41 ตอน บทที่ 40: จบปีแรก
โดย RiFourver
เกิดมาสองชาติ ข้าวต้มยังเป็นอาหารที่เกล็นเกลียดเข้าไส้ ต่อให้มีรสชาติเค็มๆ ของปลาสลิดทอด เขาก็ไม่มีทางแตะมันแน่ แต่เพราะถูกลินดาเอ็ดอยู่ทุกวันเขาจึงจำใจกลืนทั้งน้ำตา หลังจากฝืนใช้เวทมนตร์เกินตัวตอนสอบปลายภาคจนร่างกายอ่อนแรง คล้ายคนขาดสารอาหารพร้อมเป็นลมได้ทุกเมื่อ
ส่วนเรื่องที่เผชิญหน้ากับตัวร้าย ตอนนี้เกล็นไม่รู้อะไรเลยตั้งแต่ฟื้นมา ได้แต่คาดหวังว่าเกรกอรี่คงกำลังจัดการอะไรสักอย่างก่อน ไม่แน่ตอนนี้อาจจะมีส่งข่าวให้กับแต่ละประเทศรับรู้ว่ามีกลุ่มคนต้องการให้มังกรร้ายเชเบอร์ทอสคืนชีพแล้วก็ได้
“ป่านนี้แล้วปู่เกรกอรี่จะคุยอะไรไปบ้างเนี่ย” เกล็นพึมพำขณะนอนมองเพดานเท้ากระดิกบนเตียง จินตนาการต่างๆ นานาว่าเกรกอรี่จะพูดเรื่องอะไรบ้างในระหว่างที่เขาอยู่บ้านเจอข้าวต้มที่เกลียดทุกวัน “ปีหน้าของเกมเป็นพาร์ทผจญภัยซะด้วย”
แล้วเปลือกตาก็ปิดลง เกล็นคิดสภาพหรือเหตุผลไม่ออกเลยว่าการเดินทางของแมรีแอนน์จะออกมาเป็นรูปแบบไหน เพราะในเกมความจริงจะถูกเปิดเผยว่าเป็นทายาทของตระกูลลูมิเธอร์ และได้รับคำสั่งจากเทพมังกรเบเลธออกตามหาผลึกที่เหลือ โดยมีหนุ่มๆ ในเกมอาสาไปด้วยเพราะความเป็นห่วง
“อาสาไปด้วยเรอะ...” แล้วเกล็นก็หน้าถอดสีดีดตัวขึ้นนั่ง “ไม่เอาน่าๆ ถึงในเกมชาร์ล็อตไปด้วยก็เถอะ แต่ก็มีแค่พวกตัวเอกเท่านั้นแหละล้มลุกคลุกคลาน... โอ๊ย ตัวเอกที่ว่ามันก็มีอิกนิสกับจูเลียสด้วยนี่หว่า”
จากนั้นเกล็นก็ลุกจากที่นอนเดินวนไปมาคิดฟุ้งซ่าน “คงไม่หรอก สองคนนั้นที่ไปด้วยก็ตอนรู้ว่าแมรีแอนน์เป็นใครแล้วต้องทำอะไร แต่คิดว่าปู่คงไม่บอกเรื่องนี้หรอก อีกอย่างคิดตามหลักความเป็นจริงแล้วพ่อแม่สอง... สามคนนั้นก็คงไม่อยากให้ลูกไปเสี่ยงอันตรายหรอกน่า”
พอมองโลกในอีกแง่หนึ่ง เกล็นก็มีท่าทีที่ผ่อนคลายกว่าตอนแรกเขาจึงล้มตัวนอนอีกครั้ง แต่พอหมุนศีรษะไปทางโต๊ะหัวเตียง เกล็นก็ต้องหน้าซีดกับชามข้าวต้มที่ยังกินไม่หมด เขาต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับอาหารก่อนที่ลินดาจะมาเห็นแล้วบ่นจนหูชา ดังนั้นเกล็นจึงใช้วิธีพื้นฐานง่ายๆ ด้วยการแอบย่องเอาไปเททิ้งที่ห้องครัวโดยไม่ให้ใครจับได้ว่าเขาลงมา ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทำให้ขากลับเด็กหนุ่มเดินตัวปลิวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอนกลิ้งไปมาอยู่พักใหญ่ เสียงเคาะประตูก็ดังเรียกขึ้น เกล็นขานรับ อนุญาตให้คนหลังประตูเข้ามา หญิงรับใช้จึงปรากฏตัวพร้อมแจ้งเรื่องสำคัญให้เจ้าของห้องได้รับทราบ
“ท่านมหาปราชญ์และอาจารย์เคธีมาหาคุณหนูค่ะ”
