17 ตอน บทที่ 9_เทียนเป่า
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 9
เทียนเป่า
Trigger Warnings/Content Warnings
การหย่าร้าง
การดูถูกเหยียดหยามชีวิตคู่ของผู้อื่น
ฟางเซียงเซียงหันกลับมาเลิกคิ้วกับเพื่อน แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้ติดใจเสียงเรียกเข้าปริศนาเมื่อกี้แม้แต่นิดเดียว เพราะถูกเด็กชายคนหนึ่งดึงความสนใจไปจนหมด
“แม่มาเร็ว” เสียงเล็กๆ ที่ฟังเกือบไม่เป็นคำเอ่ยกับเซียวเยี่ยนจื่อ
“ไม่ดีเหรอ” เซียวเยี่ยนจื่อบีบเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบเด็กชาย “เบื่อแม่แล้วหรือไง”
“ไม่เบื่อครับ ผมรักแม่”
หญิงสาวบีบแก้มอวบขาวอย่างหมั่นเขี้ยว “ลูกใครเนี่ย น่ายักที่สุดเลย”
สองแขนสั้นๆ โอบรอบคอเธอพลางหัวเราะคิกคัก เซียวเยี่ยนจื่อหันมาหาคนที่ยืนกอดอกยิ้มมองพวกเธออยู่ข้างๆ
คำถามก่อนหน้านี้ของฟางเซียงเซียงยังไม่ได้รับคำตอบก็จริง แต่เธอไม่คิดจะถามย้ำ เด็กคนนี้จะเป็นลูกของเซียวเยี่ยนจื่อหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับความสุขของอีกฝ่ายที่แผ่มาถึงเธอซึ่งเป็นเพียงผู้ชมได้อย่างเหลือเชื่อ
“เป่าเปา ดูสินี่ใครเอ่ย” เซียวเยี่ยนจื่อเบี่ยงกายเล็กน้อย ให้เด็กชายที่เธออุ้มอยู่มองเห็นฟางเซียงเซียง
ขณะที่คนตัวกะเปี๊ยกทำหน้าครุ่นคิด พยายามหาคำตอบอย่างจริงจัง คนโตกว่าก็ตั้งท่าจะเอ่ยปากทำความคุ้นเคยก่อนอย่างนึกถูกชะตา
แต่แล้วคนที่ชิงพูดก่อนใครกลับเป็นเซียวเยี่ยนจื่อ “นี่แม่เล็กของเทียนเป่าไงครับ”
เทียนเป่าทำปากเป็นรูปตัวโอ ดวงตาตี่เล็กสะท้อนประกายวิบวับด้วยความชอบใจ
เซียวเยี่ยนจื่อยิ้มแก้มแทบปริเมื่อเห็นเด็กชายทำท่าทางอย่างนั้น “มีทั้งแม่ใหญ่ แม่เล็ก ดีใช่ไหม”
ฟางเซียงเซียงแม้จะยังไม่ได้รับการไขข้อข้องใจใดๆ แต่ดวงตากลับเป็นประกายขณะโน้มตัวเข้ามาทำท่ารับเด็กชายไปไว้ในอ้อมกอด
เซียวเยี่ยนจื่อส่งเด็กชายให้เพื่อนอุ้มแต่โดยดี เด็กวัยอนุบาลคนนี้ตัวหนักไม่ใช่เล่น แต่กอดแล้วทั้งอุ่นทั้งหอม
ตอนนี้ฟางเซียงเซียงคิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เธอสบตากับเซียวเยี่ยนจื่อเงียบๆ นัยน์ตาฉ่ำวาวไปด้วยความรู้สึกตื้นตันบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ทั้งๆ ที่เธอมีเรื่องปิดบังอีกฝ่ายไม่น้อย แต่เซียวเยี่ยนจื่อที่ไม่รู้อะไรเลยกลับเข้าใจเธอเป็นอย่างดี เด็กคนนี้สามารถทดแทนสิ่งที่เธอสูญเสีย สิ่งที่เธอขาดหาย กระทั่งสิ่งที่เธอตัดสินใจผิดพลาดไปได้ เธอมั่นใจแบบนั้น
หลังคุณครูมารับเทียนเป่ากลับไปแล้ว ฟางเซียงเซียงก็ได้โอกาสยืนยันความเข้าใจของตัวเองกับเซียวเยี่ยนจื่อ
หญิงสาวถามออกไปตามการคาดเดาของตัวเอง “แกอุปการะเด็กกำพร้าคนนี้มานานแค่ไหนแล้ว”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้แต่แรกจึงตอบออกมาตามตรง “เพิ่งจะครบปีไปเมื่อเดือนที่แล้ว” หญิงสาวยิ้ม เมื่อเห็นดวงตาแห้งผากของเพื่อนสนิทกลับมาสดใสอีกครั้ง
“แกปิดฉันมานานขนาดนี้? ” ฟางเซียงเซียงทำตาโตอย่างเหลือเชื่อ
