11 ตอน บทที่ 6(1)_ถั่วแดงคะนึงหา
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 6(1)
ถั่วแดงคะนึงหา[1]
Trigger Warnings/Content Warnings
มีการบรรยายถึงพฤติกรรมที่มีลักษณะคล้ายสตอล์กเกอร์ (โรคจิตที่มีพฤติกรรมชอบสะกดรอยตาม)
มีการบรรยายถึงสภาพสังคมที่มีความเป็นปิตาธิปไตย
ฟางเซียงเซียงออกจากโรงพยาบาลในเช้าของวันที่หก หลังนอนพักรักษาตัวอยู่ห้าวันเต็มๆ หญิงสาวนั่งมองทิวทัศน์นอกรถที่ไหลผ่านสายตาไปดุจสายน้ำด้วยอาการเหม่อลอยเล็กน้อย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พบว่าทิวทัศน์ที่กำลังมองอยู่ดูแปลกตาไป
“ไม่ได้กลับบ้านฉันเหรอ” ฟางเซียงเซียงหันไปถามคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ มีเพียงกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็กของเจ้าตัวคั่นกลาง
หลังแยกกับฮ่าวป๋อชุนในสายของวันนั้น เซียวเยี่ยนจื่อก็รีบย้อนกลับไปที่บ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวมานอนเฝ้าเพื่อนอย่างไม่ต้องห่วงอะไรอีก
หญิงสาวหันมาขยิบตาพลางยิ้ม “จะรีบกลับไปอยู่เงียบๆ คนเดียวทำไมล่ะ”
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก” เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้น “สุดท้ายแกก็ไม่เชื่อฉัน”
“ไม่ใช่ฉันไม่เชื่อแก” เซียวเยี่ยนจื่อคว้ามือเพื่อนมากุมไว้ “ฉันแค่ไม่เชื่อ...” นิ้วเรียวชี้วนอยู่ที่ข้างขมับตัวเอง “พวกมันไว้ใจได้ที่ไหน ยังมีอีก ผู้ชายเฮงซวยบนโลกนี้ไม่รู้ว่ามีกี่ล้านคน เกิดแกโชคไม่ดีไปเจอเข้าอีกจะทำยังไง”
ฟางเซียงเซียงไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรให้เพื่อนฟังก็จริงแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเดาได้ว่าสาเหตุการคิดสั้นของเธอคงไม่พ้นเรื่องผู้ชาย พออีกฝ่ายเปิดโปงออกมาโต้งๆ เธอเลยเถียงไม่ออก ขอบตาเริ่มปริ่มน้ำแต่สีหน้ากลับมีรอยยิ้มหัว
“แกชอบทำตัวติดกับฉัน ในขณะที่ฉันหาแฟนได้ ถึงจะเป็นพวกเฮงซวยทุกคนก็เถอะ แต่ทำไมแกถึงไม่เคยมีสักคนล่ะ บรรดาพวกที่มาต่อแถวจีบไม่มีสักคนที่ใช้ได้เลยหรือไง สามสิบยังพอกัดฟันทนแต่สามสิบเอ็ดถึงจะไม่เรียกว่าแก่แต่ความสาวมันโบกมือลาแกไปแล้วไหมเยี่ยนจื่อ”
เซียวเยี่ยนจื่อกลอกตามองบน สุดท้ายก็วกกับมาที่ปัญหาโลกแตกของเธอจนได้
“จะมีไปทำไมแฟนน่ะ” ว่าพลางขยับตัวไปคล้องแขนเพื่อนรักแล้วเอียงหน้าซบไหล่บาง “มีแกก็พอแล้ว”
“แหวะ” ฟางเซียงเซียงใช้นิ้วชี้ดันหัวเซียวเยี่ยนจื่อออกด้วยท่าทางรังเกียจ “ดูทำเข้า แกนี่นะ เพราะแบบนี้ไงคนเขาถึงนินทาแกไม่หยุดหย่อน”
“ใครสน” หญิงสาวขืนหัวตัวเองเอาไว้สุดแรง
“ถึงแล้วครับ” เสียงคนขับรถแท็กซี่เรียกให้สองสาวผละออกจากกัน แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ
“โรงเรียนอนุบาลเหรอ” ฟางเซียงเซียงเปรยขึ้นด้วยความแปลกใจขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ป้ายหน้าประตูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลขนาดกลางในเมืองฮาร์บินแห่งหนึ่ง
“ไปกันเถอะ” หลังจ่ายเงินค่าแท็กซี่เสร็จ เซียวเยี่ยนจื่อก็หันมาเอ่ยกับฟางเซียงเซียงพลางเปิดประตูรถลงไป