“หา!?” เกล็นอุทานเสียงหลง ตกใจชื่อคนหลังที่มากับเกรกอรี่ “เข้าใจแล้วเดี๋ยวลงไป”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเดิมเป็นชุดใหม่อย่างเร่งรีบ แล้วพาตัวเองไปที่ห้องรับแขกที่ผู้ใหญ่ทุกคนรวมตัวกัน สีหน้าของคนในครอบครัวแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินเข้าไปนั่งท่ามกลางครอบครัวโดยมีเกรกอรี่และเคธีนั่งบนโซฟาตรงกันข้าม ดูจากท่าทางแต่ละคนเกล็นพอจะเดาออกแล้วว่าแขกสองคนที่มาคงพูดอะไรก่อนที่เขามา
“เกล็นหลังจากนี้ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดทีนะ” เกรกอรี่บอกกับเด็กหนุ่ม
“ครับ...”
จากนั้นเกล็นก็เล่าเรื่องให้ครอบครัวฟังเรื่อง ‘ความฝัน’ ตั้งแต่ตอนเด็กรวมถึงการตามหาผลึกในอนาคต ซึ่งล้วนแล้วมีท่าทีไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไร คงมีแค่ฮาร์เวิร์ดไม่แสดงอารมณ์ชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่ ด้านลินดาขยับอ้ำอึ้งไร้เสียงทว่าอาการของเธอก็หนักที่สุด จนต้องพึ่งยาดมที่เคยทำกับเกล็นขึ้นสูดบรรเทา
“แล้วตอนนี้พวกคุณจะยังไงต่อ” เธอถามพยายามข่มเสียงที่สั่นเครือ “เกล็นก็ต้องไปด้วยใช่ไหม”
เป็นครั้งแรกที่แววตาของหญิงชราหวั่นไหวไม่คิดว่าเรื่องอันตรายจะอยู่ใกล้ตัวหลานชาย
“ย่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังไงพวกปู่ไม่ให้ผมเป็นอะไรอยู่แล้วล่ะ” เกล็นปลอบใจย่าที่ฟังดูเข้าใจง่าย แต่ก็ทำใจลำบากอยู่ดี “ไม่งั้นย่าเคธีจะมาด้วยทำไม... ถ้าไม่มีวิธีการ...ใช่ไหม...”
“ใช่แล้วค่ะคุณพี่ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะคะ ทางโรงเรียนจะหามาตรการดูแลเด็กๆ ให้นะคะ” เคธีกุมมือลินดาเขย่าเบาๆ ให้รู้สึกสบายใจ “พอใกล้เปิดเทอมเราจะมีประชุมกันอีกรอบ...”
ปึง!
“ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปกับเกล็นด้วย!” เสียงตะโกนดังพร้อมบานประตูที่ถูกเปิดอย่างรุนแรง ชาร์ล็อตปรากฏตัวและเดินไปยืนท่ามกลางสมาชิกฮิลเนสันที่ตกใจกับการมากะทันหันของเธอ
“นี่เธอแอบฟังพวกเราเหรอ!?” เกล็นถามเสียงดุที่ชาร์ล็อตแอบฟังพวกเขาคุยตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“แสดงว่าที่ผ่านมาเธอโกหกฉันสินะ!”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ”
“ตะ แต่มันก็เรื่องเดียวกันไม่ใช่เหรอ ก็อย่างตอนวันเกิดจูเลียสก็โกหกบอกว่ามีสัตว์หลุดทั้งที่ความจริงเธอถูกทำร้ายน่ะ ไหนจะก่อนหน้านั้นที่โกหกว่าอาจารย์เรียกให้ไปเอาบัตรนักเรียน ทั้งที่ความจริงเธอรู้มาตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่บอกฉัน” ชาร์ล็อตว่าเสียงสั่นน้ำตาคลอเบ้ารู้ตัวดีกว่ากำลังทำอะไรอยู่ “แล้วเรื่องตามหาของอะไรนั่นอีก เธอจะไปกับแมรีแอนน์แค่สองคนเอง เพราะฉะนั้นฉะ ฉันจะไปด้วย ฉันสัญญาจะไม่เป็นตัวถ่วง... จริงสิ ถ้าผู้หญิงคนนั้นเรียกตัวอะไรออกมาอีก ฉันก็ตอบได้นะว่าจะจัดการยังไง”
“ไม่ได้!” เกล็นยืนกรานเสียงหนักแน่นจนชาร์ล็อตสะดุ้ง “มันอันตรายไป”
“เพราะอันตรายน่ะสิฉันถือไม่อยากให้เธอไปกับแมรีแอนน์กันแค่สองคน ฮือ...”