เซียวเยี่ยนจื่อเพียงหัวเราะเบาๆ กับการคาดโทษอย่างไม่จริงจังของเพื่อน “ฉันคิดไม่ผิดว่าแกต้องถูกชะตาเด็กคนนี้แน่” เธอเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เซียงเซียง พวกเรามาเลี้ยงเด็กคนนี้ด้วยกันนะ”
ฟางเซียงเซียงยิ้มทั้งดวงตาคลอน้ำ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “แกกับฉันยิ่งเหมือนคู่รัก LGBTQ เข้าไปใหญ่” เธอดึงเพื่อนสนิทเข้ามากอด แล้วปล่อยโฮออกมาโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ “ฉันจะเลี้ยงเขาให้ดี แม่เล็กอย่างฉันไม่น้อยหน้าแกแน่”
เซียวเยี่ยนจื่อหัวเราะ แล้วจู่ๆ ฟางเซียงเซียงก็ผละออกจากตัวเธอ ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาสะท้อนความจริงจังออกมา ราวกับคิดโปรเจกต์อะไรขึ้นมาได้กะทันหัน
“ฉันเอาเทียนเป่าไปเลี้ยงที่บ้านดีไหม แกเองก็จะได้ไม่ต้องมาห่วงว่าฉันจะเหงาด้วย” เธอเห็นคนฟังมุ่นคิ้วคล้ายไม่เห็นด้วย ก็พยายามเกลี้ยกล่อมต่อ “เป่าเปาก็จะได้เติบโตขึ้นด้วยความรักของแม่ไง มาหาเขาเป็นครั้งคราวแบบนี้ เด็กก็ยังรู้สึกว่าขาดความอบอุ่นอยู่ดี แกไม่คิดงั้นเหรอ”
เซียวเยี่ยนจื่อหัวเราะอย่างอ่อนใจ “ตอนแรกที่ฉันมีความคิดจะให้แกเป็นแม่เล็ก สาบานเลยว่าไม่คิดว่าแกจะจริงจังขนาดนี้”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงแกก็เปลี่ยนใจ ย้อนเวลากลับไปคิดใหม่ทำใหม่ไม่ทันแล้ว”
เซียวเยี่ยนจื่อถอนหายใจ แววตาของฟางเซียงเซียงเป็นประกายขึ้นมาทันที
แม้อีกฝ่ายจะยังไม่ได้พยักหน้ายินยอมแต่ท่าทางแบบนี้ของเซียวเยี่ยนจื่อ ฟางเซียงเซียงรู้ความหมายดี
ตอนนี้เธอชนะแล้ว
ระหว่างนั่งแท็กซี่กลับอะพาร์ตเมนต์ ฟางเซียงเซียงหมกมุ่นครุ่นคิดถึงการเตรียมตัวเป็นแม่คนไม่หยุด แล้วจู่ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เยี่ยนจื่อ ‘เทียนเป่า’ เป็นชื่อของเป่าเปาแต่แรกเหรอ”
คนถูกถามหันมาส่ายหน้า “ไม่ใช่ ชื่อแรกเกิดของแกตั้งตามลำดับของเด็กกำพร้าที่รับเข้ามา ฉันเลยตั้งให้แกใหม่เอง” เธอเอียงคอนึก หวนระลึกถึงความคิดในตอนนั้นของตัวเอง “ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ชื่อนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว แทบจะทันทีที่เห็นแกเลย”
“ไม่ใช่ว่าแกเตรียมชื่อลูกตัวเองเอาไว้นานแล้วหรอกนะ”
“บ้าน่า” เซียวเยี่ยนจื่อผลักไหล่เพื่อน “สมองฉันไม่เหลือพื้นที่ให้คิดเรื่องเหลวไหลแบบนั้นหรอก”
ฟางเซียงเซียงหัวเราะฮึๆ เลิกแซวอีกฝ่ายแล้วกลับไปถกเถียงกับความคิดในหัวของตัวเองต่อ จะสร้างห้องให้เทียนเป่าใหม่ หรือจะให้ลูกนอนกับเธอดี ช่างเป็นเรื่องที่ตัดสินใจลำบากจริงๆ
ปีพุทธศักราช 2277
“ร้านอาหารที่อยู่ถัดไปไม่กี่ตรอกนั่นน่ะ” หญิงวัยกลางคนกลืนซุบถั่วแดงลงท้องพลางเอ่ยกับคนร่วมโต๊ะ “ใช่ฝีมือตกลงหรือไม่ พักนี้ข้ารู้สึกว่ากินไม่ได้แม้แต่น้อย”
คนฟังพยักหน้าเห็นด้วยทันที “ตอนแรกข้าก็เข้าใจว่าลิ้นตัวเองมีปัญหา ที่แท้เป็นลิ้นแม่ครัว แล้วแบบนี้ผู้ใดจะกินลง”
“สงสัยเถ้าแก่เนี้ยคงจะให้สามีสติไม่ดีของนางทำกระมัง” ตาแก่คนหนึ่งที่อยู่โต๊ะถัดไปเอ่ยผสมโรงขึ้นมาอย่างสนุกปาก
