บทที่ 2(2)

เรื่องไม่คาดฝัน

Trigger Warnings/Content Warnings

มีการฆ่าตัวตาย

มีการบรรยายถึงความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงของผู้ใกล้ชิดผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย

ฝีเท้าเอื่อยเฉื่อยของคนคนนั้นชะงักกึก แม้เธอจะเรียกแบบไม่เจาะจงแต่ตอนที่เขาหันมา สีหน้าที่เผยออกมาจากเงาของปีกหมวกแก๊ปเพียงครึ่งกลับไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว ราวกับมั่นใจอยู่แล้วว่าคนที่เธอเรียกก็คือตัวเอง

แววตาของเซียวเยี่ยนจื่อมีความหวังขึ้นมาทันที ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ เพื่อนฉัน...

เขาพยักหน้าทันที ทั้งที่เธอยังพูดไม่จบเสียด้วยซ้ำ อันที่จริงเรื่องการช่วยเหลือคนแปลกหน้า คนทั่วไปไม่มีใครทำอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงจะแปลกใจแต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นเรื่องดี หญิงสาวจึงรีบวิ่งนำเข้าไปในห้องฟางเซียงเซียง

เมื่อเธอพาเขามาถึงหน้าห้องน้ำ สีหน้าของเขาก็เคร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนเธอนึกหวั่นใจ ต้องเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงขอร้องให้ชัดเจนอีกครั้ง รถพยาบาลกำลังมาแล้ว ฉันแบกเธอลงไปไม่ไหว รบกวนคุณช่วย...

เขาพยักหน้าอีกแล้ว...

เซียวเยี่ยนจื่อตะลึง เธอยังพูดไม่ทันจบเลย ไม่เพียงแค่นั้น แต่พอพยักหน้าปุ๊บเขาก็ก้าวเท้าเข้าไปช้อนร่างของฟางเซียงเซียงขึ้นมาปั๊บ ขณะกำลังจะเดินผ่านหน้าเธอที่กำลังทำตัวไม่ถูกเขาก็พูดขึ้นมาว่า คุณช่วยกดลิฟต์ให้ผมก็แล้วกันครับ

หญิงสาวได้สติ รีบพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินตามเขาออกไปจากห้อง

อย่าลืมปิดประตูห้องนะครับ

เธอลืมจริงๆ ด้วย เซียวเยี่ยนจื่อหมุนตัววิ่งกลับไปปิดประตูห้องตามที่เขาเตือน ขณะที่เดินตามเขาไปตลอดทางก็อดลอบมองแผ่นหลังของเขาหลายๆ รอบไม่ได้

เมื่อมาถึงรถพยาบาล เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็จัดการพาร่างของฟางเซียงเซียงเข้าไปนอนในรถ พร้อมกับติดตั้งอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ เซียวเยี่ยนจื่อมองอย่างแปลกใจแต่ก็นึกยินดีไปในคราวเดียวกัน

ปกติถ้ายังไม่จ่ายเงินเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลคงไม่มีทางทำแบบนี้ให้ทันที ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็เตรียมจะทำการจ่ายเงิน ทว่ากลับเป็นเหมือนในตอนที่เธอโทรเรียกรถพยาบาลไม่มีผิด มีคนชิงทำตัดหน้าเธออีกแล้ว

เซียวเยี่ยนจื่อหันกลับไป ตั้งใจว่าจะมองคนที่ช่วยเธออุ้มฟางเซียงเซียงลงมา แต่กลับไม่พบใครยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว นี่เขาเป็นผีหรือยังไง

หญิงสาวเลิกสนใจคนคนนั้น แล้วขึ้นรถพยาบาลไปกับฟางเซียงเซียง เธอจ้องสัญญาณชีพของเพื่อนไปตลอดทาง ความกังวลที่กระเพื่อมจนจิตใจไม่สงบคลายลงจนเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ความเศร้าเสียใจ เธอคิดว่าจะคงอยู่ไปกับเธออีกนาน

