นับตั้งแต่วันที่ชาร์ล็อตกับคลาริสขัดแย้งกันเพราะอิกนิสเป็นต้นเหตุ ตอนนี้ปัญหาก็คลี่คลายไปได้ด้วยดีแล้ว หลังจากที่ชาร์ล็อตพาอิกนิสไปที่ไหนสักแห่ง เกล็นก็คุยเปิดอกเรื่องนี้กับคลาริส อธิบายว่าทำไมถึงต้องไปขวางเนื่องจากเขาอารมณ์ร้อนจนเกือบลงไม้ลงมือกับชาร์ล็อตโดยไม่รู้ตัว ขณะที่แมรีแอนน์ที่ยังอยู่ด้วยกัน เธอก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่อิกนิสมักมาหาตัวเองเพื่อถามเรื่องของน้องชาย คลาริสที่ปกติจะรับฟังแต่กับแมรีแอนน์เท่านั้นจึงเก็บคำพูดพวกเขาไปคิด

เช้าวันต่อมา แมรีแอนน์ที่เห็นคลาริสมาหาอิกนิสที่หอได้รีบวิ่งมารายงานเกล็นในทันทีที่เจอเขา แต่ทั้งคู่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอิกนิสกับคลาริสจะคุยเรื่องอะไรกัน กระนั้นก็พอจะสังเกตได้ว่าหลังจากนั้นคลาริสก็ค่อย ๆ ทำตัวดีขึ้นกับพี่ชาย ไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พอลดทิฐิลง พี่น้องคู่นี้ก็กลับมาพูดคุยตามปกติแล้วร่วมโต๊ะกินมื้อกลางวันด้วยกัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ลิเลียนเชิญชวนเพื่อนทุกคนไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของตัวเอง ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ โดยพวกเกล็นที่เห็นว่าบ้านของหล่อนไม่ไกลจากโรงเรียนนัก สามารถไปเช้าเย็นกลับได้สะดวก จึงตอบรับคำเชิญของลิเลียน

ทว่าเมื่อไปถึงงานที่ลิเลียนเคยบอกว่าเอาไว้ว่าเป็นแค่งานเล็กๆ แต่ด้วยความที่เธอเป็นลูกสาวขุนนางยศมาควิส แขกที่ร่วมงานจึงมีมากหน้าหลายตามากกว่าที่คิด โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เกล็นที่นานๆ จะเข้าร่วมงานสังคมประเภทนี้ จึงเลี่ยงการพบปะผู้คนโดยการหันไปสนใจโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทานแทน

“อยู่แถวนี้ดีกว่า” เกล็นยึดฐานที่มั่นอยู่บริเวณโต๊ะอาหารระหว่างรอให้เจ้าของวันเกิดอย่างลิเลียนทักทายแขกเหรื่อในงาน

และแน่นอนว่าเมื่อเป็นวันเกิดของลิเลียน ก็จะขาดฟิเลน่ากับเคจไปไม่ได้ สองคนนี้เองก็ยืนอยู่ไม่ห่างกับพวกเกล็นนัก ต่างฝ่ายต่างยืนเงียบใส่กันแม้แต่จูเลียสที่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่สมัยเด็กก็ไม่รู้จะเปิดบทสนทนาอย่างไร เพราะความห่างเหินที่พอกพูนมากขึ้น แต่สักพักทั้งฟิเลน่ากับเคจก็เดินไปคุยกับกลุ่มเด็กผู้หญิงที่น่าจะรู้จักกันมาก่อน

“ถามหน่อยสิ ใครเกิดวันอะไรบ้างเหรอ?” เกล็นที่ไม่รู้นึกครึมอะไรถามขึ้น ขณะตักอาหารชิ้นพอดีคำเข้าปาก

“ฮะ?” คลาริสเลิกคิ้วมองกลับไปด้วยความสงสัย “นึกยังไงถึงถาม?”