ฟังถึงตรงนี้หวังซูไหนเลยจะยังไม่เข้าใจอีกว่าคนเหล่านี้หมายถึงร้านอาหารของเซียวเยี่ยนจื่อ หญิงวัยกลางคนกระแทกที่ตักซุปลงกับโต๊ะหน้าร้านอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์
เสียงดังนั้นเพียงทำให้คนที่กำลังนินทาผู้อื่นกันอย่างสนุกปากชะเง้อมองมาแวบเดียวเท่านั้น จากนั้นก็หันไปทำเรื่องที่น่าสนใจกว่าต่อ
หวังซูเองพอได้ระบายอารมณ์แล้วก็ต้องทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่อาจโวยวายด่าทอลูกค้าของตนได้
ทันทีที่ผู้คนซาลงนางจึงรีบปิดร้าน หลังจากทนฟังวาจาแสลงหูมาแล้วทั้งวัน หญิงวัยกลางคนมีสีหน้าหนักใจ ไม่รู้ว่าหลานสาวที่มีชีวิตอาภัพของนางใช่ถูกใส่ร้ายหรือไม่ เรื่องนี้ตนจะไประบายออกกับใครได้หนอ
สุดท้ายภรรยานายท่านตระกูลหวังก็ตัดสินใจเดินออกจากร้านไปยืนเมียงๆ มองๆ อยู่หน้าร้านอาหารของเซียวเยี่ยนจื่อ แล้วก็พบว่าคนน้อยลงกว่าช่วงแรกๆ ไปมากจริงๆ
หวังซูเริ่มหน้าซีด นางมองลึกเข้าไปไม่เห็นคนเป็นหลาน เห็นเพียงสามีสติไม่ดีของอีกฝ่ายคอยเดินไปเช็ดโต๊ะนั้น จัดของโต๊ะนี้อยู่ผู้เดียว
“อาโต้ว” หวังซูกึ่งตะโกนกึ่งกระซิบ พลางทำท่ากวักมือเรียก
เจ้าของนามก็ช่างหูดี ทั้งยังจดจำขึ้นใจว่าชื่อนี้เป็นชื่อตนที่ภรรยาเป็นคนตั้งให้ หงเทียนสิงหันหน้าไปมองต้นเสียง พอเห็นว่าเป็นหวังซูที่กำลังยืนกระสับกระส่ายสีหน้าไม่สู้ดีก็รีบเดินไปหา
หงเทียนสิงค้อมกายให้คนสูงวัยกว่า
ด้วยความร้อนใจ ไม่รอให้เขาทันได้ยืดตัวขึ้นด้วยซ้ำ หวังซูก็รีบเอ่ยขึ้นทันที “ภรรยาเจ้าอยู่หรือไม่”
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวชี้ไปทางในครัว หวังซูคิดว่าเป็นจังหวะเหมาะที่จะพูดคุยเรื่องที่นางกำลังกังวลใจโดยไม่ให้ต้นเรื่องอย่างคนเป็นหลานรู้ อีกอย่างคนผู้นี้ก็หาใช่คนสติไม่ดีอย่างที่ผู้อื่นหรือนางเองเคยเข้าใจ
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” หวังซูดึงชายหนุ่มหลบไปตรงมุมหนึ่งพลางเอ่ยเสียงเบาให้ได้ยินเพียงสองคน “เจ้าเคยชิมอาหารที่ภรรยาทำดูบ้างหรือไม่”
หงเทียนสิงทำไม้ทำมือบอกว่าไม่เคย หลังผ่านช่วงสร้างความมั่นใจให้หญิงสาวเขาก็ไม่เคยชิมฝีมือนางอีกเลย
หวังซูทำหน้ายุ่ง “แล้วไม่นึกสงสัยเลยรึ ที่คนน้อยลงๆ ทุกวันเช่นนี้”
เห็นชายหนุ่มทำสีหน้างุนงงนางก็รีบสั่งสอน “ข้าได้ยินคนเขาพูดกันว่ารสมือภรรยาเจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อน นางเป็นอะไรไป วันๆ เจ้าใส่ใจนางบ้างหรือไม่”
หงเทียนสิงขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาแล้วเช่นกัน เขาทำท่ารับปากอย่างจริงจังจนหวังซูวางใจ อบรมสั่งสอนต่ออีกไม่กี่ประโยคก็รีบกลับไป
หลังมองส่งหวังซูกลับไปชายหนุ่มก็รีบเดินเข้าร้านไปในครัว แวบแรกเขามองไม่เห็นใครทั้งสิ้น แต่ต่อมากลับพบคนที่กำลังมองหานอนหมดสติอยู่บนพื้น
หงเทียนสิงไม่ปล่อยให้ตัวเองตื่นตระหนกนาน รีบเข้าไปแบกเซียวเยี่ยนจื่อขึ้นหลังวิ่งไปโรงหมอทันที