 

ฟางเซียงเซียงถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว เซียวเยี่ยนจื่อถูกกันให้อยู่ข้างนอกจึงไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัดของอีกฝ่าย เธอทั้งกังวลและเป็นห่วงเพื่อนจนไม่กล้าปลีกตัวไปไหน แม้เสื้อผ้าจะเปรอะไปด้วยเลือดของฟางเซียงเซียง เธอก็ไม่มีแก่ใจจะกลับบ้านไปเปลี่ยนชุด ทั้งที่ในเวลาปกติเธอห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองยิ่งกว่าอะไร ตอนนี้เซียวเยี่ยนจื่อจึงทำได้มากสุดแค่นั่งรอฟังอาการของฟางเซียงเซียงอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินเงียบๆ

ตามหลักเหตุผลแล้วเหตุการณ์แบบนี้ย่อมไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แม้แต่คนที่ลงมือทำร้ายตัวเองอย่างฟางเซียงเซียง แต่เซียวเยี่ยนจื่อก็อดที่จะโทษตัวเองไม่ได้ที่ชะล่าใจเกินไป เอาใจใส่อารมณ์และความรู้สึกของเพื่อนน้อยเกินไปจนไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องที่หนักหนาเกินกว่าจะแบกรับ ทั้งๆ ที่หลายปีมานี้เธอและฟางเซียงเซียงดูเหมือนจะมีกันแค่สองคนแท้ๆ ถ้าฟางเซียงเซียงเป็นอะไรไปเธอคิดไม่ออกเลยว่าจะแบกรับความรู้สึกผิดนี้ได้ยังไง เธอคงไม่กล้ามีความสุขและไม่กล้ามีชีวิตที่ดีไปตลอดชีวิต

จู่ๆ หญิงสาวก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าตอนที่เพื่อนของเธอกำลังรู้สึกว่าถูกโลกนี้ทอดทิ้งจนทนอยู่บนโลกใบนี้ไม่ไหว เธอกำลังยิ้มหน้าระรื่นอย่างมีความสุขอยู่กับเรื่องน่ายินดีสักเรื่อง หรือกำลังหมกมุ่นกับเรื่องความก้าวหน้าของตัวเองอยู่หรือเปล่า

เซียวเยี่ยนจื่อคู้ตัวลง ยกฝ่ามือทั้งสองข้างปิดหน้าจนฝ่ามือสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นและอุ่นร้อน เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่หญิงสาวไม่อาจรักษาท่าทีเย็นชาและไว้ตัวเอาไว้ได้ เธอกลายเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่อ่อนแอได้ร้องไห้เป็น ผู้หญิงแบบที่เธอไม่เคยอยากเป็น เพราะเมื่อยอมให้ตัวเองอ่อนแอครั้งหนึ่งแล้วกว่าจะเรียกความเข้มแข็งกลับคืนมาได้ต้องใช้เวลานานมาก หรืออาจจะไม่รู้วิธีเรียกคืนความเข้มแข็งกลับมาอีกเลย

แต่เพราะเธอคือเซียวเยี่ยนจื่อ...

เซียวเยี่ยนจื่อที่อนุญาตให้ตัวเองอยู่ในสภาพแบบนี้ได้แค่ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น หลังสูดอากาศเข้าจมูกลึกจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของตัวเอง เธอก็ปาดเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย

ฉันกับอาจารย์ฟางขอลางานสักอาทิตย์นึงนะคะ น้ำเสียงของเซียวเยี่ยนจื่อราบเรียบ คนฟังย่อมไม่คิดว่าเป็นการลางานจากเหตุไม่คาดฝัน หญิงสาวเอ่ยเสริมไปอีกประโยคหลังครุ่นคิดอยู่เพียงอึดใจ ถ้านานกว่านั้นจะโทรไปแจ้งอีกทีค่ะ

