ซิกมุนท์ เรนเกอริ่ง เดินทอดน่องอยู่ริมหาดแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าผ่อนคลายที่ได้ยินเสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวส่องประกายระยิบระยับที่ตำแหน่งของดวงดาวแตกต่างจากบ้านเกิด ก่อนจะก้มหน้าสังเกตเห็นเปลือกหอยบนพื้นทราย ซิกมุนท์ก้มเก็บแล้วโยนมันลงทะเลหวังให้กระดอนผิวน้ำเหมือนตอนปาก้อนหินที่ทะเลสาบเมื่อวัยเด็ก แต่ทันทีที่เปลือกหอยกระทบน้ำมันก็จมลงไปทันที เขาเลยได้แต่ยักไหล่พลางหัวเราะขบขัน

“กะแล้วเชียวว่าทำไม่ได้”

จากนั้นซิกมุนท์ก็ตรงกลับบ้านไม้ชั้นสองสภาพเก่าแก่ใต้หน้าผา เมื่อเปิดประตูเข้าไปเขาพบกับความว่างเปล่า ไร้ร่างของฮันนาที่ชอบนั่งอยู่มุมโต๊ะอ่านหนังสือซึ่งเต็มไปด้วยของระเกะระกะ หรือคริสต้าที่มักจะนอนเล่นบนโซฟาหน้าเตาผิง

“นั่นสิน้า” ชายหนุ่มเท้าเอวพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจดีว่าสองสาวได้ไปเข้านอนแล้ว นี่ก็ถึงเวลาของเขาที่จะพักผ่อนเอาแรงสำหรับพรุ่งนี้บ้าง

แต่ก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวซิกมุนท์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินลงบันไดมา เขาระบายลมหายใจอย่างแผ่วเบาไม่ให้เจอรัลด์ ฟิลล์มอร์ ชายวัยกลางคนผู้มีเรือนผมสีฟางเห็น

นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของเจอรัลด์ที่เหลือเพียงข้างเดียวหรี่ตาจ้องซิกมุนท์

“ไปไหนมา?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามชายหนุ่มที่ยักไหล่พลางโคลงศีรษะหน่าย

“ไปคุยกับคนคนหนึ่งมาน่ะครับ แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธคำขอ” ซิกมุนท์แหงนหน้าตอบเจอรัลด์ที่อยู่บนบันได ก่อนจะขยับสายตามองตามชายวัยกลางคนที่ท่าทางหัวเสีย

“แกเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะไม่เอาใครมาเพิ่ม” เจอรัลด์ตั้งคำถามย้อนกลับ ที่ครั้งหนึ่งซิกมุนท์เคยบอกกับเขาว่านอกจากสี่คนนี้จะไม่รับสมาชิกเพิ่ม ด้วยเหตุผลที่ว่ามันวุ่นวาย

“ลืมไปสนิทเลย” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะบอก “ก็ช่วยไม่ได้ ก็เกล็น ฮิลเนสันเขาน่าสนใจจริงๆ นี่นา”

เจอรัลด์จ้องเขม็งอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจนัก

“เอาแต่สนใจไอ้เด็กนั่นอยู่ได้ หัดทำงานซะบ้าง”

“ทำงาน?” ซิกมุนท์เลิกคิ้วทวนคำ เขากอดอกพร้อมยกมือข้างหนึ่งแตะคางก้มตัวเล็กน้อยเพื่อสบตากับเจอรัลด์ตรงๆ “ขอโทษนะครับคุณเจอรัลด์ ผมมั่นใจว่าผมไม่คิดจะชุบมังกรเป็นกิจจะลักษณ์ซะหน่อย ทำไปก็เพราะความสนใจเหมือนงานอดิเรกเท่านั้น ที่สำคัญคนที่ลงแรงมากที่สุดก็คือผม ฉะนั้นแล้วผมควรได้รับวันพักผ่อนบ้าง”

“หึ!” เจอรัลด์ทำเสียงขึ้นจมูกกับคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า แล้วพูดโทนเสียงกดต่ำใส่ “ทำเป็นพูดว่าลงแรงมากที่สุดงั้นเรอะ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะแกพังสิ่งที่ครอบครัวของแกเหลือไว้แทนที่จะต่อยอดไม่ใช่หรือไง”