เซียวเยี่ยนจื่อเดินนำฟางเซียงเซียงไปหยุดตรงจุดลงทะเบียนคนเข้าออกด้านหน้าประตูโรงเรียน โดยปกติโรงเรียนอนุบาลจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปแม้แต่พ่อแม่ผู้ปกครอง ตอนมารับก็ยังต้องรอรับอยู่หน้าประตูโรงเรียนเท่านั้น ฟางเซียงเซียงคิดว่าวันนี้คงมีอะไรพิเศษ ถึงได้อนุญาตให้คนเข้าไปได้ แต่การรักษาความปลอดภัยก็ยังคงมีอยู่
หลังทั้งคู่ลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย เซียวเยี่ยนจื่อก็พาฟางเซียงเซียงเข้าไปในโรงเรียนอย่างคุ้นเคย คนเดินตามมองแผ่นหลังเพื่อนสนิทด้วยสายตาซับซ้อน สมองจินตนาการเรื่องราวที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคาดคิดไปถึง
ขณะที่เดินตามไปเงียบๆ เธอนึกอยากจะออกปากถามจะแย่ แต่ก็กระอักกระอ่วนเกินกว่าจะกล้าถามเพื่อคลายความสงสัยให้ตัวเอง
เซียวเยี่ยนจื่อพาฟางเซียงเซียงเดินเข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงเจี้ยวจ้าว ด้านในมีแต่เด็กๆ ที่เนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยแป้งทำขนม พากันยืนล้อมอยู่รอบโต๊ะสแตนเลสตัวยาวสองตัววางต่อกัน
เด็กคนหนึ่งกำลังพยายามทุบไข่ไก่ลงไปบนโต๊ะด้วยความพยายามจะตอกมันใส่ลงในกะละมังสแตนเลสตรงหน้า แต่ไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง
ฟางเซียงเซียงเห็นแบบนั้นก็ตาโต ยกนิ้วชี้ไปที่เด็กคนนั้น ทั้งยังอยากจะเข้าไปยับยั้งสิ่งที่เขากำลังจะทำ แต่พริบตาต่อมาไข่ไก่ที่แตกเละอยู่ในอุ้งมือน้อยๆ ก็ลงไปอยู่ในกะละมังสแตนเลสทั้งเปลือกทั้งเนื้อไข่
เด็กคนนั้นหัวเราะจนตาหยีโค้ง ตาตี่ๆ พอหยีลงแบบนี้แล้วก็มองไม่เห็นลูกตาดวงน้อย เขาตบมือที่เลอะไข่ไก่เข้าหากันอย่างชอบใจที่ตัวเองทำสำเร็จ
ฟางเซียงเซียงขำพรืด จากที่คิดจะเข้าไปบอกวิธีการที่ถูกต้องก็ถอยกลับมายืนมองเด็กๆ ทำกิจกรรมกันในแบบที่ไม่ประสา เห็นพวกเขามีความสุข สนุกสนานเธอก็พลอยมีความสุขไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
เธอไม่คิดเลยว่าการยืนมองสภาพความวุ่นวาย เละเทะ และอึกทึกไปด้วยเสียงหัวเราะเล็กๆ แบบนี้จะทำให้ความรู้สึกเหมือนมีชีวิตแต่ไร้วิญญาณของตัวเองถูกชุบชูขึ้นมามีชีวิตชีวาได้
ฟางเซียงเซียงหยุดคิดเรื่องเซียวเยี่ยนจื่อไปชั่วขณะ ดวงตาแห้งแล้งเกิดประกายขึ้นมาระหว่างที่มองเด็กๆ ทำขนมกันอย่างสนุกสนาน
“แม่จ๋า”
แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องผงะกับเสียงเรียกเล็กๆ นั้น สายตาเลื่อนมองไปตามเสียง เห็นเด็กชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากกลุ่มเด็กๆ ด้วยกันแล้วพุ่งเข้ามากอดเซียวเยี่ยนจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ ฝ่ายถูกกอดอุ้มเด็กชายขึ้นมาหอมแก้มอย่างเอ็นดูแกมหมั่นเขี้ยว ล้วนไม่มีใครสนใจเธอที่ยืนหน้าเหวออยู่ตรงนี้
เด็กชายคนนี้…
เจ้าหนูไข่ไก่เละคนนั้นนั่นเอง
“ยะ...เยี่ยนจื่อ” ฟางเซียงเซียงหลุดปากตะกุกตะกัก “นี่...ลูกแกเหรอ”
