บทที่ 14(2)

ใต้ท้องฟ้า

Trigger Warnings/Content Warnings

ความยากลำบากและเจ็บช้ำน้ำใจของหญิงตั้งครรภ์

หานจิงจวิ้นเตรียมใจไว้แล้วว่าทันทีที่นางมีสติและคิดได้เขาต้องเผชิญกับอะไร แต่เมื่อได้ยินวาจาของนางจริงๆ แล้ว ในใจก็ยังรู้สึกย่ำแย่เหลือประมาณ เพราะรู้ดีว่าวาจาเชือดเฉือนของนางนั้นเป็นการระบายความเจ็บปวดและผิดหวังในใจ

“แม่นางเซียว เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยแทนฝ่าบาทด้วย แต่…”

“ข้าไม่รับ” เซียวเยี่ยนจื่อตัดบททันที

ฝ่าบาทหรือ ฝ่าบาทงั้นหรือ ความจริงที่ได้ยินจากปากผู้อื่นย่อมทำให้คนรู้สึกตกตะลึงกว่าการคาดเดาของตัวเองเสมอ เดิมทีนางเพียงลองหยั่งเชิงดูเท่านั้น ทว่าตอนนี้สิ่งที่นางสงสัยทั้งหมดมีคำตอบชัดเจนแล้ว

“ไปเสีย แล้วอย่าได้เข้ามาวุ่นวายในชีวิตข้าอีก ที่ผ่านมาข้าจะถือเสียว่าไม่เคยพบเขา”

หานจิงจวิ้นไม่เคยรู้สึกลำบากใจเท่านี้มาก่อน ทางหนึ่งเป็นเจ้าเหนือหัว ทางหนึ่งก็เป็นสตรีที่ได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่นางไม่เคยทำผิดต่อผู้ใด

แต่ไม่ว่าอย่างไร ยังคงมีประโยคหนึ่งที่เขาไม่เอ่ยไม่ได้เด็ดขาด “เด็กคนนี้ ข้าจำเป็นต้องพาเขากลับไป”

ในดวงตาคู่งามพลันปรากฏความโกรธเกรี้ยว คนพวกนี้ไร้ยางอายจนเสี้ยวเวลาสุดท้ายเลยเชียวหรือ

“เขาเป็นบุตรชายข้า ไม่ว่าใครก็พาเขาไปไม่ได้”

“แม่นางอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”

“พวกเจ้าก็ควรหยุดบีบคั้นคนได้แล้ว”

หานจิงจวิ้นหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด ลูกน้องที่เขาสั่งให้ไปกราบทูลฝ่าบาท กลับมาตั้งแต่หลายชั่วยามก่อนแล้ว ทว่าอีกฝ่ายเพียงรายงานว่าไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า เพราะยามนี้ฝ่าบาทกำลังเริ่มการไต่สวนพระปิตุลา อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยตัวเอง

ตนเป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ แต่ด้วยความคิดของตนแล้วยามนี้ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่สำคัญไปกว่าเรื่องที่ฝ่าบาททรงทำอยู่แน่

หานจิงจวิ้นกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขารู้ว่าเรื่องของสตรีนางนี้แท้จริงแล้วสำคัญกับฝ่าบาทไม่แพ้กัน

เวลานี้นางเพิ่งคลอดบุตร หากบีบคั้นกันเกินไปนับว่าไม่เหมาะจริงๆ

ทว่าหานจิงจวิ้นเดินมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะยึดถือความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เหนือสิ่งอื่นใด สุดท้ายยังคงเอ่ยว่า “เช่นนั้นวันนี้แม่นางพักผ่อนเถอะ ไว้ข้าจะมาใหม่”

 

วันถัดมาอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ถูกพบเป็นศพอยู่ในคุก ระหว่างรอการไต่สวนอีกครั้ง

ความรุ่งโรจน์ของเขาจบสิ้นลงพร้อมกับการปรากฏตัวของหงเทียนสิงและหลักฐานในมือชายหนุ่ม ซึ่งใครๆ ต่างก็คิดว่าสูญสิ้นไปพร้อมกับตระกูลเซียวที่ล่มสลายลงแล้ว