“วิธีการของพวกพ่อมันน่าเบื่อเกินไป” ซิกมุนท์เหยียดยิ้มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาที่ดูทะเล้นขี้เล่นพลันเปลี่ยนเป็นความไม่สบอารมณ์ “แล้วอย่าลืมว่าคนที่คุมตอนนี้คือผมกับฮันนา คุณน่ะทำตามที่ผมว่าก็พอ”

พูดจบชายหนุ่มก็ตบไหล่ของเจอรัลด์เบาๆ สองสามทีก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อไปพักผ่อน ปล่อยชายตาเดียวกำหมัดแน่นอยู่ตามลำพังในห้องที่มีแสงสลัวจากดวงจันทร์สาดส่องเข้ามา

 

เช้านี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกวันที่เหล่านักเรียนส่งเสียงจอแจกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงกับวันใหม่ จูเลียสที่ครุ่นคิดเรื่องเมื่อวานเดินเข้าห้องเรียนด้วยสีหน้าไม่สดใส แต่แล้วความรู้สึกลังเลใจว่าควรทำยังไงต่อก็พลันหายไป เมื่อเขาไม่เห็นเกล็นอยู่ที่โต๊ะ ทั้งที่เพื่อนคนนี้เข้าห้องเรียนก่อนเขาเสมอ จูเลียสจึงถามคลาริสที่นั่งเท้าคางอ้าปากหาว

“เกล็นละครับ?”

“อ้อ ท้องเสียน่ะ” คลาริสผงกหัวตอบ “สงสัยกินไอ้มะละ…กอ นั่นมั้ง เห็นว่าถ้ากินดิบๆ จะช่วยเรื่องขับถ่ายอะไรก็ไม่รู้” เขาขยายความเพิ่มจากที่เกล็นเคยบรรยายสรรพคุณให้ฟัง

“ที่ซื้อมาเมื่อวานสินะครับ” จูเลียสระบายลมหายใจเบาๆ “เพิ่งฟื้นมาแท้ๆ ดันทำตัวเองป่วยอีกจนได้”

จากนั้นองค์ชายหนุ่มก็นั่งลงพลางมองเก้าอี้ที่ว่างเปล่า

จริงอยู่ที่เกล็นเคยบอกกับเขาว่าค่อยๆ คิดจนกว่าจะถึงวันที่พวกมหาปราชญ์จะส่งข่าวมา ทว่าจูเลียสกลับคิดว่าเขาควรตัดสินใจไวๆ แต่การที่เกล็นไม่อยู่แบบนี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มกังวลอย่างบอกไม่ถูก เขาอยากจะคุยกับเพื่อนว่าควรทำยังไงดี

นั่นเลยทำให้จูเลียสเรียนไม่รู้เรื่องเลยทั้งวัน แม้แต่วิชาดาราศาสตร์ที่ชื่นชอบก็ไม่เข้าหัว แม้แต่ตอนกำลังเดินกลับหอเด็กหนุ่มยังมีอาการคล้ายคนเหม่อลอย กระทั่งจูเลียสบังเอิญเจอกับฟิเลน่าเดินลงจากบันได ซึ่งครั้งนี้ดูแปลกไป นอกจากเด็กสาวจะอยู่เพียงลำพังแล้ว วิชาเลือกของเธอน่าจะอยู่อีกที่หนึ่งมากกว่า เขาจึงพลั้งปากถามโดยไม่ทันคิด

“ฟิเลน่ามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?”

เพราะเสียงทักของจูเลียส ฟิเลน่าผงะเล็กน้อยที่เจอเขาก่อนจะก้มหน้าทำมือขยุกขยิก

“ปะ เปล่าค่ะ” เด็กสาวปฏิเสธเสียงตะกุกตะกัก “ฉันขอตัวก่อนค่ะ!