เมื่อผู้ช่วยหมอเห็นว่าผู้มาเป็นใครก็เกือบจะไม่ต้อนรับ แต่เขาถูกท่านหมอสอนมาเป็นอย่างดีว่าไม่อาจเลือกคนไข้ได้ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่บนหลังเจ้าคนเสียสตินี่ต่างหากจึงจะเป็นคนป่วย หรือต่อให้คนที่ป่วยเป็นคนสติไม่ดีผู้นี้เขาก็ต้องให้อีกฝ่ายได้รับการรักษา
ผู้ช่วยหมอรีบเดินนำเข้าไปด้านใน ให้คนป่วยได้นอนลงเพื่อรอรับการตรวจ หงเทียนสิงมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างร้อนใจ แต่ครู่เดียวท่านหมอก็เดินเข้ามานั่งลงแล้วทำการตรวจให้เซียวเยี่ยนจื่อที่ยามนี้ยังคงไม่ได้สติด้วยความสุขุม
หงเทียนสิงย่อมไม่วางใจทิ้งหญิงสาวเอาไว้คนเดียว จึงยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหน ท่านหมอเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ผ่านไปครู่ใหญ่คนเป็นหมอก็หันมายิ้มให้เขา
“นี่เป็นอาการปกติของคนกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ไม่ต้องกังวลมากนัก ต่อไปก็แค่คอยระวังให้ดีอย่าให้นางเป็นลมเป็นแล้งไปอีก”
หงเทียนสิงไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ชายหนุ่มยืนนิ่งเป็นรูปสลัก ราวกับกลายเป็นใบ้ไปแล้วจริงๆ เพราะข่าวที่เพิ่งรับรู้นี้ เขาไม่แน่ใจนักว่านี่เป็นความฝันหรือความจริง เรื่องดีมักจะปรากฏในยามหลับฝันพอตื่นมาก็เหลือเพียงความผิดหวัง
กระทั่งในตอนที่แบกหญิงสาวออกมาจากโรงหมอก็ยังรู้สึกว่าฝีเท้าคล้ายล่องลอยไร้น้ำหนัก ความรู้สึกของเขาในยามนี้เป็นความรู้สึกที่ยากบรรยายอย่างแท้จริง
หงเทียนสิงเดินย้อนกลับมาปิดร้านอาหาร ตอนที่เขาผลุนผลันออกไปเพื่อพาเซียวเยี่ยนจื่อไปหาหมอก็เหลือคนอยู่ในร้านเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ยามนี้จึงร้างผู้คนลงนานแล้ว
ชายหนุ่มแบกหญิงสาวเอาไว้บนหลังขณะเดินเท้ากลับบ้าน ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ดูเหมือนคนเสียสติแล้ว เพราะใครๆ ต่างก็เข้าใจว่าเขาเป็นคนเสียสติไปแล้วโดยไม่จำเป็นต้องแสดงละครอีก ทว่ายามนี้สีหน้าท่าทางของหงเทียนสิงกลับใกล้เคียงกับบทบาทที่เขาเคยแสดงเพื่อตบตาผู้คนอยู่มาก
เมื่อกลับถึงบ้านหงเทียนสิงก็วางร่างบอบบางที่แบกเอาไว้บนหลังลงบนเตียงนอน จัดแจงท่าให้นางนอนสบายเสร็จก็ผละมาจัดเตรียมยาที่ท่านหมอจ่ายให้ นำมาให้นางดม
มือหนาเคลื่อนไหวไปมาอยู่ใต้จมูกมนได้รูป ขณะที่สายตาคร้ามคมไล่มองตั้งแต่เปลือกตาที่พริ้มหลับมาจนถึงขนตางอนยาว ความรู้สึกรักถนอมพลันเอ่อล้นขึ้นมาในใจทันที
เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกตัวหลังจากนั้นไม่นาน นางฟื้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ใบหน้าคมคายปรากฏขึ้นในสายตาทันทีที่เปิดเปลือกตา “อาโต้ว? ”
หงเทียนสิงลูบดวงหน้าเล็กเบาๆ ปัดปอยผมที่หลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบออกจากกรอบหน้างาม พลางช่วยพยุงนางลุกขึ้นนั่ง
“ข้าจำได้ว่าตัวเองหั่นผักอยู่ในครัว จากนั้นก็รู้สึกมึนหัวมาก ก่อนจะจำอะไรไม่ได้อีกเลย ข้าเป็นลมไปหรือ” หญิงสาวทั้งรำพึงกับตัวเอง ทั้งอยากขอคำยืนยันจากเขา
