24 ตอน บทที่ 13(2)_แรกพบ
โดย เซิ่งไคฉาฮวา《盛开茶花》
บทที่ 13(2)
แรกพบ
Trigger Warnings/Content Warnings
การวางยาซึ่งเป็นวัตถุเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
“ผมเป็นนักแสดงค่ายชูเซ่อซิง” เขาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำอะไรคุณแน่”
หือ?
เซียวเยี่ยนจื่อคาดไม่ถึงว่าประโยคแรกที่เอ่ยกับคนแปลกหน้าอย่างเธอ เขาก็อวดอ้างตัวเองแล้ว
หงเทียนสิงเห็นสีหน้าเธอก็หน้าแดงวาบ เขาโพล่งออกไปเหมือนจงใจโอ้อวดแบบไม่รู้จักอาย แต่จริงๆ แล้วเขาอายมาก จนแทบอยากจะหายตัว
แต่ว่า… การพบกันใหม่ในครั้งนี้ เขาอยากให้เธอรู้เอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าเขาเป็นใคร เพราะเขาให้สัญญากับเธอไว้ในใจแล้วว่า ไม่ว่าเรื่องไหนเขาก็จะไม่มีวันปิดบังเธออีกแล้ว ต่อให้ดูน่าอายแต่เขาไม่เสียใจที่ได้บอกออกไป
ปี ค.ศ. 1735
สองร้อยแปดสิบเจ็ดปีก่อน…
“นี่มันรสชาติอะไรกัน” ลูกค้าคนหนึ่งในร้านโวยวายเสียงดังเข้ามาถึงในครัว “ให้ข้ากินดินยังจะอร่อยกว่านี้”
หงเทียนสิงเพิ่งจะออกไปข้างนอกเมื่อครู่ ปกติหน้าที่ของเซียวเยี่ยนจื่อถูกเขาจำกัดให้อยู่แค่ในครัวเพราะไม่อยากให้นางออกมาเผชิญความวุ่นวายข้างนอก
แต่เพราะเห็นว่าอีกเดี๋ยวก็จะปิดร้านแล้ว คงไม่มีลูกค้าเพิ่ม บวกกับมีของที่ต้องทำเตรียมไว้สำหรับเปิดร้านพรุ่งนี้ต่อ หญิงสาวเลยให้เขาออกไปซื้อมา ตอนนี้เกิดเรื่องกะทันหันขึ้น ยังไงก็ต้องมีคนออกไปรับหน้าก่อน
เซียวเยี่ยนจื่อตัดสินใจเดินอุ้มท้องกลมใหญ่ที่จวนเจียนจะคลอดอยู่รอมร่อออกจากในครัวมารับหน้าลูกค้า
“จานไหนไม่ถูกปากท่านหรือ ทุกจานข้าตั้งใจทำสุดฝีมือ ไม่ได้ลดหรือเพิ่มอะไรไปแม้แต่อย่างเดียว” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อคำติติงนัก
แม้จะเคยมีช่วงหนึ่งที่นางปรุงอาหารรสชาติแย่ออกมา เพราะกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ การรับรู้รสชาติผิดเพี้ยนไป จนทำให้ลูกค้าบ่นกันระงม
แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงนั้นมา ตลอดระยะเวลาเกือบเก้าเดือนมานี้ ไม่มีวันไหนที่ร้านโล่งว่าง ไม่มีวันไหนที่ขาดคำชม ดังนั้น นางจะมั่นใจในรสมือตัวเองก็ไม่นับเป็นเรื่องไม่เจียมตัว หรือเย่อหยิ่งจนเท้าไม่ติดพื้นแต่อย่างใด
ฝ่ายตรงข้ามกวาดตามองนางตั้งแต่ศีรษะลงมา หยุดสายตาไว้ที่หน้าท้องนูนครู่หนึ่ง ก่อนจะไล่ไปยังส่วนอื่นๆ อย่างไร้มารยาท เห็นชัดว่าจงใจใช้สายตาโลมเลียจาบจ้วงนาง