ฟิเลน่ารีบบอกลาจูเลียส แต่ไม่ทันที่เด็กสาวจะก้าวเดินฉับๆ จากไป องค์ชายก็ทำท่าจะเอือมมือไปคว้าแขนรั้งตัวเอาไว้

“ดะ เดี๋ยวฟิเลน่า! คะ คือผมขอคุยอะไรหน่อยได้ไหม?”

เจ้าของชื่อชะงักเท้าแล้วค่อยๆ หันกลับมาหาจูเลียส แววตาของเธอสั่นไหวราวกับกำลังมีเรื่องปิดบังบางอย่าง

“ท่านจูเลียสอยากคุยเรื่องอะไรเหรอคะ” เด็กสาวผมลอนสีชมพูเข้มถามกลับ

“เรื่องนั้น… ขอคุยเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ…” จูเลียสบอกจุดประสงค์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เกี่ยวกับเรื่องของพวกเกล็นน่ะ”

ฟิเลน่านิ่งเงียบไปครู่นึง ดวงตาสีแดงของเธอจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด

“ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรทานในเมืองด้วยกันไหมคะ” ฟิเลน่าผงกศีรษะเล็กน้อยและเผยยิ้มบางๆ “ฉันว่าที่นั่นน่าจะคุยกันได้สะดวกนะคะ”

จูเลียสหลุบตาลงแสดงความชั่งใจกับคำเชิญชวนของอีกฝ่าย แต่ในเมื่อตนเป็นคนออกปากว่ามีเรื่องคุย เด็กหนุ่มจึงพยักหน้าตกลง

จากนั้นทั้งสองก็ได้ไปร้านอาหารในเมืองซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนั้น ที่นั่นเต็มไปด้วยลูกค้าผู้ใหญ่ที่มากินมื้อเย็น ถ้าพูดให้ถูกต้องมีแค่จูเลียสกับฟิเลน่าที่เป็นนักเรียนภายในร้านแห่งนั้นซึ่งมีการตกแต่งอย่างหรูหราดูไม่เหมาะกับวัยของพวกเขา ระหว่างที่เดินผ่านโต๊ะอื่น แม้จะจับใจความไม่ได้แต่จูเลียสพอเดาได้ว่าพวกเขาต่างคุยธุระของตัวเอง

ฟิเลน่าที่เดินนำหน้าเป็นคนเลือกโต๊ะซึ่งอยู่มุมค่อนข้างอับสายตาและดูไม่วุ่นวายกับใครนัก จูเลียสรีบเลื่อนเก้าอี้ให้เด็กสาวนั่งตามมารยาท ส่วนตัวเขาก็นั่งฝั่งตรงกันข้าม ทั้งคู่สั่งเมนูเป็นเนื้อสเต็กเหมือนกัน แล้วในระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ น่าจึงเปิดประเด็น

“ท่านจูเลียสอยากคุยอะไรกับฉันเหรอคะ”

“เอ่อ คือ…” เป็นอีกครั้งที่จูเลียสหลุบตาลงนึกคำถามไม่ออกทั้งที่เป็นฝ่ายชวนฟิเลน่าคุยเป็นการส่วนตัว “คือผม… อยากรู้ว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะช่วยพวกเกล็นเหรอครับ…”

ฟิเลน่ามองจูเลียสเงียบๆ พลางยกมือข้างหนึ่งเล่นปลายผม ดวงตาคู่นั้นของเธอไม่ได้จ้องมองมาที่เขา กระนั้นจูเลียสก็สังเกตได้ว่าแววตาของเธอสั่นไหวราวกับครุ่นคิดบางอย่าง ไม่นานเด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขา

“ฉัน… ฉันคิดว่าน่าจะช่วยอะไรพวกเขาได้น่ะค่ะ…” เธอตอบโดยที่น้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจนัก

“แล้วฟิเลน่าไม่กลัวเหรอ?” จูเลียสยังถามต่อแล้วย้อนความทรงจำในวันที่พวกเขาปะทะกับกลุ่มคนปริศนากันที่นาส