แล้วจู่ๆ ชาร์ล็อตก็ร้องไห้ออกมา ทำเอาผู้ใหญ่วุ่นวายต้องปลอบให้เด็กสาวใจเย็นลง ส่วนเกล็นได้แต่ยกมือกุมขมับที่คุยกันไม่เข้าใจ ไม่นานเกรกอรี่ก็ลุกจากเก้าอี้ พยักหน้าเชิงบอกให้เขาไปคุยต่อที่อื่น โดยไม่ลืมบอกเคธีว่าจะคุยกับเกล็นเป็นการส่วนตัว
ทั้งเกล็นกับเกรกอรี่จึงมาคุยกันต่อที่เรือนกระจกซึ่งเป็นสถานที่ปิด จากอารมณ์ของเด็กหนุ่มตอนนี้เขายังไม่หายอารมณ์เสียกับชาร์ล็อตที่มาร้องขอให้พาเธอไปตามหาผลึกด้วย หนำซ้ำยังร้องไห้ออกมาดื้อๆ อีกต่างหาก
“ให้ตายเถอะ อะไรของเขาเนี่ย พูดไม่ฟังกันบ้างเลย” เกล็นเท้าเอว นวดหว่างคิ้วเพราะปวดหัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ไหนจะจู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาอีก”
“จากที่ฉันเห็นคุณหนูชาร์ล็อตก็น้ำตาคลอตั้งแต่เข้าห้องเลยนะ” เกรกอรี่ไม่แปลกใจที่เด็กสาวจะร้องไห้ออกมา “เธอก็ตอบไม่ดีด้วยล่ะนะ ถ้าฉันรุ่นเดียวกันก็คงสงสัยว่าทำไมถึงไปไม่ได้ ทั้งที่อายุเท่ากันแท้ๆ”
“ก็มันอันตรายจริงๆ นี่นา” เกล็นกัดฟันตอบชายชราที่เริ่มเข้าใจตัวชาร์ล็อตเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย “แล้วมีอะไรอยากคุยอีกเหรอครับ ถึงได้แยกตัวมาแบบนี้”
“นอกจากคุณหนูชาร์ล็อตอยากจะไปด้วย พี่น้องคู่นั้นก็ตกลงกันแล้วนะว่าจะไปกับพวกเธอน่ะ”
“หา!?” เกล็นอุทานเสียงสูง รู้ทันทีเลยว่าพี่น้องคู่ที่ว่าเป็นใคร แต่มันก็มีที่น่าสงสัยกว่านั้น “เดี๋ยวนะ คลาริสกับอิกนิสรู้เรื่องได้ไง อย่าบอกนะว่าพ่อแม่เล่าน่ะ”
เกรกอรี่ส่ายหัว “อืม… ก็ไม่เชิงหรอก แต่เอาเป็นว่าอิกนิสปะติดปะต่อเรื่องที่ได้ยินพ่อแม่คุยกันได้ตอนหลังสอบเสร็จน่ะ ท่านอลิสาเลยเล่าความจริงให้ฟังหมดเลย”
“แล้วสองคนนั้นก็เลยขอไปด้วย พ่อแม่เลยตกลง ไม่ห่วงลูกเลยเรอะ”
“อันที่จริงต้องบอกว่า ท่านอลิสาคนเดียวที่ยินยอมให้พี่น้องไปด้วยได้ แล้วดูท่าท่านธีออนก็น่าจะเถียงสู้ไม่ได้ด้วยสิ…” เกรกอรี่นึกภาพสองสามีภรรยาเถียงกันเรื่องความปลอดภัยของลูก โดยที่ธีออนเป็นฝ่ายแพ้ เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยว คือแบบว่ากรณีของแมรีแอนน์ไม่ว่ายังไงเขาต้องไปเพราะในฐานะสายเลือดคนสุดท้าย ส่วนผมก็ไปเพราะรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ตระกูลฟรานเซนไทน์มีเหตุผลอะไรที่ต้องส่งไปด้วย อย่าบอกนะว่าเพราะเห็นสายจอมเวทไปแค่สองคนเลยส่งสายต่อสู้ประชิดเข้ามาช่วยน่ะ”
