ก่อนจะถึงวันเกิดของแมรีแอนน์ในอีกไม่กี่วัน เกล็นที่เกิดเดือนเดียวกันก็ได้ประกาศต่อหน้าเพื่อนในกลุ่มว่าถ้าจะให้ของขวัญก็ให้เป็นวันเดียวกับแมรีแอนน์ไปในคราวเดียวจะได้ไม่เสียเวลา ถึงจะเห็นด้วยกับเกล็น ทว่าบางคนก็ยังไม่ได้เลือกของให้ก็ต้องกระวีกระวาด ซึ่งโชคดีที่เกล็นเป็นคนแปลกประหลาดชอบของแตกต่างจากคนทั่วไป ทำให้พวกเพื่อนสามารถตัดสินใจซื้อของขวัญได้ไวอย่างไม่ต้องคิดเยอะ เพราะส่วนใหญ่ก็ซื้อพวกผงชากาแฟหรือของที่เกี่ยวกับต้นไม้ใบหญ้า

เกล็นที่ได้รับของพวกนั้นจึงค่อนข้างมีความสุขจนแทบน้ำไหล อย่างเช่นของจากแมรีแอนน์ ถึงมันไม่ได้ดีเลิศอะไรนัก แต่เด็กหนุ่มก็ชื่นใจกับกลิ่นของดอกลาเวนเดอร์พุ่มน้อยๆ น่ารักมากสรรพด้านการปรุงยา ถึงอาจจะต้องขยันตัดแต่งต้นเพราะความสูงของมันอยู่ที่ประมาณหนึ่งหรือสองเมตร จากนั้นแผนธุรกิจในอนาคตก็ผุดขึ้น

“จริงสิ ถ้าสกัดกลิ่นทำเทียนหอมได้ล่ะก็ เงินไหลมาเทมาแน่!

เมื่อมีคนให้ของดีๆ ย่อมมีคนกวนประสาทซึ่งไม่พ้นคลาริสที่ไม่รู้ว่าไปเจอของสิ่งนี้มาจากที่ไหน แม้ว่าเกล็นรู้สึกดีใจของที่เด็กหนุ่มผมแดงไวน์คนนี้ให้ก็เถอะ...

“แล้วฉันจะหุงยังไงวะ”

เกล็นกอดกระสอบข้าวสารเล็กๆ ที่คลาริสไปเจอขายในร้านค้าของต่างแดน กะตามความรู้สึกแล้วน่าจะมีน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม

“เอาเถอะ แค่อย่าโดนจับได้ก็พอแล้ว...” เกล็นครุ่นคิดหาวิธีการหุงแบบดีๆ โดยไม่ถูกอาจารย์ประจำหอจับเรื่องทำอาหารได้ และไม่ทันจะได้กลับห้องเมนูก็ผุดเข้าหัว “ข้าวมัน มันทำยังไงนะ...”

ด้านแมรีแอนน์ซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดที่เก้ากันยาก็ได้รับของที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ของน่ารักขนาดพกพา แต่ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ เกล็นซื้อดอกมะลิกระถางน้อยมาให้เด็กสาว มันนั้นมีกลิ่นหอมแบบที่แมรีแอนน์ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“ว่าแต่นี่ดอกอะไรเหรอคะ”

เกล็นนิ่งครู่หนึ่งชั่งใจจะใช้ชื่อมะลิหรือจัสมินดี สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ใช้ชื่อหลังเป็นคำตอบ แล้วพอแมรีแอนน์รับจากดอกมะลิไป เกล็นก็คิดถึงเรื่องสมัยเด็กเมื่อชาติก่อนขึ้นมาดื้อๆ

“เหมือนให้ในวันแม่ตอนประถมเลยแฮะ”

 

พอผ่านวันเกิดของแมรีแอนน์ไป ก็ถึงเวลาที่พวกเกล็นต้องง่วนอยู่กับการเย็บตุ๊กตาในทันกำหนดก่อนวันงานเทศกาลซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงามก่อนถึงวันงานถึงหลายสัปดาห์ และเมื่อถึงวันงานเทศกาลเอลเซียส์เกล็นก็เพิ่งนึกออกว่าจะมีอีเวนต์เพิ่มค่าความรักกับหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายจีบทั้งหลาย ซึ่งนางเอกจะสามารถช่วงหนุ่มแต่ละคนที่มีแต้มถึงเกณฑ์ออกเดตในงานได้ แล้วถ้าผู้เล่นเจ๋งพอจะจัดตารางไม่ให้รถไฟชนกันก็จะเพิ่มสเตตัสพิเศษได้ครบทุกคน