สำหรับจูเลียสแล้วตอนที่สู้กับผู้หญิงผมเปียคนนั้นเขาไม่มีความกลัวที่จะต่อกรกับหล่อน ทว่าหลังตกลงในหลุมที่อสูรทมิฬขุด เขาหวาดกลัวการที่อยู่ตามลำพังในสถานที่ที่ไม่รู้จัก ในตอนที่เจอเกล็น จูเลียสดีใจอย่างมากที่ได้พบเพื่อน ทว่ากลับมีอย่างอื่นที่ทำให้จูเลียสกลัวอีกครั้ง เมื่อเกล็นให้เขาหนีไปเพียงคนเดียว แต่สุดท้ายจูเลียสก็ถูกผู้ชายแปลกหน้าจับเอาไว้ เขากลัวการที่อยู่ใกล้ศัตรูโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย หนำซ้ำยังกลายเป็นตัวประกันแลกเปลี่ยนของชิ้นสำคัญ

เพราะเหตุผลเหล่านี้เองทำให้จูเลียสเกิดความลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อ เขานั้นอยากช่วยพวกเพื่อนๆ แต่อีกใจกลับกลัว เด็กหนุ่มจึงตกใจตอนที่ฟิเลน่าตกลงจะไปกับพวกเกล็นด้วยไร้ซึ่งความลังเล ช่างต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง…

“กลัวสิคะ” ฟิเลน่าตอบเสียงหนักแน่นพลางบีบมือตัวเองแน่น “กลัวมากๆ ด้วยค่ะ”

เธอยืนยันความรู้สึก เด็กสาวหลุบตาลงและยกมือขึ้นกุมหน้าอก “แต่ว่านะคะ ถ้าเรื่องที่พวกแมรีแอนน์เล่ามาเป็นความจริง…. แล้วถ้ามันฟื้นขึ้นมา… ฉันกลัวว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเป็นอะไรไปมากกว่าค่ะ… ฉันนึกภาพที่ตัวเองอยู่คนเดียวไม่ออกค่ะ”

จูเลียสตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่มาจากฟิเลน่า ดูเหมือนว่าเธอจะเอาเนื้อหาของบทเรียนในสมัยที่เชเบอร์ทอสออกอาละวาดจนผู้ปกครองประเทศซึ่งเป็นราชวงศ์ก่อนหน้าในยุคนั้นเสียชีวิต เหลือเพียงเจ้าชายสององค์ที่ไม่สืบทอดบัลลังก์ต่อมาเชื่อมโยงครอบครัวของตัวเอง ว่าวันหนึ่งมังกรร้ายคืนชีพขึ้นมาพ่อแม่ของฟิเลน่าอาจจะต้องประสบเคราะห์ร้าย

“ฉันเลยคิดว่า ถ้าช่วยพวกแมรีแอนน์ก็เท่ากับว่าฉันจะช่วยท่านพ่อท่านแม่ได้ ฉันเลยได้ตกลง… ถึงพวกผู้ใหญ่จะต้องคุยกับท่านพ่อท่านแม่ก่อน…” เด็กสาวถอนหายใจแผ่วเบา “ถึงอย่างนั้นฉันก็จะขอร้องจนพวกท่านยินยอมค่ะ”

เด็กหนุ่มผมทองหลุบตาลง มือกำกางเกงแน่นรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะในขณะที่ฟิเลน่าหนักแน่นในสิ่งที่เลือก จูเลียสกลับลังเลทั้งที่เพื่อนคนอื่นๆ ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าคนร้าย

“แล้ว… เรื่องนี้คุณคุยกับลิเลียนกับเคจหรือยัง?” จูเลียสถามต่อเกี่ยวกับเพื่อนสนิททั้งสองของฟิเลน่า

ฟิเลน่าส่ายศีรษะเบาๆ “ฉันไม่ได้บอกพวกเขาค่ะ เพราะไม่รู้ว่าพวกเกล็นจะอนุญาตให้คนอื่นรู้ไหม แต่อีกสักพักพวกเขาคงมาถามแน่ๆ ค่ะ เพราะฉันตัดสินใจเปลี่ยนวิชาเลือกเมื่อเย็นนี้เอง”

“เอ๊ะ? เปลี่ยนอะไรเหรอครับ??”