(จริงอยู่หรอกที่ในเกมมีอิกนิสไปด้วย แต่มองความเป็นจริงมันก็ทะแม่งพิกล แม่ที่ไหนยอมให้ลูกเจอเรื่องอันตรายฟะ)
“เรื่องนั้น…” เกรกอรี่ลูบคางครุ่นคิดหาเหตุผลที่อลิสายอมปล่อยให้ลูกชายทั้งสองไปกับพวกเกล็นโดยไม่คัดค้านอะไร “ถึงจะเป็นแค่การคาดเดานะ แต่ท่านอลิสาน่ะคงมั่นใจมากว่าพวกซิกมุนท์จะไม่ทำอะไรอิกนิสกับคลาริสน่ะสิ”
“แล้วเอาอะไรมามั่นใจน่ะครับ?” เกล็นกอดอกเอียงคอไม่ค่อยเข้าใจความคิดอลิสา
“มั่นใจว่าสายเลือดฝั่งของตัวเองมีอำนาจพอที่อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าน่ะสิ…”
“โอ้ว… ฟังดูเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่น่าดูเลยนะครับ” เกล็นแสร้งทำเสียงตกตะลึงกับความมั่นใจต่อสายเลือดตระกูลของอลิสา
“จริงๆ ฉันก็เล่าให้เธอฟังได้นะ แต่เอาไว้เจอกับตัวน่าจะเข้าใจได้ไวกว่านะ”
“อะไรมีกั๊กอย่างนี้ด้วยเรอะ” เด็กหนุ่มเท้าเอวมองเกรกอรี่ที่ไม่ยอมเล่าเกี่ยวกับครอบครัวฝั่งอลิสา
(จะว่าไปมันก็ดูยิ่งใหญ่ตั้งแต่ตอนเอาชื่อมาอ้างให้คุ้มกันเราแทนแล้วอะนะ…)
“เอาเถอะ ในเมื่อสองพี่น้องนั่นจะไปด้วยก็ช่วยไม่ได้ คิดอีกมุมทั้งผมกับแมรีแอนน์ก็ไม่เก่งดาบหรืออาวุธอะไรสักชิ้น มีคลาริสกับอิกนิสคงช่วยให้อุ่นใจล่ะ”
“แต่ถ้าทำแบบนั้นคุณหนูชาร์ล็อตก็มีแต่รังจะไปด้วย” เกรกอรี่เตือน เกล็นเผลออุทานที่มีช่องว่างให้ชาร์ล็อตอ้างจะไปด้วย “แล้วเขาก็มีเหตุผลมากพอที่สามารถไปได้”
“ก็แค่… เฮ้อ… ก็ได้” เกล็นยอมรับต่อความจริงที่ว่าชาร์ล็อตมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์วิเศษเยอะ หากฮันนาส่งตัวอะไรมา เด็กสาวก็สามารถรู้ข้อมูลฝั่งอสูรทมิฬได้แทบจะทันที “แต่ผมก็อยากมีอะไรเป็นหลักประกันว่าชาร์ล็อตจะไม่เป็นอะไร แน่นอนว่าทุกคนด้วยยิ่งดี”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ก็ที่บอกไปนั่นแหละ แค่มีสองพี่น้องนั้น พวกซิกมุนท์ก็ไม่กล้าผลีผลามหรอก เชื่อฉันสิ”
“เฮอะ… บอกให้เชื่อแต่ยังกั๊กเนี่ยนะ”
“จริงๆ ฉันอยากพูดล่ะนะ แต่การละลาบละล้วงข้อมูลความเป็นส่วนตัวของคนประเทศอื่นที่มีอิทธิพลขนาดนั้นฉันก็กลัวมีปัญหาเหมือนกัน เพราะงั้นให้เธอเจอกับคนคนนั้นเองเป็นดีที่สุดแล้วล่ะ จากนิสัยก็น่าจะไม่มีปัญหาหรอก…มั้ง”