เซียวเยี่ยนจื่อยิ้มกว้าง ละสายตาจากใบหน้ากลมๆ ที่แดงเถือกด้วยเลือดฝาดของเด็กชายไปมองเพื่อนสนิท เพิ่งจะเผยอปาก ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา
แต่ทั้งฟางเซียงเซียงและเซียวเยี่ยนจื่อต่างก็ไม่มีใครล้วงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดรับสาย เพราะเสียงนั้นไม่ใช่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของทั้งคู่
สองสาวหันมองไปตามเสียงแต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า พร้อมๆ กับที่เสียงนั้นก็เงียบหายไปด้วย
หงเทียนสิงพลิกตัวหลบหลังผนังห้องด้านนอก รีบล้วงมือที่กำลังสั่นเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดตัดสาย ก่อนจะกดปิดเสียงเรียกเข้า
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย ในหัวคล้ายได้ยินเสียงเด็กชายคนนั้นร้องเรียกแม่ซ้ำๆ ดังอยู่ไม่ขาด เขาไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เป็นผู้ชายที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอก็จริง แต่ก็ไม่เคยเตรียมใจเรื่องที่เธอมีลูกกับผู้ชายคนอื่นมาก่อนเหมือนกัน
ไม่ทันได้ถามตัวเองว่าความรู้สึกในตอนนี้คือความเจ็บปวด ผิดหวัง หรืออะไรกันแน่ หงเทียนสิงพลันนึกถึงสีหน้าเซียวเยี่ยนจื่อตอนที่มองเด็กชายคนนั้น ริมฝีปากผุดรอยยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คล้ายความปวดร้าวในใจจากความเย็นชาของคำพูดประโยคนั้นที่คอยหลอกหลอนยามเขาหลับฝัน ได้รับการปลอบประโลมด้วยแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนของเธอ
เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเคยมีช่วงเวลาหนึ่งเหมือนกันที่เธอมองเขา ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ความรักสะท้อนผ่านแววตางดงามคู่นั้นจนหมดเปลือก ถึงเธอจะไม่เคยเอ่ยมันออกมา แต่เพียงเท่านั้นเขากลับพอใจแล้ว
ปีพุทธศักราช 2277
ในร้านขนมหวานขนาดกลางที่ประดับตกแต่งหน้าร้านด้วยเมล็ดถั่วแดงร้อยเรียงกันเป็นม่านห้อยระย้า ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางตลาดเมืองเป่ยจิงเวลานี้ผู้คนเริ่มบางตาลงแล้ว
ป้าหวังซึ่งเป็นเจ้าของร้านทิ้งหน้าร้านเอาไว้ แล้วเดินมานั่งลงตรงข้ามหญิงสาวคราวลูกคนหนึ่ง
“เสี่ยวเซียว มาแล้วหรือ”
หญิงสาวพยักหน้ารับน้อยๆ ไม่ยอมถอดหมวกไม้ไผ่สานปีกกว้างที่สวมอยู่บนศีรษะ
“ครอบครัวข้า… สุขสบายดีหรือไม่” สีหน้าซ่อนอยู่หลังผ้าโปร่งจนอ่านได้ไม่ชัด แต่จากน้ำเสียงที่เอ่ยถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ คนที่ใช้ชีวิตมาไม่น้อยแล้วอย่างป้าหวัง ย่อมรับรู้ถึงความห่วงกังวลของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ทว่ายังไม่ทันตอบคำ ป้าหวังพลันจับความเคลื่อนไหวของเงาคนได้จากทางหางตา
“เจ้าคนเสียสติ! มาอีกแล้วรึ” หญิงวัยค่อนคนผุดลุกขึ้นตวาดเสียงกร้าว
เพียงขาดคำเมล็ดถั่วแดงที่เคยห้อยระย้าอย่างงดงามดุจม่านไข่มุกย้อมสีก็ร่วงกราวลงบนพื้น กลิ้งกระจัดกระจายเต็มหน้าร้าน เสียงเกรียวกราวดังเสียยิ่งกว่าเสียงตวาดของป้าหวังเมื่อครู่
หน้าร้านที่เคยได้รับการตกแต่งอย่างดีเปลี่ยนสภาพเป็นเละเทะไร้เค้าเดิม จนเจ้าของร้านลมแทบจับ