“ก็เห็นว่าเป็นวันเกิดพอดีก็เลยนึกขึ้นมาได้น่ะ” เกล็นบอกเหตุผล ที่พอย้อนจากความทรงจำเอาแล้ว เขายังจำได้ว่าวันเกิดของสองพี่น้องฟรานเซนไทน์จะเกิดช่วงมิถุนายน จูเลียสเกิดตรงกับวันคริสต์มาสในโลกเดิม และชาร์ล็อตที่อยู่กันมาตั้งแต่เด็กก็เป็นวันวาเลนไทน์

“ฉันเกิดสิบหกกันยา” เกล็นบอกของตัวเองก่อน ตามมาด้วยชาร์ล็อตกับจูเลียสที่ต่างก็มีวันเกิดตรงกับงานเทศกาล

“ฉันตรงกับวันอมัวร์รอส”

“ผมเป็นวันสเตลลิ่งครับ”

“พวกฉันวันที่สามสิบมิถุนา” อิกนิสเป็นคนตอบ

“ฉันวันที่เก้ากันยาค่ะ” แมรีแอนน์เป็นคนสุดท้ายบอกด้วยรอยยิ้มละมุน

“อ๊ะ! เดือนเดียวกับเกล็นเลยนี่นา” ชาร์ล็อตอุทานขึ้นกับความบังเอิญที่เกล็นกับแมรีแอนน์เกิดกันห่างหนึ่งสัปดาห์ ส่วนเกล็นก็ยกมือลูบอกเหมือนโล่งใจที่เด็กสาวคนนั้นไม่ได้เกิดวันเดียวกับเขาเมื่อชาติก่อน

“ถ้าเกิดตรงกันนี่คงแปลกพิลึก”

“สวัสดีจ้ะทุกคน” ลิเลียนปรากฏตัวพร้อมเสียงทักทายอันสดใส “ขอบคุณที่มาร่วมงานนะ เป็นยังไงกันบ้าง?”

“อาหารอร่อยมาก” เกล็นเอ่ยชมเป็นคนแรกเรียกเสียงหัวเราะเจ้าของงานได้เป็นอย่างดี

“ว่าแต่กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ เห็นท่าทางน่าสนุกกันจัง”

“ก็แค่ถามวันเกิดกันเท่านั้นเอง”

“อย่างนั้นเหรอ แล้วใครเกิดวันไหนบ้างล่ะ?”

เนื่องจากลิเลียนเพิ่งมา ชาร์ล็อตจึงบอกวันเกิดของแต่ละคน

“แสดงว่าวันเกิดของคนถัดไปเป็นอิกนิสกับคลาริสสินะ ตื่นเต้นจังเลย” เจ้าของงานวันเกิดหัวเราะแสดงความตื่นเต้น ทำเอาแฝดคนน้องต้องเลิกคิ้วสงสัยไม่เข้าใจอีกฝ่าย

“ไม่เห็นจะตื่นเต้นตรงไหนเลย”

“แหมมันต้องตื่นเต้นสิคะ” แมรีแอนน์เห็นพ้องและรู้สึกแบบเดียวกับลิเลียน “ก็ตอนเลือกของขวัญวันเกิดมันสนุกออกนี่นา เนอะ”

แมรีแอนน์หันไปทางชาร์ล็อตเชิงถามความเห็น แน่นอนว่าเด็กสาวผมแดงเองก็ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนสาวทั้งสองคน ขณะที่เกล็นยืนอมยิ้มกับเหล่าเด็กสาว

“วัยนี้ตื่นเต้นกับวันเกิดของเพื่อนก็ไม่แปลกหรอกนะ” เขาคิดอย่างเข้าใจว่าทำไมพวกชาร์ล็อตถึงดูวี้ดว้ายงานวันเกิดของเพื่อนเป็นพิเศษ

หลังคุยกันได้สักพักใหญ่ ลิเลียนก็บอกลาเพื่อนทุกคนเพื่อไปคุยกับแขกคนอื่นในงานต่อ เธอกวาดตามองผ่านๆ ราวกับหาใครบางคน

“เอ่อ… ขอโทษนะ ว่าแต่มีใครเห็นฟิเลน่ากับเคจบ้างหรือเปล่า?” ลิเลียนถามหาเจ้าของชื่อทั้งสอง

“เห็นไปทางนั้นกับเพื่อนคนอื่นน่ะครับ” จูเลียสชี้ไปทางที่ฟิเลน่าเดินจากไป ซึ่งหล่อนก็กำลังยืนคุยกับพวกเพื่อนสาวอยู่อีกมุมหนึ่งของงาน ลิเลียนจึงขอตัวเดินไปหาพวกฟิเลน่า ดูจากสายตาคนนอกก็ดูเหมือนทั้งสามคนจะกลับมาคุยกันแล้ว แต่ก็ยังไม่สนิทใจเท่าเมื่อก่อนอยู่ดี

หลังเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง งานเลี้ยงก็เข้าสู่ช่วงสุดท้าย นั่นคือการเต้นรำ ลิเลียนผู้เป็นเจ้าของงานเริ่มก่อนด้วยการเต้นรำอยู่กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว จากนั้นหลายๆ คู่จึงทยอยร่วมเต้นรำด้วย

“กะ เกล็นคะ” แมรีแอนน์ทักเกล็นด้วยท่าทีประหม่าขึ้น “คือว่าฉันอยากลองเต้นรำดู… ไปด้วยกันหน่อยได้ไหมคะ?”

“อ๊ะ…” เกล็นชะงักแล้วยกมือปฏิเสธ “ขอโทษ ฉันเต้นไม่เป็น…”

น่าแปลกในสายตาเกล็น ทั้งที่เขาปฏิเสธแท้ๆ แต่แมรีแอนน์กลับหัวเราะขบขันแทนเสียนี่ “สมเป็นเกล็นเลยค่ะ”

“นั่นคือคำชมใช่ไหม…” เขาถามกับตัวเองในใจ

“ว่าแต่ทำไมไม่ลองช่วยสามคนนั้นดูล่ะ?”

“เกล็นก็รู้ว่าฉันกับจูเลียสเราต่างกันแค่ไหน ส่วนคลาริสกับอิกนิสก็ตัวใหญ่เกินไปไม่ไหวหรอกค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฉันก็แค่อยากลองดูเฉยๆ เท่านั้นเอง” แมรีแอนน์ปัดมือไปมาบอกอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ”

พูดจบแมรีแอนน์ก็เดินจากไป ปล่อยให้เกล็นยืนงงกับคำตอบของแมรีแอนน์อยู่ชั่วขณะก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แล้วหันไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อ แต่เพราะเอาแต่จมอยู่กับของกินมากไป เกล็นจึงถูกชาร์ล็อตตำหนิก่อนจะลากเขาไปคุยกับแขกคนอื่นที่เด็กสาวรู้จัก จนกระทั่งเวลาผ่านไป แมรีแอนน์ก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าซีดเผือด ชาร์ล็อตที่เห็นเป็นคนแรกตกใจรีบคว้ามือของเธอเอาไว้

“แมรีแอนน์เป็นอะไรไป!?” ชาร์ล็อตถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่แมรีแอนน์กลับส่ายหัวตอบปฏิเสธ

“เอ่อ… คือว่า… ตะ ตอนขากลับฉันเผลอเกือบทำแจกันตกน่ะค่ะ…” เธอเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ แต่ไม่นานแมรีแอนน์ก็หลับตาปี๋ สะบัดศีรษะตั้งสติแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “คะ คราวหน้าจะเดินระวังๆ ค่ะ!

“เฮ้อ… เห็นเดินผ่านกลุ่มของยัยพวกนั้นก็นึกว่าจะโดนแกล้งซะอีก” ชาร์ล็อตถอนหายใจโล่งอกที่คิดไปเองว่าฟิเลน่ากับพวกจะพูดจาเหน็บแนมใส่

“พวกนั้นไม่มีทางทำแบบนั้นในงานของลิเลียนหรอก แต่ดีแล้วที่ไม่เกิดอะไรขึ้น” เกล็นพูดอย่างรู้ดีว่าพวกนั้นที่ชาร์ล็อตกล่าวถึงคือกลุ่มของฟิเลน่า และเห็นเป็นช่วงท้ายของงาน เขาจึงหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลา “อีกเดี๋ยวพวกเราต้องกลับกันแล้ว เตรียมบอกลาลิเลียนกันเถอะ”

เพราะพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะนอนค้างคืนที่อื่น ทุกคนจึงจำเป็นขอตัวลาลิเลียนเพื่อกลับโรงเรียนก่อนประตูหอจะปิด

ในระหว่างเดินขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ด้านนอก เกล็นสังเกตเห็นใบหน้าแมรีแอนน์ดูเศร้าหมองและดูราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่เพราะขึ้นรถม้าคนละคันกัน เด็กหนุ่มเลยไม่มีโอกาสได้ถาม จนกระทั่งถึงโรงเรียน แมรีแอนน์ก็กลับมาเป็นปกติ แล้วเกล็นเองก็ลืมไปแล้วเช่นกัน