“แพทยาคมค่ะ จากสถานการณ์ตอนนี้ฉันมองว่ามันจำเป็นต้องเรียนค่ะ เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็ตั้งใจจะคุยกับคุณบาเกอร์ให้สอนเพิ่มเติม” ฟิเลน่าเล่าเรื่องนี้ให้กับจูเลียสฟัง นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกทิ้ง… ไม่สิ เขาต่างหากที่ไม่ยอมไปไหนมากกว่า… “ท่านจูเลียสก็ค่อยๆ คิดก็ได้ค่ะ ฉันเชื่อว่าคนอื่นก็ไม่โกรธที่ท่านไม่เข้าร่วมหรอก เอาละ เรามาทานมื้อเย็นกันดีกว่านะคะ”

เด็กสาวว่าขึ้นเมื่ออาหารที่พวกเขาสั่งมาถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า ดวงตาสีเขียวใสจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านช้อนเงิน

“นั่นสินะครับ…” จูเลียสผงกศีรษะเห็นด้วย ทว่าในใจกลับขัดแย้งกันเอง จริงอยู่ที่คนอื่นไม่โกรธ แต่ตัวเขานั่นแหละที่รู้สึกแบบนั้นกับตัวเอง

 

เมื่อรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ เด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนจึงเดินกลับหอพักอย่างเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรต่อเลยหลังจากที่อาหารถูกเสิร์ฟ ในหัวของจูเลียสเต็มไปด้วยความลังเล แม้ว่าคำพูดของฟิเลน่าในวันนี้จะทำให้เขามีความรู้สึกที่อยากจะช่วยเหลือพวกแมรีแอนน์ แต่พอคิดแบบนั้น จูเลียสกลับหวาดกลัวขึ้นมา เพราะความรู้สึกที่ถูกจับตัวยังฝั่งแน่น

แม้จะถึงเวลานอนจูเลียสที่คิดฟุ้งซ่านไม่หายจึงได้ค่อยๆ ย่องออกจากห้องพักอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้รูมเมตตื่นขึ้นกลางดึก เขาเดินห่อไหล่ก้มหน้าตามระเบียงทางเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งลงบันไดจากชั้นสามมายังห้องโถงกลางที่มีเพียงแสงไฟธรรมชาติจากดวงจันทร์สาดส่องเข้ามา

ดวงตาสีเขียวใสกวาดมองดูภายในห้องด้วยแววตาเปล่าว่าง สมองตอนนี้มีแต่เรื่องที่ชั่งใจว่าตัวเองควรทำยังไงดี เพื่อนคนที่เหลือต่างเลือกเส้นทางเรียบร้อยแล้ว ฟิเลน่าเองก็ตัดสินใจว่าจะร่วมเดินทางไปด้วย

“จูเลียส?” เสียงทุ้มคุ้นหูดังเรียกจูเลียสที่สะดุ้งตัวโยนรีบหันไปมอง

คลาริสยืนเท้าเอวเกาหัวแกรกๆ กะพริบตาปริบมองอย่างสงสัย “ดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอน?”

“คือผมนอนไม่หลับน่ะครับ” องค์ชายตอบโดยไม่สบตากับอีกฝ่ายที่เปลี่ยนอิริยาบถเป็นกอดอก “แล้วคลาริสล่ะมาทำอะไรที่นี่”

“ฉันได้ยินเสียงประตูห้องนายดังน่ะสิ” คลาริสบอกเหตุผล

“ได้ยินด้วยเหรอครับ?” ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างไม่นึกเลยว่าจะมีคนได้ยินเสียงที่ค่อยๆ เปิดประตูไม่ให้ดังรบกวน

“กำลังจะออกไปหาเกล็นพอดีน่ะเลยได้ยิน”

“จริงสิ เกล็นไม่สบายนี่เนอะ ไม่รู้ตอนนี้หายดีหรือยัง” จูเลียสหัวเราะทำทีกลบเกลื่อนความวิตกของตัวเอง

“ถ้าเรื่องนั้น หมอนั่นสบายดีแล้วล่ะ แต่ฉันอยากหาอะไรกิน” เด็กหนุ่มผมสีแดงไวน์ตอบพลางยักไหล่ “ว่าแต่นายคิดมากเรื่องที่จะไปกับพวกเราใช่ไหม?”

คลาริสถามอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาจูเลียสสะอึก เด็กหนุ่มผมทองก้มหน้าลงราวกับยอมรับ

“งั้นนายก็ไม่ต้องไป” สิ้นเสียงของคลาริส หัวใจของจูเลียสหล่นวูบและหน้าถอดสีเมื่อได้ยิน แววตาสั่นไหวจ้องมองไปยังคนตัวสูงกว่าที่ยืนทำหน้าเรียบเฉย ครั้นจะเอ่ยถามจูเลียสก็รู้สึกมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอ “เกล็นก็คงไม่อยากให้ใครไปเพิ่มหรอก”

ริมฝีปากจูเลียสขยับแต่ก็ไร้เสียง คลาริสที่จับจ้องการกระทำก็เบือนหน้าหนีพ่นลมหายใจแรงก่อนจะหันกลับมา เมื่อเขาได้ยินเสียงอีกฝ่าย

“ผะ ผมจะถามเกล็น” แล้วจูเลียสก็หมุนตัวออกจากห้องโถงกลางตรงขึ้นไปยังห้องเกล็นซึ่งอยู่สุดทางเดิน คลาริสเร่งฝีเท้าตามองค์ชายไปติดๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าจะห้าม

จูเลียสเคาะประตูเรียกโดยไม่รู้ว่าเกล็นหายจากอาการป่วยหรือเข้านอนแล้วหรือยัง กระนั้นก็มีเสียงจากด้านหลังประตูขานรับ

“ผมเอง จูเลียสครับ” เด็กหนุ่มผมทองบอกชื่อให้เกล็นรับรู้

จูเลียสกับคลาริสยืนอยู่หน้าห้องของเกล็นอยู่พักใหญ่ เกล็นก็เปิดประตูต้อนรับแขกด้วยท่าทีแปลกๆ เขาโผล่ศีรษะพ้นบานประตูมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงบางอย่าง

“เข้ามาสิ” เจ้าของห้องเปิดประตูกว้างเชิญเพื่อนทั้งสองคนเข้าห้องหลังเขามั่นใจว่าไม่มีใครบริเวณนั้น

ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกของจูเลียสที่เห็นสภาพห้องของเกล็นที่ข้าวของวางไว้ระเกะระกะ บนโต๊ะตัวหนึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์และวัตถุดิบสำหรับปรุงยา ส่วนเตียงนอนกลายเป็นที่วางของมากมาย

เกล็นวิ่งท่าประหลาดด้วยการอ้าขาวิ่งก้าวสั้นๆ ไปเปิดหน้าต่างเพื่อชะโงกดูรอบนอกห้องก่อนจะปิดลงกลอน จากนั้นเขาเดินกลับด้วยท่าปกติไปนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะที่เขียนหนังสือ แล้วเปิดประเด็นเข้าเรื่องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มีอะไรกันถึงได้มาดึกดื่นป่านนี้”

“กะ เกล็นไม่อยากให้ผม ปะ ไปด้วยเหรอครับ” ถึงจะสงสัยการกระทำแปลกๆ แต่จูเลียสก็ถามเรื่องที่คลาริสบอกกับเขาตรงๆ อย่างตะกุกตะกัก เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวราวกับตีกลองและหายใจไม่ทั่วท้อง

เกล็นกะพริบตาปริบอย่างฉงนกับคำถามขององค์ชาย แล้วคงกำลังคิดว่าไปที่ไหนกัน สักพักถึงจะร้องอ้อเข้าใจ เกล็นระบายลมหายใจมองจูเลียสด้วยสายตาห่วงใย

“ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากให้ไป…” เกล็นตอบ “แต่คนที่จะห้ามนายไปจริงๆ ก็ไม่ใช่ฉันหรอกนะ”

“เอ๋?” ทั้งจูเลียสกับคลาริสอุทานพร้อมกัน เพราะผิดคาดกับคำตอบที่ได้ เกล็นที่เห็นสีหน้าสงสัยของเพื่อนทั้งสองคนจึงพูดต่อ