เอ้อออ... ปลายสายคล้ายอยากจะพูดอะไร หลังจากลังเลอยู่ครู่เดียวก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้จนตัดสินใจถามออกมา อาจารย์เซียวกับอาจารย์ฟางมีทริปฟ้าแลบเหรอคะ

เซียวเยี่ยนจื่อขมวดคิ้ว แม้จะฟังดูเป็นการถามไถ่ทั่วไปแต่หญิงสาวกลับอ่านนัยที่ลึกยิ่งกว่านั้นของอีกฝ่ายออก แต่ครั้นจะให้บอกเหตุผลจริงๆ เธอก็ทำไม่ได้เช่นกัน

จำเป็นต้องแจ้งเหตุผลในการลาด้วยเหรอคะ ปกติแค่รับทราบว่าลาก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ

เธอถามออกมาเรียบๆ แต่ปลายสายกลับรู้สึกเสียใจกับความปากไวของตัวเองขึ้นมา แหมอาจารย์ก็...ฉันรับทราบแล้วค่ะ ยังไงก็เที่ยวให้สนุกนะคะ เธอตะครุบปากตัวเองไม่ทันในประโยคท้ายจึงแก้สถานการณ์ให้ตัวเองโดยการเป็นฝ่ายเอ่ยตัดบทขอวางสาย

เซียวเยี่ยนจื่อไม่ได้คลายสีหน้าหงุดหงิดใจ เธอไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะเข้าใจเธอกับฟางเซียงเซียงผิด แต่รำคาญมากกว่าที่แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการขอลางานของเธอก็สามารถเป็นประเด็นให้คนอื่นเอาไปพูดถึงกันได้เป็นคุ้งเป็นแคว

ขณะที่กำลังจะยัดเครื่องมือสื่อสารกลับเข้าไปในกระเป๋า เสียงแจ้งเตือนวีแชตก็ดังขึ้นมา เรียกให้เธอยกมันขึ้นมาดูอีกครั้ง

ทันทีที่เห็นว่าเป็นข้อความจากใครเซียวเยี่ยนจื่อก็มีสีหน้ายุ่งยากใจ เธอเพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าเย็นนี้เธอมีนัดกับฮ่าวป๋อชุน ถ้าเขาไม่ส่งข้อความเป็นเชิงย้ำเตือนเธอมาในตอนนี้เธอก็คงลืมไปสนิทแล้ว

หญิงสาวตัดสินใจว่าจะโทรไปหาชายหนุ่มเพื่อขอเลื่อนนัด หลังไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของเขาจากรายชื่อผู้ติดต่อในมือถืออยู่นานในที่สุดก็เจอ

เซียวเยี่ยนจื่อจ้องชื่อที่เธอตั้งเป็นชื่อกำกับเบอร์โทรศัพท์ของเขาอยู่นาน จ้องอย่างจะให้ไม่จอโทรศัพท์มือถือก็ตาของเธอแตกกันไปข้าง ในใจสับสนและนึกเหยียดหยันตัวเองเมื่อหลายปีก่อนที่เพ้อเจ้อถึงขั้นใส่อิโมติคอนรูปหมีไว้ท้ายชื่อของฮ่าวป๋อชุน ไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ทำอะไรแบบนี้ลงไปได้

เซียวเยี่ยนจื่อสลัดความรู้สึกน่าหงุดหงิดออกไป ไม่ได้กดแก้ไขชื่อเพื่อลบอิโมติคอนที่สะกิดความรู้สึกของเธอเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาแต่เลือกที่จะมองข้ามแล้วกดปุ่มโทรออกไปหาเจ้าของเบอร์นั้น

เปลี่ยนใจจะให้พี่ไปรับหรือยังไง ฮ่าวป๋อชุนรับสายหญิงสาวอย่างรวดเร็ว พร้อมเอ่ยแหย่เธออย่างอารมณ์ดี