เซียวเยี่ยนจื่อก่อนตั้งครรภ์ก็นับเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ยามนี้นางเป็นสตรีที่มีสามีแล้ว ทั้งยังกำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด ทว่าคนกลับยิ่งมองดูผุดผาดไปทั่วร่าง ผิวที่ขาวจัดอยู่แต่เดิม ยามนี้ยิ่งมองดูนวลเนียน ละเอียดดุจน้ำนม ดวงหน้าเอิบอิ่มหวานหยด มองอย่างไรก็ไม่รู้เบื่อ ไม่ว่าใครได้เห็นย่อมต้องเหลียวมองซ้ำ
หญิงสาวชักสีหน้าไม่พอใจ อีกฝ่ายไม่รักษามารยาทกับนาง นางก็ไร้ความเกรงใจให้เช่นกัน “หากรสชาติอาหารร้านข้าไม่ถูกปาก มื้อนี้ข้าไม่คิดเงินแล้วกัน”
ความหมายของนางคือ ในเมื่ออาหารไม่ถูกปาก นางเองก็ไม่คิดเงินแล้ว ก็ให้เขาออกไปจากร้านนางเสีย
ฝ่ายตรงข้าม แน่นอนว่าฟังเข้าใจ แต่ไม่สนใจ ยืนขึ้นคว้าแขนเซียวเยี่ยนจื่ออย่างถือวิสาสะ
หญิงสาวส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะอุกอาจถึงขั้นกล้าแตะเนื้อต้องตัวนางต่อสายตานับสิบคู่
คนในร้านหลายคนกล้ามองแต่ไม่กล้าเข้ามายุ่ง เซียวเยี่ยนจื่อตระหนักได้ทันทีว่าคนผู้นี้หากไม่ใช่ขุนนางก็คงเป็นอันธพาล
หญิงสาวไม่อาจแสดงความอ่อนแอให้ใครมารังแกง่ายๆ นางพลันสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม
ชายผู้นั้นไม่คิดว่านางจะกล้าขัดขืนจึงเพียงกำแขนนางเอาไว้หลวมๆ เซียวเยี่ยนจื่อออกแรงมากเกินพอดีข้อมือข้างหนึ่งจึงกระแทกกับโต๊ะไม้จนเกิดเสียงดังลั่น
นางเม้มปากเพื่อข่มกลั้นความเจ็บ แต่ไม่ยอมส่งเสียง “บ้านเมืองมีกฎหมาย เจ้าอยากรังแกคนก็คิดว่าจะทำได้ง่ายๆ หรือ”
“กฎหมายหรือ” เขายื่นมือออกมาหมายจะแตะพวงแก้มที่มองดูเนียนละเอียดของนาง ทว่ากลับต้องชะงักค้างกลางอากาศเมื่อเจ้าตัวเบี่ยงหลบ
สุดท้ายจึงจำใจชักมือกลับแล้วเอ่ยเสียงกร้าว “วางท่าเย่อหยิ่งเป็นนางหงส์เช่นนี้แล้วบิดาเจ้าจะได้บรรดาศักดิ์คืนมางั้นหรือ”
เซียวเยี่ยนจื่อกำมือแน่น จ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาวโรจน์ ฉับพลันนั้นมืออ่อนบางที่มีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดก็สะบัดไปที่แก้มสากกระด้างของฝ่ายนั้น
ถูกตบจนหน้าสะบัด มีหรือที่คนถูกตบจะอยู่เฉย เขาไม่ได้สนใจแต่แรกว่านางเป็นสตรีที่ไม่ควรถูกรังแก ยิ่งไม่สนใจว่านางกำลังตั้งครรภ์ สมควรละเว้นเป็นที่สุด
ขณะขยับตัวเตรียมออกแรงตอบโต้ มีดสั้นเล่มหนึ่งกลับยื่นมาขวางอยู่ที่คอหอย สุดท้ายเขาไม่เพียงแต่ต้องชะงักฝีเท้า ทว่าทั่วร่างก็พลอยแข็งเกร็งไปด้วย
“เชื่อหรือไม่” เจ้าของมีดสั้นกัดฟันกระซิบกับชายผู้นั้น “ว่าข้าสามารถทำให้อันธพาลอย่างเจ้ากลายเป็นขอทานได้ในพริบตานี้เลย”
คนถูกข่มขู่เหล่มองเจ้าของมีดหวาดๆ ก่อนจะรีบหลบตา “ตะ…ตะ…ใต้เท้า บรรเทาโทสะลงก่อนเถิด”
