ก่อนจะถึงวันเกิดของพี่น้องฝาแฝดอิกนิสกับคลาริส พวกเกล็นต้องเผชิญหน้ากับการสอบกลางภาคเสียก่อน ที่ไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่าสำหรับข้อสอบของสายวิชาการ แต่ในขณะที่ภาคปฏิบัติเป็นการสอบแบบกลุ่ม ถ้าโชคดีก็อาจจะได้เพื่อนร่วมทีมที่ดีจนสามารถฝ่าฝันอุปสรรคได้สบายๆ ซึ่งเกล็นก็ได้สมาชิกกลุ่มดั่งหวัง ถึงแม้ว่า...

“ก็ถือว่ามีหน่วยพยาบาลประจำกลุ่มละนะ”

เกล็นแอบเหลือบมองฟิเลน่าที่เดินกอดอกทำสีหน้าเรียบอยู่รั้งท้ายกลุ่ม ซึ่งเธอเป็นคนที่โดดเด่นด้านเวทรักษา เขาเลยรู้สึกอุ่นใจอยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่รู้ว่าคุณหนูจะมีฝีมือขนาดไหน แต่อย่างน้อยๆ พอรักษาบาดแผลภายนอกได้ก็พอ

โดยตอนนี้พวกเกล็นกำลังเดินอยู่ในมิติพิศวงที่เคยเข้าไปช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ เพื่อปรับตัวพร้อมรับมือกับการสอบปลายภาคที่จะใช้ป่าหลังโรงเรียนเป็นสนามจริง

และแน่นอนว่าปัญหาที่เคยทะเลาะกันระหว่างแมรีแอนน์และชาร์ล็อต จึงทำให้บรรยากาศของกลุ่มพูดไม่ออกบอกไม่ถูกที่มีฟิเลน่าอยู่ร่วมกลุ่ม จนกระทั่งคลาริสบ่นขณะก้าวเท้าขึ้นเนินอยู่สักพักใหญ่ ทุกคนจึงหันมาสนใจเกี่ยวกับการสอบมากขึ้น

“จริงๆ เราอาจจะกำลังเดินขึ้นเขาอยู่ก็ได้นะครับ” จูเลียสที่ก้มหน้ามองพื้นพูดขึ้นตามที่ตัวเองรู้สึก เพราะตั้งแต่เข้ามาในมิตินี้ นักเรียนทุกคนก็อยู่ท่ามกลางป่าเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีใครรู้เลยว่าจุดที่ยืนรอบด้านเป็นอะไร

“ไม่แน่นะเราอาจจะยืนอยู่บนหลังกราวน์เทอเทิลก็ได้” ชาร์ล็อตหัวเราะขึ้นจินตนาการถึงเต่าขนาดยักษ์ที่กระดองของมันเต็มไปต้นไม้ใบหญ้าราวกับเป็นป่าขนาดจิ๋ว อีกทั้งเรื่องเล่าในอดีตเล่าขานว่าขนาดใหญ่พอๆ กับภูเขา คนที่ฟังอยู่ได้แค่ยิ้มหวังว่ามันไม่เป็นจริง เพราะการที่อยู่ในมิติประหลาดนี้อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้

“ไร้สาระ!” คลาริสแย้งขึ้นเสียงห้วน “ถ้าเป็นเต่าจริง ปานนี้คงไม่ได้เดินสบายๆ แบบนี้หรอก”

พูดไม่ทันขาดคำ จู่ๆ ก็เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรงตามมาด้วยการแตกของหน้าดิน ทุกคนรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ความเร็วไม่มากพอ เมื่อแผ่นดินค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากทางข้างหน้า เด็กหนุ่มสาวต่างพากันหลบออกด้านข้างทำให้พวกเขาแยกออกเป็นสองกลุ่ม เกล็นที่เห็นสมาชิกอีกด้านคือคลาริส อิกนิส และจูเลียส ก็ต้องโวยวายไม่เป็นภาษาปัจจุบัน

“(ทำไมคนเก่งมันไปอยู่ฝั่งนู้นหมดเลยวะ!!)”

