวเยี่ยนจื่อปกปิดแววคุกคามเอาไว้อย่างแนบเนียน ถึงอย่างนั้นหงเทียนสิงกลับไม่ได้รู้สึกวางใจ “พี่จะไปไหน”
“เธอก็รู้ว่าฉันมีความสามารถด้านการเจรจา” กัวเหมยหลันตอบยิ้มๆ ราวกับชอบใจที่อีกฝ่ายดูร้อนใจจนมีพิรุธ “เห็นคนเถียงกันก็เลยจะไปช่วยไกล่เกลี่ยซะหน่อย”
“ปกติพี่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นนี่ครับ” ชายหนุ่มปล่อยแขนเธอ เอ่ยหน้าเคร่ง “ยุ่งเรื่องผมคนเดียวก็พอแล้ว”
ได้ยินแบบนั้นคนฟังพลันชักสีหน้า ก่อนจะยิ้มหยัน “นี่ก็เรื่องของเธอไม่ใช่เหรอ” เธอเลิกคิ้วรอฟังคำตอบเขาอย่างใจจดใจจ่อ
หงเทียนสิงเลิกคิ้ว “นั่งเครื่องบินหลายชั่วโมงกว่าจะมาถึง ผมว่าพี่ควรพักผ่อนนะ” พูดจบก็เดินออกจากร้านไป ไม่ใส่ใจว่าคนฟังจะมีปฏิกิริยายังไง
แน่นอนว่ากัวเหมยหลันไม่ได้โง่ที่จะฟังไม่ออกว่าเขาเป็นห่วง หรือหลอกด่าเธอว่าสมองมีปัญหา สุดท้ายคนที่เธอโมโหเลยกลายเป็นตัวเอง การบีบให้เขายอมสารภาพความจริงออกมาไม่ใช่เรื่องที่ฉลาด เพราะต่อให้เขาไม่พูดอะไรเลย เธอก็มีวิธีจัดการกับเรื่องนี้อยู่ดี
คนอื่นๆ ในร้านที่มองเข้ามา อย่างเช่นกัวเหมยหลัน กับหงเทียนสิงอาจมองว่าเซียวเยี่ยนจื่อ กับพนักงานขายกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด แต่ความจริงแล้วหญิงสาวกำลังใช้เหตุผลในการเจรจากับอีกฝ่ายที่ไม่มีมารยาทกับลูกค้าอย่างเธอ
เซียวเยี่ยนจื่อเป็นคนพิถีพิถันในการเลือกอะไรก็ตามให้กับตัวเอง แต่ในสายตาคนอื่นอาจมองว่าเธอเรื่องมาก พนักงานขายคนนี้ก็คงไม่เว้น
ในตอนที่เธอขอลองรองเท้าแบบที่แปด อีกฝ่ายก็ไปหยิบมาให้แต่โดยดี ทว่าตอนที่ส่งมันมาให้เธอกลับเป็นการโยน ถึงจะเป็นการโยนลงมาตรงหน้าเธอเบาๆ ก็เถอะ แต่มันไม่ใช่การวางลงไปดีๆ แน่
“เยี่ยนจื่อช่างมันเถอะ” ฟางเซียงเซียงเขย่าแขนเพื่อน สีหน้าจืดเจื่อนด้วยความกระดาก “คนมองกันเต็มร้านแล้ว”
เซียวเยี่ยนจื่อกวาดสายตามองตาม ก่อนจะชะงักไปเมื่อสะดุดเข้ากับสายตาคู่หนึ่งที่มองตรงมาที่เธอเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ แต่ที่แตกต่างออกไปคงจะเป็นความรู้สึกที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคร้ามคมคู่นั้น
ทว่าหญิงสาวไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาแยกแยะความรู้สึกของใคร เพียงอึดใจเดียวก็หันกลับมาจ้องตากับพนักงานสาวคู่กรณี
“ขอทราบชื่อคุณหน่อยสิคะ” เธอพูดไปอย่างนั้นเอง เพราะป้ายประจำตัวพนักงานที่อีกฝ่ายแขวนอยู่มีชื่อเจ้าตัวเด่นหรา ซึ่งเธอจดเอาไว้ในใจตั้งแต่แรกแล้ว
ส่วนเจตนาที่แท้จริงนั้นคนถูกถามที่หน้าเผือดสีลงคงฟังออกในทันทีที่เธอพูดจบ
