57 ตอน บทที่ 56: อาวุธประจำตัว
โดย RiFourver
ความรู้สึกของเกรกอรี่เต็มไปด้วยความร้อนรนอยากรีบเดินทางไปหาเด็กหนุ่มตั้งแต่เช้าตรู่ทันทีที่ได้รับจดหมายจากเกล็นว่าซิกมุนท์ได้บุกมาถึงห้องพักส่วนตัว ซึ่งนั้นเท่ากับว่าผู้ชายคนนั้นสามารถทำลายอาคมป้องกันได้ แต่ความรีบร้อนนี้เองก็ทำให้มหาปราชญ์พลัดตกจากบันไดหน้าบ้านตัวเองจนข้อเท้าแพลงและมีอาการปวดที่สะโพก ทำให้เขาไม่สามารถเดินทางได้สะดวกจึงจำใจต้องพักอยู่บ้านตามคำสั่งแพทย์
ทว่าในวันรุ่งขึ้น เกรกอรี่ไม่รีรอให้อาการเจ็บสะโพกหายดี เขาเดินทางไปยังโรงเรียนเอลเซียส์ทันทีที่ดวงตะวันพ้นขอบฟ้า นอกจากเกรกอรี่แล้วก็ยังมีหัวหน้าอัศวินเวทอย่างโดมินิกไปด้วยอีกคน
ดังนั้นตอนนี้เกล็น เกรกอรี่ และโดมินิกจึงนั่งอยู่ในห้องรับรองของอาคารเรียนหลัก โดยที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ใหญ่ทั้งสองคน บนโต๊ะที่คั่นระหว่างกลางก็มีกล่องใบใหญ่สีดำวางไว้
“แล้ว… ต่อจากนี้เราต้องทำยังไงต่อครับ?” เกล็นที่นั่งหลังแข็งถามขึ้นหลังเล่าเรื่องในคืนก่อนจบด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
ชายสูงวัยผ่อนลมหายใจแผ่วเบาเข้าใจที่ต้องรับมือสถานการณ์นั้นเพียงลำพัง หนำซ้ำฝ่ายศัตรูยังถือไพ่เหนือกว่าเพราะจะเลือกแบบไหน ซิกมุนท์ก็รู้ที่ซ่อนของผลึกอยู่ดี เกล็นจึงเลือกที่จะยื้อเวลาเอาไว้ แม้ว่าจริงๆ แล้วคือการทำให้พวกซิกมุนท์มีเวลาหาวิธีคืนชีพเชเบอร์ทอส
“วันพรุ่งนี้พวกเราจะคุยกับทางอาจารย์กันอีกรอบ” เกรกอรี่ตอบเสียงอ่อน ว่าสุดท้ายแล้วจำใจต้องใช้วิธีการแรก นั่นคือแกล้งทำทีพาพวกนักเรียนไปทัศนศึกษาตามมณฑลต่างๆ จนกว่าทางศาสนจักรจะสามารถแก้ปริศนาอาคมของตระกูลลูมิเธอร์ได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาสนใจเรื่องอื่น “แล้วเรื่องขององค์ชายจูเลียสกับคุณหนูยูเรลล่าได้ความมาว่ายังไง”
“เอ่อ เรื่องนั้น…” เกล็นยิ้มแห้งเสตาไปทางอื่นพลางเกาแก้ม “สองคนนั้นจับพิรุธพวกผมได้ก็เลยแอบตามไปน่ะครับ ตอนนี้ก็เลยรู้ความจริงหมดทุกอย่าง แล้วดูเหมือนฟิเลน่าจะไปด้วย ส่วนจูเลียสกำลังลังเลอยู่ก็จริงแต่ผมคิดว่าเขาคงไปปรึกษากับพ่อแม่ก่อน”
“อย่างนั้นก็ตีไปเลยว่าองค์ชายจูเลียสกับคุณหนูยูเรลล่าจะร่วมเดินทางกับพวกเธอสินะ เฮ้อ” คราวนี้เป็นฝ่ายโดมินิกโคลงศีรษะและถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเขาค่อนข้างเชื่อว่าราชินีเซซิเลียคงยินยอมให้จูเลียสไปกับพวกเกล็นเพื่อช่วยเหลือลูกของเพื่อนสนิท