เกล็นไม่พูดอะไรต่อนอกจากลูบอกเบาๆ เพราะจี้ถามไปเกรกอรี่ก็ไม่ให้คำตอบเหมือนเดิม ทำเอาในหัวเด็กหนุ่มมีเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้คิดเต็มไปหมด
หลังจากคุยกับเกรกอรี่เสร็จ เกล็นก็ปลีกตัวเข้าเมืองโดยบอกแค่คนรับใช้ที่เห็นเขา ซึ่งการเดินรับลมริมทะเลสาบก็ช่วยให้เกล็นรู้สึกปลอดโปร่งเหมือนได้รับการปลดปล่อยที่ต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม แต่พอยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ความคิดของเกล็นก็ฟุ้งซ่าน จับสถานการณ์ปัจจุบันมาโยงเข้ากับเกม
(ถ้าคิดดีๆ มันก็ไม่แปลกอยู่แล้วล่ะนะ...)
เพราะพอลองพิจารณาดีๆ มันไม่แปลกเลยที่เหตุการณ์แมรีแอนน์จะไม่เข้ารูทใครเป็นพิเศษ แม้แต่จูเลียสที่ไร้ทีท่า ไม่ออกตัวแรงเหมือนในเกม ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากปัญหาวุ่นๆ กับฟิเลน่าที่เกิดขึ้นตอนเทอมหนึ่ง ทำให้ความสัมพันธ์สองคนนี้ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนทั่วไป ไม่เว้นแต่อิกนิสที่พักใหญ่ๆ ดูจะสนิทกันระดับหนึ่งเพราะอยู่หอเดียวกัน แต่ทั้งคู่ก็มีระยะห่างที่เห็นได้ชัด อีกทั้งเกล็นก็รู้สึกได้กลิ่นตุๆ บางอย่างระหว่างอิกนิสกับชาร์ล็อตตั้งแต่วันอมัวร์รอส ส่วน ‘เกล็น’ ไม่ต้องพูดถึง ทุกอย่างมันเพี้ยนจนไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไง ล่าสุดก็ต้องสู้กับโกเลมกันแค่สองคน ทั้งที่ไม่มีอยู่ในเกมเลยสักนิด ไม่รู้เป็นเพราะบุญเก่าหรือเปล่าที่ทำให้เขาสามารถรอดมาเดินอยู่ตรงนี้
แล้วอีกสองคนที่เหลืออาว์วินกับอาจารย์แมทธิว ถ้าให้พูดเป็นนิยายก็เรียกว่าไม่มีบทเลยด้วยซ้ำ ถึงจะพบหน้ากันบ่อยในฐานะรุ่นพี่กับอาจารย์ ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีส่วนรวมกับเหตุการณ์นี้เลย โดยเฉพาะแมทธิวที่ได้ยินจากปากแมรีแอนน์ตอนงานเทศกาลโรงเรียนว่าจริงๆ ชายหนุ่มคนนั้นกำลังมีความรักกับผู้หญิงชื่อลิซ่าอยู่ แล้วเกล็นก็มารู้ทีหลังอีกว่าพวกนักเรียนรอข่าวดีสำหรับคู่นี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
(จริงสิ ปีหน้าก็มีตัวละครใหม่อย่างรุ่นน้องนี่นา) เกล็นหลับตา พยายามนึกถึงโฉมหน้าตัวละครรุ่นน้อง ทว่าสุดท้ายก็ต้องล้มเลิกเมื่อคิดว่าโอกาสที่หนุ่มน้อยคนนั้นจะมาร่วมปาร์ตี้คงหมดสิทธิ์ (ถือว่าลาก่อนนะไอ้หนุ่ม แต่ว่าคนสุดท้ายเนี่ยสิไม่รู้จะออกหมู่หรือจ่าเลยแฮะ)