กว่าทุกอย่างจะสงบก็อีกหลายนาทีให้หลัง เกล็นที่ถูกจับแยกตอนนี้อยู่กับสามสาว ชาร์ล็อต แมรีแอนน์ และฟิเลน่า ที่เงียบใส่กันหลังรู้ว่าต้องอยู่กันตามลำพัง เกล็นเหงื่อตกที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่ม แถมยังไม่รู้ว่าหลังจากนี้ควรทำอะไรต่อ

“เอ่อ... เราไปตามหาคนอื่นกันดีกว่าค่ะ” แมรีแอนน์พูดขึ้นเมื่อเห็นชาร์ล็อตทำตัวอึมครึมใส่ฟิเลน่า เพราะตั้งแต่มีปากเสียงกันคราวนั้น ทั้งสองคนก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกันอีกเลย หากเดินผ่านต่างคนก็ต่างทำหน้าเชิดใส่กัน

“เห็นด้วย เพราะตรงนี้ไม่มีใครเก่งวิชาดาบเลยสักคน” ฟิเลน่าที่พกพัดติดตัวมาด้วยสะบัดกางแล้วใช้มันคลายความร้อน

“งั้นก็เดินตามรอยแยกนี่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอจุดที่กระโดดไปได้ละกัน” ชาร์ล็อตบอกเสียงแข็งกระด้าง ทั้งสองสาวจึงจ้องเขม็งใส่กันด้วยความรู้สึกไม่ชอบน้ำเสียงของอีกฝ่าย แมรีแอนน์ที่เป็นคนกลางก็ต้องคอยปรามให้ชาร์ล็อตและฟิเลน่าว่าตอนนี้พวกเขายังอยู่ในการสอบ ไม่รู้ว่าอนาคตมิติพิศวงนี้จะส่งสัตว์ชนิดไหนมาทดสอบความสามารถ

หลังจากนั้นทั้งสี่คนจึงเดินในลักษณะแถวตอนเรียงหนึ่ง โดยมีเกล็นเป็นคนที่เดินอยู่ท้ายแถวทำให้สังเกตเห็นท่าทางของเด็กสาวทั้งสามได้ชัดเจน ชาร์ล็อตที่อาสาเป็นคนดูเส้นทางให้อยู่ด้านหน้าสุด แมรีแอนน์เดินอยู่ตรงกลางได้แสดงความกังวลต่อความสัมพันธ์ของเพื่อนสาว เพราะฟิเลน่าเอาแต่เบือนหน้ามองข้างทางทำเหมือนไม่ใส่ใจเพื่อนร่วมทาง

“หวังว่าพวกคลาริสจะใช้วิธีเดียวกับเรานะคะ...” แมรีแอนน์พยายามพูดสร้างบรรยากาศ ทว่าทั้งชาร์ล็อตกับฟิเลน่าต่างถามคำตอบคำไม่ต่างกันเลย

“แบบนี้จะรอดหรือเปล่าเนี่ย...” เกล็นลูบอกขอให้การสอบกลางภาคเป็นไปด้วยดี ต่อให้สองคนนี้ยังไม่สนิทใจกันเลยก็ตาม “คงรอดแหละ!

“จะ จริงสิ! ตอนสอบข้อเขียนเป็นยังไงบ้างเหรอ?” เกล็นถามขึ้นท่ามกลางความเงียบหวังช่วยแมรีแอนน์ แต่ดูเหมือนว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด เพราะชาร์ล็อตเงียบกริบไม่ตอบอะไร มีแค่คุณหนูเท่านั้นที่ตอบโต้เขาบ้าง

“ก็ไม่เท่าไร”

แล้วก็ไม่มีใครพูดต่ออีกเลย แม้แต่แมรีแอนน์เองก็ตอบให้ได้สั้นๆ ว่าพอถูพอไถกับข้อสอบที่ผ่านมา

