19 ตอน บทที่ 10(2)_พี่ฮ่าว
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 10(2)
พี่ฮ่าว
Trigger Warnings/Content Warnings
การทำแท้ง
ความจริงแล้ว ระหว่างที่เซียวเยี่ยนจื่อหลอกถามข้อมูลจากอาอี๋สองคนนั้น เธอก็แอบฟังอยู่ด้วยเกือบจะตั้งแต่ต้น ลักษณะรูปร่างของผู้ชายที่อาอี๋คนนั้นบรรยาย ทำให้เธอนึกถึงใครบางคนขึ้นมาเพราะมีบางส่วนที่ตรงกัน แต่โดยรวมแล้วเธอมั่นใจว่าไม่ใช่ และก็คงไม่มีเหตุผลเลยที่จะใช่
ถึงอย่างนั้นชื่อนี้ก็ติดอยู่ในใจเธอไปแล้ว ถ้าไม่ได้รับความกระจ่างก็คงจะติดอยู่แบบนี้ไปตลอด
เซียวเยี่ยนจื่อผละออกจากร่างผอมบางเพื่อจะได้มองสีหน้าอีกฝ่ายให้ชัด
...ที่แท้ตอนที่เธอสังเกตเห็นว่าฟางเซียงเซียงดูผิดปกติไปก็เป็นเพราะอีกฝ่ายเห็นตอนที่ฮ่าวป๋อชุนโทรเข้ามาหาเธอพอดี ซ้ำยังเก็บมาคิดจนถึงตอนนี้
เซียวเยี่ยนจื่อตอบออกมาตรงๆ “ใช่”
เรื่องฮ่าวป๋อชุนไม่ถือเป็นความลับอะไร โอกาสที่เพื่อนคนนี้จะยอมแย้มพรายเรื่องที่เป็นปมปัญหาในใจออกมาไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ตอนนี้เธอจึงพร้อมเปิดใจคุยเต็มที่ “พี่ฮ่าวนอกจากจะเป็นรุ่นพี่ฉันสมัยเรียนมหา’ลัยแล้ว ครอบครัวเราก็รู้จักกัน จริงๆ แล้วก็ถือว่าสนิทกันมากเลยล่ะ แต่พอเขาเรียนจบเราก็ห่างกัน”
ฟางเซียงเซียงไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้เรื่องของคนอื่น จึงเพียงส่งเสียงอืมรับรู้เบาๆ แต่สีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายแสดงออกชัดว่ายังไม่หายคาใจ
คนที่อ่านท่าทางเพื่อนสนิททะลุปรุโปร่งจึงเล่าต่อ “หญิงชายสนิทกัน น้อยมากที่จะเป็นแค่พี่น้อง หรือรุ่นพี่รุ่นน้องกันจริงๆ ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยคล้ายความรู้สึกมากมายในวันวานไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอ “แต่ฉันกับเขาเป็นแค่นั้นจริงๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่สิ...”