“ผมก็คิดเหมือนกัน” เด็กหนุ่มผมฟ้าผงกหัวเห็นพ้องกับหัวหน้าอัศวินเวท แม้จะมีเหตุต่างกันเล็กน้อยตรงที่ในความคิดของเขา จูเลียสน่าจะไปด้วยกันเพราะเหมือนถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้น “แต่นั่นก็ทำให้ผมกังวล เพราะหลังจากนี้ต้องเจอกับพวกนั้นแน่ๆ”
จริงอยู่ว่าภายในเกมกลุ่มตัวเอกอย่างพวกแมรีแอนน์จะต่อสู้กับเหล่าตัวร้ายได้ แต่เวลานี้เกล็นจินตนาการไม่ออกเลยว่าพวกเขาจะต่อกรคนมีฝีมืออย่างซิกมุนท์ ฮันนา และคริสต้าได้อย่างไร อีกทั้งยังมีผู้ชายมีอายุอีกคนที่เกล็นยังไม่เคยเจอมาก่อน เลยยากจะคาดเดาความเก่งกาจของชายคนสุดท้ายของกลุ่มวายร้าย ถึงต่อให้เขาไม่เก่งเท่าสามคนแรก กระนั้นด้านประสบการณ์ทางนั้นน่าจะเหนือกว่า
“แต่ฟังจากที่เธอเล่า อย่างน้อยพวกนั้นน่าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะกลัวมีปัญหาโดยตรงกับท่านอวินาช” ถึงเกรกอรี่บอกเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
เพราะแม้ว่าพวกซิกมุนท์ดูหวาดหวั่นอวินาชในฐานะราชาผู้น่าเกรงขาม แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นหลักประกันได้ว่าเหล่าวายร้ายจะไม่ทำอะไรพวกเกล็น เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อเจอกันซึ่งๆ หน้าก็ต้องลงเอยด้วยการต่อสู้กัน ซึ่งการต่อสู้ที่ว่าก็ไม่มีอะไรตายตัวเลยว่าทั้งฝั่งเขาหรือฝั่งซิกมุนท์จะไม่บาดเจ็บ
“ถ้าเป็นไปได้… ผมไม่อยากให้ทุกคนต้องเจออะไรแบบนั้นเลย” เกล็นพึมพำ สายตาของเด็กหนุ่มเหม่อลอยรู้สึกเศร้าใจที่พวกแมรีแอนน์ต้องเจออะไรพวกนี้ เขายอมรับเลยว่าสิ่งที่ซิกมุนท์พูดมามีส่วนถูก แล้วมันก็ทำให้ความทรงจำหนึ่งผุดเข้ามาในหัว มันค่อนข้างเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไร
“เป็นอะไรไปเหรอเกล็น?” เกรกอรี่เอ่ยถามเสียงนุ่มนวลอย่างเป็นห่วง คิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ามีเรื่องไม่สบายใจ ทว่าเกล็นส่ายหัวเชื่องช้าตอบกลับ ดังนั้นมหาปราชญ์จึงไม่ซักไซ้ถามต่อแล้วเปลี่ยนอีกเรื่อง “จริงสิ เรื่องที่เธอเคยถามคุณโกเมซตอนนี้ทางเวสพีเรียสืบมาได้แล้วนะ”
ได้ยินดังนั้นเกล็นจึงนั่งหลังตรงตั้งใจฟังสิ่งที่เกรกอรี่จะพูดต่อ
“พ่อของคริสต้า ไวท์ ถูกฆาตกรรมก่อนวันที่ซิกมุนท์แจ้งทางการจับครอบครัวตัวเองสามเดือน”
ฟังจบเด็กหนุ่มตบเข่าฉาดที่เป็นอย่างที่ตัวเองคิด “กะแล้วว่าต้องเป็นงี้!”