“ง่ายๆ ถ้าพ่อแม่นายไม่อนุญาตก็จบ” เกล็นสรุปสั้นๆ “เพราะต่อให้อยากไปแค่ไหน ยังไงปู่เกรกอรี่ก็ต้องไปถามผู้หลักผู้ใหญ่ก่อนอยู่ดี”

“แสดงว่า… เกล็นก็ไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหมครับ… ถ้าผมจะไปด้วย?” จูเลียสห่อไหล่จนดูตัวเล็กลงช้อนตามองเกล็น จนท่าทางของเขาดูเป็นเด็กน้อย

“อย่างที่บอกถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ไป แต่ก็ห้ามไม่ได้อยู่ดีถ้านายจะไปด้วย” เกล็นย้ำคำเดิมพลางเกาหัวไปด้วย

ได้ยินดังนั้นจูเลียสจึงถอนหายใจโล่งอกที่เกล็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่สักพักเด็กหนุ่มผมทองก็ก้มหน้าลงมีอาการเซื่องซึมอีกครั้ง

“พูดตามตรง… ผมยังไม่รู้เลยว่าอยากจะไปกับพวกคุณไหม… คือว่าผม…” จูเลียสกลืนน้ำลายและนึกย้อนในวันที่เผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้เป็นศัตรู “คือผมกลัว…”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เด็กหนุ่มผมฟ้าหัวเราะเสียงแข็ง “ไม่กลัวน่ะสิแปลก เล่นโดนจับเป็นตัวประกันขนาดนั้น”

“หา!? โดนจับเป็นตัวประกันหมายความว่าไง!?” คลาริสทำตาโตตกใจที่เพิ่งได้ยินว่าจูเลียสโดนจับเป็นตัวประกัน

“ชู่ว เบาหน่อย” เกล็นยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้คลาริสลดเสียง จากนั้นเขาก็หันไปสนใจจูเลียสต่อ “ถ้านายคิดมากก็ไม่ต้องกังวล พวกเราเข้าใจว่าทำไม”

“แต่… คือ… ฟิเลน่าเองก็ยังอยากไปกับพวกคุณเลย…” จูเลียสบอก เขานึกถึงเด็กสาวคนนั้นที่ยืนยันว่าจะร่วมทำภารกิจนี้ด้วย แม้ว่าจะอันตรายแค่ไหน

“จูเลียสฟังนะ อย่าเอาคนอื่นมาเทียบกับตัวเอง แต่ละคนก็เจอเรื่องไม่เหมือนกัน การตัดสินใจก็เลยเป็นคนละอย่าง เพราะงั้นค่อยๆ คิดไป แล้วอย่าลืมคุยกับพ่อแม่ให้รู้เรื่องด้วยล่ะ งานนี้ไม่ใช่ว่าคิดได้ปุบปับแล้วไปกันได้เลย”

องค์ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักรับฟังเกล็นที่ทำหน้าตาขึงขัง แต่นั่นก็ทำให้จูเลียสรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แม้ว่าในหัวจะคิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานา ไม่นานจูเลียสก็เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจากเกล็น

“ไหนๆ ก็มาห้องนี้แล้วอยากกินอะไรล่ะ” เจ้าของห้องถามขึ้นอย่างไม่เจาะจง คลาริสยิ้มร่าดีใจที่จะได้กินอาหารมื้อดึก ส่วนจูเลียสขมวดคิ้ว

“เกล็นแอบทำอาหารในนี้เหรอครับ?”