ทว่าในความเป็นจริง แมรีแอนน์ก็ไม่ได้ชวนหนุ่มคนไหนเลยสักคน นอกจากนัดเดินเล่นกับเหล่าเพื่อนผู้หญิง ซึ่งถ้าเทียบกับเกมเท่ากับว่านางเอกยังไม่ได้พิชิตใจใครเป็นพิเศษ ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนั้นเพราะตลอดทั้งเทอมที่ผ่านมา แมรีแอนน์ก็ใช้ชีวิตสมเป็นเด็กคนหนึ่งที่มักอยู่กับเพื่อนฝูงมากกว่าตกอยู่ในสถานการณ์กับหนุ่มๆ

อีกทั้งเกล็นที่ระลึกชาติได้ก็ต้องพะวักพะวงหลายเรื่องไม่ว่าจะเรื่องที่เหล่าตัวร้ายจะปรากฏตัวในงานเทศกาลที่ไม่ตรงกับเนื้อหาเกม เรื่องของโจเอลจากห้องสามที่ไม่รู้จะหาเรื่องกับพวกฟิเลน่าซึ่งเป็นอริกันเมื่อไร แล้วก็ร้านขายตุ๊กตาที่มีเขาเป็นหัวหน้าใหญ่ เกล็นเลยขอตัวแยกกับครอบครัวที่เดินทางมาร่วมงานเทศกาล หลังจากเดินอยู่ด้วยกันสักพักใหญ่

“อุตส่าห์เจอกันทั้งที อยู่กับพวกปู่ก่อนเถอะนะ” ฮาร์เวิร์ดร้องขอให้เกล็นอยู่ต่อด้วยน้ำเสียงหงอยเรียกคะแนนเห็นใจ

“มะ มันก็ได้อยู่หรอก แต่อีกเดี๋ยวจะถึงเวรผมเฝ้าร้านแล้ว”

“จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาลูกยังไม่บอกเลยนะว่าขายอะไรกัน” เฟรย่าเอ่ยถามขึ้น “จริงสิ ไหนๆ เกล็นก็พาพวกแม่ไปดูร้านด้วยเลยก็ได้นี่นา”

หญิงสาวยิ้มให้ลูกชายและขอร้องให้พาไปยังร้านที่ว่า เกล็นไม่ขัดศรัทธานำทางไปยังร้านขายตุ๊กตาที่ตั้งอยู่บริเวณลานหน้าโรงเรียนที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมายที่ส่วนใหญ่จะขายเป็นอาหาร คนมากหน้าหลายตาเดินกันขวักไขว่หาอาหารรองท้องหรือลิ้มลองอาหารที่ดูแปลกตา ดังนั้นร้านของห้องเรียนเกล็นเลยกลายเป็นหนึ่งในร้านที่สะดุดตา

“ตายจริง หนูแมรีแอนน์นี่” ลินดาโบกมือทักแมรีแอนน์ที่กำลังทำหน้าที่เฝ้าร้านกับจูเลียสตามผลจับสลาก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มดีใจที่ได้พบหญิงชรา

“คุณย่าสวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะคะ!” เมื่อมีคนหนึ่งทักทาย องค์ชายที่ยังไม่เคยเจอลินดาจึงยิ้มน้อยๆ ค้อมศีรษะเคารพผู้สูงวัย แมรีแอนน์จึงได้กระซิบบอกหญิงตรงหน้าพวกเขาคือใคร

“สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของเกล็น ชื่อจูเลียสครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าวสวัสดีพร้อมแนะนำตัว “ว่าแต่คุณย่าสนใจตุ๊กตาไหมครับ รายได้ส่วนหนึ่งเราจะเอาไปบริจาคให้กับทางโบสถ์ใกล้ๆ นี้ด้วย”

“ว้าว ทำหน้าที่ได้เยี่ยมเลยนี่หว่า” เกล็นผิวปากประทับใจการลากเข้าเรื่องของจูเลียสที่เปิดมาด้วยการขายของพร้อมกัน