“แล้วเธอมีความคิดเห็นเรื่องนี้ว่าอย่างไง?” โดมินิกถามเสียงเข้ม
“ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นชนวนที่ทำให้ซิกมุนท์แตกหักกับครอบครัวก็ได้ เพราะเท่าที่ผมรู้สึกเหมือนหมอนี่ไม่ค่อยถูกกับที่บ้านเท่าไร แล้วใช้เป็นข้ออ้างทำนองว่าแก้แค้นแทนพ่อให้เพื่อดึงคริสต้ามาเป็นพวกตัวเองได้ด้วย”
“ถ้าเป็นอย่างที่เธอบอก คงเหลือแค่ว่าชายคนนั้นมีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนั้นสินะ” เกรกอรี่ลูบคางใช้ความคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ซิกมุนท์หักหลังครอบครัว
“เรื่องนั้นคงมีแต่ต้องจับตัวให้ได้ล่ะนะ” หัวหน้าอัศวินเวทกอดอกพลางถอนหายใจ เขาคิดว่าคำตอบเรื่องนี้คงมีแต่จอมวายร้ายคนนั้นที่จะไขข้อสงสัยนี้ได้
“เท่ากับว่าข้อมูลเก่าๆ ตอนนี้ที่พวกเรารู้เกี่ยวกับซิกมุนท์คือเขาไม่ได้สังหารคนคระกูลลูมิเธอร์กับพ่อของคริสต้า” เกล็นสรุปสิ่งที่รับรู้ ถึงแม้ว่ามันดูไม่เกี่ยวข้องกับการชุบเชเบอร์ทอสโดยตรง แต่อย่างน้อยมันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์ในอนาคตก็เป็นได้
เกรกอรี่หลุบตาลงพลางกอดอกยกมือข้างหนึ่งลูบปลายหนวดครุ่นคิด เขารู้สึกถึงความแปลกประหลาดเมื่อนำเหตุการณ์ต่างๆ มาร้อยรวมเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างการที่ซิกมุนท์หักหลังครอบครัวและแสดงตัวว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับคดีต่างๆ ในอดีตเช่น การสังหารหมู่ตระกูลลูมิเธอร์เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนและการฆาตกรรมพ่อของคริสต้า กระนั้นชายหนุ่มคนนั้นกลับมีความคิดคืนชีพมังกรมารเชเบอร์ทอสต่อจากครอบครัว
“มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสินะ…” มหาปราชญพึมพำเสียงเบา ไม่นานเกรกอรี่ก็เงยหน้ามองเด็กหนุ่มตรงหน้า “จะว่าไปเธอรู้ข้อมูลผู้ชายมีอายุอีกคนที่เคยพูดหรือเปล่า?”
เกล็นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังเค้นข้อมูลในความทรงจำขึ้นมา จากนั้นเขาก็โคลงศีรษะเชื่องช้า
“งั้นไม่เป็นไร…” เกรกอรี่ตอบอย่างเสียดาย จากนั้นเขาก็หันมองนาฬิกาลูกตุ้มโบราณที่ตั้งชิดกำแพงกลางห้อง “สิบโมงกว่าแล้วเหรอเนี่ย!”
