เกล็นจ๋า” เสียงหวานปานน้ำผึ้งดังขึ้นจากทางข้างหลังเจ้าของชื่อที่ถอนหายใจให้เห็นชัดเจนในระหว่างที่เกล็นกำลังปรุงน้ำจิ้มเพื่อพกไปโรงเรียนอยู่ในครัว พอมือของชาร์ล็อตจับที่ไหล่ทั้งสองข้างแล้วบีบนวด ดวงตาสีดำก็กลอกอย่างเบื่อหน่าย

“ฉันไม่ยอมโดนมูเอลก์ป่าไล่เป็นครั้งที่สามของปีหรอกนะ” เกล็นชิงปฏิเสธไปก่อนจะฟังคำขอของเพื่อนสนิท ได้ยินดังนั้นชาร์ล็อตก็เท้าเอวทำแก้มป่องมองคนตรงหน้าที่ยังหันหลังคุย

“ทำมาเป็นพูด วันสอบกลางภาคตัวเองยังไม่ได้โดนไล่อะไรเลยแท้ๆ” ชาร์ล็อตบ่นอุบที่เกล็นพูดเกินจริงว่าโดนมูเอลก์ป่าไล่ถึงสามครั้งภายในหนึ่งปี ทั้งที่ความจริงเขาเพิ่งโดนไปแค่ครั้งเดียวเมื่อหลายวันก่อน หลังช่วยเหลือเธอตามหาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ภายในป่าแถวบ้าน

“ถึงต่อให้ไม่ได้เข้าป่า ฉันก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น อีกไม่กี่วันต้องกลับโรงเรียน เพราะงั้นหยุดรับภารกิจแล้วเตรียมข้าวของได้แล้ว” เกล็นพูดขณะกรอกของเหลวสีน้ำตาลใสซึ่งมีพริกผสมอยู่ด้วยใส่ขวดแก้ว “ต่อไปก็ซีฟู้ด…”

จากนั้นเด็กหนุ่มก็หยิบส่วนผสมอย่างคล่องมือไว้ตรงหน้า แล้วเริ่มใช้ครกตำให้เข้ากัน

“ลองชิมไหม” เกล็นตักน้ำจิ้มซีฟู้ดยื่นให้ชาร์ล็อตที่เบือนหน้าหนี

“มันเผ็ดจะตาย” เธอว่าพลางนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ที่เคยลองแล้วรู้สึกแปลกกับรสชาติที่ทั้งเผ็ดและเปรี้ยว “ว่าแต่จะเอาของพวกนั้นไปโรงเรียนหรือไง”

“แหม แถวโรงเรียนมีร้านอาหารต่างถิ่นทั้งทีก็น่าพกไปกินคู่กันก็น่าจะดีนี่นา” เกล็นอ้างเหตุผลที่จะนำเหล่าเครื่องปรุงติดโรงเรียน

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ” ชาร์ล็อตกระแอมเปลี่ยนเรื่องคุย “จริงๆ แล้วนะ วันนี้ไม่ได้ชวนป่าหรอกนะ”

น้ำเสียงเด็กสาวกลับมาอดอ้อนอีกหนพร้อมโชว์ใบกระดาษใบหนึ่งให้เกล็นอ่าน

“ก็ใบประกาศทำภารกิจที่กิลด์นี่?” เกล็นหรี่ตาไล่อ่านข้อความก่อนจะผงะทำตาโตมองชาร์ล็อต “เดี๋ยวๆ รับมาทำแล้วเรอะ”

“ใช่น่ะสิ ไม่งั้นจะเอามาให้ดูได้ไง” ชาร์ล็อตหัวเราะฮี่ๆ อารมณ์ดี “เพราะอย่างนั้นเตรียมตัวไปหาแมรีแอนน์กันเถอะ!