ดูพี่คาดหวังกับนัดคืนนี้จังเลยนะคะหญิงสาวเอ่ยหยั่งเชิง

ความจริงเธอไม่ได้เต็มใจรับปากเขา แต่ในเมื่อรับปากไปแล้วก็อยากรีบทำให้มันจบๆ ไป เหมือนเป็นงานงานหนึ่งที่ต้องทำให้ลุล่วง พอมีเหตุให้ต้องเลื่อนนัดกันแบบนี้ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด

คาดหวังสิน้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นไม่เปลี่ยนเลย ชวนให้หญิงสาวหวนนึกไปถึงวันเก่าๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ เราไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ

หลายปีมานี้พี่คงยุ่งมากสินะคะ

กำแพงที่เธอสร้างยังคงอยู่ เพียงแต่มันคล้ายจะมั่นคงจนเธอไม่กลัวที่จะทำตัวตามปกติกับเขาอีกแล้ว อยู่ๆ เธอก็มั่นใจขึ้นมาว่าต่อให้เขายืนอยู่ชิดติดกำแพงแต่เขาก็ไม่มีวันข้ามมาได้

คนถามถามไปเรื่อยเปื่อยแบบไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังกลับฟังแล้วจิตใจไม่สงบสุข เยี่ยนจื่อ หลายปีที่ผ่านมาพี่คิดถึงเธอตลอดเลยนะ คล้ายกับว่าไม่เพียงพอให้เชื่อถือชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอีกประโยค แต่เธอก็รู้ว่าพี่มีเหตุผลที่ต้องเงียบหายไป

ฉันไม่รู้ค่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้อยากรู้ เธอรู้สึกว่าตัวเองพูดตรงเกินไปจนเหมือนกวนประสาทเขาอีกแล้ว เลยต้องเสริมขึ้นมาอีกประโยค คิดว่าเป็นเหตุผลส่วนตัว ฉันคงไม่จำเป็นต้องรู้

ฮ่าวป๋อชุนกลับหัวเราะออกมาจนหัวคิ้วเธอกระตุก แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อได้ยินคำตอบของเขา เหมือนเธอกำลังตัดพ้ออยู่เลยนะ

หลงตัวเองขนาดนี้? เธอมีเหตุผลอะไรให้ต้องตัดพ้อเขากัน

เซียวเยี่ยนจื่อสมองชาจนไม่รู้จะตอบโต้ยังไงไปชั่วขณะ ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะจินตนาการสีหน้าท่าทางของเธอออก ถึงจะเป็นฝ่ายทำให้เธอไปไม่เป็นแต่สุดท้ายก็เป็นคนช่วยคลี่คลายสถานการณ์

ตกลงจะเปลี่ยนใจให้พี่ไปรับรึเปล่า

เซียวเยี่ยนจื่อทำตาขวางใส่เครื่องมือสื่อสารที่แนบอยู่กับหู ยังดีที่เขารู้จักหนักเบา

เปล่าค่ะ หญิงสาวเปลี่ยนอารมณ์ทันควันเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องเอ่ย สายตาเป็นกังวลมองไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน ฉันโทรมาเลื่อนนัดค่ะ เป็นวันอื่นได้ไหมคะ วันไหนฉันจะบอกอีกที

ฮ่าวป๋อชุนเงียบไป เซียวเยี่ยนจื่อเดาอารมณ์เขาไม่ออกจนต้องเอ่ยอธิบายเพิ่ม เกิดอุบัติเหตุกับเพื่อนฉันนิดหน่อย ตอนนี้เธออยู่ในห้องฉุกเฉินยังไม่ออกมาเลยค่ะ ฉันต้องอยู่เฝ้าเธอ

แล้วเธอเป็นอะไรรึเปล่า ฮ่าวป๋อชุนตกใจจนความผิดหวังก่อนหน้านี้เลือนหายไปชั่วขณะ

ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ไม่ใช่อุบัติเหตุแบบนั้น คิดไปคิดมาสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจบอกชายหนุ่มตามตรง เพื่อนฉันพยายามจะฆ่าตัวตายน่ะค่ะ