ชายสูงวัยอุทานเสียงสูงเรียกสายตาสงสัยจากเกล็น ขณะที่โดมินิกก็ผงกหัวเชิงเข้าใจความหมายที่เกรกอรี่จะสื่อ
(จะว่าไปก็ใกล้จะคาบสองแล้วแฮะ)
พอคิดว่าไม่มีอะไรที่ต้องคุยแล้วเกล็นจึงเตรียมตัวบอกลาชายทั้งสองตรงหน้า แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงเคาะประตูเรียกความสนใจคนในห้อง
“ดูเหมือนจะมาแล้ว” โดมินิกพึมพำเสียงเบา กระนั้นมันก็ดังพอให้เกล็นได้ยินและก่อเป็นความสงสัยว่าทั้งคู่นัดใครมาในเวลานี้
เกรกอรี่ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุดในห้องขานอนุญาตให้คนหลังบานประตูเข้ามา ทันทีที่เปิดประตูแมรีแอนน์ก็ปรากฎตัวต่อหน้าเกล็น เธอเดินเข้ามาด้านในด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมราวกับเป็นนักเรียนที่ถูกครูตามเข้าห้องปกครอง ดวงตาสีชมพูหวานของเด็กสาวกะพริบปริบอย่างฉงนที่ถูกเรียกมาคนเดียว ถึงจะมีเกล็นมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม
“สวัสดีค่ะ” แมรีแอนน์ทักทายเกรกอรี่กับโดมินิกอย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีคุณหนูแมรีแอนน์ เชิญนั่งก่อน” เกรกอรี่คลี่ยิ้มพลางผายมือไปยังโซฟาตัวเดียวกับเกล็น
เด็กหนุ่มผมฟ้าจึงขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้แมรีแอนน์ได้นั่งลงข้างๆ ทั้งคู่สบตามองกันเชิงถามว่ามีอะไร แต่สิ่งที่ได้คำตอบก็คือไม่รู้เหมือนกันผ่านแววตา สักพักเกล็นก็ทำตัวหลุกหลิกเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างแล้วนั่งหลังตรงยื่นหน้าเล็กน้อยไปทางเกรกอรี่
“เอ่อ มีแค่แมรีแอนน์เหรอครับ” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยที่เห็นแมรีแอนน์มาคนเดียว เกรกอรี่พยักหน้าเป็นการตอบ “งั้นผมไม่รบกวนล่ะ”
พอจะเดาได้ว่าเกรกอรี่กับโดมินิกมีธุระกับเด็กสาวเพียงคนเดียว เกล็นเลยบอกลาทั้งสองและเตรียมลุกเดินออกจากห้อง ทว่ามหาปราชญ์ก็รั้งตัวเขาไว้ด้วยคำพูด
“ไม่เป็นไรเกล็น มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก”
เมื่อชายสูงวัยบอกแบบนั้นเกล็นที่ก้นลอยห่างจากเก้าอี้ก็หย่อนกายนั่งลงอีกครั้ง เขาสบตาแมรีแอนน์อีกหนซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบจากเด็กสาว จากนั้นก็มีเสียงกระแอมไอของโดมินิกเรียก
เมื่อหัวหน้าอัศวินเวทเห็นเกล็นกับแมรีแอนน์หันมา เขาจึงเลื่อนกล่องสีดำตรงหน้าไปทางเด็กๆ ที่เคลื่อนไหวสำรวจด้วยท่าทีเกร็งๆ
“ดาบประจำตระกูลของลูมิเธอร์ดัดแปลงตามที่เกล็นเสนอมาเสร็จแล้ว” พูดจบโดมินิกก็ลุกขึ้นเพื่อให้เปิดกล่องได้อย่างสะดวก ด้านในนั้นมีคทาที่มีความยาวประมาณหนึ่งเมตร ด้านจับดูหนาเทอะทะเพราะต้องทำหน้าที่เป็นฝักดาบไปในตัว ซึ่งตัวดาบโผล่พ้นออกมาให้เห็นผลึกทรงว่าวสีแดงกับสีฟ้าและหลุมว่างเปล่าสองตำแหน่ง ขณะที่ด้ามดาบถูกครอบด้วยงานหล่ออันวิจิตรเป็นมังกรสีขาวลวดลายทองซึ่งประดับอัญมณีหลากสี
เกล็นเห็นเพียงไม่กี่วินาที เขาก็รีบตะครุบปากไม่ให้หลุดความพูดไม่เข้าท่าออกไป
(ดีไซน์… ไม่มินิมอลเลย) เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายแล้วทำสมองให้ว่างเปล่าเพื่อจะได้ไม่วิพากษ์วิจารณ์งานศิลป์จากช่างฝีมือ กระนั้นเกล็นก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี (ไม่เห็นวัยรุ่นสักนิด!)