หญิงสาวทำหน้าคล้ายว่าตัวเองพูดผิด “จริงๆ ก็คงมี ฉันว่าความรู้สึกฉันตอนนั้นก็เรียกว่าชอบได้มั้ง เขาเองก็รู้สึกเหมือนกัน ฉันไม่ได้หลงตัวเองนะ” เธอรีบพูดเมื่อเห็นคนฟังทำตาโต “ถ้าเขายอมเดินหน้า ความจริงเราอาจจะได้คบกันแล้ว ตอนนี้ก็อาจจะวางแผนแต่งงานกันแล้วก็ได้” เสียงหัวเราะทิ้งท้ายประโยคไร้แววเย้ยหยัน แต่หญิงสาวรู้สึกขบขันความคิดเพี้ยนๆ ของตัวเองจริงๆ
“เหลือเชื่อ” ฟางเซียงเซียงแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนเธอคนนี้เคยมีความรักกับเขาเหมือนกัน “เขาไม่เดินหน้า ทำไมเธอเป็นเป็นฝ่ายเดินหน้าซะเองเลยล่ะ” ถ้าเป็นเธอคงไม่กล้าทำแบบนั้นแน่ แต่เซียวเยี่ยนจื่อไม่เหมือนกัน เพื่อนเธอคนนี้หากมั่นใจว่าเป็นของดีไม่มีทางยอมให้คนอื่นคว้าไป กับผู้ชายก็คงเหมือนกัน
เซียวเยี่ยนจื่อยิ้ม เห็นท่าทางสนอกสนใจเรื่องเธอจนเหมือนจะลืมเรื่องในใจตัวเองไปแล้วของเพื่อน เธอก็อยากจะขุดเรื่องของตัวเองกับฮ่าวป๋อชุนมาเล่าให้หมด เล่าทั้งคืนเลยก็ยังได้
“เห็นฉันดูมั่นๆ แบบนี้ แต่ตอนนั้นน้อยกว่าตอนนี้เยอะ ความมั่นต้องใช้เวลาในการสะสมนะ เธอรู้หรือเปล่า” เธอหัวเราะให้คำพูดของตัวเองอีกครั้ง คนฟังก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย “แต่ไม่เกี่ยวกับมั่นไม่มั่นอะไรหรอก ที่ฉันไม่เป็นฝ่ายเดินหน้าก็เพราะรู้ซะก่อนว่าเขาจะทำงานการเมือง ตามรอยพ่อเลี้ยงเขา” เธอเงียบไปอึดใจหนึ่งก็เอ่ยต่อในระดับเสียงที่เบากว่าเดิม “ตามรอยพ่อฉันด้วย”
ฟางเซียงเซียงพลอยอารมณ์กร่อยตามน้ำเสียงของอีกฝ่ายไปด้วย เรื่องในครอบครัวของเซียวเยี่ยนจื่อเธอพอรู้มาบ้าง รวมถึงเรื่องที่อีกฝ่ายมีพ่อเป็นถึงผู้นำประเทศ แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกถึงไม่เรียกว่าแย่แต่ก็เรียกว่าดีไม่ได้ และที่เป็นแบบนั้นก็เพราะความเป็นนักการเมืองของคนเป็นพ่อ
เซียวเยี่ยนจื่อเชื่อฝังหัวว่า ‘อาชีพ’ นี้ทำให้พ่อของเธอเป็นคนที่ไม่สมควรเป็นพ่อคน และเป็นสามีที่ดีให้ใครไม่ได้ แม้เขาจะทำให้ชีวิตเธอกับแม่ดีขึ้นแต่สุดท้ายมันก็พังลงอยู่ดี
ความจริงเรื่องสำคัญขนาดนี้ถ้าเลือกได้ฟางเซียงเซียงก็ไม่อยากรู้ แต่เซียวเยี่ยนจื่อเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอ ถึงไม่อยากรู้ก็ต้องรู้ แล้วทำเป็นไม่รู้ไปเสียก็เท่านั้น
“เขาอาจจะไม่เหมือน...”
