46 ตอน บทที่ 45: บ้านเกิด
โดย RiFourver
“เกล็นว่างหรือเปล่าขอคุยอะไรหน่อยสิ” อิกนิสทักเกล็นที่หน้าห้องเรียน หลังเพื่อนคนอื่นแยกไปทำธุระส่วนตัวหลังเลิกเรียน
“อิหยัง?”
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกล็นกับอิกนิสจะสนิทจนสามารถเรียกว่าเป็นเพื่อนกันได้เต็มปาก แต่เด็กหนุ่มผมดำก็ไม่เคยคุ้นชินกับภาษาประหลาดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว พอเกล็นเผลอใช้กับเขาทีไรก็มีต้องมีชะงักไปทุกรอบ ทำให้อิกนิสยืนค้างไปสักพักก่อนสติจะคืนมา
“คืออยากรู้ว่าที่ที่เราจะไปมันคือที่ไหนเหรอ รู้ไหม”
เกล็นส่ายหน้าเป็นคำตอบ แล้วบอกเหตุผล “ยังไม่รู้เลย เหมือนต้องรอพวกปู่เกรกอรี่แกะอาคมให้ได้ก่อนน่ะ แต่คิดว่าปลายเดือนหน้าคงบอกได้ว่าจะเป็นที่ไหน”
“งั้นเหรอ…” จากนั้นอิกนิสก็หลุบตาลงแสดงสีหน้าเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ เกล็นเลยถามต่อ
“มีอะไรหรือเปล่า พูดได้นะ”
“ไม่มี…” เด็กหนุ่มผิวแทนตอบเสียงแผ่วเบาจนเกล็นไม่ได้ยิน แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนความคิด “จริงๆ คิดว่าเราน่าจะไปบ้านเกิดแมรีแอนน์ก่อนดีไหม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะลูเอลต้า เพราะฉันคิดว่าน่าจะมีเบาะแสอะไรอยู่ที่นั้น”
“เดี๋ยวฉันไปบอกเอราสต์ให้ละกันว่าจะไปลูเอลต้ากันก่อน”
“มะ ไม่ต้องหรอก ฉันคิดว่าพวกผู้ใหญ่น่าจะคิดเหมือนกัน…”
“เอาเหอะน่า ถึงจะคิดเหมือนกันแต่บอกย้ำไว้ก็ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย ดีไม่ดีพวกปู่ยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำมั้ง”
“ถ้าเกล็นว่าแบบนั้นก็ได้” อิกนิสพยักหน้าตกลงกับที่เกล็นเสนอความคิด
“รู้สึกเจ้านั่นจะอยู่ห้องสี่หรือเปล่านะ…”
ว่าแล้วเกล็นก็ลองเดินไปแวะห้องสี่ที่อยู่ถัดไปอีกประมาณสองสามห้อง พอชะเง้อคอมองพ้นบานประตูที่เปิดทิ้งไว้ ก็เห็นรอบตัวเอราสต์มีสาวๆ รายล้อม พวกเขาหัวเราะกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง ทำให้จู่ๆ มีสิ่งหนึ่งแล่นเข้าหัวเกล็นทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้
(จริงสิ รู้สึกว่าเกมนี้ขาดหนุ่มคาสโนว่านี่หว่า)
กลายเป็นว่าการมีอยู่ของเอราสต์หนุ่มต่างถิ่นคนนี้ได้เติมเต็มอะไรสักอย่างในใจของเกล็น ก่อนจะโดนอิกนิสสะกิดเรียกสติคืนมาหลังเห็นเกล็นเหม่อลอยเหมือนคิดนอกเรื่องไปไกล เอราสต์ที่เพิ่งสังเกตการณ์มาของพวกเกล็นจึงบอกลาเหล่านักเรียนหญิง
“มีธุระอะไรเหรอ?” เสียงที่แสนหวานและละมุนหายไปทันทีที่มาคุยกับเกล็นและอิกนิส แต่ไม่วายมีเสียงซุบซิบวี้ดว้ายดังพอจับใจความได้จากพวกสาวๆ ที่คุยประเด็นระหว่างอิกนิสกับเอราสต์ ทำให้เกล็นเสนอไปคุยกันที่อื่นแทน อิกนิสตกลงอย่างว่าง่าย ส่วนเอราสต์ยักไหล่ทีหนึ่งทำเหมือนบอกว่าช่วยไม่ได้ “เอาสิ หวังว่าจะคุยไม่นานนะ เพราะพอดีมีเรื่องที่ต้องทำน่ะ”
“ไม่นานหรอก แค่จะยืมนกหน่อยน่ะ” เกล็นบอกเสียงเรียบและเบาเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“จริงๆ ก็ขอกับคุณชาร์ล็อตได้เลยนี่นา” ทันทีที่เอราสต์พูดจบ เกล็นก็สวนกลับทันควันด้วยน้ำเสียงหน่าย
“เพราะมีเรื่องต้องคุยด้วยน่ะสิ ถึงได้มาหานายไงล่ะ”
เอราสต์จ้องหน้าเกล็นอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตกลง จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามคนก็เดินไปยังโรงเลี้ยงสัตว์ของนักเรียนที่อยู่ใกล้กับบริเวณหอพัก ระหว่างทางก็คุยเรื่องสถานที่ที่อยู่ในใจอย่างลูเอลต้าซึ่งเป็นบ้านเกิดจริงๆ ของแมรีแอนน์
“ฉันว่าพวกผู้ใหญ่ก็คิดได้ล่ะมั้ง ไม่เห็นต้องส่งเรื่องนี้ไปบอกเลยก็ได้”
“ไม่ล่ะ พวกเราอยากย้ำให้แน่ใจเพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดน่ะ” เกล็นเถียงกลับ เพราะเขาไม่อยากนั่งลุ้นว่าจะไปที่ไหน
เมื่ออีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น เอราสต์ก็ยกยิ้มมุมปากพลางส่ายศีรษะเหมือนกำลังสื่อว่าพวกเกล็นคิดมากเกินไปแล้ว ซึ่งนับว่าโชคดีที่คนอยู่ ณ ตรงนี้คืออิกนิส หากเป็นคลาริสขึ้นมาคงได้มีการวางมวยเกิดขึ้นเป็นแน่ อันที่จริงเกล็นก็อยากเท้าเอวไม่พอใจกับอากัปกิริยาของเอราสต์อยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มต่างแดนก็ทำตามคำขอของพวกเกล็นด้วยการส่งข้อความพร้อมรายการการเคลื่อนไหวให้กับผู้ประสานงานซึ่งอยู่เบเลเทีย