“ว้าว! ดูดีจังเลยค่ะ!” แมรีแอนน์ยกมือป้องปากมองคทาด้วยแววตาเปล่งประกายผิดกับเกล็นที่เหงื่อตกไม่กล้าจะพูดอะไร
“เท่านี้ก็เหมือนกับว่าท่านเบเลธกำลังคุ้มครองเลยใช่ไหม” เกรกอรี่กลั้วหัวเราะถูกใจหน้าตาของคทา ส่วนโดมินิกอดอกพลางหลับตาพยักหน้าเห็นด้วย “อา พูดแล้วนึกถึงตอนที่ท่านเห็นคทา ดูตื่นเต้นแทนเจ้าของมากเลย”
ดูจากปฏิกิริยาคนรอบตัวแล้ว คงมีแค่เกล็นที่มีความคิดสวนทางกันอย่างชัดเจน
“วะ ว่าแต่ถ้าสมมุติแมรีแอนน์อยากใช้ดาบขึ้นมาทำยังไงเหรอครับ?” ถึงไม่โดนจิตโดนใจเรื่องดีไซน์ของคทาเท่าไร เกล็นก็อดข้องใจกับวิธีดึงดาบออกมาไม่ได้ เพราะรู้สึกว่ามันดูยุ่งยากเอาการที่ต้องถอดหัวคทาก่อนแล้วชักดาบออกมา
“คุณหนูแมรีแอนน์ลองสวมแหวนดูสิ” เกรกอรี่ผายมือไปที่แหวนอำพันสองวงในกล่อง
“สองวงเหรอคะ?” เด็กสาวถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ ทั้งสองวงเลย”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากมหาปราชญ์ แมรีแอนน์ก็หยิบแหวนทีละวงขึ้นมาสวมที่นิ้วชี้ จากนั้นเธอถ่ายทอดพลังเวทใส่แหวนเหมือนอย่างตอนที่เรียนวิชาต่อสู้ครั้งแรกเมื่อปีหนึ่ง ไม่นานทั้งคทาและแหวนก็แตกสลายเป็นละอองสีทองลอยฟุ้งบนอากาศแล้วค่อยๆ จางหายไป
“เรียกคทาออกมาก่อน” โดมินิกบอกขั้นตอนต่อมา แมรีแอนน์จึงลุกขึ้นแล้วเรียกคทามาไว้บนมือ “เวลาจะใช้ดาบก็ทำแบบเดียวกัน”
“แบบเดียวกัน…?” แมรีแอนน์กะพริบตาปริบยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าที่ควร กระนั้นเธอก็ทำตามที่หัวหน้าอัศวินว่า เธอกำและแบมือข้างที่ว่างอยู่ด้วยท่าทางประหม่า ไม่นานดาบก็อยู่บนมือเรียบร้อย ทำเอาดวงตาสีชมพูเบิกกว้างตะลึงงันอยู่ชั่วขณะก่อนจะรีบหันไปดูคทาซึ่งตอนนี้มีแท่งเหล็กเข้าไปแทนที่ดาบ
เกล็นที่นั่งข้างกันปรบมือแปะๆ จ้องคทาและดาบในมือแมรีแอนน์ไม่วางตา
“วิเศษมากเลยค่ะ!” เด็กสาวส่งเสียงด้วยความตื่นเต้น แววตาของเธอตอนนี้เปล่งประกายที่ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ แม้ว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็นเพียงการเรียกอาวุธธรรมดาเท่านั้น “เสียดายจังเลยค่ะที่หนูใช้ดาบไม่เป็น...”