 

หลังจากปาร์ตี้วันเกิดของลิเลียนก็ผ่านมาหลายสัปดาห์ เกล็นในตอนนี้ชั่งใจว่าจะซื้อของขวัญให้สองฝาแฝดคู่นั้นเลยดีหรือไม่ เพราะอีกไม่เท่าไรก็จะใกล้วันเกิดของพวกเขา สุดท้ายแล้วเกล็นก็ตัดสินใจแอบชวนเพื่อนคนอื่นๆ ไปเลือกของขวัญ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครว่างไปด้วยกันเลย โดยเฉพาะชาร์ล็อตที่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลทำรายงาน ทำให้เธออยู่กับอิกนิสที่ห้องสมุดเกือบทุกวัน จึงเหลือแค่แมรีแอนน์คนเดียวที่เขายังไม่ได้ชวน แต่กว่าจะหาโอกาสคุยกันได้ก็จวนเจียนจะเลิกเรียน

ทว่าเมื่อเขาเห็นสีหน้าแมรีแอนน์ก็เกิดความลังเลขึ้นมา เพราะเด็กสาวยังค้างคาใจกับสูตรยาที่ไม่สมบูรณ์แบบทำให้เคธีต้องเข้ามาปลอบและขอให้เธอลองใหม่ในคาบถัดไป ด้วยท่าทางถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยวเช่นนั้นทำให้เกล็นรู้สึกลำบากใจไม่น้อย

“จะชวนดีไหมนะ...”

“อ้าว เกล็น ยังไม่กลับเหรอคะ?” แมรีแอนน์ทัก เธอมองอีกฝ่ายที่ยืนรออยู่หน้าห้องเรียนด้วยความสงสัย “มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

“อ้อ! พอดีว่าอยากจะชวนไปซื้อของขวัญให้สองพี่น้องนั่นน่ะ” เขาเผลอตอบเสียงลนลานออกมาตามตรง เมื่อถูกถามโดยไม่ทันตั้งตัว “ลองชวนคนอื่นแล้วก็ติดการบ้านกันหมดเลย... ก็เลยอยากรู้ว่าเธอสะดวกหรือเปล่า?”

แมรีแอนน์ยืนนิ่งไตร่ตรองคำเชิญชวนของเกล็น ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ฉันเองก็อยากลองเดินหาดูเรื่อยๆ อยู่พอดีเลย”

เมื่อตกลงกันได้แล้ว เกล็นกับแมรีแอนน์จึงมุ่งตรงไปที่ย่านการค้าด้วยกันสองคน พวกเขาเดินเข้าออกตามซอยต่างๆ เพื่อมองหาสิ่งที่น่าสนใจตามร้านค้าต่างๆ รอบด้านมีผู้คนเดินกันขวักไขว่สมเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงานหมาดๆ

เดินกันอยู่นานก็ยังเลือกกันไม่ได้เสียที เพราะเดาใจไม่ออกว่าสองพี่น้องจะชอบอะไรเป็นพิเศษ เกล็นจึงค่อยๆ นึกข้อมูลจากสิ่งที่อิกนิสชอบ

“แล้วใครมันจะบ้าเอาขนมปังให้เป็นของขวัญวันเกิดวะ” เด็กหนุ่มเหงื่อตกไม่มั่นใจกับความทรงจำในอดีตที่ผุดขึ้นมา

“ดูสิคะเกล็น มีดเล่มนี้สวยจังเลย คิดว่าคลาริสจะชอบไหม?” แมรีแอนน์กระตุกชายเสื้อเกล็นให้ไปดูมีดเล่มงาม ฝักของมันประดับเพชรนิลจินดาเหมือนของประดับมากกว่าของที่จะใช้งานจริง

เกล็นที่เป็นโรคไม่ถูกกับของมีคมพลันขนลุกซู่ที่เห็นมัน

“ใครเขาซื้อของมี... เอ๊ย จะบอกว่าคลาริสคงเบื่อกับของพวกนี้แล้วหรือเปล่า ก็จับดาบมาตั้งแต่เด็กนี่นา” เกล็นกลับคำ พยายามหาโน้มน้าวไม่ให้แมรีแอนน์ซื้อมีดเป็นของขวัญ ตามความเชื่อของเขาเมื่อชาติก่อนที่ว่า ถ้าซื้อของมีคมเป็นของขวัญจะนำภัยมาสู่ผู้รับ