หลังจากนั้นรอบด้านพลันเงียบนอกจากเสียงธรรมชาติที่มีลมพัดกระทบกับใบไม้ให้สั่นไหว

“ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย...” ตอนนี้เกล็นเครียดจนท้องไส้ปั่นป่วน เขาไม่รู้จะแก้ไขปัญหาที่ว่ายังไงดี

ในระหว่างเดินอยู่ดีๆ ชาร์ล็อตกลับหยุดเดินดื้อๆ แต่พอแมรีแอนน์จะถามว่ามีอะไร เธอก็ทำนิ้วจุ๊ปากขอให้อีกฝ่ายเงียบ จากท่าทางของชาร์ล็อตทำให้ทุกคนเงี่ยหูฟังหาเสียงที่ผิดปกติช่วย ไม่นานเกล็นก็เริ่มได้ยินเสียงแซ่กๆ เหมือนกำลังมีอะไรบางอย่างดังออกมาจากรอยแยก สีหน้าเขาซีดก่อนที่จะได้เห็นต้นตอของเสียงนั่น เพราะจินตนาการไปแล้วว่าต้องมีตัวอะไรโผล่มาแน่ แล้วเป็นอย่างที่คิดเมื่อร่างของมดตัวสีแดงซึ่งมีขนาดตัวใหญ่เกือบท่าเท้าปรากฏตัวขึ้นมาเป็นฝูง ทั้งเกล็นทั้งฟิเลน่าส่งเสียงกรีดร้องพร้อมกัน แล้วพากันวิ่งหนีตกใจ

เหล่ามดที่คิดว่าเหล่าเด็กๆ คือผู้บุกรุกก็วิ่งโจมตีเพื่อปกป้องรังซึ่งอยู่ใต้ดินของมัน กว่าเกล็นจะได้สติก็เอาตอนวิ่งจนหอบหายใจแรง เด็กหนุ่มผมฟ้าเอี้ยวหลังใช้เวทไฟขับไล่ซึ่งมันได้ผลตามคาด เรียกความกล้าของเกล็นเพิ่มมากขึ้นที่จะต่อกรกับสัตว์อสูรซึ่งแตกตื่นกับเปลวเพลิง

“ใช้ไฟไล่มัน!” เกล็นตะโกนบอกทุกคน แมรีแอนน์จึงใช้เวทตาม แล้วช่วยกันต้อนพวกมดกลับ เพราะเป็นฝ่ายเหนือกว่าเด็กหนุ่มได้ส่งเสียงหัวเราะสะใจ หลังเห็นว่ามดต่างหนีพวกเขาไปแล้ว

“นึกว่าจะไม่รอดแล้วนะคะ” แมรีแอนน์ขบขันเสียงแห้งตาม ก่อนจะหันไปถามกับต้นไม้ที่เธอเข้าใจผิดว่าเป็นชาร์ล็อต “ชาร์ล็อตไม่เป็น… เอ๊ะ…?”

จากนั้นแมรีแอนน์ก็หมุนศีรษะไปอีกทางหนึ่ง ทว่าเธอก็ไม่เจอชาร์ล็อตยืนอยู่ใกล้ๆ เช่นเคย เด็กสาวจึงพยายามเดินไม่ออกห่างจากเกล็นไกลนัก ซึ่งไม่ว่าไปตรงไหนแมรีแอนน์ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชาร์ล็อต รวททั้งไม่เจอฟิเลน่าอีกด้วย เธอเกิดอาการตื่นตระหนักรีบกลับไปหาเกล็น

“ชะ ชาร์ล็อตกับฟิเลน่า ไม่อยู่ค่ะ!” แมรีแอนน์บอกเสียงตะกุกตะกักทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เกล็นที่ได้ยินก็อึ้งไปเสี้ยววินาที ก่อนจะหน้าถอดสีโวยวายไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจอเหตุการณ์ซ้ำรอยภายในวันเดียว

“ทำไมมีแต่เรื่องทำให้แยกกันด้วยยย!