“ยะ อย่าบอกนะพอเห็นพี่น้องคู่นั้นไปก็เลยอยากไปมั่งน่ะ” เกล็นเหงื่อตกกับเพื่อนสาวที่อยากไปเยี่ยมแมรีแอนน์ หลังอิกนิสกับคลาริสเขียนจดหมายส่งมา ทำให้ชาร์ล็อตงอแงเป็นเด็กๆ อยู่ทั้งวัน

“ในเมื่อโอกาสมันมาถึงมือขนาดนี้ก็ต้องรีบคว้าไว้สิ ทีนี้พอเปิดเทอมมาจะได้มีเรื่องเล่ากับเขาบ้าง”

“โอ๊ยเนอะ” เด็กหนุ่มอุทานภาษาประหลาดพลางนวดระหว่างคิ้วที่ถูกมัดมือชกให้เก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางเร็วกว่ากำหนดหนึ่งวัน แต่สักพักเกล็นก็นึกถึงอดีตขึ้นมา

“จริงสิ มันมีอีเวนต์ปิดเทอมหน้าร้อนนี่หว่า”

อันที่จริงอีเวนต์นี้ไม่มีอะไรมากก็จริง เนื่องจากตัวละครเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ทว่าก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้หนุ่มๆ ได้เดินทางมายังหมู่บ้านของแมรีแอนน์โดยบังเอิญ ในระหว่างนั้นก็จะมีการตอบคำถามซึ่งถ้าตรงกับใครมากที่สุด นางเอกก็จะเดินเล่นกับหนุ่มคนนั้น เป็นโบนัสไทม์ทำคะแนนเพิ่มเติมให้อุ่นใจว่าอนาคตมีสิทธิ์เข้ารูทของคนคนนั้นสูง

“แต่เท่าที่อ่านจดหมายก็มีแค่อิกนิสกับคลาริสไปเท่านั้นเอง” แม้ว่าอิกนิสที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายจีบได้พบกับนางเอกเกมช่วงปิดเทอมตามเนื้อหาเกม ทว่ามันก็มีความต่างอยู่ เพราะเนื้อหาในจดหมายที่คลาริสเขียนส่งมาให้บอกว่าได้คุยกับแมรีแอนน์ได้ไม่นานก็กลับ เนื่องจากเธอมีธุระอื่นที่ต้องทำต่อ “ช่างมันเถอะ ปกติมันก็ไม่ได้เหมือนกับในเกมแต่แรกแล้วนี่นะ”

เกล็นถอนหายใจปลงๆ เมื่อย้อนรำลึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ตรงกับเกมแบบกลับตาลปัตร จากนั้นเขาก็ไล่ชาร์ล็อตให้กลับบ้านไปเตรียมสัมภาระให้พร้อม ส่วนตัวเองจะแจ้งเรื่องนี้ให้กับคนที่บ้านทราบแต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครตื่นตกใจที่เกล็นจะไปโรงเรียนกะทันหันเท่าไร ทำให้การเตรียมตัวครั้งนี้ของเด็กหนุ่มราบรื่นที่ครอบครัวไม่มาใส่ใจว่าเขาแอบเอาของอะไรเข้าหอบ้าง

“เทอมนี้ครัวลูกป้าเพ็ญมาแล้วเว้ยยย”

 

“ขอโทษด้วยนะจ๊ะ แมรีแอนน์ไปโรงเรียนตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วน่ะ…” เสียงอ่อนแรงจากหญิงสาวคนหนึ่งกล่าวขอโทษเด็กหนุ่มสาวทั้งสองที่เดินทางมาไกลเพื่อมาเยี่ยมแมรีแอนน์ ทว่าการมาหมู่บ้านชนบทที่สงบสุขซึ่งตั้งห่างอยู่ตัวเมืองไม่ไกลก็ต้องสูญเปล่า

“ไม่น่าประมาทเลยเรา” ชาร์ล็อตบ่นงึมงำที่ชะล่าใจตื่นสาย “แต่ทางพวกเราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวนโดยไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถ้าเด็กคนนั้นรู้ต้องดีใจมากแน่ๆ” สตรีรูปร่างผอมและตัวเล็ก เรือนผมสีเขียวอ่อนยาวถึงกลางหลังและปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนแผลเป็น หัวเราะคิกดีใจที่ลูกสาวมีเพื่อนมาหาถึงสองครั้ง แม้ว่าดวงตาสีม่วงเข้มฉายแววความเหนื่อยล้าอยู่เป็นนิจ “ว่าแต่พวกเธอคงเป็นเกล็นกับชาร์ล็อตสินะจ๊ะ”