“ก็คงไม่เหมือน” เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ยขัดทันควัน “แต่ยังไงฉันว่าเป็นแฟนนักการเมืองก็ไม่ใช่ทางเลือกชีวิตที่ดีเท่าไร”
ฟางเซียงเซียงเห็นด้วยกับเหตุผลนี้ของเพื่อนจนได้แต่ยิ้มแหย “ก็จริงของแก”
เซียวเยี่ยนจื่อยิ้ม ราวกับจะบอกว่า ‘เห็นไหมล่ะ’
เรื่องของเธอกับฮ่าวป๋อชุนถูกเล่าออกมาจนหมดเปลือกแล้ว แต่เซียวเยี่ยนจื่อไม่คิดจะวกไปถามถึง ‘พี่ฮ่าว’ ที่ติดค้างเป็นปมในใจอีกฝ่าย เธอมีลางสังหรณ์ว่าคนคนนี้มีผลกับชีวิตของเพื่อนอย่างใหญ่หลวง อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเลือกจบชีวิตตัวเองมากกว่าจะต่อสู้กับความรู้สึกแหลกสลายในใจ
แต่ ‘พี่ฮ่าว’ ที่ฟางเซียงเซียงรู้จักคงไม่มีทางเป็นฮ่าวป๋อชุนไปได้ เพราะไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะติดใจอะไรตอนที่เธอเล่าถึงเขา แต่คนคนนี้จะเป็นใครและเรื่องที่เธอกำลังสงสัยจะถูกต้องหรือไม่ เธอคงต้องสืบหาความจริงเอาเอง
ก่อนหน้าที่ฟางเซียงเซียงจะเข้าไปอาบน้ำ เซียวเยี่ยนจื่อจึงแอบเล็งโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว ทันทีที่สบโอกาสเธอก็เปลี่ยนโฉมหน้าตัวเองเป็นสายลับ
หญิงสาวรู้รหัสปลดล็อกมือถือของฟางเซียงเซียงอยู่แล้ว เมื่อสนิทกันมากเรื่องจุกจิกเล็กน้อยแค่ไหนส่วนใหญ่ก็มักจะไม่เป็นความลับระหว่างกัน แต่ที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำเรื่องเสียมารยาทแบบนี้ ครั้งนี้เพราะจำเป็นจริงๆ และก็เพราะเธอรักและเป็นห่วงอีกฝ่ายนั่นแหละ
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เท่าที่เธอสังเกตเห็นฟางเซียงเซียงไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือเลย ทันทีที่กดรหัสปลดล็อกหน้าจอสำเร็จ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาจึงทำให้เซียวเยี่ยนจื่อมือไม้อ่อนจนเกือบจะทำมันตกลงไปบนพื้น
สายตาเธอปรากฏหน้าเว็บเสิร์ชเอนจินเว็บหนึ่ง และคำค้นหาที่เพื่อนของเธอใส่เอาไว้ก่อนจะไม่ได้แตะมันอีกเลยก็คือแพ็กเกจทำแท้ง
เซียวเยี่ยนจื่อเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมาต่อให้เป็นผู้ชายเฮงซวยขนาดไหนก็ไม่เคยทำให้เพื่อนเธอมีสภาพแบบนี้มาก่อน แต่ครั้งนี้ที่เหตุการณ์มันแย่จนเกือบจะแก้ไขอะไรไม่ทัน นั่นก็เพราะผู้ชายคนล่าสุด ถึงขั้นทำเพื่อนเธอท้อง และในท้ายที่สุดก็ไร้ความรับผิดชอบจนอีกฝ่ายตัดสินใจจบชีวิตเด็กในท้องไม่พอ ยังคิดจะจบชีวิตของตัวเองด้วย
หญิงสาวโกรธจนตัวสั่น สั่นไปถึงหัวใจ เธอเลื่อนปิดหน้าเว็บปัจจุบันแล้วกดเข้าไปในวีแชต
เป็นอย่างที่เธอคิด...
‘พี่ฮ่าว’ คือชื่อแรกในรายชื่อผู้สนทนา แม้แต่เธอก็ยังเป็นรายชื่อที่อยู่ต่อท้าย
ยิ่งกว่าโกรธผู้ชายสารเลวคนนี้ก็คือเธอโกรธตัวเองที่ใส่ใจเพื่อนน้อยจนไม่รู้เลยว่าเพื่อนกำลังคุยกับคนที่อันตรายถึงขนาดนี้ เธออยากจะรู้นักว่าพี่ฮ่าวคนนี้เป็นใครกันแน่ เพราะเธอจะไม่มีวันปล่อยให้เพื่อนเธอสูญเสียเพียงฝ่ายเดียว!