“เป็นตุ๊กตาที่พวกเราทำกับมือเลยนะคะ” แมรีแอนน์เสริมและยกตุ๊กตาคล้ายกระต่ายนำเสนอ

โดนชักชวนแบบนี้แทนที่จะเป็นลินดาสนใจ ฮาร์เวิร์ดกลับกวาดตามองดูเหล่างานฝีมือของพวกเด็กๆ เขาหัวเราะกับความหลากหลายรู้สึกเอ็นดูกับความพยายามของนักเรียน

“เหมาะสำหรับแต่งบ้านดีไหม” ฮาร์เวิร์ดถามความเห็นกับสมาชิกครอบครัวกับเจ้าตุ๊กตาที่หน้าตาเหนือจินตนาการ เกล็นที่เห็นนึกโล่งใจที่สินค้าทั้งหมดถูกคัดสรรมาตั้งแต่ขั้นตอนวาดรูปออกแบบแล้วโหวตกันเพื่อกันพวกเล่นพิเรนทร์ทำตุ๊กตาหน้าตาน่ากลัวออกมาขาย

“ต้องขอบคุณพวกผู้หญิงจริงๆ งานนี้”

“ไม่ต้องถามแล้วก็ได้มั้ง จ่ายเงินไปแล้วนิ”  ลินดากอดอดบ่นที่สามีซื้อของของบ้านก่อนถาม แต่เห็นแก่เด็กๆ เธอจึงยอมให้เขา

“อ้าว เกล็นมาถึงก่อนแล้วเหรอ” เมื่อเจ้าของชื่อหมุนตัวไปทางด้านหลังตามต้นเสียงทุ้มที่คุ้นหู เกล็นจึงได้พบกับอิกนิสที่กำลังเดินเข้ามาหาซึ่งมีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เด็กหนุ่มผมดำชะงักหลังเห็นลินดา เขาเลยปั้มยิ้มให้หญิงสูงวัยที่ดีอกดีใจเหมือนได้เจอลูกศิษย์คนโปรด

“นี่ไงฮาร์เวิร์ด ลูกธีออนรู้สึกว่า…จะเป็นคนพี่ เอ่อ... ชื่ออะไรนะ?”

“ครับ ชื่ออิกนิสครับ”

“แล้วคนน้องล่ะ?” เธอถามต่อพลางมองหาคลาริส “ว่าแต่ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”

“พอดีว่าผมมาเข้าเวรเฝ้าร้านกับเกล็น คลาริสเลยไม่ได้มาด้วยกันน่ะครับ”

“อย่างนั้นหรอกรึ น่าเสียดายนะที่เดินกันได้แป๊บเดียว” ฮาร์เวิร์ดมองหลานชายด้วยแววตาเศร้า สักพักเขาก็นึกเรื่องสำคัญออกแล้วหันไปทางภรรยา “จริงสิแม่ เอาของให้หลานก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะลืมเอา”

“นั่นสิๆ” ว่าแล้วลินดาหยิบกล่องที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวสีดำผูกด้วยโบสีทองดูเรียบหรูยื่นให้เกล็นที่ทำตาปริบๆ สงสัยของด้านในเป็นอะไร

“ของขวัญวันเกิดจากพวกเรา หวังว่าลูกจะชอบ” จอห์นบอกเหตุผลที่ย่าส่งสิ่งนั้นไป “ไม่เอาน่าอย่าทำหน้าบูดแบบนั้นสิ…”

“ก็บอกแล้วไงว่าถ้าจะให้ขอเป็นเงิ…” ไม่ทันพูดจบประโยค เกล็นที่ลงมือแกะของขวัญต้องเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน ดวงตาสีดำส่องประกายความตื่นเต้นจนเก็บไม่อยู่ หยิบของขวัญวันเกิดขึ้นแล้วโบกไปมาอวดทุกคนในบริเวณนั้น

ถึงคนอื่นจะยังทำหน้าสงสัยว่าคืออะไร เกล็นก็เข้าใจได้ทันทีว่าคือไม้กายสิทธิ์ที่มีลักษณะเป็นไม้สีน้ำตาลเข้มยาวประมาณสิบนิ้วโดยที่รูปทรงมันนั้นไม่ถูกขัดเกลาเป็นแท่งเรียบเนียนเพื่อคงไว้ความเป็นธรรมชาติจากกิ่งไม้ชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแรง ด้านจับเป็นโลหะสีดำมันวาวตรงปลายฝังอัญมณีสีฟ้าใสและประดับพู่แดงดูโดดเด่น