“มีโทสะอะไรให้บรรเทากัน” คนถูกเรียกใต้เท้า ขยับมีดใกล้เข้าไปอีก “ตอนนี้ข้าออกจะรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ”
ฟังแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับ ก่อนจะถอยหลังช้าๆ “ใต้เท้า ปล่อยข้าไปเถอะ”
“อยากให้ข้าปล่อยเจ้าหรือ” เขาเอ่ยพลางปรายตามองไปทางเซียวเยี่ยนจื่อ ที่ต้องใช้มือค้ำโต๊ะเพื่อฝืนพยุงกาย
จังหวะนั้นเขาพลันชะงักไปชั่วอึดใจ รีบเลื่อนสายตากลับมาแล้วเอ่ยต่อว่า “หากแม่นางคนนี้บอกให้ข้าปล่อยเจ้า ข้าก็จะปล่อย”
สีหน้าของอันธพาลพลันไร้สีเลือด “ทะ…ทำเช่นนี้ ไม่เหมาะกระมัง” เอ่ยอย่างตื่นกลัว
“แม่นาง เจ้าคิดเห็นอย่างไร” เขาเอ่ยโดยไม่มองหญิงสาว
“ท่านปล่อยเขาไปเถอะ” เซียวเยี่ยนจื่อตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “อย่าให้เขามายุ่งกับข้าหรือมายุ่มย่ามที่ร้านข้าอีกก็พอ”
เขาไม่ได้ลดมีดลงในทันที แต่ใช้สายตาข่มขู่อันธพาลตรงหน้าตน จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะทำตามที่หญิงสาวร้องขอ เขาถึงค่อยลดมีดลง
ทันทีที่เป็นอิสระคนก็โกยอ้าวออกจากร้านของเซียวเยี่ยนจื่อแบบไม่เหลียวหลัง
หานจิงจวิ้นหันมาหาเซียวเยี่ยนจื่อ แต่ยังคงไม่มองนางตรงๆ “แม่นางนั่งลงก่อนเถอะ กำลังท้องกำลังไส้ ยืนนานๆ ไม่ดีนักหรอก”
พอเห็นเซียวเยี่ยนจื่อทำตามที่เขาแนะแล้ว เขาก็กวาดตามองไปยังคนที่เหลือในร้าน ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่าคนทั้งหมดกลับรีบกุลีกุจอออกจากร้านไป อย่างไรก็หมดเรื่องน่าสนุกให้ดูแล้ว อีกทั้งหากมัวอืดอาดยืดยาด เกรงว่าจะโดนลูกหลงเสียเปล่าๆ
“ขอบใจท่านมาก” เซียวเยี่ยนจื่อเอ่ย
นางไม่เรียกเขาว่าใต้เท้าเหมือนอันธพาลคนนั้น เพราะแท้จริงแล้วก็ไม่ได้รู้ฐานะของเขาชัดเจน ขืนเรียกสุ่มสี่สุ่มห้าคนเขาจะหาว่านางประจบประแจง เซียวเยี่ยนจื่อจึงคิดว่าไม่เหมาะที่นางจะเรียกเขาเช่นนั้น
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนแม่นาง” หานจิงจวิ้นเพียงค้อมกายให้หญิงสาว จนบัดนี้เขายังคงไม่กล้าสบตานางตรงๆ “จนกว่าสามีเจ้าจะกลับมาแล้วกัน”
ความแปลกใจพาดผ่านดวงตาคู่งาม เรื่องที่ปกติแล้วนางไม่น่าจะอยู่เฝ้าร้านคนเดียวไม่ว่าผู้ใดก็คงเดาได้ แต่คนผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่านางรอสามีอยู่
คล้ายกับคนพูดเองก็เพิ่งจะตระหนักได้ถึงวาจาชวนสงสัยของตน เขาพลันหันขวับมามองนางแล้วรีบเอ่ยอธิบาย “แม่นางอย่าเพิ่งแปลกใจไป ข้าเพียงแต่เข้าใจความคิดบุรุษด้วยกันอยู่บ้าง สามีแม่นางย่อมไม่ทิ้งให้แม่นางอยู่เฝ้าร้านกับผู้อื่นตอนกำลังท้องแก่เช่นนี้แน่”