เซียวเยี่ยนจื่อคิดจะกดเข้าไปอ่านบทสนทนาของทั้งคู่ เผื่อว่าจะมีหนทางให้ตามสืบต่อได้มากกว่านี้ แต่เสียงเปิดประตูห้องน้ำกลับดังขึ้นมาเสียก่อน
หญิงสาวสะดุ้ง รีบวางมือถือของฟางเซียงเซียงลงไปในตำแหน่งเดิม แม้แต่องศาการวางก็พยายามไม่ให้เอียงไปจากเดิมจนเป็นที่ผิดสังเกต
“เยี่ยนจื่อ” คนที่กำลังสดชื่นเต็มที่หลังผ่านการอาบน้ำส่งเสียงเรียกสดใส “พวกเรายังเหลือวันลาพรุ่งนี้อีกวัน ฉันว่าจะไปซื้อของเข้าบ้านให้เทียนเป่า”
เซียวเยี่ยนจื่อยังปรับอารมณ์ไม่ทันจึงไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่เพื่อนพูด เธอนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่พูดอะไรสักคำ
“เยี่ยนจื่อ” ฟางเซียงเซียงส่งเสียงเรียกสติมาอีกคำ “เป็นอะไรน่ะ”
เซียวเยี่ยนจื่อได้สติเมื่ออีกฝ่ายเดินมานั่งข้างๆ “อ้อออ” ลากเสียงยาว ซื้อเวลาให้ตัวเองคิดคำตอบ “กำลังดูทีวีเพลินๆ เลย เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ”
“เพลิน? ” คนฟังทำหน้าตาไม่เชื่อถือ “เห็นนั่งทำหน้าเหมือนอยากฆ่าคน”
“ก็ไม่ค่อยมีสมาธิดูหรอก” เซียวเยี่ยนจื่อกลอกตาไปมา “ฉันนึกถึงสโนว์บูธที่เพิ่งซื้อมาแต่ฉันดันพามันไปลื่นล้มจนสกปรกน่ะ”
“หือ” ฟางเซียงเซียงเลิกคิ้ว
“ช่างเถอะ ไม่สำคัญอะไรหรอก แล้วเมื่อกี้แกว่าอะไรนะ”
“พรุ่งนี้ฉันว่าจะไปซื้อของเข้าบ้านให้เทียนเป่า” ฟางเซียงเซียงยิ้ม เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตัวเองวางแผนเอาไว้ “ไปรับเขามาแล้วจะได้พร้อมอยู่เลย”
เห็นสีหน้าเห่อของเพื่อนแล้วเซียวเยี่ยนจื่อก็เกือบจะยิ้มตาม ถ้าในใจจะไม่มีเรื่องที่เพิ่งรู้ความจริงติดอยู่ “ดีเลย! ” เธอฝืนยิ้มแล้วตบเข่าฉาด “เสร็จเรื่องของเธอแล้ว ฉันจะได้ถือโอกาสหารางวัลในชีวิตชิ้นใหม่ให้ตัวเองด้วย”
“รองเท้าหรือกระเป๋า? ”
เซียวเยี่ยนจื่อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางหรี่ตาราวกับมีแผนโดยไม่ได้ตอบอะไร
เช้าตรู่วันนี้อากาศค่อนข้างน่านอน อุณหภูมิไม่ได้ลดต่ำลงไปกว่าเมื่อวาน แต่สีของท้องฟ้ากลับชวนให้คนไม่อยากออกไปไหน
หากเป็นเวลาปกติหงเทียนสิงคงนอนเก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกไปไหนจนกว่าจะพ้นช่วงที่สภาพอากาศค่อนข้างทารุณแบบนี้ไป แต่นับจากที่เท้าเหยียบลงบนเขตเมืองฮาร์บิน ชีวิตเขาก็ไม่ไร้จุดหมายหรือน่าเบื่อแบบนั้นอีกแล้ว ต่อให้ต้องหนาวตายแต่ก็ขอได้เห็นเธอเป็นคนสุดท้ายก่อนลมหายใจจะหมดลง
ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ตัว ว่าตัวเองเหมือนพวกโรคจิตเข้าไปทุกที แต่ถ้าไม่ได้ทำแบบนี้สักวันเขาอาจจะเป็นบ้าไปจริงๆ
ตอนที่เขาฝันเห็นเธอครั้งแรกแต่ไม่รู้ว่าจะไปตามหาเธอได้ที่ไหน กระทั่งไม่รู้เลยว่าบนโลกนี้มีเธออยู่ไหม เป็นความทุกข์ทรมานที่คนสติดีๆ คนหนึ่งยากจะแบกรับไหวจริงๆ
เขาต้องอยู่กับโรคนอนไม่หลับที่มีแต่ตัวเขาเองที่รู้ว่ารักษายังไงก็ไม่มีวันหาย ความทรมานแบบนั้นเขาอยู่กับมันมามากพอแล้ว ตอนนี้ต่อให้แค่ได้มองเธออยู่ห่างๆ แม้จะเป็นความทรมานอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตเขาด้วย
หงเทียนสิงมือหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกมือจ่อบุหรี่แตะริมฝีปากอัดควันเข้าปอดลึก ขณะมองไปที่หญิงสาวสองคนที่เดินกอดแขนกันออกมาจากอะพาร์ตเมนต์ สองสาวโบกมือเรียกแท็กซี่ เขาเองก็กำลังจะโบกแท็กซี่อีกคันให้ขับตามไป จังหวะนั้นกลับถูกเครื่องมือสื่อสารที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงดึงความสนใจไป
ชายหนุ่มชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะตัดสินใจล้วงมันออกมากดรับโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่แท็กซี่คันที่เพิ่งเคลื่อนตัวออกไป
“ครับ” เขาไม่ได้มองว่าใครโทรเข้ามาแต่ก็พอเดาได้ จึงรับสายแบบส่งๆ สายตาสอดส่ายหารถแท็กซี่คันใหม่ กระวนกระวายใจเล็กน้อยที่หาได้ไม่ทันใจ เพราะรถแท็กซี่คันของพวกเซียวเยี่ยนจื่อเคลื่อนออกไปไกลจากสายตาทุกที
กัวเหมยหลันฟังออกถึงน้ำเสียงติดจะรำคาญเล็กๆ ของนักแสดงในความดูแล แต่ริมฝีปากยังคงประดับรอยยิ้มอารมณ์ดี “เสี่ยวสิง” แม้แต่น้ำเสียงและคำเรียกก็มีแววหยอกล้ออย่างหาได้ยาก จนคนฟังเผลอมุ่นหัวคิ้ว
แท็กซี่คันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ หงเทียนสิงชะเง้อคอมองเห็นแต่ไกล “แค่นี้ก่อนนะครับ” เพราะขี้เกียจจะแบ่งสมาธิเพื่อทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะวางสาย
ทว่ายังไม่ทันจะได้กดตัดสายอีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน “ฉันอยู่สนามบิน”
“ครับ? ” หงเทียนสิงยกมือขึ้นโบกแท็กซี่ ยังไม่ค่อยเข้าใจที่ผู้จัดการส่วนตัวพูดนัก
“มารับฉันด้วย” ระหว่างที่เปิดประตูรถเข้าไปนั่ง กัวเหมยหลันก็ตอบกลับมา “ฉันอยู่สนามบินฮาร์บิน”
“ครับ !? ” ชายหนุ่มได้ยินชัดเต็มหูแล้วก็ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว “พี่มาทำไม”
คนขับแท็กซี่เอ่ยแทรกขึ้นมาเวลานี้เอง “จะไปไหนครับ” หงเทียนสิงถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ แต่ดูเหมือนจุดหมายแรกที่ตั้งใจจะไปคงต้องยกเลิกกะทันหัน