“เอ๊ะ? รู้ด้วยเหรอคะว่าพวกเราคือใคร” ชาร์ล็อตกะพริบตาปริบๆ อย่างประหลาดใจที่มิเดียเน่ ไบรธ์ ม่ของแมรีแอนน์เดาถูก

“จ๊ะ พอแมรีแอนน์กลับมาจากโรงเรียนก็เล่าเรื่องหลายอย่างให้ฟังเลยน่ะ” มิเดียเน่บอกเหตุผลให้เด็กทั้งสองฟัง “เพราะอย่างนั้นต้องขอบคุณจริงๆ นะที่เป็นเพื่อนกับแมรีแอนน์ บอกตามตรงน้ากังวลอยู่เหมือนกันว่าเขาจะเข้ากับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนได้หรือเปล่า แต่เท่านี้ก็อุ่นใจได้แล้วล่ะ เพื่อเป็นการตอบแทนเดี๋ยวจะชงชาให้ดื่มนะ พักผ่อนได้ตามสบายเลยนะ อุตส่าห์มาจากมอสเซียน่าเลยนี่นา”

ว่าแล้วหญิงสาวก็ได้ผายมือเชิญชวนเข้ามาในตัวบ้าน ทั้งเกล็นกับชาร์ล็อตต่างสบตาราวกับถามความคิดเห็นผ่านทางโทรจิตว่าจะอยู่ต่อหรือรีบไปดี เพราะเกรงใจเจ้าของบ้านที่ดูแล้วสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงตามที่แมรีแอนน์เคยบอกเอาไว้ แต่พอบอกว่าจะขอตัวไปโรงเรียนทันที สีหน้าของมิเดียเน่กลับดูเศร้าเกินกว่าจะปฏิเสธ ชาร์ล็อตที่ใจอ่อนก็เลยพูดเรื่องหนึ่งที่ทำให้พวกเขายังสามารถอยู่บ้านหลังนี้ต่อได้อีกสักพัก

“เพื่อนหนูที่มาหาแมรีแอนน์ก่อนหน้านี้บอกว่าคุณน้าชงชาของสุรัชตาเป็น พวกหนูขอลองชิมได้ไหมคะ”

“ชาร์ล็อต” เกล็นทำเสียงตำหนิที่เด็กสาวเสียมารยาทที่ระบุชนิดเครื่องดื่ม

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ” มิเดียเน่ยิ้มบอกเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าสดใสที่เด็กทั้งสองคนอยู่ต่อ

จากนั้นทั้งหมดจึงเดินเข้าในตัวบ้านซึ่งเป็นโต๊ะรับประทานอาหารของครอบครับไบล์ธ ส่วนมิเดียเน่หายตัวไปด้านในครัวเพื่อชงชาและจัดขนมมาให้แขก ไม่นานน้ำชารสชาติแปลกลิ้นก็ถูกเสิร์ฟมาพร้อมกับขนมสำหรับทานคู่กัน

ทั้งสามคนคุยเรื่องของแมรีแอนน์ว่าอยู่โรงเรียนเป็นยังไง ซึ่งผู้เป็นแม่ได้ยินก็รู้สึกโล่งอกที่ลูกสาวเป็นที่รักของเพื่อนๆ หนำซ้ำยังเป็นที่รักของอาจารย์อีกด้วย ยิ่งทำให้มิเดียเน่ลดความเป็นห่วงได้มากขึ้น สักพักบทสนทนาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างเช่นสภาพแวดล้อมและอากาศที่แตกต่างกัน หรือหันมาสนใจยาดมที่เกล็นทำเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามกระปุก หญิงสาวดูถูกใจเป็นอย่างมากกับกลิ่นหอมสดชื่นจนเธอรู้สึกหายใจได้เต็มปอดมากกว่าปกติ