แมรีแอนน์ทำหน้าซึมเหมือนเด็ก ทำเอาเกรกอรี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามขบขันอย่างเอ็นดู
“ถ้าไม่สันทัดก็ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกนะ” มหาปราชญกล่าวปลอบเด็กสาว “เอาละ! พวกเธอก็คงเสียเวลามากแล้ว เช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับกันก่อน มีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะเลย”
นัยน์ตาสีน้ำเงินของเกรกอรี่สบมองเกล็นครู่หนึ่งเชิงบอกให้อีกฝ่ายรับรู้สิ่งที่เขาจะทำต่อ เกล็นจึงผงกหัวตอบเล็กน้อยจนแทบเหมือนไม่ได้ขยับ ขณะที่แมรีแอนน์เก็บคทาและดาบกลายเป็นละอองแสงสีทอง
จากนั้นทุกคนก็ทยอยออกจากห้องตามตำแหน่งผู้อาวุโส ก่อนจะไปทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองต่อ โดยเกรกอรี่กับโดมินิกเดินทางกลับเบเลเทียเพื่อสืบหาสถานที่ซ่อนผลึกชิ้นต่อไป ส่วนเกล็นกับแมรีแอนน์ไปเรียนหนังสือต่อทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกเสียจากเด็กหนุ่มผมฟ้าที่ได้รับคำอวยพรจากมิตรสหายเพราะเพิ่งหายดีจากอาการป่วย
วันนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษอีกเลย พวกเกล็นเรียนหนังสือตามปกติก่อนจะแยกย้ายไปเรียนวิชาเลือกชั่วโมงสุดท้าย กระทั่งเสียงระฆังดัง นักเรียนวิชาปรุงยาต่างค่อยๆ เก็บอุปกรณ์เข้าชั้นเรียบร้อยเหมือนทุกที จากนั้นพวกเขาทยอยกลับห้องพัก
“โอ้!” คลาริสร้องทักพร้อมโบกมือไปมาเรียกเกล็นกับแมรีแอนน์ที่รออยู่บริเวณหน้าห้องเรียนเวทมนตร์เพิ่มเติมที่เป็นทางผ่าน เกล็นจึงยกมือตอบกลับ
เมื่อทั้งสามร่วมกลุ่มกันคลาริสก็เปิดหัวข้อสนทนา “วันนี้มีนัดฝึก ไปด้วยกันไหม?”
เกล็นกะพริบตาปริบๆ มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัยว่ามีฝึกอะไรกัน สักพักเขาก็นึกได้ว่าระยะหลังมานี้พวกชาร์ล็อตกำลังหัดใช้อาวุธให้เป็นกิจจะลักษณะกัน ดูจากเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนทักษะยิงหน้าไม้ของเพื่อนสมัยเด็กคงได้มาจากการฝึกฝนพิเศษที่ว่านี้ อีกทั้งคลาริสยังเคยบอกให้เกล็นไปดูสักครั้งด้วย เขาเลยถือโอกาสตอบตกลง
“ไปสิ” เกล็นบอกสั้นๆ จากนั้นก็หันไปทางแมรีแอนน์ “จะว่าไปแมรีแอนน์จะลองฝึกด้วยหรือเปล่า?”
เขาถามด้วยความใคร่รู้พลางนึกถึงอาวุธสองชนิดของแมรีแอนน์เมื่อเช้า
ทว่าสีหน้าเด็กสาวแสดงความลังเลอย่างชัดเจน
“ถ้าไม่ถนัดก็ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ เราสองคนแค่ไปดูกันก็พอ” เกล็นเสนอความเห็น สีหน้าของแมรีแอนน์จึงดูผ่อนคลายขึ้นบ้าง
จากนั้นทั้งสามคนจึงเดินออกจากอาคารเรียนปฏิบัติไปยังลานดินสำหรับใช้ฝึกซ้อมอาวุธ ไม่ใช่มีแค่พวกเกล็นเท่านั้น ที่นั่นยังมีนักเรียนกลุ่มอื่นขออนุญาตใช้สถานที่รวมอยู่ด้วย นั่นเลยทำให้คลาริสที่มาประจำขยับตัวโหยกเหยกเหมือนกำลังมองหาใครบางคน
“เจอละๆ” คลาริสพูดกับตัวเองเสียงเบา จากนั้นเขาก็หันหาเกล็นกับแมรีแอนน์ที่ดูนักเรียนคนอื่นฝึกซ้อมอาวุธอยู่ “สองคนนั้นอยู่นั่น”
เด็กหนุ่มผมสีแดงไวน์ชี้ไปยังบริเวณกลางลานดินซึ่งเป็นจุดที่อิกนิสกับชาร์ล็อตอยู่ สักพักคลาริสก็เท้าเอวหรี่ตามองสองคนนั้นอย่างเอือมระอา “ให้ตายสิ! ยังจะฝืนใช้ดาบอีกนะ”
เขาบ่นอุบที่เห็นชาร์ล็อตพยายามใช้ดาบทั้งที่หล่อนมีความสามารถด้านการใช้อาวุธไกลอย่างธนูหรือหน้าไม้มากกว่า คลาริสจึงเดินดุ่มๆ ไปหาชาร์ล็อต ทิ้งให้เกล็นที่ยืนกอดอกมองอิกนิสซึ่งพยายามสอนใช้ดาบให้ชาร์ล็อต เด็กหนุ่มผมดำคนนั้นเดินอ้อมซ้ายอ้อมขวาวนรอบชาร์ล็อตด้วยท่าทางเกร็งๆ เกล็นมองออกเลยว่าอิกนิสพยายามไม่โอบร่างหรือถูกเนื้อต้องตัวมากเกินความจำเป็น
“(เฮ้อ ก็อดเอ็นดูไม่ได้ล่ะเน้อ)” เกล็นกลั้นยิ้มเผลอพูดภาษาดั้งเดิมพลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ สักพักเด็กหนุ่มก็ปรายตามองแมรีแอนน์ที่จ้องเขาตาไม่กะพริบ
“มีอะไรเหรอ?”