“มีเท่านี้สินะ” เอราสต์ถามเพื่อให้เกล็นคิดทวนว่าไม่ลืมอะไร
“แค่นี้แหละ ขอบใจมาก” แล้วเกล็นก็หันไปทางอิกนิสด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วเนอะ”
อิกนิสพยักหน้าตอบรับอย่างโล่งใจที่อีกฝ่ายรับข้อเสนอเขาไปแจ้งกับทางศาสนจักร ทำเอาเกล็นยิ้มกลับอารมณ์ดีราวกับได้ทำความดี
“ไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกัน” เกล็นว่าขึ้น “เพราะเดี๋ยวฉันจะไปทำยาที่ห้องต่อ”
แต่ก่อนจะกลับหอกัน เอราสต์ก็ถามเรื่องหนึ่งกับทั้งสองคน
“จะว่าไป นายรู้หรือเปล่าว่าปกติคุณฟิเลน่าชอบไปที่ไหนเหรอ” เอราสต์ถามเจาะจงตัวบุคคล เกล็นกับอิกนิสสบตากันก่อนที่จะปฏิเสธพร้อมกัน
“ไม่รู้หรอก จะถามไปทำไม” เกล็นย้อนถามอย่างใคร่รู้เป็นพิเศษ ขณะที่ดวงตาสีเงินของเอราสต์เสมองไปทางอื่น
“เปล่า แค่อยากรู้เท่านั้น แต่ในเมื่อพวกนายไม่รู้ก็ช่างมันเถอะ” ว่าแล้วเอราสต์ก็เดินโบกมือลาพวกเกล็นจนหายลับสายตา
“นายว่าเคจจะรู้เรื่องนี้ปะ?” จู่ๆ เกล็นก็ถามเรื่องนี้กับอิกนิสที่ดูเงอะงะไม่เข้าใจความหมายสักเท่าไร ก่อนจะตอบเพื่อนด้วยท่าทีใสซื่อ
“คง…จะรู้มั้ง...”
“นั่นสินะ” เกล็นพยักหน้ารับรู้แล้วพูดเสียงงึมงำในลำคอพร้อมปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย “มีเรื่องให้ใส่ใจแฮะ”
ถึงอยากใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์ที่ชวนน่าสงสัยระหว่างฟิเลน่ากับเอราสต์ แต่เกล็นกลับลืมมันหลังมัววุ่นวายกับโครงการใหม่ที่คิดอยากลองทำน้ำมันหอมระเหยที่สุดท้ายก็พับเก็บเข้ากรุ กระทั่งถึงวันที่นักเรียนปีสองได้ทดลองการศึกษานอกสถานที่ โดยที่แรกคือมณฑลลูเอลต้าบ้านเกิดของแมรีแอนน์ตามที่อิกนิสเคยเสนอไป เท่ากับว่าหากพวกเขาอยากไปที่ไหนก็มีเหตุผลรองรับ เพราะทางเกรกอรี่จะดำเนินการให้ตามขอ
แต่ก่อนที่จะไปตามหาเบาะแส ช่วงวันแรกพวกเกล็นจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับมณฑลนี้ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ อาชีพ และอื่นๆ เสียก่อน จากนั้นค่อยทำรายงานสรุป โดยอาจารย์จะให้เวลาหนึ่งวันในการทำ แล้ววันถัดมาคือวันปล่อยอิสระ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พวกเกล็นจะออกไปสำรวจในคฤหาสน์ตระกูลลูมิเธอร์ที่ถูกปล่อยให้รกร้างนานสิบเจ็ดปี ตอนนี้ทุกคนล้วนแต่งตัวชุดไปรเวทที่ทะมัดทะแมงเหมาะกับการตะลุยดันเจี้ยนเมื่อเทียบเป็นเกม
แมรีแอนน์ผู้เป็นเจ้าของอย่างถูกต้องตามสายเลือดต้องกะพริบตาปริบๆ ที่อดีตบ้านหลังใหญ่ถูกวัชพืชปกคลุมทั่วบริเวณและมีบรรยากาศวังเวงจนเกล็นรู้สึกหวาดหวั่น เขาจึงเขยิบตัวเองไปอยู่ข้างอิกนิส
“แมรีแอนน์ไม่เป็นอะไรใช่ไหม...” ชาร์ล็อตถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เจ้าของชื่อจึงหันไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่ากันตามตรงฉันไม่รู้สึกอะไรกับที่นี่เท่าไร...” แมรีแอนน์ตอบอย่างซื่อตรงว่าเธอไม่มีความรู้สึกโหยหายและไร้ความอาลัยอาวรณ์ “ว่าแต่เราควรแยกตามหาเบาะแสกันดีไหมคะ”
เด็กสาวเสนอความคิด แต่อิกนิสกลับไม่เห็นด้วยที่แยกกลุ่มทำให้ขัดแย้งกับคลาริสที่มองว่าการแบ่งทีมจะช่วยลดเวลา
“ถ้าเจอพวกนั้นขึ้นมาเราจะทำยังไง ฉันรับประกันไม่ได้หรอกนะว่าจะสู้ไหวหรือเปล่า” น้ำเสียงจริงจังจากแฝดคนพี่บอกสาเหตุว่าทำไมถึงไม่ควรแยกกัน “อีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าทางนั้นมีฝีมือขนาดไหน ถ้าเป็นอัศวินเวทจริงยังไงก็เก่งกว่าอยู่แล้ว นายน่าจะเข้าใจเรื่องนี้นะ”
“ฉันเข้าใจอยู่แล้วน่า แต่มันจะเสียเวลาเอาน่ะสิ” คลาริสกอดอกเถียงกลับ
(เอาแล้วไง ดันเป็นตัวเลือกที่ต้องชั่งใจซะด้วยสิ...) เกล็นคิดไม่ตกว่าจะเลือกทางไหนดี ต่างฝ่ายก็มีเหตุผลที่น่ารับฟัง ถ้าเลือกความปลอดภัยก็ต้องเข้าข้างอิกนิส แต่ถ้าต้องการงานเสร็จไวก็เลือกคลาริส ซึ่งใจเขาอยากได้ทั้งสองอย่าง นอกจากความปลอดภัยคนในกลุ่ม การทำเวลาก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะหากหายไปนานจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ และในระหว่างคิดหนักว่าจะเอายังไงดี จู่ๆ เกล็นก็นึกอะไรบางอย่างออก “จริงสิ ตามพล็อตหนังมันชอบเป็นแบบนี้อยู่นี่นา”
“ฉันว่าทำตามอิกนิสน่าจะดีกว่านะ” แล้วจอมเวทประจำกลุ่มก็ตัดสินใจเลือกคำแนะนำของอิกนิส “เพราะเราไม่รู้เลยว่าคฤหาสน์จะมีพวกกับดักหรือเส้นทางลับที่เราไม่รู้จักหรือเปล่า ขืนแยกไปแล้วเจอขึ้นมาแล้วโดนจับแยกมีหวังวุ่นวายตามหาในที่ที่เราไม่รู้จักแหง”