ทว่าระหว่างที่คุยกันเพลินๆ จู่ๆ กลับมีคำถามประหลาดจากเกล็น หลังที่พวกเขาวกกลับมาคุยเรื่องโรงเรียนอีกหน

“แต่ตอนสอบนึกว่าตัวเองจะตาฝาดซะอีก คิดว่าสร้อยแมรีแอนน์ส่องแสงได้”

“สร้อยเหรอ?” มิเดียเน่ทวนประโยคและแสดงสีหน้าวิตกกังวลไม่มั่นใจ “เอ… น้าเคยให้ไปด้วยเหรอ จำได้ว่าไม่เคยซื้อให้นะ เส้นที่มีอยู่ก็ไม่เคยให้ด้วย… เดี๋ยวขอตัวไปก่อนนะจ๊ะ”

“ปะ เปล่าครับ” เกล็นร้องรั้งตัวหญิงสาวที่เตรียมลุกไปดูทรัพย์สินในบ้าน “คือผมคิดไปเองว่าแมรีแอนน์สวมสร้อยแล้วมันส่องแสงน่ะครับ เพราะผมถามแล้วเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้ใส่น่ะครับ”

“งั้นเหรอจ๊ะ เฮ้อ…” มิเดียเน่ถอนหายใจระบายความโล่งอก “ขอโทษที่เสียมารยาทนะ คือเส้นที่ว่าน้าตั้งใจเก็บไปขายเผื่อฉุกเฉินน่ะ ถ้าให้ไปก็คงขอคืนไม่ได้ ถึงแมรีแอนน์จะเข้าใจสถานการณ์ที่บ้านก็เถอะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันก็แค่… เข้าใจผิดกันนิดหน่อย” เกล็นปั้นหน้ายิ้มราวกับไม่มีความในใจ ทั้งที่มีอีกหลายข้อสงสัยที่ต้องการคำตอบ

“ขืนถามมากไปเดี๋ยวจะโดนสงสัยเอาได้แฮะ… พอแค่นี้ก่อนดีกว่า”

ถึงจะไม่มีช่องโหว่ให้ถามเกี่ยวกับดาบประจำตระกูล แต่เกล็นพอจะสรุปเรื่องราวได้เล็กน้อย เพราะถ้าคิดตามหลักแล้วในเมื่อโรงเรียนเขียนระบุในเอกสารว่าอนุญาตให้ใช้อาวุธส่วนตัวในการเรียนได้ ปกติคนเราก็มักจะเอาของที่มีอยู่แล้วติดตัวไปด้วย ตัวอย่างเช่นจูเลียสกับคู่แฝดที่ใช้ดาบส่วนตัวในการใช้เรียน อีกทั้งพ่อบุญธรรมของแมรีแอนน์เป็นช่างไม้ ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บดาบ สู้ให้ลูกเอาไปใช้เรียนเลยดีกว่า ส่วนเรื่องขายเอาเงินเกล็นปัดตกทันที เขาเชื่อว่าของสำคัญระดับนี้น่าจะมีกลไกบางอย่างที่ทำให้ดาบนั้นไม่ไปตกอยู่ในมือคนอื่น ผิดกับสร้อยที่ความเป็นไปได้เยอะแยะว่าทำไมมิเดียเน่ถึงไม่ให้ หรือไม่ก็อาจจะเอาไปใส่เองก็ยังได้

ไหนจะทรมานตัวเองด้วยการเดินทางไปรับแมรีแอนน์ถึงเบเลเทียอีก ส่วนสาเหตุที่เขาคิดมากในเรื่องนี้ก็เป็นเพราะที่นั่นสุสานของตระกูลลูมิเธอร์อยู่ หรือก็คือพ่อแท้ๆ ของแมรีแอนน์ถูกฝังอยู่ที่เบเลเทีย ดังนั้นผู้หญิงคนนี้กำลังปิดปังอะไรที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ แต่จากการพูดคุยกับมิเดียเน่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางส่องพิรุธอะไรออกมา

นี่ยังไม่นับเรื่องชาจายของสุรัตชา เพราะในจดหมายคลาริสเขียนชัดเจนเลยว่ามิเดียเน่สามารถชงชานี้ได้อย่างคล่องแคล่ว มันแปลกมากที่คนลุสกลอเรียซึ่งไม่ได้คลุกคลีกับชาวสุรัชตาจะรู้จักวิธีการชง