แม้แต่ตัวเขาเองก็มีคนเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ตายไปตั้งแต่เหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน

หงเทียนสิงรู้จักอาของตัวเองดี ระหว่างการถูกหยามศักดิ์ศรีหลู่เกียรติกับความตาย อาของเขาต้องเลือกอย่างหลังแน่นอน ชายหนุ่มให้โอกาสอีกฝ่ายมีทางเลือกนับว่าเป็นไมตรีสุดท้ายที่เขาพอจะให้ญาติเพียงคนเดียวที่เหลือได้แล้ว

หานจิงจวิ้นรีบสาวเท้าเข้าไปคุกเข่ารายงานทันทีที่โอรสสวรรค์เดินออกมาจากที่คุมขังอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องสำคัญมากต้องกราบทูล” ความเคร่งเครียดในใจเป็นผลให้เมื่อถึงคราวต้องรายงานจริงๆ เขากลับมัวแต่โยกโย้ไม่ยอมเอ่ยเข้าประเด็นตั้งแต่ทีแรก

หงเทียนสิงพบความผิดปกติของขันทีคนสนิททันที หัวคิ้วเคร่งขรึมขมวดฉับ “อย่ามัวแต่โยกโย้ รีบพูดมาตามตรง” เขาเอ่ยเร่ง แล้วก็พลันฉุกใจ “เกี่ยวกับเซียวเยี่ยนจื่อหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” หานจิงจวิ้นก้มหน้าต่ำ “นางคลอดบุตรชายแล้วเมื่อเย็นวานนี้”

หงเทียนสิงดวงตาเบิกกว้าง ความรู้สึกที่ถั่งโถมเข้ามาในโพรงอกมากมาย ท่วมท้นเสียจนแยกแยะไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกใดบ้าง สองเท้าขยับคล้ายจะวิ่งออกไป แต่แล้วก็หยุดชะงัก

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูก ตัดสินใจไม่ได้ ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาถามหานจิงจวิ้น “เหตุใดถึงเพิ่งมาบอกเราตอนนี้”

“ฝ่าบาทกำลังอยู่ระหว่างการไต่สวนอดีตผู้สำเร็จราชการแทน เรื่องของแม่นางเซียวอย่างไรก็…”

“หานกงกง” หงเทียนสิงตัดบท “นางคลอดลูกของข้า นางเป็นภรรยาข้า”

หานจิงจวิ้นกลับเข้าใจไปอีกทาง “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งทรงกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเอ่ยเรื่องเด็กกับนางแล้ว แต่อาจจะต้องเกลี้ยกล่อมอีกหน่อยนางถึงจะยอม”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” หงเทียนสิงสีหน้าทะมึน “เราสั่งให้เจ้าทำอย่างนั้นหรือ”

หานจิงจวิ้นตะลึงไป เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะเดาใจโอรสสวรรค์พลาด “ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมคิดว่าแม่นางเซียวคลอดบุตรชาย ฝ่าบาทย่อมต้องการเด็กคนนี้”

ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความคิดอ่านของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ไม่ว่าอย่างไรความรู้สึกโมโหและไม่ได้ดั่งใจก็ยังคงไม่ทุเลา

เขาไม่เคยมีความรักลึกซึ้งกับสตรีใดมาก่อน หานจิงจวิ้นย่อมไม่เข้าใจความคิดเขา ความจริงแล้วเขาก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่มีความโลภในบางเรื่อง ความโลภที่ทำให้ไม่สนใจในเหตุผลหรือความเหมาะสมใดๆ ทั้งนั้น

“ข้าย่อมต้องการ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเครียด “ทั้งแม่และลูก”