“จริงด้วย ดีจังเลยที่มากับคุณ” แมรีแอนน์ถอนหายใจโล่งอกยอมคล้อยตามไปโดยง่าย

“แต่พอแมรีแอนน์พูดงี้ ฉันก็พอมีไอเดียสำหรับซื้อของให้คลาริสแล้วแฮะ”

“ไอ...เดีย?” เด็กสาวทวนคำ หันมาจ้องอีกฝ่ายตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจความหมาย

“หมายถึงความคิดน่ะ”

“แล้วไอ...เดียของเกล็นคือออะไรเหรอคะ?” แมรีแอนน์เอียงคอมองเขาอย่างฉงน สักพักดวงตาสีชมพูก็เบิกกว้างพร้อมประกบมือเข้าใจ “ถ้าพูดถึงคลาริสคงต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับเวทมนตร์สินะคะ!

“ถูกต้อง!” เกล็นดีดนิ้วดังเป๊าะพร้อมพยักหน้าสองสามครั้ง “เราไปดูซอยที่ขายพวกอุปกรณ์เวท...”

พูดไม่ทันจบประโยคดี ท้องเจ้ากรรมก็ส่งเสียงโครกครากขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน ใบหน้าเจ้าของต้นเสียงที่แทรกขึ้นมาแดงแปร๊ดด้วยความอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น แมรีแอนน์ได้แต่อึ้งกับเสียงท้องร้อง ก่อนจะเผลอขำพรืดแล้วรีบขอโทษที่เสียมารยาททันทีที่รู้ตัวว่าหัวเราะใส่อีกฝ่าย

“ฮะๆ ขะ ขอโทษนะคะ” แมรีแอนน์ใช้นิ้วเช็ดที่หางตา “จะว่าไปเมื่อกลางวันเกล็นทานน้อยกว่าปกติด้วยนี่นา เราไปกินมื้อเย็นกันเลยไหมคะ”

“โอ๊ย จังหวะนรกฉิบหาย เกิดมาสองครั้งไม่เคยท้องร้องใส่ชาวบ้านมาก่อนเลยโว้ย... อา แต่ต้องยกเว้นแม่ไว้สักคนนะ” เกล็นก้มหน้าก้มตาซ่อนความอายก่อนพยักหน้าหงึก รับคำอย่างเสียไม่ได้

เขาขอร้านอาหารแนะนำจากแมรีแอนน์ที่มาย่านการค้าบ่อยกว่า เธอจึงแนะนำร้านอาหารต่างถิ่นที่เด็กสาวเคยมากับชาร์ล็อตแล้วครั้งหนึ่ง โดยที่นั่นมีอาหารประเภทข้าวที่เกล็นชอบ หลังจากรู้จากปากชาร์ล็อตว่าเขาชอบทานอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งมันก็คืออาหารที่มีลักษณะคล้ายข้าวหมกไก่ที่เกล็นคุ้นเคย ทำให้เกล็นเจริญอาหารมากกว่าปกติ

ไม่ได้กินข้าวหมกไก่มาตั้งนานแล้วแฮะ”

เนื่องจากร้านมีแต่อาหารคาว แมรีแอนน์ที่อยากล้างปากด้วยของหวานจึงขอแวะร้านขนมสักหน่อย ระหว่างทางไปร้านที่เด็กสาวชอบ พวกเขาก็ไม่วายสอดส่องของขวัญไปพลางๆ ขณะเดินย่อย ทว่าจู่ๆ เกล็นก็เห็นดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีกลีบหลายชั้นคล้ายดอกกุหลาบแต่กะจากสายตาแล้ว มันดูบอบบางกว่ามาก ตรงกลางเกสรเป็นสีเหลืองตัดกับตัวกลีบสีชมพูอ่อนน่ารัก แต่เพราะไม่มั่นใจว่าเป็นดอกอะไรเขาเลยถามเจ้าของร้านดู จึงได้คำตอบว่าเป็นดอกพีโอนีหรือโบตั๋นที่คุ้นหูกว่า