คลาริสเท้าเอว หรี่ตามองเกล็นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ
“มันอาจจะจริงของนาย” แล้วเขาก็เข้าใจที่เกล็นสื่อพลางเหลือบมองอิกนิสซึ่งเป็นเจ้าของความคิด
คุยตกลงกันได้เรียบร้อยว่าจะสำรวจสถานที่ยังไง ทั้งห้าคนจึงย่างกรายเข้าคฤหาสน์หลังโตที่นอกจากจะมีต้นไม้ใบหญ้างอกรกรุงรัง ที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยฝุ่นลอยฟุ้ง ทำเอาชาร์ล็อตต้องจามและรู้สึกไม่ดี เกล็นเลยอยากหาเบาะแสสำคัญให้เสร็จเร็วๆ เพราะกลัวว่าเพื่อนสนิทจะมีอาการแย่กว่านี้
“ฉันกำลังคิดว่าเราลองหาห้องที่เป็นห้องนอนเด็กกัน”
“หมายถึงห้องที่เคยเป็นห้องนอนฉันหรือเปล่าคะ?” แมรีแอนน์ทวนถามเพื่อความเข้าใจตรงกัน เกล็นจึงพยักหน้ายืนยัน
“ถ้าพูดตามสถานการณ์ ที่เกิดเหตุร้ายแรงแบบนั้นขึ้นละก็... สถานที่แรกที่พ่อแม่จะมาคงเป็นห้องนอนลูกที่ยังเป็นทารกอยู่” เกล็นตอบโดยที่หลุบตาลง ไม่กล้าสบมองอดีตเจ้าของบ้าน
“อย่างนั้นเราก็ไปหาห้องนั้นกันเถอะค่ะ แต่มีอีกห้องหนึ่งที่ก็น่าลองไปดูนะ อย่างห้องทำงานหรือห้องสมุด” นอกจากห้องนอนเด็ก แมรีแอนน์ก็เสนออีกสองห้องเป้าหมายที่น่าสนใจ “มันรู้สึกว่าเหมาะสำหรับสร้างห้องลับน่ะค่ะ”
เมื่อตีการค้นหาแคบลง ทุกคนจึงลองตามหาสามห้องที่ว่าก่อน โดยห้องแรกที่เข้าไปคือห้องสมุดซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือเสียหายและเฟอร์นิเจอร์ผุพังที่ไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานาน ทว่าพวกเกล็นก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรจึงพากันย้ายขึ้นชั้นสองหลังตามหาห้องทำงานไม่พบ กระทั่งมาถึงห้องห้องหนึ่งที่มีเตียงนอนทารกตั้งอยู่ ไม่ต้องเดาเลยว่าแมรีแอนน์เคยอยู่ห้องนี้สมัยยังอยู่ที่นี่ เด็กสาวเดินเข้าไปแตะเตียงอย่างเบามือ ไม่มีใครรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้แมรีแอนน์กำลังคิดอะไร เพราะทั้งสีหน้าและแววตาไม่แสดงความรู้สึกอื่นใด ไม่นานแมรีแอนน์ได้ผละจากที่นอนไปยังชั้นหนังสือว่างเปล่าที่เกล็นยืนมองอย่างครุ่นคิด
(ในหนังมันชอบซ่อนหลังตู้หนังสือซะด้วยสิ)
แล้วเกล็นก็จับนู่นนี่เพื่อหากลไกแต่ก็ไม่เจอเหมือนกับห้องก่อนหน้า กระทั่งคลาริสที่ล่วงหน้าไปดูอีกห้องพร้อมพี่ชายก็ได้ตะโกนเรียกคนที่เหลือมารวมตัวยังห้องที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในอีก ซึ่งห้องที่อิกนิสกับคลาริสอยู่ปัจจุบันคือห้องทำงานที่มีสภาพไม่ต่างจากห้องอื่น ทว่ากลับมีสิ่งผิดปกติที่เห็นได้ชัดเต็มสองตา
“คิดว่าใช่ไหม” อิกนิสถามแบบไม่เจาะจงใครเป็นพิเศษกับช่องว่างปริศนาที่อยู่ด้านหลังภาพวาดวิวธรรมชาติขนาดใหญ่กว่าสองเมตรที่เอียงกระเท่เร่
“ไม่ลองดูก็ไม่รู้หรอก” แล้วชาร์ล็อตก็ดันภาพวาดเป็นครั้งแรก อิกนิสเห็นว่าแรงเด็กสาวไม่พอที่จะขยับภาพให้พ้นทางลับจึงเข้าช่วยอีกแรงจนรูปนั้นล้มเกิดเสียงดังลั่นห้องพร้อมฝุ่นที่กระจายฟุ้ง ทำให้คนในห้องทั้งหมดจามไม่หยุด กว่าจะมีสมาธิกับเส้นทางข้างหน้าก็ใช้เวลาหลายนาที
“หวา!” เกล็นอุทานกระโดดโหยงถอยหนีหลบหลังคลาริสทันทีที่เห็นแมงมุมจำนวนหนึ่งวิ่งออกมาจากทางเข้าลับ ชาร์ล็อตเลยอาสาที่จะลงสำรวจและช่วยไล่แมงมุม โดยมีอิกนิสรีบไปเป็นเพื่อน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยชาร์ล็อตก็ได้ส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ ลงมาได้ เมื่อลงมาถึงก็พบว่ามันเป็นเส้นทางบันไดวนแคบๆ ที่ยากจะคาดคะเนถึงจุดสิ้นสุดของมัน เกล็นที่เกาะหลังคลาริสหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง เพราะนอกจากแมงมุมแล้วเขาไม่ถูกกับความมืด คนที่ใช้เวทไฟนำทางเลยเป็นอิกนิส
เมื่อหลุดพ้นจากการเดินลงบันได ทั้งหมดก็มาโผล่ที่ลานกว้าง เกล็นมองแวบเดียวก็เดาออกว่าเป็นห้องใต้ดินที่ซ่อนความลับสไตล์หนังสยองขวัญ เกล็นจึงตัวสั่นกลัวสถานที่และความมืดที่ไม่รู้เลยว่าทางไหนเป็นทางไหน กระทั่งแมรีแอนน์สังเกตที่คบเพลิงซึ่งมีลักษณะคล้ายกับตอนสอบกลางเทอมสมัยปีหนึ่งที่เป็นรางยาวเต็มไปด้วยน้ำมัน เด็กสาวจึงใช้เวทไปจุด เกล็นเลยถอนหายใจโล่งอกที่ได้อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ทว่ามันกลับสร้างบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี
(ฮือ อยากกลับแล้ว) เขาร้องงอแงในใจไม่อยากหาเบาะแสต่อ
“จากนี้เอายังไงต่อ...”