หานจิงจวิ้นตะลึงรอบสอง ความหมายในวาจาขององค์จักรพรรดิเขาย่อมฟังเข้าใจ แต่เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร เซียวเยี่ยนจื่อตอนนี้เป็นเพียงหญิงสามัญชน แม้นางจะเคยเป็นสตรีสังกัดกองธงขาว ทว่านั่นก็เป็นเพียงอดีตเท่านั้น

อีกทั้งคำพูดเหล่านั้นของนาง เขามองไม่เห็นถึงเยื่อใยที่มีต่อคนเป็นสามีแม้แต่น้อย

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ มีบางเรื่องกระหม่อมไม่รู้ว่าควรกราบทูลหรือไม่”

“เล่ามาให้หมดเถอะ นางพูดว่าอย่างไรบ้าง”

หานจิงจวิ้นไม่จำเป็นต้องนึกทบทวนก็สามารถถ่ายทอดคำพูดของเซียวเยี่ยนจื่อได้ทุกประโยค

ที่ผ่านมาจะถือว่าไม่เคยพบหรือ

หงเทียนสิงกลับมามีสีหน้าทะมึนอีกครั้ง เขาไร้ยางอายและขี้ขลาดเกินกว่าจะบอกลาและบอกความจริงกับนางตามตรงนั้นไม่ผิด แต่นางเองก็ใช้ประโยชน์จากเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ หรือว่าเกือบหนึ่งปีนั้นนางไม่เคยรู้สึกอะไรเลย

“มีคำพูดประโยคหนึ่งที่นางอาจจะลืมไป” ชายหนุ่มกำหมัดแน่น กรามถูกขบจนเป็นสันนูน “คำนับฟ้าดินร่วมกันหนึ่งครา เป็นสามีภรรยาชั่วชีวิต”

หานจิงจวิ้นสานสบกับแววตาเยือกเย็นของโอรสสวรรค์เข้าพอดี แล้วก็เข้าใจในทันที

สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด การเข้าวังของเซียวเยี่ยนจื่อจะต้องเป็นผลลัพธ์ที่ได้เท่านั้น ไม่อาจเป็นอื่น

ทว่าตอนที่หานจิงจวิ้นกลับมาที่บ้านของเซียวเยี่ยนจื่ออีกครั้งกลับพบว่าคนหายไปแล้ว ข้าวของในบ้านก็ล้วนหายไปพร้อมคน เขาร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่านางเพิ่งคลอดบุตร เด็กก็ยังเล็กนัก จะตัดสินใจหนีไปเช่นนี้

“บ้านหญิงทำคลอดคนนั้นอยู่ที่ใด” หานจิงจวิ้นถามองครักษ์ที่วันก่อนได้รับคำสั่งจากเขาให้ไปตามหาหญิงทำคลอดละแวกนี้ “เจ้ารีบนำทางไป”

บ้านของหญิงทำคลอดอยู่ไม่ไกลจากบ้านของหญิงสาว อยู่ถัดมาเพียงแค่ระยะบ้านสิบกว่าหลัง หานจิงจวิ้นถูกนำมาถึงหน้าบ้านก็เคาะประตูตะโกนเรียกคนทันที

“มีใครอยู่หรือไม่”

ชายหนุ่มตะโกนเรียกถึงสามครั้งถึงมีคนออกมาเปิดประตู คนคนนั้นเป็นหญิงทำคลอดที่เขาต้องการพบพอดี

อีกฝ่ายพอเห็นว่าผู้มาเป็นเขา แววตาก็ปรากฏความแตกตื่นขึ้นทันที “ตะ…ใต้เท้า”

หานจิงจวิ้นพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึมคลายออกเล็กน้อย ยังดีที่นางจดจำเขาได้ จะได้ไม่ต้องเท้าความกันให้ยืดยาว “แม่นางเซียวที่เจ้าเพิ่งทำคลอดให้นางเมื่อสองวันก่อนอยู่ที่ใด”

คนถูกถามสีหน้างุนงง แต่ด้วยความยำเกรง กลัวว่าจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจ นางจึงรีบเอ่ยอย่างมีมารยาท “ใต้เท้าเชิญเข้าไปพูดคุยในบ้านก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ บ้านข้าแม้จะเล็ก…”