ถึงจะเข้าเงื่อนไขว่าไม่ได้เข้ารูทใครก็จริง แต่ซิกมุนท์ก็ต้องมาในรูปแบบของศัตรูชนิดที่ว่าจัดหนักจัดเต็มอย่างไม่ต้องสงสัย ดูได้จากที่ส่งฮันนากับคริสต้ามางานเลี้ยงวันเกิดของจูเลียส เพื่อสืบหาเบาะแสของไอเทมชิ้นสำคัญของเกม ไม่พอหญิงสาวสองคนนั้นก็ยังโผล่ตอนสอบปลายภาคอีกต่างหาก โชคดีที่ตอนนั้นเกล็นเฉไฉเอาตัวรอดแม้จะถูกหาว่าเป็นเด็กหน้าไม่อายก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าโดนฮันนาเล่นงานปางตาย
พอคิดถึงพวกเหล่าตัวร้ายแล้ว ท้องไส้ของเกล็นก็ปั่นป่วนขึ้นมากะทันหัน
“โอ๊ย นึกสภาพของปีหน้าไม่ออกเลยวุ้ย” เกล็นบ่นอุบอิบ จินตนาการถึงอนาคตที่มองไม่ออกว่าถ้าเผชิญหน้ากับพวกซิกมุนท์จะเป็นยังไง จนบางทีอาจจะเป็นเรื่องดีแล้วที่อลิสาตัดสินใจให้อิกนิสกับคลาริสมาร่วมด้วย เพราะถ้าเขาไปกับแมรีแอนน์กันแค่สองคน แล้วเจอคริสต้าซึ่งมีพละกำลังและสามารถใช้เวทมนตร์ได้ต้องลำบากแน่นอน ส่วนกรณีของฮันนาก็...
(... ยังไงก็พาชาร์ล็อตไปด้วยไม่ได้)
“เกล็น...” เพราะเสียงคุ้นหูดังจากทางข้างหลัง เกล็นจึงหันไปหาชาร์ล็อตที่ตามมาทีหลัง ขอบตาและจมูกของเธอแดงจากการร้องไห้ก่อนหน้านั้น “ไปด้วยไม่ได้จริงๆ เหรอ...”
เกล็นเงียบไม่ตอบโต้ ทำเพียงแค่มองชาร์ล็อต ก่อนจะถอนหายใจกับความดื้อดึงของเด็กสาว
“ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือไงว่ามันเป็นยังไงน่ะ”
“ระ รู้... แต่จะให้เกล็นไปกับแมรีแอนน์สองคนไม่ได้หรอก” ชาร์ล็อตหลุบตาลงพร้อมทำมือขยุกขยิก “ถ้าเป็นเกล็นก็ไม่อยากให้ไปตามลำพังเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
“เฮ้อ มันก็จริง…” เกล็นเกาหัวอย่างช่วยไม่ได้กับเหตุผลของชาร์ล็อต แล้วระลึกคำพูดของเกรกอรี่ก่อนหน้านั้น
(อย่างที่ปู่เกรกอรี่พูดจริงๆ นั่นแหละ พออายุเท่ากันก็เลยไม่ยอมฟังสินะ ยิ่งถ้ารู้ว่าสองคนนั้นไปด้วยยิ่งรั้นจะตามมา เอาไงดีวะเนี่ย)
“เกล็น?” ดวงตาสีทองกะพริบปริบๆ มองเกล็นที่ครุ่นคิดหาวิธีไม่ให้ตัวเองไปตามหาผลึกด้วย แต่มันก็ยากที่เกล็นจะหาข้ออ้างดีๆ เพราะดันมาติดตรงที่อิกนิสกับคลาริสจะร่วมเดินทางกับเขาด้วย
(ไอ้ที่บอกว่าเจ้าพวกนั้นไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ เพราะตระกูลฝั่งแม่ของแฝดนั่นจะเชื่อได้หรือเปล่าเนี่ย แต่ปู่ก็ดูมั่นใจชอบกล ให้ตายสิ ชักอยากรู้แล้วว่าเป็นตระกูลแบบไหน ยิ่งใหญ่ปานนั้นเชียว)