แล้วทั้งห้าคนก็จับกลุ่มปรึกษากัน เพราะจับทางไม่ถูกเลยว่าควรไปตรงไหนก่อนดี แต่ดูเหมือนฟ้ามีตาให้พวกเขาสามารถเดินหน้าต่อได้ เมื่อสร้อยเข็มทิศของแมรีแอนน์ที่สวมมาด้วยมีปฏิกิริยาด้วยการส่องแสงนำทางไปยังจุดที่อยู่ลึกเข้าไป เกล็นเห็นดังนั้นก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก เหงื่อตก รู้สึกไม่สู้ดีนัก
ทั้งหมดเดินตามที่สร้อยนำทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงห้องหนึ่งซึ่งเป็นประตูไม้ขนาดใหญ่แกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม แม้ผ่านไปสิบกว่าปีมันยังคงความแข็งแรงเอาไว้ ทำเอาอิกนิสกับคลาริสต้องออกกำลังสุดแรงเพื่อเปิดประตูที่บานพับถูกสนิมกิน เมื่อเข้ามาได้ก็พบห้องทรงกลมที่ตรงกลางมีแท่นบูชาเหมือนเคยวางอะไรมาก่อน เกล็นกับชาร์ล็อตสำรวจรอบๆ จนสังเกตว่ารอบแท่นหินมีอักขระที่อ่านไม่ออกเขียนเอาไว้
“น่าจะเป็นเวทอาคมหรือเปล่า?” ชาร์ล็อจปรายตามองเพื่อนสนิท
“คงจะใช่ แต่ติดตรงที่จุดเริ่มมันอยู่ตรงไหนนี่สิ” เกล็นที่สมองตื้อคิดไม่ออกลูบคางหลังพยายามลองอ่านข้อความ สุดท้ายก็ถอนหายใจยอมแพ้ “ชาร์ล็อตจัดการที เริ่มจากตรงนี้ละกัน ที่เหลือให้คนรู้แก้เอาเอง”
ว่าแล้วชาร์ล็อตก็หยิบสมุดจดเล่มเล็กและปากกาในกระเป๋าคาดเอวขึ้นมา เนื่องจากเธอเป็นคนที่มีทักษะวาดรูปดีที่สุด ชาร์ล็อตขีดเขียนเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ซึ่งมีเกล็นคอยช่วยดูจุดที่มองข้าม
“เราควรทำสำรองด้วยดีไหม” อิกนิสถามขึ้น นึกสังหรณ์ใจไม่ดีถ้าเกิดสมุดหายขึ้นมา เกล็นจึงพยักหน้ารับคำเสนอ
“ไว้เดี๋ยวกลับเธอก็ลอกเก็บไว้อีกชุดละกัน”
ชาร์ล็อตพยักหน้าตกลงขณะยังคัดอักขระบนแท่นบูชา “เอาล่ะ เสร็จแล้ว”
เด็กสาวพรูลมหายใจและสะบัดมือคลายความเมื่อยล้าที่ต้องจดจ่อกับการคัดลอกอยู่พักใหญ่
“ทีนี้ก็กลับได้แล้วสินะ” คลาริสโพล่งขึ้นที่จะได้ออกสถานที่วังเวงแห่งนี้
“ใช่ๆ ในที่สุดก็ได้กลับสักที ที่เหลือปล่อยให้พวกจอมเวทเขาแข่งกันแกะอาคมเถอะ”
เพราะเป็นเสียงไม่คุ้นหู ทั้งห้าคนต้องหันขวับไปยังต้นเสียงซึ่งเป็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวน้ำทะเล ร่างสูงเพรียวที่ไม่ได้แต่งตัววาบหวิวเหมือนครั้งก่อน หนำซ้ำในมือหล่อนยังจับดาบใหญ่ที่ถูกปักลงพื้น นัยน์ตาสีฟ้าไล่ดูโฉมหน้าของเด็กแต่ละคนที่หน้าถอดสี ก่อนจะผิวปากด้วยความประหลาดใจ
“อะไรกันมีแค่ห้าคนเหรอ นึกว่าจะมาครบแบบตอนสอบสักอีก ฮะๆๆ” หญิงสาวหัวเราะขบขันปนเสียดายที่เธอไม่เจอสมาชิกกลุ่มของเกล็นครบเจ็ดคน
“แต่งชุดเกราะจัดเต็มแบบนี้ หมายความว่าจะเอาจริงเหรอครับ” เกล็นกระตุกยิ้มมุมปากถาม
“ม่ายรู้สินะ” คริสต้าลากเสียงยาวอย่างทะเล้นและเหยียดยิ้มน่าหวาดหวั่น “แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าอยู่มุมนี้ฉันได้เปรียบเต็มๆ เลยล่ะ”
“เกล็นว่างหรือเปล่าขอคุยอะไรหน่อยสิ” อิกนิสทักเกล็นที่หน้าห้องเรียน หลังเพื่อนคนอื่นแยกไปทำธุระส่วนตัวหลังเลิกเรียน
“อิหยัง?”