“ก็นะ… อย่าไปบอกใครเชียวรู้กันแค่สามคนพอ” เกล็นว่าพลางเตรียมอุปกรณ์สำหรับรังสรรค์เมนูตามวัตถุดิบที่มี “โดยเฉพาะอิกนิส” เขาย้ำแม้ว่าคนที่ถูกเอ่ยถึงจะไม่ได้อยู่หอเดียวกันก็ตาม

“นายทำอะไรมาฉันก็กินหมดนั่นแหละ” คลาริสถูมือรอกินอาหารมื้อดึก

“ดีเลย วันนี้เรามาลองกินไอ้นี่ดีกว่า” พูดจบเกล็นก็หยิบถุงผ้าที่ห่อของบางอย่างบนโต๊ะมาเปิดต่อหน้าทุกคนในห้อง

มันเป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวจำนวนหลายก้อน ที่ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ได้เลยว่ามันแข็งประมาณหนึ่ง จากนั้นเกล็นก็หยิบเตาดินเผาสำหรับใช้กับหม้อปรุงยามาจุดไฟแล้ววางกระทะ ระหว่างที่รอให้กระทะร้อน เจ้าของห้องก้มหาของอย่างใต้โต๊ะต่อ มันคือขวดที่บรรจุของเหลวสีเหลืองใส เกล็นเทลงไปนิดหน่อย แล้วเอาก้อนสี่เหลี่ยมวางลงไปสามก้อน

“มันคืออะไรน่ะ?” คลาริสชี้นิ้วไปยังวัตถุปริศนา

“ก้อนโมจิ! อาหารจากชินเรย์น่ะ” ถึงจะบอกแบบนั้น ทั้งจูเลียสกับคลาริสก็สบตามองกันอย่างไม่เข้าใจอยู่ดี ส่วนเกล็นก็หยิบขวดของเหลวสีดำกับน้ำตาลขึ้นมา เขาเทสิ่งที่เรียกว่าโชยุใส่ถ้วยผสมกับน้ำตาลแล้วคนให้เข้ากัน

ขณะเดียวกันก้อนโมจิที่ว่าก็มีการพองตัวขึ้นมาเล็กน้อย เกล็นจับมันพลิกเพื่อย่างอีกด้านให้สุก จากก้อนแข็งๆ มันก็เหมือนจะละลายเป็นเหมือนแป้งนิ่มๆ พอสุกได้ที่เกล็นก็แบ่งให้คนละชิ้น แต่เพราะไม่รู้ต้องกินอย่างไงเด็กหนุ่มผมฟ้าจึงเป็นคนแรกที่ใช้ส้อมตักโมจิจิ้มกับโชยุผสมน้ำตาลเข้าปาก

เกล็นพยักหน้ารับรสชาติของมันอย่างพึงพอใจ จูเลียสกับคลาริสสบตากันอีกหนกับเมนูสุดประหลาดนี้ จากนั้นคลาริสเลยทำตามเกล็นเอาโมจิที่ชุ่มด้วยซอส สีหน้าของเด็กหนุ่มผมสีแดงไวน์หลังเอาเข้าปากไม่บ่งบอกถึงความอร่อย แต่มันก็ไม่พิสดารจนต้องคายทิ้ง จูเลียสเลยเป็นคนสุดท้ายที่ลองกิน และเข้าใจความรู้สึกของคลาริส

สัมผัสเหนียวๆ ของแป้งที่มีรสชาติเค็มของโชยุกับความหวานจากน้ำตาลมันผสมผสานกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ กระนั้นมันก็ไม่ใช่เมนูที่อร่อยจนต้องเอ่ยชม หรือจะให้พูดว่าถ้ามีโอกาสได้กินอีกก็ไม่ปฏิเสธ

แต่อย่างน้อยรสชาติของมันก็ช่วยให้จูเลียสเลิกคิดเรื่องอาสาร่วมภารกิจกับพวกเกล็นได้บ้าง เขาจึงคลี่ยิ้มให้กับเกล็น

“ไว้ผมไปปรึกษาท่านพ่อท่านแม่ก่อนนะครับ แล้วจะให้คำตอบ”

“อืมๆ ดีแล้ว” เกล็นพยักหน้าด้วยความปิติทั้งที่ในปากยังเคี้ยวโมจิอยู่

จากนั้นจูเลียสก็ตักโมจิกินอีกคำพอจะเข้าใจถึงความอร่อยของมันได้นิดนึงแล้ว ขณะที่ในหัวคิดถึงประโยคต่างๆ นานาหรือคำตอบที่พ่อแม่อาจจะถามในอนาคตเผื่อเอาไว้