“รีบไปตามหากันเถอะ! ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะเจอตัวอะไรอีก” เกล็นรีบบอกพร้อมก้าวเท้านำหน้า เร่งค้นหาตัวชาร์ล็อตกับฟิเลน่า ซึ่งคนที่เขาห่วงมาที่สุดคงเป็นคุณหนูมากกว่าเพื่อนวัยเด็ก เพราะอย่างน้อยๆ ชาร์ล็อตก็มีความรู้เอาตัวรอดจากสัตว์อสูรได้ แต่ฟิเลน่าเธอไม่เคยเจออะไรพวกนี้มาก่อน อาจจะเกิดอันตรายแบบที่คาดไม่ถึง

แมรีแอนน์พยักหน้าตามเกล็นไปติดๆ กระนั้นเธอก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ละ แล้วอีกสามคนที่เหลือละคะ?”

“สามคนนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ไหวอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มตอบเสียงมั่นใจ ช่วยให้แมรีแอนน์คลายกังวลได้บ้าง ถึงแมรีแอนน์จะล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนจะกำของบางอย่างข้างใน

ทั้งคู่ออกตามหาชาร์ล็อตกับฟิเลน่าท่ามกลางป่าที่ต้องคอยระวังสัตว์อสูรบุกจู่โจมไปด้วย ทว่าทุกครั้งที่ตะโกนเรียกชื่อออกไปกลับได้ความเงียบเป็นคำตอบ กลายเป็นว่าพวกเกล็นต้องเดินลึกเข้าไปด้านในมากขึ้นโดยไม่รู้เลยว่าจะมีสัตว์ชนิดไหนคอยอยู่ กระทั่งเกล็นได้ยินเสียงจากที่ไกลๆ คล้ายเสียงคน เขารีบชี้ไปทางต้นเสียงเรียกแมรีแอนน์ให้หันทางทิศเดียวกัน

“แมรีแอนน์! ฉันได้ยินเสียงจากทางนั้น!

แม้ไม่รู้เป็นเสียงคนจริงหรือไม่ แต่มันเป็นเบาะแสเดียวที่จะใช้ตามหาคนอื่นๆ พอยิ่งเข้าไปใกล้มากขึ้น เกล็นกับแมรีแอนน์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสัตว์ดังถอยห่างออกไป เส้นทางที่วิ่งผ่านคาดว่าน่าจะเป็นสัตว์ที่มีขนาดตัวใหญ่เคยอยู่แถวนี้และกำลังโจมตีอะไรอยู่ ทำให้ทั้งคู่หน้าซีดกลัวว่าสิ่งที่มันไล่อยู่อาจจะเป็นเพื่อนของพวกเขา เกล็นจึงเตรียมตัวโต้กลับหากสิ่งมีชีวิตปริศนาย้อนกลับมาเล่นงาน ส่วนแมรีแอนน์พยายามกวาดสายตามองหาชาร์ล็อตกับฟิเลน่าต่อไป

“ชาร์ล็อต! ฟิเลน่า! อยู่ไหนคะ!?

ยังไม่มีเสียงตอบจากทั้งสองชื่อ และเสียงโครมครามคล้ายต้นไม้หักกับเสียงร้องทุ้มที่ดังลั่นกลางป่า แมรีแอนน์สีหน้าตึงเครียดมากกว่าเดิม อีกทั้งยังเริ่มหอบหายใจแรงจากอาการตื่นกลัว ด้านเกล็นที่ได้ยินเสียงจากสัตว์ที่ทำร้ายพื้นที่ป่า เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือตัวอะไร

“ยะ แย่แล้ว! เสียงของมูเอลก์ป่า!!” เกล็นหน้าถอดสียิ่งกว่าเดิม

จริงอยู่ว่ามูเอลก์คือสัตว์ที่คนใช้เทียมรถกัน ทว่ามันถูกจับฝึกและเพาะพันธุ์ให้คุ้นชินกับมนุษย์สำหรับการใช้งาน ในทางกลับกันมูเอลก์ป่าแม้จะเป็นสัตว์กินพืช แต่พฤติกรรมของมันดุร้ายอันดับต้นๆ ของป่า อีกทั้งมันมีขนาดตัวที่ใหญ่พอจะทำร้ายคนคนหนึ่งถึงชีวิตได้ เกล็นจึงรีบบอกวิธีป้องกันตัวเบื้องต้นกับแมรีแอนน์ก่อนจะพบตัวมัน

“แมรีแอนน์ถ้าเจอมูเอลก์ให้หลบอยู่หลังต้นไม้นะ!