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกล็นกับอิกนิสจะสนิทจนสามารถเรียกว่าเป็นเพื่อนกันได้เต็มปาก แต่เด็กหนุ่มผมดำก็ไม่เคยคุ้นชินกับภาษาประหลาดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว พอเกล็นเผลอใช้กับเขาทีไรก็มีต้องมีชะงักไปทุกรอบ ทำให้อิกนิสยืนค้างไปสักพักก่อนสติจะคืนมา
“คืออยากรู้ว่าที่ที่เราจะไปมันคือที่ไหนเหรอ รู้ไหม”
เกล็นส่ายหน้าเป็นคำตอบ แล้วบอกเหตุผล “ยังไม่รู้เลย เหมือนต้องรอพวกปู่เกรกอรี่แกะอาคมให้ได้ก่อนน่ะ แต่คิดว่าปลายเดือนหน้าคงบอกได้ว่าจะเป็นที่ไหน”
“งั้นเหรอ…” จากนั้นอิกนิสก็หลุบตาลงแสดงสีหน้าเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ เกล็นเลยถามต่อ
“มีอะไรหรือเปล่า พูดได้นะ”
“ไม่มี…” เด็กหนุ่มผิวแทนตอบเสียงแผ่วเบาจนเกล็นไม่ได้ยิน แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนความคิด “จริงๆ คิดว่าเราน่าจะไปบ้านเกิดแมรีแอนน์ก่อนดีไหม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะลูเอลต้า เพราะฉันคิดว่าน่าจะมีเบาะแสอะไรอยู่ที่นั้น”
“เดี๋ยวฉันไปบอกเอราสต์ให้ละกันว่าจะไปลูเอลต้ากันก่อน”
“มะ ไม่ต้องหรอก ฉันคิดว่าพวกผู้ใหญ่น่าจะคิดเหมือนกัน…”
“เอาเหอะน่า ถึงจะคิดเหมือนกันแต่บอกย้ำไว้ก็ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย ดีไม่ดีพวกปู่ยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำมั้ง”
“ถ้าเกล็นว่าแบบนั้นก็ได้” อิกนิสพยักหน้าตกลงกับที่เกล็นเสนอความคิด
“รู้สึกเจ้านั่นจะอยู่ห้องสี่หรือเปล่านะ…”
ว่าแล้วเกล็นก็ลองเดินไปแวะห้องสี่ที่อยู่ถัดไปอีกประมาณสองสามห้อง พอชะเง้อคอมองพ้นบานประตูที่เปิดทิ้งไว้ ก็เห็นรอบตัวเอราสต์มีสาวๆ รายล้อม พวกเขาหัวเราะกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง ทำให้จู่ๆ มีสิ่งหนึ่งแล่นเข้าหัวเกล็นทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้
(จริงสิ รู้สึกว่าเกมนี้ขาดหนุ่มคาสโนว่านี่หว่า)
กลายเป็นว่าการมีอยู่ของเอราสต์หนุ่มต่างถิ่นคนนี้ได้เติมเต็มอะไรสักอย่างในใจของเกล็น ก่อนจะโดนอิกนิสสะกิดเรียกสติคืนมาหลังเห็นเกล็นเหม่อลอยเหมือนคิดนอกเรื่องไปไกล เอราสต์ที่เพิ่งสังเกตการณ์มาของพวกเกล็นจึงบอกลาเหล่านักเรียนหญิง
“มีธุระอะไรเหรอ?” เสียงที่แสนหวานและละมุนหายไปทันทีที่มาคุยกับเกล็นและอิกนิส แต่ไม่วายมีเสียงซุบซิบวี้ดว้ายดังพอจับใจความได้จากพวกสาวๆ ที่คุยประเด็นระหว่างอิกนิสกับเอราสต์ ทำให้เกล็นเสนอไปคุยกันที่อื่นแทน อิกนิสตกลงอย่างว่าง่าย ส่วนเอราสต์ยักไหล่ทีหนึ่งทำเหมือนบอกว่าช่วยไม่ได้ “เอาสิ หวังว่าจะคุยไม่นานนะ เพราะพอดีมีเรื่องที่ต้องทำน่ะ”
“ไม่นานหรอก แค่จะยืมนกหน่อยน่ะ” เกล็นบอกเสียงเรียบและเบาเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“จริงๆ ก็ขอกับคุณชาร์ล็อตได้เลยนี่นา” ทันทีที่เอราสต์พูดจบ เกล็นก็สวนกลับทันควันด้วยน้ำเสียงหน่าย
“เพราะมีเรื่องต้องคุยด้วยน่ะสิ ถึงได้มาหานายไงล่ะ”
เอราสต์จ้องหน้าเกล็นอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตกลง จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามคนก็เดินไปยังโรงเลี้ยงสัตว์ของนักเรียนที่อยู่ใกล้กับบริเวณหอพัก ระหว่างทางก็คุยเรื่องสถานที่ที่อยู่ในใจอย่างลูเอลต้าซึ่งเป็นบ้านเกิดจริงๆ ของแมรีแอนน์
“ฉันว่าพวกผู้ใหญ่ก็คิดได้ล่ะมั้ง ไม่เห็นต้องส่งเรื่องนี้ไปบอกเลยก็ได้”
“ไม่ล่ะ พวกเราอยากย้ำให้แน่ใจเพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดน่ะ” เกล็นเถียงกลับ เพราะเขาไม่อยากนั่งลุ้นว่าจะไปที่ไหน
เมื่ออีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น เอราสต์ก็ยกยิ้มมุมปากพลางส่ายศีรษะเหมือนกำลังสื่อว่าพวกเกล็นคิดมากเกินไปแล้ว ซึ่งนับว่าโชคดีที่คนอยู่ ณ ตรงนี้คืออิกนิส หากเป็นคลาริสขึ้นมาคงได้มีการวางมวยเกิดขึ้นเป็นแน่ อันที่จริงเกล็นก็อยากเท้าเอวไม่พอใจกับอากัปกิริยาของเอราสต์อยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มต่างแดนก็ทำตามคำขอของพวกเกล็นด้วยการส่งข้อความพร้อมรายการการเคลื่อนไหวให้กับผู้ประสานงานซึ่งอยู่เบเลเทีย
“มีเท่านี้สินะ” เอราสต์ถามเพื่อให้เกล็นคิดทวนว่าไม่ลืมอะไร
“แค่นี้แหละ ขอบใจมาก” แล้วเกล็นก็หันไปทางอิกนิสด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วเนอะ”