“ไม่ต้องแล้ว” หานจิงจวิ้นรีบตัดบท “คนอยู่ที่ใด เจ้ารีบพูด”

“ตะ…ใต้เท้า เรื่องนี้ข้าเองก็…” หญิงทำคลอดทำปากอ้าๆ หุบๆ เรื่องนี้นางไม่รู้จริงๆ แต่ครั้นจะตอบตามตรงนางยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่

ทว่าสุดท้ายสีหน้าที่อึมครึมขึ้นทุกทีของคนถามก็บีบให้นางต้องรีบตอบออกไปตามตรง “ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ ตอนกลับออกมา คนก็ยังไม่ได้หายไปไหน”

หมายความว่านางออกจากบ้านหลังจากที่หญิงทำคลอดจากมาแล้ว?

“เจ้าแน่ใจนะ”

“แน่ใจเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่กล้าโกหก”

หานจิงจวิ้นไม่รู้จะไปตามหาหญิงสาวที่ใด สุดท้ายจึงจำต้องกลับเข้าวังไปรายงานองค์จักรพรรดิตามตรง

ทันทีที่คำพูดของเขาจบลง ถ้วยชาในมือคนฟังก็ถูกเขวี้ยงลงไปบนพื้นทันที เสียงที่ดังกระทบพื้นบาดไปถึงหัวใจของเขาเองเช่นกัน

การระบายอารมณ์เช่นนี้ไม่ใช่แค่เพราะความไม่ได้ดั่งใจ หานจิงจวิ้นรู้ดีว่าในความรู้สึกอีกฝ่ายยังเต็มไปด้วยความผิดหวังกึ่งจนปัญญา

“ครอบครัวนางอยู่ห่างไกล หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานางล้วนพึ่งพาตระกูลหวัง” หงเทียนสิงเอ่ย “เจ้าพาคนจำนวนหนึ่งไปที่จวนตระกูลหวังเถอะ”

ความหมายในคำพูดนี้ไม่ต้องขยายความอีก หานจิงจวิ้นก็เข้าใจ ชายหนุ่มน้อมรับคำสั่งด้วยความเคร่งเครียด ต่อให้ใจมีประโยคทัดทานนับหมื่นพันก็ไม่กล้าเอ่ยออกไปแม้แต่คำเดียว

ในท้ายที่สุดแล้วเพียงชั่วเวลาหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ข่าวที่นายท่านตระกูลหวังอาจมีส่วนในการทุจริตการสอบขุนนางก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว

จวนตระกูลหวังยามนี้ถูกล้อมด้วยทหารจำนวนหนึ่ง บรรยากาศชวนอึดอัดแผ่ออกมาจนผู้คนแทบจะไม่กล้าเดินผ่าน มีหลายคนที่ไม่เชื่อข่าวนี้แม้แต่น้อย ทว่าไม่เชื่อแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า

ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่ไปถึงหูของเซียวเยี่ยนจื่อที่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมจุดสุดท้ายก่อนจะออกนอกเมือง

นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี้เป็นเรื่องเหลวไหลที่เกิดจากความลุแก่อำนาจของใครบางคน หญิงสาวเจ็บใจจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด ทว่าในที่สุดแล้วก็ไม่อาจนิ่งดูดาย มองดูผู้อื่นเดือดร้อนเพราะนาง

หากจะมีคนเดือดร้อนก็ควรเป็นนางแต่เพียงผู้เดียว คนผู้นั้นไม่มีสิทธิ์รังแกผู้อื่นตามใจชอบเช่นนี้

เซียวเยี่ยนจื่อจำต้องเดินทางย้อนกลับเข้าไปในเมืองอีกครั้ง เด็กน้อยในอ้อมอกนางช่างเลี้ยงง่าย นางกระเตงเขาไปไหนต่อไหนไม่ได้หยุดพักแต่เขากลับไม่งอแงเลย