ทีงี้เอาไงต่อดีล่ะ ถ้าเป็นชาร์ล็อตก็เอาตัวรอดได้แน่ แต่ถ้าเป็นยัยคุณหนูนี่ต้องหาวิธีเบนความสนใจ” เกล็นใช้งานสมองให้หนักที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อหาทางช่วยใครสักคนที่กำลังโดนมูเอลก์ไล่ “แต่จะว่าไปไม่ยักจะได้ยินคนกรี๊ดเลยนะ”

เด็กหนุ่มเอะใจที่ไม่ได้ยินเสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งที่ตอนแรกเกล็นมาที่นี่ก็เพราะได้ยินเสียงคน แต่นั่นก็ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น เขาต้องตามตัวชาร์ล็อตกับฟิเลน่าให้พบแล้วค่อยถามเรื่องราวหลังเหตุการณ์สงบ ทว่าในจังหวะที่วิ่งตาม เกล็นถูกอะไรบางอย่างดึงเสื้อเอาไว้ เขารีบสะบัดและหันกลับไปมองด้วยความตกใจคิดว่าจะเจอศัตรูเพิ่ม แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเด็กสาวผมยาวลอนสีชมพูกำลังยืนตัวสั่น

“ขวัญเอ๋ยขวัญมา” เกล็นลูบอกถอนหายใจโล่งอก

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

ฟิเลน่าส่ายหน้าตอบแล้วชี้ตรงไปจุดที่มูเอลก์ป่าวิ่งไป ซึ่งมันเป็นเส้นทางที่มีร่องรอยถูกทำลายเห็นชัดเจน “ยะ ยัยนั่นวิ่งไปทางนั้น”

“พอเข้าใจแล้ว” เกล็นพยักหน้าเข้าใจคาดคะเนว่าชาร์ล็อตน่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ฟิเลน่ารอดจากการตกเป็นเป้าหมายจู่โจมของมูเอลก์ป่า “ส่วนใหญ่มูเอลก์มักอยู่ตัวเดียวก็จริง แต่พยายามหลบแถวต้นไม้ดีๆ ล่ะ”

เกล็นย้ำกับฟิเลน่าและฝากแมรีแอนน์ที่เข้ามารวมกลุ่มคอยดูแล “ฉันจะตามชาร์ล็อตไป”

ว่าจบเกล็นได้พุ่งตัวไปตามเส้นทางที่ถูกมูเอลก์ทำลาย เขาซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ พร้อมพยายามเรียกหาชาร์ล็อต แต่ยังไม่ทันเห็นตัวมูเอลก์ว่าอยู่ตรงไหน เกล็นก็ถูกมือดีปาก้อนหินปริศนาใส่หัว พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบชาร์ล็อตที่กำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์ ใจเขาอยากส่งเสียงโวยวาย ทว่าเกล็นต้องยกมือปิดปากเงียบเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นจุดสนใจมูเอลก์หันกลับมาจุดเดิม เสียงฝีเท้าของมันห่างออกไปเรื่อยๆ จนเงียบลง ทั้งเกล็นกับชาร์ล็อตพักหายใจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เด็กสาวผมแดงจะปีนลงมา

“ตามมาเพราะเสียงมูเอลก์สินะ” ชาร์ล็อตถามถึงสาเหตุที่เกล็นปรากฏตัวมาอยู่ตรงนี้

“ก็ใช่น่ะสิ ว่าแต่เธอยังสบายอยู่ได้นะ ทั้งที่สองคนนั้นกลัวแทบตาย”