หงเทียนสิงพยักหน้า ริมฝีปากประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาจนคนมองแปลกใจ ทั้งสองประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง เซียวเยี่ยนจื่อคล้ายเห็นม่านน้ำปกคลุมอยู่ในดวงตาที่นางมองว่ามักจะแฝงความดุดันอยู่เสมอ
“เจ้า…” หญิงสาวมองเขาอย่างเป็นกังวล เขาดูเหมือนจะร้องไห้และก็ดูเหมือนจะดีใจมากในคราวเดียวกัน “เป็นอะไรไปหรือ”
หงเทียนสิงย่อมเปล่งวาจาตอบนางไม่ได้ ชายหนุ่มหลุบสายตาลงต่ำ จ้องมองหน้าท้องนางอย่างมีความหมาย เพียงอึดใจต่อมมามือหนาก็ทาบลงไปบนหน้าท้องแบนราบที่ดูปกติมากเหมือนไม่ได้มีบุตรของเขากับนางอยู่ในนั้น
หลังทาบทับลงไปแผ่วเบาก็ออกแรงเล็กน้อยลูบไปมาจนเซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกจั๊กจี้
หญิงสาวอ้าปากค้าง เขาทำเช่นนี้หากนางยังไม่เข้าใจอีกก็คงอยู่กินกันได้ไม่นานมาจนถึงวันนี้
“พวกเรา…” นางเกือบจะพูดไม่ออก “กำลังจะมีลูกด้วยกันหรือ”
หงเทียนสิงพยักหน้าซ้ำๆ จนถึงตอนนี้น้ำในดวงตาของคนที่ตัวสูงใหญ่ดุจหินผาก็หยดลงมาแล้ว
เซียวเยี่ยนจื่ออึ้งอยู่นาน จากนั้นน้ำตาของหญิงสาวก็ไหลออกมาเช่นกัน นางยกมือเรียวบางขึ้นลูบใบหน้าเปรอะคราบน้ำตาของชายหนุ่ม เช็ดน้ำตาให้เขาเงียบๆ เพราะพูดอะไรไม่ออกแล้ว
หงเทียนสิงพลันดึงหญิงสาวเข้ามากอด ไม่กล้ากอดแน่นเหมือนที่เคยทำ แต่เพียงเท่านี้คนถูกกอดก็รับรู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดของเขาได้แล้ว
คนที่กำลังกอดนางไม่ยอมปล่อยอยู่นี้ ที่มาของเขาไม่ชัดเจน ทั้งยังจงใจตบตาผู้คนว่าตนเองเป็นคนเสียสติ ความจริงนางควรจะหาคำตอบเหตุผลของการกระทำนี้ให้กระจ่าง แต่น่าแปลกที่นางจงใจมองข้าม
กระทั่งวันนี้นางมีลูกกับคนที่มีที่มาไม่ชัดเจนผู้นี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าความตื้นตันในแววตาของเขานั้นยากที่จะแสร้งทำออกมา
เขาดีใจที่กำลังจะมีลูกกับนาง นางเองก็ดีใจไม่ต่างกัน
“ลูกของเราให้ชื่อว่าเทียนเป่าดีหรือไม่” เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ยอู้อี้อยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม “เทียนเป่า… ของขวัญจากสวรรค์”
หงเทียนสิงเดินออกจากโรงเรียนอนุบาลก่อนหน้าเซียวเยี่ยนจื่อและฟางเซียงเซียงไม่กี่นาที หลังหามุมที่พอจะให้ความเป็นส่วนตัวได้ ชายหนุ่มก็โทรกลับไปหากัวเหมยหลัน เจ้าของสายโทรเข้าที่เขาตัดทิ้งไปเมื่อหลายนาทีก่อน
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ปลายสายก็ชิงส่งเสียงตวาดด้วยความโมโห “เธออยากจะให้ฉันเป็นบ้าไปจริงๆ ใช่ไหมเทียนสิง! ”
“ผมบอกไปแล้วว่าจะกลับอาทิตย์หน้า” น้ำเสียงไม่สะทกสะท้านยิ่งทำให้คนฟังร้อนใจ “แล้วพี่ร้อนใจอะไรครับ”
คนถูกถามตอบคำถามนี้ไม่ได้ในใจจึงยิ่งรู้สึกอึดอัด หลังเงียบไปชั่วขณะก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลง “เธอปลีกวิเวกไปอยู่เกือบสุดประเทศอย่างนั้นฉันจะทนอยู่สงบๆ ได้ยังไง” เธอเว้นช่วงคิดหาเหตุผลที่เหมาะสม “ถึงที่นั่นจะไกลจากปักกิ่งมากแต่นักข่าวตามเธอไปไม่ได้หรือไง อีกอย่างเธอก็เคยโดนรูดทรัพย์ไปหนหนึ่งแล้ว นี่ไม่น่าห่วง? ”
“ผมซาบซึ้งมากครับ” น้ำเสียงกลับสะท้อนความระอามากกว่าจะรู้สึกตามที่พูด