ไม่รอให้คู่กรณีได้ทันแสดงปฏิกิริยาหรือมีท่าทีลุแก่โทษ เซียวเยี่ยนจื่อก็พูดต่อ “อย่าเสียใจนะคะถ้าคุณจะไม่ได้ทำงานที่สาขานี้ต่อ เพราะนี่ถือเป็นการแสดงความเมตตาของฉันแล้ว” หญิงสาวหรี่ตากอดอกพูดอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ความจริงถ้าขอให้บริษัทไล่คุณออกก็คงไม่เกินไป พนักงานที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจะทำแบรนด์เสียชื่อเสียเปล่าๆ”
“เยี่ยนจื่อพอแล้ว” ฟางเซียงเซียงเห็นสีหน้าของพนักงานสาวก็อดสงสารไม่ได้ อีกฝ่ายคงไม่ได้มีทางเลือกมากนักถึงได้อดทนทำงานที่ไม่เข้ากับนิสัยตัวเองแบบนี้ งานบริการไม่ใช่ว่าใครหน้าไหนก็ทำได้
หญิงสาวที่ใช้อารมณ์อ่อนไหวของตัวเองเป็นเครื่องนำทางมากกว่าเหตุผล พยายามดึงแขนเพื่อนสนิทเพื่อพาออกจากร้าน “ไปกันเถอะ เธอคิดได้แล้วเห็นไหม” เอ่ยพลางพยักเพยิดไปทางพนักงานสาวที่มีสีหน้าสลด
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้ขืนตัวเพื่อดึงดันจะสั่งสอนคนต่อ เธอพูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าคุณไม่ได้มีความอดทนมากนัก มีวิธีการมากมายที่จะรับมือกับลูกค้าแบบฉัน แต่คุณเลือกที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาให้ฉันรับรู้ ฉันหวังว่าคุณจะเก็บเหตุการณ์ในวันนี้ไปคิดทบทวนให้ดี”
หญิงสาวเดินตามแรงฉุดของเพื่อนไป ไม่ได้มีท่าทีกระฟัดกระเฟียดไม่ได้ดั่งใจ
ฟางเซียงเซียงเหล่ตามองคนที่เธอหนีบแขนเอาไว้จนตัวติดกัน แล้วหลุดขำ “เธอเป็นอาจารย์แค่ตอนอยู่ในมหา’ลัยก็พอมั้ง”
คนถูกเหน็บเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย จึงอดมองค้อนไม่ได้ “เธอไม่เห็นเหรอว่าอีกฝ่ายยังเด็ก ต่อไปถ้าไปแสดงอาการอย่างที่ทำกับฉันกับคนอื่นคงไม่ได้แค่รับการสั่งสอนดีๆ แบบนี้หรอก”
ฟางเซียงเซียงไม่รู้จะเอาอะไรมาโต้แย้งจึงได้แต่เออออยิ้มๆ “ค่า อาจารย์เซียว” ว่าแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้เป็นการตบท้าย
เซียวเยี่ยนจื่อเห็นท่าทางยียวนของอีกฝ่ายก็ทั้งหมั่นไส้ ทั้งโล่งใจในคราวเดียวกัน
เป็นแบบนี้ไปได้ตลอดก็คงดี
หงเทียนสิงวางสัมภาระของกัวเหมยหลันทั้งหมดลงไปบนโซฟา หน้าที่ตามมารยาทของผู้อ่อนวัยกว่าหมดลงแล้ว ขณะชายหนุ่มกำลังจะหมุนตัวผละไป คำพูดของผู้จัดการส่วนตัวก็หยุดความตั้งใจของเขาเอาไว้
“พี่สาวเธอหย่ากับสามีแล้วนะ” คนพูดเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ มุมปากสีหวานก็ยกขึ้นบางเบา
“ทำไมผมไม่เห็นรู้” ความเคร่งเครียดระคนสับสนสะท้อนอยู่บนใบหน้าคมคาย
“เธอมัวแต่หลงใหลอยู่ในอากาศหนาวของฮาร์บิน จะไปรู้อะไรล่ะ”
คำประชดประชันถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็ยังฟังออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายถึงอากาศหนาวของฮาร์บินอย่างที่พูด คนฟังเลยยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ตัวเองมีส่วนผิด