อิกนิสพยักหน้าตอบรับอย่างโล่งใจที่อีกฝ่ายรับข้อเสนอเขาไปแจ้งกับทางศาสนจักร ทำเอาเกล็นยิ้มกลับอารมณ์ดีราวกับได้ทำความดี
“ไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกัน” เกล็นว่าขึ้น “เพราะเดี๋ยวฉันจะไปทำยาที่ห้องต่อ”
แต่ก่อนจะกลับหอกัน เอราสต์ก็ถามเรื่องหนึ่งกับทั้งสองคน
“จะว่าไป นายรู้หรือเปล่าว่าปกติคุณฟิเลน่าชอบไปที่ไหนเหรอ” เอราสต์ถามเจาะจงตัวบุคคล เกล็นกับอิกนิสสบตากันก่อนที่จะปฏิเสธพร้อมกัน
“ไม่รู้หรอก จะถามไปทำไม” เกล็นย้อนถามอย่างใคร่รู้เป็นพิเศษ ขณะที่ดวงตาสีเงินของเอราสต์เสมองไปทางอื่น
“เปล่า แค่อยากรู้เท่านั้น แต่ในเมื่อพวกนายไม่รู้ก็ช่างมันเถอะ” ว่าแล้วเอราสต์ก็เดินโบกมือลาพวกเกล็นจนหายลับสายตา
“นายว่าเคจจะรู้เรื่องนี้ปะ?” จู่ๆ เกล็นก็ถามเรื่องนี้กับอิกนิสที่ดูเงอะงะไม่เข้าใจความหมายสักเท่าไร ก่อนจะตอบเพื่อนด้วยท่าทีใสซื่อ
“คง…จะรู้มั้ง...”
“นั่นสินะ” เกล็นพยักหน้ารับรู้แล้วพูดเสียงงึมงำในลำคอพร้อมปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย “มีเรื่องให้ใส่ใจแฮะ”
ถึงอยากใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์ที่ชวนน่าสงสัยระหว่างฟิเลน่ากับเอราสต์ แต่เกล็นกลับลืมมันหลังมัววุ่นวายกับโครงการใหม่ที่คิดอยากลองทำน้ำมันหอมระเหยที่สุดท้ายก็พับเก็บเข้ากรุ กระทั่งถึงวันที่นักเรียนปีสองได้ทดลองการศึกษานอกสถานที่ โดยที่แรกคือมณฑลลูเอลต้าบ้านเกิดของแมรีแอนน์ตามที่อิกนิสเคยเสนอไป เท่ากับว่าหากพวกเขาอยากไปที่ไหนก็มีเหตุผลรองรับ เพราะทางเกรกอรี่จะดำเนินการให้ตามขอ
แต่ก่อนที่จะไปตามหาเบาะแส ช่วงวันแรกพวกเกล็นจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับมณฑลนี้ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ อาชีพ และอื่นๆ เสียก่อน จากนั้นค่อยทำรายงานสรุป โดยอาจารย์จะให้เวลาหนึ่งวันในการทำ แล้ววันถัดมาคือวันปล่อยอิสระ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พวกเกล็นจะออกไปสำรวจในคฤหาสน์ตระกูลลูมิเธอร์ที่ถูกปล่อยให้รกร้างนานสิบเจ็ดปี ตอนนี้ทุกคนล้วนแต่งตัวชุดไปรเวทที่ทะมัดทะแมงเหมาะกับการตะลุยดันเจี้ยนเมื่อเทียบเป็นเกม
แมรีแอนน์ผู้เป็นเจ้าของอย่างถูกต้องตามสายเลือดต้องกะพริบตาปริบๆ ที่อดีตบ้านหลังใหญ่ถูกวัชพืชปกคลุมทั่วบริเวณและมีบรรยากาศวังเวงจนเกล็นรู้สึกหวาดหวั่น เขาจึงเขยิบตัวเองไปอยู่ข้างอิกนิส
“แมรีแอนน์ไม่เป็นอะไรใช่ไหม...” ชาร์ล็อตถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เจ้าของชื่อจึงหันไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่ากันตามตรงฉันไม่รู้สึกอะไรกับที่นี่เท่าไร...” แมรีแอนน์ตอบอย่างซื่อตรงว่าเธอไม่มีความรู้สึกโหยหายและไร้ความอาลัยอาวรณ์ “ว่าแต่เราควรแยกตามหาเบาะแสกันดีไหมคะ”
เด็กสาวเสนอความคิด แต่อิกนิสกลับไม่เห็นด้วยที่แยกกลุ่มทำให้ขัดแย้งกับคลาริสที่มองว่าการแบ่งทีมจะช่วยลดเวลา
“ถ้าเจอพวกนั้นขึ้นมาเราจะทำยังไง ฉันรับประกันไม่ได้หรอกนะว่าจะสู้ไหวหรือเปล่า” น้ำเสียงจริงจังจากแฝดคนพี่บอกสาเหตุว่าทำไมถึงไม่ควรแยกกัน “อีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าทางนั้นมีฝีมือขนาดไหน ถ้าเป็นอัศวินเวทจริงยังไงก็เก่งกว่าอยู่แล้ว นายน่าจะเข้าใจเรื่องนี้นะ”
“ฉันเข้าใจอยู่แล้วน่า แต่มันจะเสียเวลาเอาน่ะสิ” คลาริสกอดอกเถียงกลับ
(เอาแล้วไง ดันเป็นตัวเลือกที่ต้องชั่งใจซะด้วยสิ...) เกล็นคิดไม่ตกว่าจะเลือกทางไหนดี ต่างฝ่ายก็มีเหตุผลที่น่ารับฟัง ถ้าเลือกความปลอดภัยก็ต้องเข้าข้างอิกนิส แต่ถ้าต้องการงานเสร็จไวก็เลือกคลาริส ซึ่งใจเขาอยากได้ทั้งสองอย่าง นอกจากความปลอดภัยคนในกลุ่ม การทำเวลาก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะหากหายไปนานจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ และในระหว่างคิดหนักว่าจะเอายังไงดี จู่ๆ เกล็นก็นึกอะไรบางอย่างออก “จริงสิ ตามพล็อตหนังมันชอบเป็นแบบนี้อยู่นี่นา”
“ฉันว่าทำตามอิกนิสน่าจะดีกว่านะ” แล้วจอมเวทประจำกลุ่มก็ตัดสินใจเลือกคำแนะนำของอิกนิส “เพราะเราไม่รู้เลยว่าคฤหาสน์จะมีพวกกับดักหรือเส้นทางลับที่เราไม่รู้จักหรือเปล่า ขืนแยกไปแล้วเจอขึ้นมาแล้วโดนจับแยกมีหวังวุ่นวายตามหาในที่ที่เราไม่รู้จักแหง”
