4 ตอน บทที่ 3(1)_พึ่งพิง
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 3(1)
พึ่งพิง
Trigger Warnings/Content Warnings
มีการบรรยายความรู้สึกและสภาพร่างกายของคนที่พยายามฆ่าตัวตายหลังได้รับความช่วยเหลือ
มีการบรรยายถึงความรู้สึกของผู้ใกล้ชิดผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย
เห็นแบบนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเซียวเยี่ยนจื่อถึงเปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนมากขนาดนี้ ตอนแรกเขานึกว่าเป็นเพราะเวลาที่ผันผ่านทำให้เธอโตขึ้น แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นมากกว่า
ฮ่าวป๋อชุนสะกดความไม่พอใจเอาไว้ บังคับตัวเองให้หมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม
ชายหนุ่มโยนถุงอาหารในมือลงถังขยะ ก่อนจะเดินไปที่รถของตัวเองแล้วขับออกไป
คืนนั้นเขาไม่ได้ติดต่อไปหาเซียวเยี่ยนจื่ออีก แต่ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวกลับไม่พ้นเรื่องของเธอ
เซียวเยี่ยนจื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกจากเสียงความวุ่นวายที่ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท แวบแรกหญิงสาวยังคงงัวเงีย ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นจากท่าหลับนก แล้วตื่นเต็มตาทันทีที่ตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เสื้อแจ็กเก็ตตัวใหญ่ที่คลุมอยู่บนตัวหญิงสาวพลันเลื่อนตกลงไปกองอยู่บนพื้นโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว หญิงสาวมองไปที่เสียงความวุ่นวายบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินที่ดังปลุกเธอ แล้วก็พบว่าฟางเซียงเซียงกำลังถูกย้ายออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“เพื่อนฉันเป็นยังไงบ้างคะ” เซียวเยี่ยนจื่อวิ่งเข้าไปถามหนึ่งในทีมแพทย์ สายตาเป็นประกายขึ้นมาจากความหวัง “ปลอดภัยแล้วใช่ไหมคะ”
คนถูกถามพยักหน้า “เราจะย้ายคนไข้ไปที่ห้องพักฟื้นเพื่อเฝ้าระวังอาการทางร่างกายและจิตใจหลังจากนี้อีกสักพัก จนกว่าจะแน่ใจว่าหายดีแล้ว”
เซียวเยี่ยนจื่อน้ำตาคลอ แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดีและโล่งอก “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
หญิงสาวหมุนตัวผละออกมา คิดจะไปจัดการเดินเรื่องจ่ายเงินตามขั้นตอนการรักษาของโรงพยาบาลให้เสร็จเรียบร้อย ฟางเซียงเซียงจะได้รับการรักษาอย่างไม่มีอะไรติดขัด จังหวะนั้นเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเผลอเหยียบอะไรเข้า
เซียวเยี่ยนจื่อก้มลงมองพื้นโดยอัตโนมัติ แล้วก็พบว่ามีเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนึ่งตกอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครนั่งอยู่แถวนี้นอกจากเธอ แล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสงสัย มองออกทันทีว่าเป็นบอมเบอร์แจ็กเก็ตของผู้ชาย เซียวเยี่ยนจื่อนึกขึ้นได้ในตอนนี้เอง ว่าก่อนจะเผลอหลับไปเธอกำลังรอฮ่าวป๋อชุนอยู่ หรือว่าแจ็กแก็ตตัวนี้จะเป็นของเขา แต่ว่า... บอมเบอร์แจ็กเก็ตแบบนี้ดูไม่ใช่สไตล์ของเขาเลยสักนิด