“แหม เธอก็น่าจะรู้ว่าคนเมืองเราหลบมูเอลก์กันจนชิน” ถึงปากจะพูดแบบนั้นและเป็นความจริงที่ชาวเมืองบ้านเกิดพวกเขาชินกับการรับมือมูเอลก์ ทว่าเกล็นกลับสังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณมือของชาร์ล็อตได้จึงรีบคว้าขึ้นดูก่อนที่หล่อนจะเอาไปซ่อนด้านหลัง

“เพราะปีนต้นไม้?” เกล็นเลิกคิ้วถามกับบาดแผลบนฝ่ามือ

“มะ ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกตัวเอาเมื่อกี้…” ชาร์ล็อตตอบอย่างไม่มั่นใจว่าเริ่มได้แผลมาตอนไหน เพราะช่วงที่วิ่งหนีมูเอลก์เธอไม่ได้คิดอย่างอื่นนอกจากเอาตัวรอดอย่างเดียว

“เอาเถอะ เดี๋ยวกลับไปค่อยรักษาก็แล้วกัน มือเจ็บแบบนั้นสอบต่อไม่ได้หรอก”

แล้วเกล็นก็เดินนำหน้าชาร์ล็อตพาไปหาแมรีแอนน์กับฟิเลน่าที่นั่งปลอบประโลมกันอยู่ ฟิเลน่าที่เห็นชาร์ล็อตก็ลุกขึ้นไปโผกอดจนคนเหตุการณ์ทั้งสามต่างทำตาโตกับสิ่งที่คุณหนูทำ แต่แทนที่จะเป็นคำขอบคุณเจ้าตัวกลับแว้ดเสียงสูงแทน

“หล่อนทำบ้าอะไรลงไปน่ะ! ปากบอกให้หลบหลังต้นไม้แท้ๆ แต่ตัวเองกลับวิ่งหนีไปไหนก็ไม่รู้”

“นี่! ฉันช่วยเธอออกมาจากมูเอลก์นะยะ!” ชาร์ล็อตคิ้วกระตุกและชี้นิ้วใส่ฟิเลน่าที่ชักสีหน้าเดือดดาดทั้งๆ ที่น้ำตาคลอเบ้า “หรือจะบอกว่าไม่ได้ขอให้ช่วยหรือไงมิทราบ”

“แล้วไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไง!?

“เอ่อ… ก็ไม่ได้จะเข้าข้างชาร์ล็อตนะ แต่กับมูเอลก์ป่าต้องใช้วิธีนั้นอยู่แล้วน่ะ…” เกล็นเข้ามาขวางการโต้เถียงของทั้งคู่ “อีกอย่างพวกเราก็รู้วิธีจัดการอยู่แล้ว”

“คิดว่ารู้วิธีหนีแล้วจะทำให้คนอื่นเขาโล่งใจหรือไง!?” ฟิเลน่าเท้าเอวพร้อมตวัดสายตาจ้องเกล็นเขม็ง

“ตะ แต่ว่าตอนนี้พวกเราปลอดภัยก็ดีแล้วนะคะ…” แมรีแอนน์เข้ามาช่วยพูดให้อารมณ์แต่ละคนสงบขึ้น

“ออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยพูด” คุณหนูกระชากเสียงไม่สบอารมณ์ก่อนจะดึงมือทั้งสองข้างของชาร์ล็อต “เป็นแผลแบบนี้ยังกล้าพูดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรอีกเรอะ?”