“แล้วเจด้าล่ะ” หงเทียนสิงทรุดกายนั่งลงบนโซฟา ข้างคู่สนทนา
“ก็ต้องอยู่กับแม่ เทียนเหยาไม่ยอมหรอก” ชายหนุ่มพยักหน้าคล้อยตาม พี่สาวเขาไม่มีทางยอมทิ้งลูกให้อยู่ห่างจากตัวเองแน่
หงเทียนสิงรับรู้เรื่องนี้กะทันหันเกินไป ตอนนี้จึงยังไม่หายสับสนมึนงง เลยไม่รู้ว่าควรพูดหรือถามอะไรต่อ
กัวเหมยหลันไม่รอให้เขาถาม เพราะเธออยากบอกใจจะขาด “เจด้าต้องย้ายมาเรียนที่จีน เทียนเหยาเองก็จะมาดูแลธุรกิจเต็มตัว เธอคงต้องช่วยดูแลหลาน”
“ผมจะไปเลี้ยงหลานได้ยังไง” หงเทียนสิงรู้สึกว่าจู่ๆ ก็มีคนเอาภูเขาทั้งลูกมาให้เขาแบก “เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าพี่ต้องปรึกษาผมก่อนเหรอ”
“เทียนเหยามีฉันเป็นที่ปรึกษาก็พอแล้ว เรื่องนี้ทำไมต้องปรึกษาเธอด้วย”
“ก็…” หงเทียนสิงขยี้ผมตัวเองแรงๆ อย่างกลัดกลุ้ม “ใครๆ ก็หาว่าผมไม่รู้จักโต เด็กไม่รู้จักโตอย่างผมคิดว่าจะเลี้ยงหลานได้? ”
“หลานทั้งคน ทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ เธอก็แค่ไม่เคย” กัวเหมยหลันหันมาถลึงตาใส่ “จะงอแงหาอะไร ไม่คิดจะแบ่งเบาปัญหาครอบครัวเลยหรือไง อากาศหนาวที่นี่ทำสมองเธอแข็งจนคิดไม่เป็นแล้วหรือไง”
กัวเหมยหลันเริ่มโมโหเขาขึ้นมาจริงๆ แล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเขามีทีท่าจะปัดภาระ แต่เป็นเพราะถึงจะพยายามยัดเยียดเรื่องสำคัญให้ เพื่อที่เขาจะได้เลิกหมกมุ่นอยู่กับผู้หญิงคนนั้นซะที แต่เขาก็ยังคิดไม่ได้
“เทียนสิง เธอจะยอมรับได้หรือยัง ว่าที่เธอทิ้งชีวิตตัวเองมาแบบนี้แค่เพราะเรื่องไร้สาระ สมองเธอเลอะเลือนไปแล้วเหรอถึงแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ”
เรื่องไร้สาระงั้นเหรอ…
หงเทียนสิงอยากจะหัวเราะ แต่ในใจขมขื่นเกินกว่าจะแสดงความรู้สึก นอกจากนิ่งเงียบ
ถ้าหากการไล่ตามผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนคนโง่แบบนี้เป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ ก็ดีสิ เพราะวันหนึ่งที่เจอเรื่องน่าสนุกกว่าเขาอาจจะยอมเลิกรา
แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญเท่าชีวิต เป็นบ่วงที่เขาไม่มีวันหลุดพ้น และเต็มใจที่จะไม่ดิ้นหนีจนกว่าจะถึงวันที่ความรักของเขาไม่ได้เป็นอาวุธทำร้ายเธออีก …วันที่การรักเขาจะไม่ใช่ความผิดพลาดในชีวิตเธอ
“ถ้าผมบอกว่าชีวิตผมอยู่ที่นี่พี่จะเชื่อหรือเปล่าล่ะ”
กัวเหมยหลันนิ่งอึ้งไป ดวงตาวาววับขึ้นมาด้วยความรู้สึกโกรธกรุ่นระคนไม่ยินยอม “แล้วชีวิตพี่สาวเธอ ชีวิตหลานเธอล่ะ จะไม่ดูดำดูดีเลยใช่ไหม”
“ผมไม่ทิ้งหลานแน่” หงเทียนสิงหลบสายตา “แต่ให้ผมจัดการตามแบบของผมเองแล้วกัน พี่สาวผมก็มีพี่คอยช่วยอยู่แล้วนี่”