“เทียนสิง เธอจะหาว่าฉันจู้จี้กับเธอไม่ได้นะ เธอก็รู้ว่าพี่สาวเธอเขาฝากเธอไว้กับฉัน”
หงเทียนสิงขมวดคิ้ว ไม่พอใจที่อีกฝ่ายยกพี่สาวเขามาอ้าง ตลอดมาเขาใช่ว่าจะไม่รับรู้ความรู้สึกที่กัวเหมยหลันมีต่อเขา แต่ที่ทำเป็นไม่รู้ก็เพราะไม่อยากให้มีเรื่องรำคาญใจ
“ครับ ผมรู้” ตอบเสียงเรียบเพื่อตัดบท “แค่นี้ก่อนนะครับ ผมอยู่ข้างนอก ไม่สะดวกคุยนาน”
เสียงตัดสายของหงเทียนสิงแทบจะทำให้กัวเหมยหลันร้องกรี๊ดออกมา แต่นั่นย่อมขัดกับท่าทีสุขุมที่แสดงให้คนอื่นดู เธอจึงได้แต่ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจโทรไปหาหงเทียนเหยาที่อยู่ไกลถึงออสเตรเลีย
“เทียนเหยานั่นเธอเป็นอะไรน่ะ” แทนที่จะได้กล่าวทักทายตามปกติ เสียงตอบรับสั่นเครือของปลายสายก็ทำให้กัวเหมยหลันต้องเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ฉัน...ฉันหย่ากับเขาแล้ว” สิ้นคำคนพูดก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีก
ได้ฟังคำตอบกัวเหมยหลันก็อึ้งไปอึดใจหนึ่ง สีหน้าห่วงใยคลายลง “แล้วแบบนี้เธอกับต่าตาจะทำยังไงต่อ ที่นั่นก็บ้านเขาไม่ใช่เหรอ” คนพูดพยายามใช้น้ำเสียงแสดงความหวังดีอย่างเต็มที่ “หรือว่าจะกลับมา ฉันจะได้ช่วยดูแลหลาน เธอก็จะได้ดูแลกิจการได้เต็มที่ซะที”
ความจริงหงเทียนเหยาไม่ได้รอฟังคำแนะนำจากใคร ทุกอย่างเธอไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
“ฉันจะพาลูกกลับไป” น้ำเสียงตั้งใจแน่วแน่ทำให้คนที่ยกคำพูดมากมายมาแสดงความห่วงใยยิ้มออก “ยังไม่แน่ว่าจะกลับเมื่อไร กำหนดวันได้แล้วฉันจะโทรไปบอกเธอ”
“ยังไม่กำหนดวันกลับ? ” กัวเหมยหลันหุบยิ้ม “นี่ เทียนเหยาเธอจะทนอยู่ให้เขาทำร้ายจิตใจอยู่แบบนี้เนี่ยนะ”
“ฉันไม่ได้ทนอยู่ แต่เรื่องแบบนี้จะรีบร้อนได้ยังไง ไหนจะเรื่องโรงเรียนลูกฉันอีก เหมยหลันเธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันคิดดีแล้ว ที่ร้องไห้ก็แค่อยากระบายความอัดอั้นออกมาบ้าง” เธอเว้นช่วงไปอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้ “น้องชายฉันล่ะ เป็นยังไงบ้าง เลิกเหลวไหลหรือยัง”
“ที่ฉันอยากให้เธอกลับมาเร็วๆ ก็เพราะน้องชายเธอด้วยนี่แหละ” ราวกับฟ้าเป็นใจให้กัวเหมยหลัน อีกฝ่ายถึงได้ถามถึงน้องชายขึ้นมา “อย่าให้ฉันเล่าตอนนี้เลย เดี๋ยวจะไปเพิ่มปัญหาให้เธอเสียเปล่าๆ ยังไงฉันก็จะดูแลเขาให้เต็มที่”
เมื่อยิ่งพูดว่าไม่อยากเล่าเพราะไม่ต้องการเพิ่มปัญหาให้ ย่อมจะยิ่งทำให้คนฟังร้อนใจอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องนี้คนพูดรู้ดี เพราะหากไม่รู้อย่างนี้เธอคงไม่โทรหาอีกฝ่ายแต่แรก
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เสียงหงเทียนเหยาเข้มขึ้น ทั้งที่ยังไม่รู้อะไรแต่ในใจกลับตัดสินความผิดให้หงเทียนสิงเรียบร้อยแล้ว ใจอยากจะทุบตีเขาให้น่วมเสียเดี๋ยวนี้ ติดที่เธออยู่ไกลถึงอีกซีกโลก “นี่มันไม่รู้เลยเหรอว่าฉันลำบากขนาดไหน ถึงได้ทำตัวไม่รู้จักโตอยู่ได้”
“ใจเย็นๆ เถอะน่าเทียนเหยา โมโหไปเธอก็ทำอะไรไม่ได้”