ไม่พูดพร่ำทำเพลง เกล็นรีบสวมแหวนอำพันถ่ายพลังเวทเข้าไป จากนั้นไม้กายสิทธิ์กลายเป็นละอองแสงสีทองหายวาบไปทันที

“เอ่อ… มันคืออะไรเหรอคะ?” แมรีแอนน์ที่เฝ้ามองอยู่เอ่ยถามลินดา

“ย่าก็ไม่รู้หรอกจ้ะ แต่ตอนเด็กเวลาเกล็นใช้เวทมนตร์ก็ชอบเอากิ่งไม้มาแกว่งเล่นไปด้วย คงเลียนแบบอะไรมานั่นแหละ โตอายุปูนนี้ก็ยังไม่เลิก เลยไปสั่งทำดีๆ ให้สักอย่าง แต่น่าเสียดายที่อัญมณีเสริมพลังเวทดีๆ หายาก ไม่งั้นคงให้ทันตอนช่วงปิดเทอมแล้ว”

“มันดูเท่มากเลยนะครับ อย่างกับวาทยกร” จูเลียสกล่าวชมพลางชวนนึกถึงภาพของวาทยกรที่ใช้ไม้คุมเหล่านักดนตรีวงออเคสตรา

“นายก็คิดแบบนั้นเหมือนกันสินะ!” เกล็นร้องดีใจที่มีคนคิดเหมือนกัน ทว่าความสุขนั้นก็ถูกเบรกด้วยอิกนิสซะก่อน

“เอาไว้วันหลังคอยคุยกันนะ ได้เวลาเปลี่ยนเวรแล้ว”

“โธ่ อิกนิสไม่เห็นต้องเป๊ะเรื่องเวลาขนาดนั้นก็ได้นะครับ”

“ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกนายก็เสียเปรียบน่ะสิ เพราะงั้นไปพักเถอะ ทางนี้มีเกล็นอยู่ไม่ต้องห่วงหรอก”

“อิกนิสเขาว่างี้แล้วเราไปกันดีกว่าค่ะจูเลียส” แมรีแอนน์ขบขันกับท่าทีของคนจริงจัง

“ถ้าอย่างนั้นแมรีแอนน์จะเดินชมงานกันไหมครับ”

“ได้แน่นอนค่ะ”

วินาทีที่แมรีแอนน์ตอบรับคำเชิญของจูเลียส สีหน้าเศร้าและเหงาของเกล็นก็ปรากฏขึ้นเพราะอยากเดินเที่ยวชมงานกับเพื่อนเหมือนกัน ทว่าถึงแม้จะเสียอย่างแต่เขาก็ได้อีกอย่างมาทดแทน เมื่อเห็นอิกนิสกำลังจัดข้าวของให้เป็นที่เป็นทางเตรียมรับช่วงต่อจากคนก่อนหน้า แน่นอนว่าเกล็นย่อมยินดีที่จะได้อยู่ด้วยใบหน้าเบิกบานใจ

“วันงานมีตั้งสองวัน พรุ่งนี้ค่อยชวนคนอื่นก็ได้” เขาฮัมเพลงพร้อมเรียกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาโบกสะบัดเล่น

“อย่าเผลอใช้เวทมนตร์ซะล่ะ” ลินดาเตือนเสียงดุ “งั้นพวกเราไม่รบกวนหลานแล้ว ขอให้ขายดีนะ แล้วก็ถ้าหลานย่าซนไม่เข้าเรื่องก็มาบอกได้เสมอเลยนะ”