หญิงสาวหยุดยืนอยู่หน้าจวนตระกูลหวังก้มลงมองบุตรชายที่พริ้มตาหลับสนิท ไม่รับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอกแม้แต่น้อย

“ผู้มาเป็นใคร” ทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูจวนถามขึ้น

น้ำเสียงเข้มงวดนั้นไม่ได้ทำให้หญิงสาวตกใจกลัว นางเงยหน้าตอบด้วยอาการสงบนิ่ง “เซียวเยี่ยนจื่อ”

นายทหารคนดังกล่าวเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยทันที ก่อนหน้านี้เขาได้รับการถ่ายทอดคำสั่ง และจดจำชื่อนี้ไว้จนขึ้นใจแล้ว

เซียวเยี่ยนจื่อถูกพาเข้าไปในจวน ก่อนคนที่เดินนำเข้ามาจะหยุดอยู่ที่ศาลาริมน้ำของเรือนหลัก

“แม่นางนั่งรอตรงนี้สักครู่”

“ได้ ส่วนคนตระกูลหวังพวกท่านก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”

เขาไม่ตอบอะไรนางทั้งสิ้น เพียงหมุนตัวเดินกลับไปเงียบๆ เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้กังวลมากนัก นางรู้ว่าคนตระกูลหวังถูกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น ยามนี้นางมาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่คนผู้นั้นจะไม่ปล่อยคน

เวลานี้หญิงสาวรู้ดีว่าตนกำลังรออะไรอยู่ หากจะพูดให้ถูกต้องคือกำลังรอใครอยู่ ระหว่างนั้นนางก้มลงมองบุตรชายเป็นพักๆ ยิ่งเห็นใบหน้าเล็กๆ นี้ยิ่งทั้งรักใคร่และเจ็บใจไปในคราวเดียวกัน

บุตรชายนางไม่เหมือนนางแม้แต่น้อย… ทว่าเกือบหนึ่งปีมานี้เหมือนเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยสิ่งลวง มีเพียงเด็กคนนี้ที่เป็นความจริง เป็นสิ่งที่อาโต้วหลงเหลือไว้ให้นาง

หญิงสาวนั่งรอไม่ถึงครึ่งชั่วยามดีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เป็นเสียงฝีเท้าของคนคนเดียว ไร้ผู้ติดตาม เงาดำมืดของคนคนนั้นทอดยาวนำมาก่อน เวลานั้นเองนางจึงเงยหน้าขึ้น สายตาพลันสานสบกับดวงตาคร้ามคมคู่หนึ่งทันที

ทั้งนางและเขาต่างประสานสายตากันและกันนิ่งนาน ในความนิ่งเงียบไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงความรู้สึกแต่ละฝ่ายที่คล้ายกับเป็นพายุโหมกระหน่ำ

จังหวะนั้นเองเสียงนกฝูงใหญ่ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน นกหลายตัวพากันบินกรูตามกันไปเป็นเส้นยาวพาดผ่านท้องฟ้า

หงเทียนสิงเงยหน้าขึ้นมอง “นกพวกนี้ช่างอิสระเสียจริง ยามอากาศหนาวก็สามารถบินหนีลงใต้ได้” ชายหนุ่มเลื่อนสายตากลับมามองนาง “แต่พวกมัน มิใช่ว่าต้องบินอยู่ใต้ท้องฟ้าอยู่ดีหรือ”

ประโยคแรกที่เขาเอ่ยกับนางกลับเป็นถ้อยคำบีบคั้นกดดันเช่นนี้ เสียงทุ้มเนิบน่าฟังควรจะให้ความรู้สึกนุ่มนวล ทว่าเซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกว่านางมองคนผู้นี้ผิดไปจริงๆ

“นก จะหนีฟ้าพ้นได้อย่างไร[1] เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่เล่า อาจื่อ”

 



[1] คำว่า เยี่ยนจื่อในชื่อของเซียวเยี่ยนจื่อ หมายถึง นกนางแอ่น ส่วนคำว่า เทียน ในชื่อของหงเทียนสิง หมายถึง ท้องฟ้า