ระหว่างที่ปล่อยเสียงปลอบของอีกฝ่ายผ่านหูไป หงเทียนเหยาก็พิมพ์ชื่อน้องชายตัวเองลงในคำค้นหาของเว่ยปั๋วยิกๆ ก่อนจะโพล่งเสียงแหลมออกมาด้วยความเดือดดาล
“นี่มันเกิดมาเป็นน้องฉันได้ยังไงนะ ทำตัวไม่มีหัวคิดอยู่เรื่อย”
“เธอเห็นแล้วสิ” น้ำเสียงกระหยิ่มเปิดเผยชัดเจน เพราะเธอรู้ว่าอารมณ์คนฟังตอนนี้คงแยกแยะไม่ได้ “เห็นไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนอกจากทำใจเย็นๆ เข้าไว้ เขารับปากกับฉันแล้วว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะกลับ”
หงเทียนเหยาเดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด พอหยุดเดินก็ต่อบทสนทนากับปลายสายอีกครั้ง “ฉันเข้าใจล่ะ เหมยหลันขอบใจเธอมากที่ช่วยฉันดูแลไอ้ตัวแสบนี่ ที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
“เทียนเหยา” น้ำเสียงจริงจังจริงใจจนเจ้าของชื่อต้องตั้งใจฟัง “เธอรู้มาตลอดว่าฉันเต็มใจ ไม่ใช่ทำไปเพราะเธอฝากฝัง”
เพราะตั้งใจฟังหงเทียนเหยาจึงฟังออกถึงนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น เป็นนัยที่ซ่อนอยู่แต่ตั้งใจเปิดเผยให้เธอรู้ เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
ครั้งนี้แทนที่เธอจะเกิดความกังวลเล็กๆ ตามประสาคนเป็นพี่เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา หงเทียนเหยากลับเพียงคิดอะไรกับตัวเองเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยตัดบทขอวางสาย
ฟางเซียงเซียงกับเซียวเยี่ยนจื่อกลับมาที่บ้านฝ่ายแรกด้วยกัน เซียวเยี่ยนจื่อล้มตัวลงนอนแผ่หลาบนโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์ด้วยความคุ้นเคย เจ้าของบ้านเห็นภาพนี้จนชินตาจึงแค่มองเฉยขณะลงมือเก็บข้าวของเข้าที่ให้เป็นระเบียบ
จังหวะนั้นเองคนที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงไปกับโซฟาอย่างไม่เอาธุระอะไรทั้งนั้นก็ดีดตัวกลับขึ้นมานั่ง สีหน้าเหมือนตัวเองลืมทำเรื่องสำคัญ
เซียวเยี่ยนจื่อเอี้ยวตัวไปด้านหลัง ยกเรียวแขนพาดซ้อนกันวางลงบนพนักโซฟา ก่อนจะเท้าคางลงไปมองตามการเคลื่อนไหวของเจ้าของบ้านตาปริบๆ
หญิงสาวหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนส่งเสียงถาม “เธออยู่ที่นี่มาสองปีกว่าแล้วสินะ”
ฟางเซียงเซียงส่งเสียงอืมในลำคอ ไม่ได้หยุดมือจากสิ่งที่กำลังทำค้างอยู่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ได้ปิดประตู
เซียวเยี่ยนจื่อส่งเสียงดังขึ้นอีกระดับให้คนที่ง่วนอยู่ในห้องน้ำได้ยิน “แกได้ทำความรู้จักเพื่อนบ้านบ้างรึเปล่า” ถามแบบไม่ต้องสบตากันแบบนี้ก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะจับผิดอะไร
คำถามของเธอฟังดูแปลกเกินไปจริงๆ วกไปวนมาเหมือนถามไปเรื่อยเปื่อยแต่ถ้าไม่โง่จนเกินไปใครๆ ก็ฟังออกว่าคำถามที่เธออยากรู้จริงๆ ยังมาไม่ถึง
“ฉันมีเวลาทำแบบนั้นเหรอ ก็เหมือนกับแกนั่นแหละ” เสียงของฟางเซียงเซียงที่ดังอยู่ในห้องน้ำ พอแว่วออกมาข้างนอกเลยกลายเป็นเสียงก้องแปลกหู “อีกอย่างถึงจะมีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่บ้าง แต่คนแถวนี้ก็ไม่มีใครอยากสุงสิงกับใครจริงจังหรอก”
“คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหรอ” เซียวเยี่ยนจื่อไม่ต้องนึกนาน ใบหน้าของคนสองคนก็ลอยเข้ามาในสมองทันที “อาอี๋สองคนที่ชอบไปชุมนุมกันที่ป้อมรักษาความปลอดภัยนั่นน่ะเหรอ”
“ความใส่ใจของสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมล่ะ” ฟางเซียงเซียงหัวเราะ “ขนาดแกยังสังเกตเห็น”
เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้พลอยขำตามไปด้วย เพราะกำลังคิดว่าจะวกอ้อมกลับมาหาสิ่งที่เธออยากรู้ยังไงดี “ไม่กี่วันก่อนฉันเห็นพวกเขายืนเถียงกับพนักงานส่งอาหารที่หน้าตึกน่ะ”
“มีเรื่องจนได้สินะ” ฟางเซียงเซียงพูดอย่างคนที่ไม่รู้เหตุการณ์
“วันนั้นมีคนสั่งฟู้ดเดลิเวอรี่แต่พอพนักงานมาส่งอาหารดันปิดเครื่องหนี” เซียวเยี่ยนจื่อตัดสินใจเล่าแบบอ้อมๆ “พนักงานส่งอาหารพยายามจะฝากอาหารไว้กับรปภ. ที่เฝ้าอยู่หน้าตึก เหมือนรปภ. คนนั้นจะเป็นลูกชายของอาอี๋คนหนึ่ง เธอเลยเถียงแทนลูกชาย ยังไงก็ไม่ขอเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“อ้อ” ฟางเซียงเซียงเหมือนนึกอะไรออก “คงจะเป็นอาอี๋คนนั้น เห็นอย่างนั้นเธอฐานะใช่เล่นเลยนะ อย่างห้องตรงข้ามฉันก็เป็นห้องที่เธอเปิดเช่า”
เซียวเยี่ยนจื่อดวงตาเป็นประกาย คุยกันไปคุยกันมาประเด็นก็ถูกดึงกลับมาในจุดที่เธอต้องการราวกับฟ้าเป็นใจ
“ห้องตรงข้ามแกเหรอ” หญิงสาวแสร้งถาม “ดูเหมือนจะมีคนมาเช่าแล้วรึเปล่า”
“เหมือนจะใช่”
“แกเคยเห็นคนเช่าไหม”
เซียวเยี่ยนจื่อพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่นานก็เพราะอยากรู้แค่เรื่องนี้ เธอสนใจผู้ชายที่พักอยู่ห้องตรงข้ามเพื่อนสนิทจริงๆ แต่ไม่ได้สนใจในเชิงชู้สาว คงจะเป็นเรื่องพิลึกถ้าเธอเกิดสนใจคนที่เห็นใบหน้าแค่ครึ่งล่างกับแผ่นหลังของเขาเท่านั้น
แต่ที่เธอเกิดนึกอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาขึ้นมาก็เพราะเรื่องบังเอิญหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น คนที่ทำให้เธอสงสัยมากที่สุดก็คือเขา
ทั้งเรื่องที่มีคนโทรเรียกรถพยาบาลตัดหน้าเธอ เรื่องที่มีคนสวมรอยเป็นฟางเซียงเซียงสั่งฟู้ดเดลิเวอรี่ แล้วก็เรื่องที่จู่ๆ เขาก็มาโผล่อยู่หน้าห้องฟางเซียงเซียงพอดีอีก
ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะทำให้เธอช่วยชีวิตเพื่อนสนิทได้ทันเวลา แต่ถ้าเขาเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดจริง มีเหตุผลอะไรที่คนแปลกหน้าคนหนึ่งจะทำแบบนั้น
“เคยเห็นแค่ครั้งเดียว ตอนเขามาอยู่วันแรก” ฟางเซียงเซียงที่สวมถุงมือยางสีส้มเดินออกมาจากห้องน้ำ หรี่ตาจ้องหน้าเซียวเยี่ยนจื่ออย่างจับพิรุธ “แกมีพิรุธนะเยี่ยนจื่อ แกเคยเห็นเขาแล้วล่ะสิ ทำไมจู่ๆ ถึงถามถึงเขาขึ้นมาได้”
เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ในที่สุดก็ถูกจับผิดเรื่องไร้สาระแบบนี้เข้าจนได้ “ฉันถามถึงเขาตอนไหน ฉันถามถึงคนที่เช่าห้องฝั่งตรงข้ามแก ฉันไม่รู้สักหน่อยว่าเป็นใคร แค่เห็นว่าบางทีก็มีรองเท้าตั้งอยู่หน้าห้อง”
“แกสนใจเขาเหรอ”
Comments (0)