“ไปสนามบินครับ” เขาตอบคนขับเสียงเครียด ตอนที่กรอกเสียงถามคนในสายอีกครั้งน้ำเสียงก็ไม่ได้เปลี่ยน “พี่มาทำไม ผมจำได้ว่าบอกพี่ไปสองรอบแล้วว่าอาทิตย์หน้าผมจะกลับ”
“ใช่ เธอบอกแล้ว” กัวเหมยหลันตอบอย่างไม่ใส่ใจ ขณะเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแบบบริการตนเองที่ตั้งอยู่ด้านนอกสนามบิน
หลังประตูปิดสนิทเธอก็เอ่ยต่อว่า “ตอนนี้ฉันก็บอกเธอไงว่าฉันมาที่นี่แล้ว”
“แล้วพี่จะมาทำไม” แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาคอยควบคุมหรือตามติดชีวิตทุกฝีก้าวเหมือนที่กัวเหมยหลันชอบทำ ตอนนี้ความไม่พอใจที่สะท้อนผ่านน้ำเสียงจึงชัดเจนเป็นพิเศษ “ผมไม่ได้มาทำงาน ยิ่งไม่ได้มาเที่ยว”
นัยน์ตาเล็กเรียวโชนแสงขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับมุมปากถูกยกเป็นรอยยิ้ม “งั้นมาทำอะไรล่ะ”
เธอไม่ได้อยากฟังคำตอบของเด็กหนุ่มที่อยู่ปลายสาย เพราะรู้อยู่แล้วว่านอกจากเขาจะไม่ได้มาทำงาน ไม่ได้มาเที่ยว แล้วก็ไม่ได้มาหาหมออย่างที่เคยอ้างด้วย แต่ที่อยากฟังก็คือน้ำเสียงตอนที่อีกฝ่ายพยายามหาทางหลบเลี่ยงการพูดความจริงต่างหาก
แน่ล่ะ ถ่อมาเฝ้าผู้หญิงไกลถึงนี่... ไร้เหตุผลสิ้นดี ใครจะยอมพูดออกมาตรงๆ
แต่เธอที่รู้อยู่แก่ใจย่อมทนรออยู่เฉยๆ ไม่ได้ เวลาเดือนหนึ่งนานเกินไป ต่อให้แค่วันเดียวก็นานเกินไปสำหรับเธอ ที่สำคัญคือ แม้จะเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้ว แต่เห็นจากรูปถ่าย เธอรู้สึกว่ายังไงก็ไม่สู้มาให้เห็นกับตา
คนกำลังคิดคำโกหกย่อมตอบออกมาในทันทีไม่ได้ หงเทียนสิงเงียบไปอึดใจหนึ่งอย่างที่คนหยั่งเชิงคาดเดาเอาไว้ไม่ผิด “ผมก็บอกไปแล้วไงว่ามาหาหมอ”
“รักษากันดีทีเดียวนะ เธอถึงกับทิ้งงานทิ้งการมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนๆ ”
หงเทียนสิงขมวดคิ้ว เขาฟังออกถึงการประชดประชันในน้ำเสียง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องประชด “แล้วพี่จะกลับเมื่อไร”
กัวเหมยหลันเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง “ฉันเพิ่งจะมาถึง เธอก็ถามวันกลับฉันแล้วเหรอ”
“ช่างเถอะ” หงเทียนสิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ “ผมวางนะครับ ถึงแล้วจะโทรหาอีกที”