คิดไปคิดมา สุดท้ายเซียวเยี่ยนจื่อก็ตัดสินใจพาดมันไว้บนแขนแล้วเดินไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้ฟางเซียงเซียงโดยไม่คิดอะไรมาก
ร่างซูบผอมที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ แทบจะจมหายไปในผ้าห่มผืนใหญ่ของโรงพยาบาล มีเพียงใบหน้าไร้สีเลือดที่โผล่พ้นชายผ้าห่มออกมาเล็กน้อย ทว่ากลับยิ่งขับให้เจ้าของร่างนั้นดูคล้ายซากศพที่ทำให้คนมองแขนขาอ่อนแรงจนแทบก้าวต่อไปไม่ไหว
เซียวเยี่ยนจื่อเดินช้าๆ ไปนั่งลงข้างเตียง มองฟางเซียงเซียงที่นอนหลับสนิทผ่านดวงตาวาวน้ำอยู่ครู่หนึ่ง หน้าอกของอีกฝ่ายสะท้อนขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ หญิงสาวจึงปิดเปลือกตาลงแล้วผ่อนลมหายใจเหยียดยาว หลังสงบใจได้แล้วถึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ลุกขึ้นแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนโซฟาที่ตั้งชิดผนังห้องมุมหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เธอเผลอหลับไปน่าจะนานทีเดียว ตอนนี้แม้จะรู้สึกว่าเพลียมากแต่ก็ข่มตาหลับไม่ลงแล้ว ด้านนอกท้องฟ้ายังคงมืดสนิท แต่ก็ล่วงเข้าวันใหม่มาได้หลายชั่วโมงแล้ว อีกไม่นานฟ้าก็คงจะสว่าง เซียวเยี่ยนจื่อจึงคิดว่าจะงีบอยู่ตรงนี้สักพัก รอให้ฟางเซียงเซียงฟื้น ด้านนอกก็คงสว่างพอดี
โซฟาที่เธอนอนอยู่ไม่ได้ใหญ่อะไรนัก คนสองคนอาจจะนั่งไม่พอด้วยซ้ำ ทนนอนขดตัวอยู่ท่าเดียวได้ไม่ถึงชั่วโมงดีเซียวเยี่ยนจื่อก็ตัดสินใจลุกขึ้นมานั่งแล้วก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ดังแว่วออกมาจากท้องตัวเอง
ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ดูเหมือนจะติดขัดไปเสียหมด นอกจากจะต้องใส่เสื้อผ้าชุดเดิมก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเธอมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไปหญิงสาวคงหงุดหงิดจะแย่แล้วแต่พอเลื่อนสายตาไปยังคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง สุดท้ายเธอก็เพียงเม้มปากอย่างหดหู่
ทั้งฟางเซียงเซียงและเธอต่างก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ฮาร์บิน แต่ถึงจะมีอยู่ที่อื่นก็ไม่ต่างจากไม่มีเท่าไร ตลอดมาจึงได้แต่พึ่งพากันและกัน พอเป็นสถานการณ์ที่คนหนึ่งล้มลงแบบนี้ อีกคนจึงไม่กล้าให้อีกฝ่ายคลาดสายตา ตอนนี้ถึงจะหิวจนแบคทีเรียในท้องส่งเสียงประท้วงกันเกรียวกราวเซียวเยี่ยนจื่อก็ไม่กล้าปลีกตัวไปหาอะไรมากิน เพราะนั่นเท่ากับต้องทิ้งฟางเซียงเซียงเอาไว้เพียงลำพัง