หญิงสาวที่เดิมทียังนั่งจับต้นชนปลายไม่ถูกพลันผุดลุกขึ้นคว้าแขนป้าหวังที่กำลังจะพุ่งตัวออกไปจับคน “ป้าหวังระวัง”
สองเท้าของป้าหวังหยุดชะงักลงก่อนจะเหยียบลงไปบนเมล็ดถั่วแดงที่หล่นเกลื่อนพื้นจนอาจทำให้ลื่นล้ม
“ไอ้หยา! ” นางอุทานขึ้นอย่างตกใจ ใบหน้าแดงสลับซีดด้วยทั้งโมโหคน ทั้งนึกหวาดเสียวกับเหตุการณ์เส้นยาแดงผ่าแปดเมื่อครู่
หญิงสาวพยุงป้าหวังถอยกลับมาที่เก้าอี้
“พังอีกแล้ว ร้านข้า” ป้าหวังทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง “เจ้าคนเสียสติสมควรตาย! ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ” หญิงสาวเห็นป้าหวังนั่งเรียบร้อยดีแล้วจึงปล่อยมือ สายตากวาดมองออกไปนอกร้านด้วยความสงสัย “คนเสียสติอะไรกัน”
“ก็เจ้าคนเสียสตินั่นน่ะสิ มันชอบมาป้วนเปี้ยนหน้าร้านข้า สบช่องก็ดึงม่านถั่วแดงพวกนี้ไป” ป้าหวังหยุดหอบหายใจ ท่าทางคล้ายลมกำลังจะจับ “เงินทอง ของกินกลับไม่ขโมย”
หญิงสาวอมยิ้มขัน “ขโมยเงินทองหรือ ไม่ดีกระมัง”
ป้าหวังโบกมือไปมาคล้ายหมดแรงจะเปล่งวาจา “จับมัน” ยกมือกุมหน้าอก หอบหายใจสองทีถึงเอ่ยต่อ “จับตัวมันมาให้ข้า”
หญิงสาวพยักหน้ารับถี่ๆ เกรงว่าอีกฝ่ายจะโมโหจนเป็นลมเป็นแล้งไป “ป้ารอข้าตรงนี้ อย่าลุกไปไหนเล่า”
มือเรียวยกชายกระโปรงยาวกรอมเท้าขึ้นเล็กน้อย เดินข้ามถั่วแดงที่หล่นเกลื่อนพื้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าร้านพลางกวาดสายตามองหาคนเสียสติที่ว่า
แม้ผู้คนด้านนอกที่กำลังเดินจับจ่ายตลาดกันอยู่ในเวลานี้จะดูหนาตากว่าในร้านขนมหวานของป้าหวังอยู่บ้าง แต่เซียวเยี่ยนจื่อกลับหันไปสบตากับคนคนหนึ่งเข้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ ดวงตาคู่นั้นมองดูเฉลียวฉลาดแฝงความดึงดัน ไม่เหมือนคนเสียสติแม้แต่น้อย ทั้งยังจับจ้องนางราวกับกำลังใช้สายตาตรวจค้นตัวนางกระนั้น
ทว่าเมื่อกวาดตามองไปทั่วร่างของอีกฝ่ายที่สกปรกมอมแมมผิดกับคนสติดีๆ ทั่วไป กอปรกับวัตถุกลมแดงที่มองเห็นผ่านช่องนิ้วมือที่ประสานอยู่ที่อก นางจึงสรุปกับตัวเองได้ทันทีว่านี่ก็คือคนเสียสติคนนั้น
เซียวเยี่ยนจื่อเดินไม่ช้าไม่เร็ว ตัดผ่านกระแสฝูงชนและเกวียนรับส่งสินค้า ไปหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่อีกฟากถนน ไม่มีท่าทีคุกคามหรือผลีผลามจะจับคน คนที่นางกำลังเดินเข้าไปหาก็ไร้ท่าทีหวาดกลัวหรือคิดจะหลบหนีราวกับยืนรอให้นางเดินเข้ามาหาแต่โดยดี
หญิงสาวหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าชายเสียสติ แม้มีผ้าโปร่งขวางอยู่ชั้นหนึ่งแต่คนที่กำลังมองอย่างตั้งใจก็ยังเห็นรอยยิ้มของนางได้อย่างชัดเจน
“ชอบถั่วแดงหรือ” น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังเอ่ยกับเด็กที่ยังไม่รู้ความคนหนึ่ง
[1] ถั่วแดงคะนึงหา หรือ เซียงซือหงโต้ว เป็นชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของถั่วแดง ซึ่งมีการสันนิษฐานว่ามีที่มาจากบทกลอนชื่อ เซียงซือ ของหวังเหวย ที่แต่งให้สหายที่ต้องพเนจรไปต่างแดนผู้หนึ่ง
Comments (0)