เซียวเยี่ยนจื่อคลายสีหน้า ในที่สุดนางก็ยิ้มออก นับว่าตอนนี้นางโล่งใจได้สนิทแล้ว “สามีข้าออกไปได้ครู่ใหญ่แล้ว คิดว่าน่าจะใกล้กลับมาแล้ว” หญิงสาวพลันนึกอะไรบางอย่างได้ ดวงตาจึงเบิกโตขึ้นเล็กน้อย “ท่านรอเดี๋ยว ข้าจะไปยกน้ำชามาให้”
หานจิงจวิ้นกำลังคิดจะปฏิเสธ ทว่าหางตาพลันจับความเคลื่อนไหวของเงาคนได้ กอปรกับได้ยินเสียงคล้ายนกชนิดหนึ่งร้องดังแว่วมาตามลม สุดท้ายจึงนิ่งเงียบ
ในตอนที่เซียวเยี่ยนจื่อหันหลังเดินห่างออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินจากไปด้วยความรวดเร็วจนไม่เห็นแม้เงา
ท้ายตรอกที่ร้างไร้ผู้คน หานจิงจวิ้นในอาภรณ์ชุดใหม่เอี่ยมที่ขับให้ทั่วร่างของเขาเปล่งรัศมีความสูงศักดิ์ออกมากลับคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าบุรุษที่อยู่ในอาภรณ์สามัญเก่าคร่ำของชาวบ้านผู้หนึ่ง
ซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นผู้ที่ชาวบ้านต่างมองว่าเสียสติและเข้าใจว่าเป็นใบ้ เขาคนนั้นก็คือ หงเทียนสิง
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า? ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ แต่กลับทำให้หานจิงจวิ้นก้มหน้าต่ำลงไปอีก “คิดจะทำอะไร หรือแม้แต่เจ้าข้าก็เชื่อใจไม่ได้แล้ว? ”
เขาเคยสั่งอีกฝ่ายเอาไว้ว่าห้ามปรากฏตัวให้เซียวเยี่ยนจื่อเห็น แต่ไม่เพียงปรากฏตัว อีกฝ่ายถึงกับพูดคุยกับนางด้วย
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หานจิงจวิ้นลนลานเอ่ย “เพียงแต่… พวกเราไม่อาจปล่อยให้เวลายืดเยื้อออกไป”
นอกจากนี้แล้ว การปรากฏตัวของเขาก็เป็นสถานการณ์จวนตัว แต่ชายหนุ่มมองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องอธิบาย เพราะความจริงแล้วมีวิธีการมากมายที่เขาไม่จำเป็นต้องแสดงตัวก็สามารถช่วยหญิงสาวได้ ดังนั้น สิ่งที่เขาทำลงไปย่อมเป็นเรื่องโง่เขลาและไม่น่าไว้วางใจสำหรับคนตรงหน้า
หงเทียนสิงสีหน้าเคร่งเครียด หลักฐานการก่อกบฏของอาเขา ที่บิดาของเซียวเยี่ยนจื่อเก็บไว้ เขาค้นเจอจากสัมภาระส่วนตัวของหญิงสาวนานแล้ว แต่ที่เวลายืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ ทั้งที่ควรจะเด็ดขาดเสร็จสิ้นได้ตั้งนานแล้ว ล้วนเป็นเพราะความรู้สึกส่วนตัวของเขา
ความรู้สึกนี้วางอำนาจบาตรใหญ่กับมนุษย์เสมอ ไม่คำนึงว่าผู้ใดสูงศักดิ์ ผู้ใดต่ำต้อย ครอบงำจิตใจจนไม่ว่าเรื่องคอขาดบาดตายใด ก็ไม่ใส่ใจแล้ว
หงเทียนสิงถูกมันครอบงำแล้วก็จริง ทว่าส่วนหนึ่งก็เป็นความเต็มใจของเขาเอง ดังนั้น หากเขาตัดสินใจจะปล่อยให้มันยืดเยื้อมันก็จะยืดเยื้อ แต่หากถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจใหม่ คนที่มีฐานะอย่างเขาใช่ว่าจะดึงดันต่อไปได้