หญิงสาวตัดสินใจไม่นอนต่อแต่เลือกหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ปกติเธอมักจะบังคับตัวเองไม่ให้ใช้โซเชียลมีเดียแบบพร่ำเพรื่อ เวลาที่มีจุดประสงค์ชัดเจนหรือเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้นเธอถึงจะเปิดมันขึ้นมา เพราะต่อให้เป็นคนที่เท่าทันหลักการอัลกอริทึ่มของแอปพลิเคชันเหล่านั้นอย่างเธอก็ยังถูกชักจูง หลอกล่อให้ใช้เวลาไปกับมันอย่างฟุ่มเฟือยได้แบบไม่รู้ตัว
และเพราะแบบนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าด้านนอกก็มองเห็นเป็นสีเทาแล้ว จังหวะนั้นเองร่างผอมบางบนเตียงคนไข้ก็ขยับพลิกตัว เซียวเยี่ยนจื่อพลอยขยับลุกขึ้นตามไปด้วยแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปหาก็เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว เธอจึงกลับลงไปนั่งอีกครั้ง สายตามองสังเกตเพื่อนสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละกลับไปมองหน้าจอมือถือ
นิ้วเรียวเลื่อนมาเจอข่าวบันเทิงอย่างหาได้ยาก นั่นแสดงว่านี่ต้องเป็นข่าวที่กำลังดังมากอย่างไม่ต้องสงสัย ข่าวนั้นเรียกให้เธอกวาดสายตาอ่านจนถึงอักษรตัวสุดท้าย ก่อนสีหน้าจะสะท้อนความประหลาดใจออกมา
“เยี่ยนจื่อ” เสียงแผ่วเครือดังขัดจังหวะความกระหายรู้เรื่องราวในวงการบันเทิงของเซียวเยี่ยนจื่อ
หญิงสาวละสายตาจากหน้าจอมือถือแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปยังคนที่กำลังส่งเสียงเรียกเธอจากบนเตียง แทบจะในเวลาเดียวกันที่ร่างเพรียวระหงถลาไปถึงข้างเตียง “เซียง...เซียงเซียง เธอ...”
เซียวเยี่ยนจื่อทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ฟางเซียงเซียงที่มองเพื่อนสนิทผ่านม่านน้ำแวววามในดวงตายกมือขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง คนซึ่งกำลังไม่รู้จะรับมือกับอารมณ์ตัวเองอย่างไรจึงรีบยื่นมือไปหา กุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ แล้วน้ำตาจากความรู้สึกกดดัน และหวาดกลัวที่เก็บกลั้นมาตลอดก็พรั่งพรูออกมา
ทั้งคู่ต่างเงียบงันกันอยู่ครู่หนึ่ง ฟางเซียงเซียงใช้ดวงตาสะท้อนแววขอโทษระคนรู้สึกผิดสบตาเพื่อนสนิท ในขณะที่เซียวเยี่ยนจื่อก็สานสบตอบด้วยแววตาเช่นเดียวกัน
หลายนาทีหลังจากนั้นเซียวเยี่ยนจื่อก็ลากเก้าอี้มานั่งเป็นเพื่อนฟางเซียงเซียงอยู่ข้างเตียง ทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นสาเหตุให้ฟางเซียงเซียงมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลในตอนนี้แม้แต่คำเดียว แต่ในใจของเซียวเยี่ยนจื่อมาดหมายเอาไว้แล้วว่าถ้าเธอไม่ได้คำตอบในเรื่องนี้ เธอไม่มีวันเลิกรา
ในช่วงเวลาที่ยังปรับอารมณ์ไม่ทันแบบนี้เซียวเยี่ยนจื่อจึงทดแทนความเงียบด้วยการกดเปิดโทรทัศน์
ที่นอกหน้าต่างปรากฏลำแสงสีทองอ่อนๆ ระเรื่อขึ้นจากขอบฟ้า เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังผ่านกลางคืนที่ทั้งมืดมิดและยาวนานมาได้