“คะ ครับ” อิกนิสยิ้มมุมปากตอบรับ

หลังจากนั้นครอบครัวฮิลเนสันก็แยกย้ายไปชมงานภายในเมืองต่อ ทิ้งให้หลานชายนั่งตบยุงเล่นอย่างเหงาๆ ไร้ลูกค้าสัญจรมาเลยสักคน พอเปิดสมุดจดก็พบว่าการขายมันก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมตลอดการเฝ้าร้านระหว่างเกล็นกับอิกนิสถึงไม่มีคนชะแวบเข้ามาแม้แต่คนเดียว ซึ่งอิกนิสเองก็นึกสงสัยเช่นกันจึงนั่งสุมหัวไขคำตอบ พบว่าเวรที่มีเด็กผู้หญิงอยู่ด้วยจะขายได้ดีกว่า อาจจะเพราะรอยยิ้มสดใสของสาวน้อยมันดูน่ารักเข้าคู่กับตุ๊กตามากกว่าผู้ชายที่เวลายิ้มจะอีกอารมณ์หนึ่งในสายตาคนผ่านไปมา แต่นั่นก็ยกเว้นจูเลียสไว้สักคนเพราะดูจากตารางแล้ว เนื่องจากช่วงเวลาที่ขายได้เยอะสุดเป็นเวรของแมรีแอนน์กับจูเลียส ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเวลาองค์ชายยิ้มนั้นช่างดูละมุนละไมน่าเข้าหา ผิดกับบางคนที่รู้สึกเขินอายที่เวลารับมือลูกค้าทำให้รอยยิ้มดูไม่เป็นธรรมชาติ

“ว้าย ตุ๊กตาน่ารักจังเลย” เสียงวี้ดว้ายกลุ่มนักเรียนหญิงดังเรียกความสนใจเกล็นกับอิกนิสให้เงยหน้าจากสมุด

แล้วในเสี้ยววินาทีนั้นเกล็นปิ๊งอะไรออก เขากระซิบบอกเพื่อนที่ส่ายหัวปฏิเสธไม่อยากทำตามที่เสนอไป แต่ถูกสายตาข่มขู่เพ่งเล็ง อิกนิสเลยต้องถอนหายใจยอมแพ้ทำตามที่อีกฝ่ายบอก เด็กหนุ่มผมดำหันหลังสูดลมหายใจเต็มปอดเพื่อปรับอารมณ์ เขากระแอมเสียงหนึ่งเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นว่าจะทำได้ไหม

เมื่ออิกนิสพร้อม เขาก็ได้หันกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำเอาหัวใจนักเรียนสาวๆ หล่นวูบหน้าแดงและทำทีก้มหน้าชมตุ๊กตาบนแผงเพื่อหนีแววตาอ่อนโยนสีม่วงอ่อนคู่นั้น ไม่พอน้ำเสียงทุ้มพยายามขายสินค้าจนหนึ่งในนั้นใจอ่อนตัดสินใจซื้อไปหนึ่งตัว

 “แบบนี้สิค่อยสมเป็นตัวละครจีบได้หน่อย” เกล็นยกนิ้วซับน้ำตาปลาบปลื้มที่ใบหน้าคมคายมีเสน่ห์ใช้ประโยชน์ด้านการค้าขายได้ แม้จะเป็นเพียงระยะสั้นๆ “ให้ตายสิ รู้แบบนี้น่าจะจับสองคนนั้นมาคู่กัน”

พอคิดได้แบบนี้ เกล็นเปิดสมุดจดรายชื่อเวรเฝ้าร้านของวันพรุ่งนี้ ถือวิสาสะสลับให้คลาริสมาอยู่คู่กับอิกนิส ใช้ความเป็นฝาแฝดให้ได้มากที่สุด หนำซ้ำคลาริสเองก็มีนิสัยที่เป็นกันเองมากกว่าน่าจะสามารถเรียกลูกค้าได้ดีกว่าแฝดคนพี่ที่เป็นสายวางมาดสุขุม หากแทคทีมรวมกันผลลัพธ์น่าจะออกมาดี

เท่านี้ หนทางสู่การขายของหมดเกลี้ยงก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว โชคดีเหลือเกินที่เสนอไอเดียขายตุ๊กตาและชนะการโหวต ขืนให้ไปทำอาหารขายเหมือนห้องอื่น มีหวังใบหน้าเชิญชวนแขกให้มาติดกับใช้การไม่ได้พอดี ต่อให้หน้าตาตรงสเปคมาตรฐาน แต่ใครเล่าจะอยากวี้ดว้ายใบหน้าบึ้งตึงที่เผชิญหน้ากับเตาไฟร้อนๆ หรือหัวหมุนกับการจัดอาหารใส่ภาชนะจนไม่มีเวลาปั้นหน้ายิ้มสดใสแบบนั้น