“แมรีแอนน์ก็ชอบสีชมพูด้วยซื้อให้ดีกว่า” คิดได้ดังนั้นเกล็นก็ซื้อมันมาดอกหนึ่ง แต่พอหันจะยื่นให้แมรีแอนน์ก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่กับเขาเสียแล้ว

“เวรกรรม ลืมทักให้หยุด” เกล็นบ่นในใจ เขาจึงออกตามหาเธอจนเห็นด้านหลังไวๆ แต่ไม่ทันได้เรียกให้หยุด แมรีแอนน์ก็หันมาสะดุ้งตกใจกับดอกพีโอนีที่ยกขึ้นสูงเกือบเสมอใบหน้าของเด็กสาว ดวงตาสีชมพูจับจ้องไปที่ดอกไม้อย่างหลงใหลกับความงามของมัน ก่อนจะผงะอีกครั้งเมื่อได้สติ

“ดีใจจังที่เจอเกล็นสักที” เธอถอนหายใจโล่งอกเมื่อเจอคนที่ตามหา “ว่าแต่นี่ดอกอะไรเหรอคะ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

“ดอกโบ... หมายถึงเขาบอกว่าชื่อพีโอนีน่ะ” เกล็นบอกขณะยื่นไปให้เด็กสาว

“เอ๋ ให้ฉัน?”

“อา... ใช่ แบบว่าเห็นเป็นสีชมพูก็เลยนึกถึงเธอขึ้นมาน่ะ” เด็กหนุ่มเกาแก้มกับการซื้อของทีเผลอโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง

“งั้นเหรอคะ” แมรีแอนน์อมยิ้มรับดอกไม้จากอีกฝ่าย ทว่าเกล็นกลับชะงักมือชั่วขณะเมื่อสมองฉายภาพที่ตัวเองยื่นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีสีชมพูเหมือนกันให้ใครบางคน

“เดจาวูเฉย” เกล็นกรอกตานึกถึงอดีตที่ครั้งหนึ่งเคยส่งดอกบัวให้แม่ตอนไปทำบุญที่วัด ก่อนจะหันมาสนใจแมรีแอนน์ที่ยืนน้ำตาไหล ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง

“มะ แมรีแอนน์เป็นอะไรไป?”

สิ้นเสียง แมรีแอนน์ก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วหัวเราะคิกมองเป็นเรื่องขบขัน

“ตายจริง ดูเหมือนว่าฉันจะดีใจจนร้องไห้เลยค่ะ ฮะๆๆ”

“ขะ ขนาดนั้นเลยเหรอ…” เกล็นลูบหน้าอกปลอบขวัญตัวเองที่กลายเป็นต้นเหตุทำคนอื่นร้องไห้เสียได้

“เกล็นก็ทราบดีใช่ไหมคะว่าคนในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูง ที่ห้องเรียนก็มีฉันแค่คนเดียวที่เป็นสามัญชน เพราะก่อนจะเข้าเรียนฉันกังวลมาตลอดว่าจะมีเพื่อนได้หรือเปล่า” แมรีแอนน์เล่าถึงความรู้สึกก่อนเข้าโรงเรียนให้ฟังว่าเธอนั้นคิดมากและหวาดกลัวมากแค่ไหน “เพราะงั้นเลยดีใจมากๆ เลยที่ได้รับของขวัญแสนวิเศษแบบนี้ เหมือนกับว่าได้รับการยอมรับเลยค่ะ”

“เอ่อ… จริงๆ มันก็…”

“สำหรับฉันมันคือของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับจากเพื่อนค่ะ” แมรีแอนน์ชิงตัดบทก่อนที่เกล็นจะพูดจบด้วยรอยยิ้มละมุน แต่พอเขาสังเกตดีๆ แววตาของเธอคล้ายกับกำลังซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย

“งั้นเราไปหาขนมกินกันดีกว่า” เกล็นเปลี่ยนเรื่องพลางเกาศีรษะแก้เก้อ ไม่เข้าใจในตัวแมรีแอนน์เท่าไรนัก

“ค่ะ…” แมรีแอนน์ตอบรับเสียงเบากว่าปกติ ทั้งยังหลุบสายตาไม่กล้ามองเกล็นตรงๆ ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่เด็กหนุ่มกลับไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าเด็กสาวพยายามปั้นหน้ายิ้มให้เป็นปกติอย่างยากลำบาก