“หานกงกง” เมื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเลิกกระดากที่จะขอร้องขันทีผู้หนึ่งนานแล้ว “ขอเวลาเราอีกสักหน่อยเถิด…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงอาลัยนั้น หานจิงจวิ้นฟังแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดีได้อย่างไร
หงเทียนสิงเอ่ยต่อ “นางกำลังตั้งครรภ์ ข้ายังจากไปไม่ได้”
“กระหม่อมเองก็ไม่ต้องการให้พระองค์ทอดทิ้งนาง”
หานจิงจวิ้นรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ยิ่งได้พบกันวันนี้ เขายิ่งนึกสงสารนางผู้นั้น
นึกมาถึงตรงนี้เขาก็รีบสะบัดศีรษะ เอ่ยต่ออย่างจริงจัง “เพียงแต่ พระปิตุลาผู้สำเร็จราชการแทน ลุแก่อำนาจ ทั้งยังฝักใฝ่ในความสำราญ เวลานี้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่ผู้ปกครองกลับคิดแต่จะหาความสุขใส่ตัว หากฝ่าบาทยังไม่กลับไป พระปิตุลาจะปักใจเชื่อในที่สุดว่าฝ่าบาทสวรรคตแล้วจริงๆ กระหม่อมเกรงว่าแผ่นดินของพระองค์จะรักษาไว้ไม่ได้อีกต่อไป หากว่าแผ่นดินนี้ตกอยู่ในกำมือพระปิตุลาพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเงยหน้ามองนางอีกแล้ว เซียวเยี่ยนจื่อเริ่มหน้าแดง เป็นสามีภรรยากันมาเกือบปี เวลานี้กลับเป็นช่วงเวลาที่เขามองนางมากที่สุด มองจนคนเขาขวยอาย วางสีหน้าไม่ถูกก็ยังไม่หยุดมอง
“อาโต้ว” นางเรียกเขาเสียงดุ ด้วยชื่อที่ตนเป็นคนตั้งให้เขา “มัวแต่มองข้าเช่นนี้ ที่เจ้าทายาอยู่ แน่ใจหรือว่าใช่ที่ข้าช้ำ”
แสร้งดุเขาไปอย่างนั้น ทว่าแท้จริงก็เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
หงเทียนสิงยิ้มเขิน หลุบสายตาลงมองรอยช้ำที่ข้อมือบอบบาง บรรจงไล้วนเนื้อยาลงไปอย่างตั้งใจ
เวลานี้เองที่แววตาภายใต้เปลือกตาที่หลุบต่ำแปรเปลี่ยนเป็นหมองเศร้า
อาจื่อ หากข้าไม่อยู่เจ้าอย่าทำให้ตัวเองเจ็บตัวได้หรือไม่…
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตานางอีกครา หากข้าไม่อยู่… เจ้าจะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร
พลันนั้นเขาก็กลัวว่านางจะอ่านสายตาที่สะท้อนความรู้สึกยากอดกลั้นของเขาออก จึงหลุบตาลงอีกครั้ง
อาจื่อ เจ้ารู้หรือไม่…
หงเทียนสิงได้แต่พร่ำถามพร่ำบอกนางเพียงในใจนับหมื่นนับพันคำ
ถึงข้าไม่อยู่ แต่เจ้า… คือภรรยาข้า เรื่องนี้แม้แต่สวรรค์ก็แปรเปลี่ยนไม่ได้
ทั้งหมดในใจข้าคือเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
…เป็นเจ้าที่ข้ารักมากที่สุด
Comments (0)