คลาริสเท้าเอว หรี่ตามองเกล็นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ
“มันอาจจะจริงของนาย” แล้วเขาก็เข้าใจที่เกล็นสื่อพลางเหลือบมองอิกนิสซึ่งเป็นเจ้าของความคิด
คุยตกลงกันได้เรียบร้อยว่าจะสำรวจสถานที่ยังไง ทั้งห้าคนจึงย่างกรายเข้าคฤหาสน์หลังโตที่นอกจากจะมีต้นไม้ใบหญ้างอกรกรุงรัง ที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยฝุ่นลอยฟุ้ง ทำเอาชาร์ล็อตต้องจามและรู้สึกไม่ดี เกล็นเลยอยากหาเบาะแสสำคัญให้เสร็จเร็วๆ เพราะกลัวว่าเพื่อนสนิทจะมีอาการแย่กว่านี้
“ฉันกำลังคิดว่าเราลองหาห้องที่เป็นห้องนอนเด็กกัน”
“หมายถึงห้องที่เคยเป็นห้องนอนฉันหรือเปล่าคะ?” แมรีแอนน์ทวนถามเพื่อความเข้าใจตรงกัน เกล็นจึงพยักหน้ายืนยัน
“ถ้าพูดตามสถานการณ์ ที่เกิดเหตุร้ายแรงแบบนั้นขึ้นละก็... สถานที่แรกที่พ่อแม่จะมาคงเป็นห้องนอนลูกที่ยังเป็นทารกอยู่” เกล็นตอบโดยที่หลุบตาลง ไม่กล้าสบมองอดีตเจ้าของบ้าน
“อย่างนั้นเราก็ไปหาห้องนั้นกันเถอะค่ะ แต่มีอีกห้องหนึ่งที่ก็น่าลองไปดูนะ อย่างห้องทำงานหรือห้องสมุด” นอกจากห้องนอนเด็ก แมรีแอนน์ก็เสนออีกสองห้องเป้าหมายที่น่าสนใจ “มันรู้สึกว่าเหมาะสำหรับสร้างห้องลับน่ะค่ะ”
เมื่อตีการค้นหาแคบลง ทุกคนจึงลองตามหาสามห้องที่ว่าก่อน โดยห้องแรกที่เข้าไปคือห้องสมุดซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือเสียหายและเฟอร์นิเจอร์ผุพังที่ไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานาน ทว่าพวกเกล็นก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรจึงพากันย้ายขึ้นชั้นสองหลังตามหาห้องทำงานไม่พบ กระทั่งมาถึงห้องห้องหนึ่งที่มีเตียงนอนทารกตั้งอยู่ ไม่ต้องเดาเลยว่าแมรีแอนน์เคยอยู่ห้องนี้สมัยยังอยู่ที่นี่ เด็กสาวเดินเข้าไปแตะเตียงอย่างเบามือ ไม่มีใครรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้แมรีแอนน์กำลังคิดอะไร เพราะทั้งสีหน้าและแววตาไม่แสดงความรู้สึกอื่นใด ไม่นานแมรีแอนน์ได้ผละจากที่นอนไปยังชั้นหนังสือว่างเปล่าที่เกล็นยืนมองอย่างครุ่นคิด
(ในหนังมันชอบซ่อนหลังตู้หนังสือซะด้วยสิ)
แล้วเกล็นก็จับนู่นนี่เพื่อหากลไกแต่ก็ไม่เจอเหมือนกับห้องก่อนหน้า กระทั่งคลาริสที่ล่วงหน้าไปดูอีกห้องพร้อมพี่ชายก็ได้ตะโกนเรียกคนที่เหลือมารวมตัวยังห้องที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในอีก ซึ่งห้องที่อิกนิสกับคลาริสอยู่ปัจจุบันคือห้องทำงานที่มีสภาพไม่ต่างจากห้องอื่น ทว่ากลับมีสิ่งผิดปกติที่เห็นได้ชัดเต็มสองตา
“คิดว่าใช่ไหม” อิกนิสถามแบบไม่เจาะจงใครเป็นพิเศษกับช่องว่างปริศนาที่อยู่ด้านหลังภาพวาดวิวธรรมชาติขนาดใหญ่กว่าสองเมตรที่เอียงกระเท่เร่
“ไม่ลองดูก็ไม่รู้หรอก” แล้วชาร์ล็อตก็ดันภาพวาดเป็นครั้งแรก อิกนิสเห็นว่าแรงเด็กสาวไม่พอที่จะขยับภาพให้พ้นทางลับจึงเข้าช่วยอีกแรงจนรูปนั้นล้มเกิดเสียงดังลั่นห้องพร้อมฝุ่นที่กระจายฟุ้ง ทำให้คนในห้องทั้งหมดจามไม่หยุด กว่าจะมีสมาธิกับเส้นทางข้างหน้าก็ใช้เวลาหลายนาที
“หวา!” เกล็นอุทานกระโดดโหยงถอยหนีหลบหลังคลาริสทันทีที่เห็นแมงมุมจำนวนหนึ่งวิ่งออกมาจากทางเข้าลับ ชาร์ล็อตเลยอาสาที่จะลงสำรวจและช่วยไล่แมงมุม โดยมีอิกนิสรีบไปเป็นเพื่อน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยชาร์ล็อตก็ได้ส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ ลงมาได้ เมื่อลงมาถึงก็พบว่ามันเป็นเส้นทางบันไดวนแคบๆ ที่ยากจะคาดคะเนถึงจุดสิ้นสุดของมัน เกล็นที่เกาะหลังคลาริสหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง เพราะนอกจากแมงมุมแล้วเขาไม่ถูกกับความมืด คนที่ใช้เวทไฟนำทางเลยเป็นอิกนิส
เมื่อหลุดพ้นจากการเดินลงบันได ทั้งหมดก็มาโผล่ที่ลานกว้าง เกล็นมองแวบเดียวก็เดาออกว่าเป็นห้องใต้ดินที่ซ่อนความลับสไตล์หนังสยองขวัญ เกล็นจึงตัวสั่นกลัวสถานที่และความมืดที่ไม่รู้เลยว่าทางไหนเป็นทางไหน กระทั่งแมรีแอนน์สังเกตที่คบเพลิงซึ่งมีลักษณะคล้ายกับตอนสอบกลางเทอมสมัยปีหนึ่งที่เป็นรางยาวเต็มไปด้วยน้ำมัน เด็กสาวจึงใช้เวทไปจุด เกล็นเลยถอนหายใจโล่งอกที่ได้อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ทว่ามันกลับสร้างบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี
(ฮือ อยากกลับแล้ว) เขาร้องงอแงในใจไม่อยากหาเบาะแสต่อ
“จากนี้เอายังไงต่อ...”