“เอาเถอะ เดี๋ยวแม่ของจูเลียสคงจัดการต่อให้เอง ถึงตอนนั้นค่อยถามปู่แกเอาทีหลังก็ได้” ต่อให้เกรกอรี่จะห้ามองค์ราชินีไม่ให้พบกับมิเดียเน่ แต่เกล็นเชื่อว่ายังไงเซซิเลียคงหาทางมาเจอเพื่อนให้ได้ ไม่มีทางที่คนคนนั้นจะอยู่เฉยๆ ในเมื่อพวกหล่อนถูกพรากจากกันถึงสิบหกปี

“ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับน้ำชา อร่อยมากครับ” เกล็นบอกลาเป็นสัญญาณให้ชาร์ล็อตเตรียมตัวเดินทางไปโรงเรียนต่อ เด็กสาวจึงลุกพร้อมผงกศีรษะเป็นการอำลา

“ไว้มีโอกาสจะมาเยี่ยมอีกนะคะ”

“คิกๆ ด้วยความยินดีจ๊ะ”

จากนั้นเด็กหนุ่มสาวทั้งสองก็ได้ออกจากบ้าน โดยมีเกล็นเปิดประตูให้ชาร์ล็อตออกไปก่อน แต่พอเขาย่างเท้าพ้นธรณีประตู เสียงของมิเดียเน่ก็ทักเรียกความสนใจให้เด็กหนุ่มเหลียวหลังมา นัยน์ตาสีม่วงเข้มที่เห็นเพียงข้างเดียวกำลังส่องประกายเหมือนพบความหวัง ริมฝีปากบางซีดคลี่ยิ้มละมุน

“แมรีแอนน์น่ะชอบพูดถึงเธอบ่อยๆ มากเลยล่ะ น้าดีใจจริงๆ ที่ได้พบเธอ”

“อา… ครับ…” เกล็นก้มหน้าลงเล็กน้อยซ่อนอาการเขินหลังถูกอีกฝ่ายชม

“น้านึกไม่ออกเลยว่า ถ้าเด็กคนนั้นไม่ได้เจอเธอวันนั้นจะเป็นยังไงบ้าง… เพราะฉะนั้นขอบใจนะ”

“ระ เรื่องนั้นผมว่า บะ บอกกับชาร์ล็อตน่าจะดีกว่านะครับ” เขาว่าเสียงตะกุกตะกักพยายามปรับอารมณ์ให้คงที่ “เพราะเขาเป็นคนแรกที่คุยกับแมรีแอนน์”

มิเดียเน่ไม่ได้ตอบทันที ทำเพียงส่งยิ้มหวานมีลับลมคมใน “งั้นหรือจ๊ะ แต่น่าเสียดายนะที่เขาขึ้นรถไปซะแล้ว”

ว่าแล้วร่างผอมก็ชะโงกมองข้ามหลังเด็กหนุ่มดูชาร์ล็อตที่นั่งรออยู่ด้านในรถ

“ตายจริง พวกเธอต้องรีบไปโรงเรียนแล้วนี่เนอะ ขอโทษด้วยนะที่รั้งตัวเอาไว้ เพราะงั้นน้าขอรบกวนฝากดูแลแมรีแอนน์แทนทีนะ”

“ได้ครับ… เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมจะช่วยอยู่เป็นเพื่อนแมรีแอนน์เองครับ” เกล็นตอบพร้อมตั้งคำถามในใจเกี่ยวกับภาพสุดท้ายที่เขาเห็น เพราะสิ่งที่ควรเห็นน่าจะเป็นรอยยิ้มแจ่มใสของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีแววตาเปล่งประกาย ไม่ใช่รอยยิ้มที่แฝงความเศร้าสร้อยไว้ในดวงตาคู่นั้นราวกับว่าภายในใจของเธอนั้นยังเต็มไปด้วยความปั่นป่วนที่หาทางแก้ไขไม่ได้