กัวเหมยหลันหันหน้ากลับมา ผ่อนลมหายใจหนักๆ พลางทิ้งตัวใส่พนักโซฟาแรงๆ
เธอโล่งใจ แต่ก็ยังไม่หายจากความไม่สบอารมณ์
กับผู้หญิงคนก่อนไม่เห็นว่าเขาจะดึงดันขนาดนี้ ตอนที่อีกฝ่าย ‘บอกเลิก’ ก็ดูจะเข้าใจอะไรง่ายๆ ไม่แม้แต่จะถามหาเหตุผลให้ชัดเจนด้วยซ้ำ แต่กับคนนี้… ทำไมถึงเป็นได้ขนาดนี้
“เธอคิดจะจัดการยังไง”
หงเทียนสิงไม่ตอบ แต่เลือกจะเลี่ยงไปเอ่ยประเด็นอื่น “พี่เทียนเหยาจะกลับมาถึงเมื่อไร”
“คืนนี้ก็คงถึงปักกิ่งแล้ว”
หงเทียนสิงเลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนั้น
กัวเหมยหลันอ่านสีหน้าเขาออก “นี่ไม่ถือว่าเร็วหรอก ก่อนหน้านี้พี่สาวเธอคิด ตระเตรียมทุกอย่างมานานแล้ว แค่เธอไม่เคยมาใส่ใจรับรู้”
คนที่โดนเหน็บแนมเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่คิดจะต่อความ “พรุ่งนี้ผมจะกลับปักกิ่ง” น้ำเสียงบ่งบอกว่าตัดสินใจดีแล้ว “พี่เพิ่งมาถึง จะอยู่เที่ยวที่นี่ต่อก็ได้”
“ฉันไม่ได้มาเที่ยว” กัวเหมยหลันตอบทันควัน สีหน้าฉาบไปด้วยความได้ใจกับการตัดสินใจของอีกฝ่าย “แค่มาส่งข่าวให้เธอรู้”
หงเทียนสิงซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ในท่าทีนิ่งเฉย
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่เคยจำกัดขอบเขตตัวเองให้จัดการแค่เรื่องงานในวงการบันเทิงของเขา มีเจตนาอะไรถึงได้ยอมเสียเวลาเดินทางมาส่งข่าวถึงฮาร์บิน แทนที่จะใช้โทรศัพท์ เพียงแต่บ่อยครั้งการนิ่งเฉยก็เป็นวิธีตัดรำคาญที่ดีที่สุด
หลังออกจากที่พักของกัวเหมยหลัน หงเทียนสิงก็ไม่รู้ว่าจะรีบกลับไปทำอะไรที่ห้องของตัวเองเลยเลือกเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนจงยางอย่างไร้จุดหมาย ตอนที่กำลังจะเดินผ่านโบสถ์เซนต์โซเฟียก็เห็นคนส่วนใหญ่ต่างยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป บางก็ยืนโพสต์ท่าโดยมีสถาปัตยกรรมอันงดงามสไตล์รัสเซียเป็นฉากหลัง
หงเทียนสิงมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย เดิมทีความคิดที่จะเก็บภาพสถานที่อันสวยงามแปลกตา ที่ไม่ว่าใครมาถึงฮาร์บินก็ต้องเก็บเป็นหลักฐานแสดงการมาเยือนเอาไว้ ไม่ได้มีอยู่ในหัว แต่ในจังหวะที่กำลังจะละสายตาชายหนุ่มก็เกิดเปลี่ยนใจยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บเอาไว้ไม่ต่างจากคนอื่นๆ
ชายหนุ่มก้มลงมองภาพที่อยู่ในมือถืออีกครั้ง ท่ามกลางฝูงชนมากมาย ใครคนหนึ่งกลับดูเด่นชัดเป็นพิเศษ แม้แต่โบสถ์เซนต์โซเฟียที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังก็ยังมองดูพร่าเบลอราวกับถ่ายติดมาเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของภาพ
Comments (0)