ฮ่าวป๋อชุนเงียบไปครู่ใหญ่ทีเดียว ก่อนจะส่งเสียงมาตามสาย เรื่องนัดเอาไว้ค่อยว่ากัน ตอนนี้เธออยู่โรงพยาบาลไหน พี่จะไปหา

ไม่ต้องมาหรอกค่ะ

เยี่ยนจื่อ เมื่อไรจะเลิกมองพี่เป็นคนอื่นซะที ฮ่าวป๋อชุนเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง พอเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งความเคร่งเครียดในน้ำเสียงของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นที่เซียวเยี่ยนจื่อคุ้นเคย ยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม เดี๋ยวพี่หาซื้ออะไรไปให้เธอกิน รออยู่ตรงนั้นอย่าไปไหนล่ะ

เซียวเยี่ยนจื่อเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ ค่ะ ยังไม่ได้กินอะไร หญิงสาวยกมือลูบท้อง พอเขาพูดขึ้นมาเธอก็ได้ยินเสียงท้องร้องราวกับมันพยายามจะตอบรับคำของชายหนุ่มแทนเธอ

ก่อนหน้านี้เธอเป็นห่วงฟางเซียงเซียงมากจนไม่ได้สนใจตัวเองเลยจริงๆ ก่อนเขาจะวางเธอเลยเอ่ยออกมาอีกประโยค รีบมาหน่อยก็ดีค่ะ

ทว่าแม้ฮ่าวป๋อชุนจะรับปากกับเธอว่าจะรีบมาแต่เซียวเยี่ยนจื่อรออยู่นานมากก็ยังไร้วี่แววชายหนุ่ม เธอทั้งหิวทั้งหนาว ร่างกายเพลียจัดจนเผลอหลับไปในสภาพนั้น

 

ฮ่าวป๋อชุนที่สวมแว่นกันแดดและใช้ผ้าพันคอพันรอบคอสูงขึ้นมาจนบดบังใบหน้าครึ่งล่างมิดชิดเดินถือถุงใส่อาหารใบหนึ่งเข้ามาในโรงพยาบาล มุ่งหน้าไปยังห้องฉุกเฉินที่เซียวเยี่ยนจื่อบอกเขาว่าเธอนั่งอยู่บริเวณนั้น

เขารับปากเธอว่าจะรีบมา แต่กลับเพิ่งมาเอาในตอนที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปแล้วแบบนี้ไม่รู้ว่าเธอจะมีท่าทียังไง หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนชายหนุ่มพอจะเดาออกว่าเธอคงจะต่อว่าเขาหลายคำจนกว่าจะหายโมโห หรือแค่เขาง้อเธอนิดหน่อยเธอก็คงจะหายโกรธแล้ว แต่ตอนนี้เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ที่เจอเธอที่หน้ามหาวิทยาลัยเมื่อตอนกลางวันว่าเธอเปลี่ยนไปแล้ว

ฮ่าวป๋อชุนเดินเลี้ยวไปทางห้องฉุกเฉินที่อยู่ทางซ้ายมือของเคาน์เตอร์แผนกต้อนรับด้านหน้าประตู แต่จู่ๆ ก็หยุดยืนนิ่งไม่เดินต่อ ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออกเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัด

ดวงตาที่เซียวเยี่ยนจื่อเคยแอบนิยามอยู่ในใจว่าอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าหรี่ลง สายตาพินิจพิเคราะห์นั้นสะท้อนความเย็นชาที่มองยังไงก็ห่างไกลจากคำว่าอบอุ่น

เซียวเยี่ยนจื่อคงจะนั่งรอเขาไปพร้อมๆ กับรอฟังอาการของเพื่อนที่อยู่ในห้องฉุกเฉินจนผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น ฮ่าวป๋อชุนเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้แปลกใจ ที่เขาแปลกใจจนต้องหยุดยืนมองให้ชัดคือนอกจากหญิงสาวที่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินเพียงลำพัง ยังมีชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ ขณะเดียวกันก็ใช้ไหล่ตนเองต่างที่พิงศีรษะให้หญิงสาว