“ก่อนจะมาขอฉันน่ะ ไปคุยกับพ่อแม่ให้รู้เรื่องก่อนเหอะว่าจะอนุญาตหรือเปล่า” สุดท้ายเกล็นที่คิดหาเหตุผลดีๆ ไม่ออก ก็โยนภาระให้พ่อแม่ของชาร์ล็อตเป็นคนตัดสินใจ เพราะยังไงซะด่านสุดท้ายจริงๆ ก็คือผู้ปกครองตัวจริงที่จะยอมปล่อยให้ชาร์ล็อตไปหรือไม่
(แต่ดูทรงแล้วน่าจะยอมให้มาด้วยแหง…)
แล้วพอเกล็นหันไปสังเกตท่าทางของเพื่อนสนิท แววตาของชาร์ล็อตเปล่งประกายเหมือนกับได้การยอมรับ
“เฮ้ยๆ เราไม่ได้ไปเล่นนะ” เกล็นเตือนเสียงเข้ม “อีกอย่างถ้าไปด้วยแล้วต้องสัญญาว่าจะเชื่อฟังพวกปู่เกรกอรี่ด้วยนะ จะมาดื้อเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้เด็ดขาด”
ชาร์ล็อตพยักหน้าเป็นการตกลงและยืนยันด้วยคำพูด “ฉันตกลง!”
(จะบอกว่ามีอิกนิสกับคลาริสไปด้วยดีไหมนะ… ช่างมัน เอาไว้รู้เองก็แล้วกัน ขืนบอกไปแต่แรกคงเหลิงว่ามีเพื่อนไปเยอะอีก)
“ให้ตายสิ ขนาดจะไปเจอกับอะไรก็ไม่รู้ ยังอุตส่าห์ตามติดก้นมาได้อีกนะเธอเนี่ย” เกล็นบ่นยาวไม่อยากเชื่อเลยว่าชาร์ล็อตจะมาร่วมการผจญภัยตามหาผลึกกับเขาด้วย
“เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะเป็นเพื่อนกันไงล่ะ จะทิ้งได้ไงกัน”
เมื่อชาร์ล็อตพูดจบประโยค เกล็นก็กระตุกยิ้มมุมปากรู้สึกขนลุกซู่และตัวเย็นวาบ
“พูดจาเป็นนิยายไปได้ แต่ก่อนหน้านั้นอย่าลืมไปคุยกับพ่อแม่แล้วก็ปู่เกรกอรี่ด้วย เดาเลยว่าพ่อเธอไม่มีทางยอมหรอก”
“เกล็นเคยพูดนี่ว่า ถ้าไม่ลองคุยก็ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นยังไง”
“หา? เคยพูดตอนไหน จำไม่เห็นได้”
“ก็ตอนเด็กๆ วันที่พวกเรามาดูฮิปโปกริฟฟ์กันสองคนไง” ชาร์ล็อตหัวเราะแฮะๆ ระลึกความหลังในวัยเด็ก แต่ดูเหมือนเกล็นก็จะลืมๆ ที่เคยพูดเอาไว้เลยเออออตามน้ำเด็กสาวอย่างช่วยไม่ได้
“ให้ตายสิ เกิดเรื่องขนาดนี้ฉันกับเธอยังตัวติดกันอีกเหรอเนี่ย” เกล็นบ่นงึมงำที่ชาร์ล็อตจะตัวติดเขาไปอีกหนึ่งปี ทั้งที่จะเป็นช่วงเวลาที่ต่างคนต่างแยกไปทำอย่างอื่น
“ก็พออยู่กับเธอมีแต่เรื่องสนุกดีนี่นา”
“สนุกตรงไหนเล่า บ้าบอ ถ้าจะไปหัดทำตัวจริงจังซะ”
“จ้า”
“ยังมาติดเล่นอีกนะเธอเนี่ย” เกล็นตอบกลับด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางหยิบยาดมขึ้นสูดพร้อมนวดขมับไปด้วย
(นี่ขนาดยังไม่ครบปีหนึ่งยังมีแต่อะไรไม่รู้ ปีหน้ามาเป็นดงระเบิดแหง เอาล่ะ เกล็นเอ้ย นายต้องผ่านได้แน่ จากนั้นชีวิตสงบก็จะมาหาสักที)