ข่าวเช้าของวันนี้ถูกนำเสนอผ่านหน้าจอโทรทัศน์ที่เซียวเยี่ยนจื่อเพิ่งกดเปิด หญิงสาวไม่แปลกใจนักที่ข่าวแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาจะเป็นข่าวเดียวกันกับที่เธอเพิ่งอ่านผ่านตามาเมื่อครู่
“นายคนนี้นี่ ดังมากเลยเหรอ” หนนี้เธอไม่ได้เก็บความแปลกใจไว้กับตัวเองคนเดียวอีก ฟางเซียงเซียงฟื้นแล้วเธอจึงถือโอกาสเปรยให้เพื่อนฟัง “กล้าเทกองถ่ายจนต้องยกกองแบบนี้ แต่ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลยนะ”
ฟางเซียงเซียงที่ดูจะสนใจข่าวนี้ไม่แพ้กัน เพ่งมองรูปถ่ายของดาราที่เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ยถึงบนจอโทรทัศน์พลางครุ่นคิด “ฉันว่าฉันคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นผ่านสื่อไหน” หญิงสาวปรายตามองเพื่อนที่ยังไม่ละสายตาจากจอทีวี “เธอสนใจข่าวบันเทิงตั้งแต่เมื่อไร” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้คนฟังอดหันมามองหน้าคนพูดยิ้มๆ ไม่ได้
เซียวเยี่ยนจื่อเก็บอารมณ์สดใสที่ปรากฏขึ้นหลังเรื่องเลวร้ายผ่านพ้นของฟางเซียงเซียงเอาไว้ในใจ ครู่หนึ่งถึงย่นจมูกใส่อีกฝ่าย “ได้โอกาสหยุดพักทั้งที เสพเรื่องไร้สาระบ้างก็ไม่เลว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางเซียงเซียงจางลง “เธอไม่เคยลางาน” น้ำเสียงนั้นทำให้เซียวเยี่ยนจื่อแทบอยากจะเอาหัวตัวเองโขกกับราวกั้นเตียง “เป็นเพราะฉันใช่ไหม”
“ใช่” เซียวเยี่ยนจื่อหัวเราะเสียงดัง พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเธอกำลังอารมณ์ดีสุดๆ “ฉันขอบคุณเธอมากๆ เลยนะ ที่ผ่านมาฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่เธอก็รู้ ทั้งฉัน ทั้งเธอ ไม่มีครอบครัวให้กลับไปหา ไม่มีเพื่อนฝูงให้กลับไปพบปะสังสรรค์ แล้วจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องหยุดงาน”
สีหน้ารู้สึกผิดระคนไม่สบายใจของฟางเซียงเซียงคลายลง เธอไม่เชื่อท่าทางยิ้มหัวอารมณ์ดีของอีกฝ่าย แต่เหตุผลที่ยกมานั้นเธอกลับเชื่อสนิทใจ
“คนที่มหา’ลัย...”
“ไม่ต้องห่วง” เซียวเยี่ยนจื่อรู้ว่าเพื่อนกังวลเรื่องอะไร จึงรีบเอ่ยตัดบทเพื่อให้อีกฝ่ายคลายใจ “ตอนนี้เธอกับฉันคือคู่รักที่ลางานยาวกะทันหันเพื่อไปทริปกัน” เอ่ยจบก็กลอกตา แล้วทิ้งแผ่นหลังลงกับพนักเก้าอี้
ฟางเซียงเซียงต้องกลั้นขำกับท่าทางของอีกฝ่าย “ก็เธอไม่เคยปฏิเสธสักทีนี่นา ตอนนี้จะมาคร่ำครวญอะไร”
“เธอว่าถ้าฉันเปิดปากปฏิเสธหรืออธิบายขึ้นมา ในสายตาคนพวกนั้นจะไม่มองว่าฉันร้อนตัว? ” เสียงของเซียวเยี่ยนจื่อไม่ปกปิดความรู้สึกเซ็งจัด ไม่ว่าเธอจะพูดหรือไม่พูด คนอื่นจะไม่เลือกเชื่อเธอ แต่จะเลือกเชื่อจินตนาการของตัวเอง
ฟางเซียงเซียงส่ายหัวน้อยๆ ในความคิดเธอมีวิธีการมากมายที่จะไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แต่ความจริงที่เป็นแบบนี้เพราะความหัวแข็ง ไม่แยแสผู้คนของเซียวเยี่ยนจื่อต่างหาก
“หรือว่าเธอควรมีแฟนได้แล้ว”
Comments (0)