ตอนที่ใกล้จะถึงสนามบิน หงเทียนสิงโทรให้กัวเหมยหลันออกมารอริมถนนเพื่อรับอีกฝ่ายขึ้นแท็กซี่มาด้วยกัน ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะลงจากรถไปช่วยเธอยกกระเป๋า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนขับกับเจ้าของกระเป๋าช่วยกันจัดการ
ตอนที่เปิดประตูรถขึ้นมานั่ง กัวเหมยหลันปรายตามองไปยังคนที่นั่งชิดประตูอีกฝั่ง เธอเกือบจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่สุดท้ายก็ระงับเอาไว้ได้ แล้วพร่ำบ่นอยู่ในใจด้วยความโมโหแทน
คนที่บอกว่ามาหาหมอรักษาโรคนอนไม่หลับ ตอนนี้สภาพไม่ต่างกับผีดิบ อันที่จริงผีดิบอาจจะดีกว่า อย่างน้อยกลางวันก็ยังได้นอน แต่สภาพของอีกฝ่ายตอนนี้เหมือนคนไม่ได้นอนมาเป็นเดือน เบ้าตาลึกโหล ทั้งผอม ทั้งโทรม
กัวเหมยหลันชักจะสงสัยแล้วว่านักแสดงในความดูแลของเธอโดนผู้หญิงทำไสยศาสตร์ มนตร์ดำอะไรใส่หรือเปล่า
“นี่เธอได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี่ย” สุดท้ายก็อดรนทนไม่ได้ต้องเอ่ยถามออกมา
“นอน” หงเทียนสิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “บางวันร่างกายทนไม่ไหวน็อกไปเองก็ได้นอนบ้าง”
“ว่ายังไงนะ” กัวเหมยหลันตกใจจนเสียงดังขึ้นหลายระดับ
หงเทียนสิงขี้เกียจตอบเพราะคิดว่าไม่จำเป็น แล้วเอ่ยถามเธอในเรื่องที่จำเป็นแทน “พี่จะพักที่ไหน”
หญิงสาวย่อมคิดเรื่องนี้มาแล้ว เธอจึงตอบได้ทันที “ที่เดียวกับเธอ”
คนฟังไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เพราะเขาเดาได้แต่แรกแล้ว ในเมื่อเธอแสดงออกชัดว่าจะมาเฝ้าเขาก็ต้องไม่ให้เขาคลาดสายตาอยู่แล้ว
หงเทียนสิงเพียงหันไปบอกที่หมายกับคนขับ ก่อนจะหันไปสนใจทิวทัศน์ด้านนอก ท่าทางประกาศชัดว่าไม่ต้องการเสวนากับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีก
กัวเหมยหลันเองก็ไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน เธอหันไปบอกที่หมายใหม่กับคนขับซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
หงเทียนสิงไม่ได้ทำเป็นไม่ได้ยิน เขาหันมามองเธอด้วยสีหน้ามีคำถาม
“ฉันว่าจะไปซื้อของใช้เข้าห้อง”
หงเทียนสิงไม่ได้ว่าอะไร เพียงหันกลับไปอยู่ในโลกส่วนตัวตามเดิม
ตอนที่ทั้งคู่มาถึงที่หมาย หงเทียนสิงก็ไม่ได้ทำตัวแล้งน้ำใจอีก กระเป๋าเดินทางของกัวเหมยหลันค่อนข้างใหญ่ ชายหนุ่มจึงช่วยเธอลากกระเป๋าเดินตามเธอเข้าร้านนู้นออกร้านนี้โดยไม่ปริปากบ่น แต่สีหน้ากลับแสดงออกในทางตรงกันข้าม
ในตอนที่หญิงสาวเดินเข้าร้านเสื้อผ้า แล้วหยิบจับถุงมือขึ้นมาดู ชายหนุ่มก็ทนไม่ไหว “เดี๋ยวก็กลับแล้ว พี่จะมีถุงมือหลายคู่ไปทำไม ที่ใส่อยู่ก็พอแล้ว”