แล้วทั้งห้าคนก็จับกลุ่มปรึกษากัน เพราะจับทางไม่ถูกเลยว่าควรไปตรงไหนก่อนดี แต่ดูเหมือนฟ้ามีตาให้พวกเขาสามารถเดินหน้าต่อได้ เมื่อสร้อยเข็มทิศของแมรีแอนน์ที่สวมมาด้วยมีปฏิกิริยาด้วยการส่องแสงนำทางไปยังจุดที่อยู่ลึกเข้าไป เกล็นเห็นดังนั้นก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก เหงื่อตก รู้สึกไม่สู้ดีนัก
ทั้งหมดเดินตามที่สร้อยนำทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงห้องหนึ่งซึ่งเป็นประตูไม้ขนาดใหญ่แกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม แม้ผ่านไปสิบกว่าปีมันยังคงความแข็งแรงเอาไว้ ทำเอาอิกนิสกับคลาริสต้องออกกำลังสุดแรงเพื่อเปิดประตูที่บานพับถูกสนิมกิน เมื่อเข้ามาได้ก็พบห้องทรงกลมที่ตรงกลางมีแท่นบูชาเหมือนเคยวางอะไรมาก่อน เกล็นกับชาร์ล็อตสำรวจรอบๆ จนสังเกตว่ารอบแท่นหินมีอักขระที่อ่านไม่ออกเขียนเอาไว้
“น่าจะเป็นเวทอาคมหรือเปล่า?” ชาร์ล็อจปรายตามองเพื่อนสนิท
“คงจะใช่ แต่ติดตรงที่จุดเริ่มมันอยู่ตรงไหนนี่สิ” เกล็นที่สมองตื้อคิดไม่ออกลูบคางหลังพยายามลองอ่านข้อความ สุดท้ายก็ถอนหายใจยอมแพ้ “ชาร์ล็อตจัดการที เริ่มจากตรงนี้ละกัน ที่เหลือให้คนรู้แก้เอาเอง”
ว่าแล้วชาร์ล็อตก็หยิบสมุดจดเล่มเล็กและปากกาในกระเป๋าคาดเอวขึ้นมา เนื่องจากเธอเป็นคนที่มีทักษะวาดรูปดีที่สุด ชาร์ล็อตขีดเขียนเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ซึ่งมีเกล็นคอยช่วยดูจุดที่มองข้าม
“เราควรทำสำรองด้วยดีไหม” อิกนิสถามขึ้น นึกสังหรณ์ใจไม่ดีถ้าเกิดสมุดหายขึ้นมา เกล็นจึงพยักหน้ารับคำเสนอ
“ไว้เดี๋ยวกลับเธอก็ลอกเก็บไว้อีกชุดละกัน”
ชาร์ล็อตพยักหน้าตกลงขณะยังคัดอักขระบนแท่นบูชา “เอาล่ะ เสร็จแล้ว”
เด็กสาวพรูลมหายใจและสะบัดมือคลายความเมื่อยล้าที่ต้องจดจ่อกับการคัดลอกอยู่พักใหญ่
“ทีนี้ก็กลับได้แล้วสินะ” คลาริสโพล่งขึ้นที่จะได้ออกสถานที่วังเวงแห่งนี้
“ใช่ๆ ในที่สุดก็ได้กลับสักที ที่เหลือปล่อยให้พวกจอมเวทเขาแข่งกันแกะอาคมเถอะ”
เพราะเป็นเสียงไม่คุ้นหู ทั้งห้าคนต้องหันขวับไปยังต้นเสียงซึ่งเป็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวน้ำทะเล ร่างสูงเพรียวที่ไม่ได้แต่งตัววาบหวิวเหมือนครั้งก่อน หนำซ้ำในมือหล่อนยังจับดาบใหญ่ที่ถูกปักลงพื้น นัยน์ตาสีฟ้าไล่ดูโฉมหน้าของเด็กแต่ละคนที่หน้าถอดสี ก่อนจะผิวปากด้วยความประหลาดใจ
“อะไรกันมีแค่ห้าคนเหรอ นึกว่าจะมาครบแบบตอนสอบสักอีก ฮะๆๆ” หญิงสาวหัวเราะขบขันปนเสียดายที่เธอไม่เจอสมาชิกกลุ่มของเกล็นครบเจ็ดคน
“แต่งชุดเกราะจัดเต็มแบบนี้ หมายความว่าจะเอาจริงเหรอครับ” เกล็นกระตุกยิ้มมุมปากถาม
“ม่ายรู้สินะ” คริสต้าลากเสียงยาวอย่างทะเล้นและเหยียดยิ้มน่าหวาดหวั่น “แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าอยู่มุมนี้ฉันได้เปรียบเต็มๆ เลยล่ะ”
Comments (0)