“อะ เอ่อ… คือ… เมื่อกี้เกล็นว่าอะไรเหรอคะ?” แมรีแอนน์ที่ฟังไม่ออกถาม สีหน้าของเธอดูลำบากใจเล็กน้อย
“เอ๋ ฉันพูดอะไรไป?” เพราะเป็นประโยคที่เผลอพูดออกมาไม่ทันคิด เกล็นจึงลืมมันไปทันที แม้จะพยายามนึกเท่าไรก็จำไม่ได้อยู่ดี เขาเลยเกาหัวด้วยความมึนงงกับความเบลอของตัวเองและค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองคงพูดภาษาเมื่อชาติก่อนด้วย “ดูเหมือนว่าฉันจะลืม…”
หลังได้ยินคำตอบ แมรีแอนน์ก็อมยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเองก็เคยเป็นเหมือนกันนะ ที่พูดอยู่เมื่อกี้จู่ๆ ก็ลืม”
“นั่นสินะ แหะๆ…” เกล็นหัวเราะเสียงแห้ง ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงโวยวายของชาร์ล็อตกับคลาริสดังขึ้นจึงหันไปดู “กัดกันไม่เบื่อเลยนะ”
เด็กหนุ่มตบหน้าผากดังแปะ เพราะรู้สึกปวดหัวเวลาที่ชาร์ล็อตกับคลาริสต่อล้อต่อเถียงกัน อีกทั้งยังสงสารอิกนิสที่พยายามห้ามสองคนนั้นอย่างเต็มความสามารถ ชั่วอึดใจเกล็นก็รุดไปหาทั้งสามคนที่อยู่ แต่เพราะรู้สึกผิดปกติเขาจึงชะงักเท้าแล้วหันไปทางแมรีแอนน์ที่ยังยืนอยู่ตรงเดิม
“แมรีแอนน์เป็นอะไรหรือเปล่า?” เกล็นเดินกลับมาหาแมรีแอนน์ที่มีสีหน้าดูเหม่อลอย แล้วสะกิดไหล่ให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์
“คะ?” แมรีแอนน์รับขานเกล็น
“เป็นอะไรไหม?” เด็กหนุ่มผมฟ้าย้ำถามอีกครั้ง
“ปะ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แต่สองคนนั้นเถียงกันอีกแล้วสินะคะ ฮะๆ…” เสียงหวานฝืนหัวเราะก่อนทำเป็นกระตือรือร้น “งั้นเรารีบไปกันเถอะค่ะ! เดี๋ยวอิกนิสจะปวดท้องขึ้นมาอีก”
พูดจบแมรีแอนน์ก็เร่งฝีเท้าตรงไปยังเพื่อนๆ ที่ทะเลาะกันไม่เลิก เกล็นที่งุนงงกับท่าทางของเด็กสาวก็ทำได้แต่มองไล่หลังหล่อนตาปริบๆ เขาเกาหัวอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่าย สักพักเกล็นก็เลิกคิดเล็กคิดน้อยแล้วเปลี่ยนความสนใจไปยังชาร์ล็อตกับคลาริสที่เริ่มสงบลง