“ซื้อที่นี่ก็ต้องใส่เฉพาะที่นี่ด้วยหรือไง” ความจริงเธอไม่ได้มีอารมณ์จะช้อปปิงอะไรขนาดนั้น แต่ความรู้สึกเวลามีเขาเดินตามต้อยๆๆ เหมือนคอยเอาอกเอาใจเธอแบบนี้เป็นความรู้สึกที่อาจหาไม่ได้แล้ว
“ผมไม่อยากเจอนักข่าว” หงเทียนสิงยกข้ออ้างที่สมเหตุสมผลขึ้นมา “หวังว่าพี่จะเลือกซื้อเฉพาะของที่จำเป็นจริงๆ ”
กัวเหมยหลันเถียงไม่ได้ เพราะเธอเองก็ไม่พร้อมจะเจอนักข่าวเช่นกัน ข่าวฉาวล่าสุดของหงเทียนสิงเธอยังไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ และหากเป็นไปได้เธอหวังว่าเรื่องนี้จะเงียบไปเองโดยที่เธอไม่ต้องตอบอะไร
“ถ้างั้นฉันขอไปดูรองเท้าอีกคู่เดียว แล้วเรากลับกัน”
หงเทียนสิงเหลือบมองรองเท้าส้นเข็มของเธอแล้วก็มุ่นหัวคิ้ว หน้าหนาวที่ฮาร์บินแตกต่างกับที่ปักกิ่ง พื้นถนนเต็มไปด้วยหิมะ ทั้งยังหนาจนมองสภาพเดิมไม่ออก ใส่รองเท้าส้นสูงแบบนี้เดินยังไงก็ไม่ปลอดภัย รังแต่จะทำให้เดินลำบาก
ชายหนุ่มไม่ได้ค้านอะไร เพียงเข็นกระเป๋าเดินทางตามหลังเธอเข้าร้านรองเท้ายี่ห้อดังที่อยู่ติดกันไปเงียบๆ
“แบรนด์ดังเสียเปล่า ทำไมพนักงานถึงปฏิบัติกับลูกค้าเหมือนไม่เคยผ่านการเทรนมาก่อนแบบนี้ล่ะคะ” เสียงหวานใสที่ขัดกับอารมณ์คนพูดนั้นไม่เบาเลย
หงเทียนสิงหันขวับ แม้สีหน้าจะยังไร้อารมณ์แต่แววตากลับสะท้อนความดีใจและประหลาดใจ ทั้งที่คิดว่าวันนี้เขาคงคลาดกับเธอแล้ว ไม่คาดว่าจะมาบังเอิญเจอเธอที่นี่
กัวเหมยหลันเห็นจากหางตาว่าชายหนุ่มไม่ได้เดินตามเธอมาก็หมุนตัวกลับมามองหา เวลานี้เองเสียงถกเถียงกันของลูกค้าสาวรายหนึ่งกับพนักงานหน้าตาไม่รับแขกก็เรียกความสนใจจากเธอ ก่อนที่ความสนใจของเธอจะไปรวมอยู่ที่ฝ่ายแรกทั้งหมด
แววระลึกได้ฉายขึ้นในดวงตาเรียวเก๋ของหญิงสาว เธอเหลียวไปมองหงเทียนสิงที่ยืนนิ่งขึงอยู่ทางหนึ่ง สีหน้าท่าทางของฝ่ายนั้นให้ความมั่นใจกับเธอ
กัวเหมยหลันหันกลับมามองไปที่เซียวเยี่ยนจื่อ ผู้หญิงคนนั้น...
ไม่ผิดแน่... คนที่ทำให้หงเทียนสิงทิ้งทุกอย่างที่ปักกิ่งแล้วถ่อมาถึงที่นี่
สวยทีเดียว... แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ผู้หญิงแพศยาก็สมควรมีหน้าตาแบบนี้อยู่แล้ว
ความสวยที่กัวเหมยหลันเคยเห็นผ่านรูปถ่าย เรียกได้ว่าถูกลดทอนลงไปหลายส่วน เพราะแม้จะไม่อยากยอมรับแต่ต้องบอกว่าตัวจริงของอีกฝ่ายสวยกว่าในรูปถ่ายมาก
รอยยิ้มแปลกๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากฉาบลิปสติกสีหวาน ขณะที่เท้าในรองเท้าส้นเข็มก้าวทีละก้าวไปยังใจกลางสงครามขนาดย่อม
Comments (0)