“หา??? ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” ชาร์ล็อตเหงื่อตกกับประโยคของคนตรงหน้าที่ตัวเองไม่ได้พูดสักนิด

“แต่ก็คิดอยู่ล่ะสิ” ฟิเลน่ายอกย้อนแล้วค่อยใช้เวทแสงที่ถนัดรักษาบาดแผลบนมือของชาร์ล็อตให้หายเป็นปลิดทิ้ง “ระหว่างสอบจะปล่อยให้มือเป็นแผลไม่ได้หรอกนะ”

จากนั้นคุณหนูแกก็เหวี่ยงมือชาร์ล็อตราวกับโยนของทิ้ง กระตุ้นต่อมโมโหเจ้าของมือได้ไม่น้อย แต่ไฟโกรธก็ถูกทำให้มอดลง

“ขอบคุณที่ช่วย…” ฟิเลน่าเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาตรงๆ ชาร์ล็อตกอดอกแล้วหันหน้าไปอีกทาง

“เช่นกัน”

“เฮ้อ ตั้งแต่มานี่ ชาร์ล็อตมีแต่เรื่องทะเลาะกับชาวบ้านแฮะ…” เกล็นที่ยืนดูอยู่วงนอกถอนหายใจที่ความสัมพันธ์ชาร์ล็อตกับผองเพื่อนไม่ค่อยราบรื่น คนหนึ่งก็คลาริส ส่วนอีกคนก็ฟิเลน่า

แมรีแอนน์ที่เห็นว่าเหตุการณ์เริ่มสงบจริงๆ ก็เชิญชวนให้ออกตามหาเพื่อนอีกสามคนที่ยังไม่เจอตัว แน่นอนว่าทุกคนตกลงที่จะทำแบบนั้น โดยยกหน้าที่นำทางให้ชาร์ล็อตคอยดูความปลอดภัยหรือสังเกตว่าสัตว์ชนิดไหนควรจัดการยังไง แต่ไม่ทันจะได้ก้าวเท้าออกตามหาพวกผู้ชายที่เหลือ เสียงมูเอลก์ร้องก้องทั่วป่า ฟิเลน่าที่ยังอยู่ในอาการผวารีบเกาะแขนแมรีแอนน์ที่อยู่ใกล้สุด ขณะที่คนเข้าใจความหมายของเสียงร้องที่ต่างไปจากปกติ เปลี่ยนเส้นทางไปทางมูเอลก์ตัวนั้น ซึ่งฟิเลน่าที่ยังกลัวอยู่ก็คัดค้านที่จะไปดูสถานการณ์

“ไม่ต้องห่วง นั่นอาจจะเป็นสามคนนั้นก็ได้!” เกล็นบอกกับฟิเลน่า เพื่อหวังให้เธอใจชื่นขึ้นมาบ้าง “ไม่แน่มูเอลก์นั่นน่าจะโดนจัดการไปแล้วก็ได้”

นอกจากเกล็นจะยืนยัน ชาร์ล็อตก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่เชื่อว่ามูเอลก์ที่ไล่ล่าเธอตอนแรกโดนกำราบด้วยฝีมือใครหรือตัวอะไรไปแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย เกล็นต้องยืนคู่กับชาร์ล็อตที่ใช้สายตาสาดส่องหาความผิดปกติภายในป่าต่อเพื่อเตรียมพร้อมสู้กับสัตว์อสูรที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ กระทั่งพวกเขาทั้งสี่คนเดินมาถึงร่างของมูเอลก์ป่าที่นอนสลบจากการถูกของแข็งฟาดบนหัวจนเขาหัก

“อยู่ครบสี่คนเลยนี่นา!” คลาริสทักขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นหลังเห็นเพื่อนร่วมกลุ่มที่เหลือ

“ดูเหมือนว่าทางนั้นจะปลอดภัยนะครับ” จูเลียสหัวเราะอย่างโล่งอกที่อีกฝั่งไม่ต้องเจอเรื่องเสี่ยงอันตราย

“ถ้าเทียบกันแล้ว… ก็คงใช่…” เกล็นกระตุกยิ้มตอบ มองเพื่อนอีกสามคนหัวจรดเท้าที่เนื้อตัวมอมแมมเหมือนไปลุยอะไรหนักๆ กันมาก่อนเจอพวกเขา “ไปเจออะไรมาบ้างเนี่ย…”

“พูดตรงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจอตัวอะไรบ้าง ที่จำได้ก็มีแค่มูเอลก์ตัวนี้เนี่ยแหละ…” เสียงแผ่วเบาคล้ายคนจะหมดแรงจากเด็กหนุ่มผมดำตอบ ซึ่งเกล็นคาดว่าคนที่เผด็จศึกมูเอลก์ป่าตัวนี้ก็น่าจะอิกนิส เพราะเจ้าตัวยังถือดาบไว้อยู่

“ไหนๆ รวมตัวได้แล้ว เรารีบจบการสอบกันดีไหมคะ… ดูท่าทุกคนน่าจะเหนื่อยเอาการ” แมรีแอนน์เสนอความคิดให้เพื่อนรีบหาทางออกเพื่อจบการสอบกลางภาค

“ยังไม่ใช่ตอนนี้” ฟิเลน่าขัดขึ้นแล้วไปสำรวจร่างกายพวกคลาริสที่ยืนงงว่าคุณหนูต้องการจะทำอะไร ไม่นานก็เกิดแสงสว่างจ้าบนฝ่ามือฟิเลน่า บาดแผลจุดต่างๆ ที่สัมผัสถูกแสงค่อยๆ หายอย่างไร้ร่องรอย เรียกเสียงร้องว้าวจากคลาริสที่ตื่นเต้นกับวิธีการรักษาด้วยเวทแสง

“ขอบคุณนะ… ฟิเลน่า” จูเลียสเป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณเด็กสาว เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่พวกเขาได้คุยกัน

“นอกจากฉันคนในกลุ่มใช้เวทรักษาไม่ได้สักคนนี่คะ”

“อ้าว ไม่ใช่ว่าแมรี…” แล้วเสียงของคลาริสก็หายไปจากการที่เกล็นยกมือปิดปากและกระซิบบอก

“ชู่ว เงียบไว้คลาริส บางเรื่องก็ไม่ต้องพูดก็ได้”

ถึงไม่ค่อยเข้าใจ คลาริสก็ทำตามแต่โดยดีไม่ยอมพูดต่อให้จบประโยค

“ทีนี้ก็รีบสอบให้มันจบๆ ฉันอยากจะกลับ” ว่าแล้วฟิเลน่าก็สะบัดผมยืนเชิดหน้าบอกสมาชิกในกลุ่มที่ได้แค่ยิ้มบางหรือทำหน้าบึ้งกับท่าทางของเด็กสาว แต่คงจะมีแค่คลาริสที่ไม่ค่อยแยแสแล้วเดินนำเป็นคนแรก

“งั้นไปกันเถอะ!”

“รู้สึกหงุดหงิดยังไงไม่รู้สิ ให้ตาย” ชาร์ล็อตกอดอกบ่นพึมพำ กระนั้นมันก็พอฟังให้คนตอบกลับคืน

“นั่นสิ แต่ถือว่าเป็นกลุ่มที่พึ่งพาได้กว่าที่คิดละนะ”

“หะ?” ดวงตาสีทองของชาร์ล็อตเหลือบมองฟิเลน่าที่ก้าวเท้าฉับๆ ตามคลาริสอย่างไม่ยี่หระคนที่เหลือ “อะไรของยัยนั่น”

“ก็คง… ชมในแบบของเขาล่ะมั้งคะ…?” แมรีแอนน์ดันหลังชาร์ล็อตให้เดินตามคนอื่นๆ ที่ทยอยตามหาทางออก โดยมีเกล็นทำสายตาปลงๆ

“สอบปลายภาคคงไม่เป็นอะไรแล้วมั้ง…” เกล็นลอบถอนหายใจที่ตอนนี้ชาร์ล็อตกับฟิเลน่าก็น่าจะสามัคคีขึ้นมานิดหนึ่ง ถึงสองคนนี้จะยังไม่แสดงให้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็ตาม แต่การที่คุณหนูพูดแบบนั้นไปก็ได้แต่หวังว่าจะซื้อใจได้บ้างแล้ว “หรือก่อนสอบจะลองบนบานอะไรก่อนดีนะ เฮ้อ”