ตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนั้นพูดถึงสร้อย มิเดียเน่รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบและเต็มไปด้วยความหวั่นระแวงอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวถอนหายใจหลายครั้ง แต่ด้วยสุขภาพที่ไม่แข็งแรงสามีของเธอจึงไม่ทันสังเกตความผิดปกตินี้ เขาจึงออกไปทำงานในเมืองเหมือนเช่นทุกวัน หลังจากนั้นหลายชั่วโมงต่อมา มิเดียเน่จึงออกไปรดน้ำพืชผักสวนครัวที่ปลูกไว้หน้าบ้าน

ซึ่งหมู่บ้านที่มิเดียเน่อยู่จัดว่าค่อนข้างเงียบ เนื่องจากผู้อยู่อาศัยนอกจากมีน้อย ส่วนใหญ่ก็เป็นวัยกลางคนและสูงวัยที่คอยทำงานเกี่ยวกับเกษตรกรหรือปศุสัตว์ที่บ้านของตัวเอง มีนับคนได้ที่จะเข้าเมืองทำอาชีพอื่นอย่างสามีเธอที่เป็นช่างไม้ ดังนั้นเสียงล้อที่บดถนนซึ่งดังไกลออกมาจึงเป็นเสียงแปลกปลอม

ด้วยตำแหน่งที่หญิงสาวยืนอยู่จึงสามารถมองเห็นรถม้าที่กำลังวิ่งตรงเข้ามา กระนั้นมิเดียเน่ก็คิดว่ามันคงเป็นรถที่หลงเข้ามาหรือผ่านทางมาโดยบังเอิญเหมือนกับคันอื่นๆ เธอเลยหันหลังให้กับรถไปสนใจต้นไม้ต่อโดยเฉพาะพุ่มดอกเดลฟินเนียมสีฟ้าที่แมรีแอนน์ปลูกเอาไว้ ทว่าแทนที่มิเดียเน่จะมองด้วยความคิดถึงหรือเอ็นดูกลับเป็นแววตาที่หวาดหวั่น และยิ่งเสียงจอดรถหยุดที่หน้าบ้าน ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวเกิดอาการวิตกกังวลผ่านทางสีหน้าชัดเจน กระนั้นมิเดียเน่เลือกที่จะหันหลังให้กับแขกผู้มาใหม่

“มิเดียเน่?” เสียงหวานเรียก แต่เจ้าของชื่อยังจดจ่ออยู่กับดูแลต้นไม้และไม่สนใจการเรียกซ้ำของผู้หญิงด้านหลัง

“สวัสดีค่ะคุณไบลธ์” คราวนี้เป็นน้ำเสียงแปร่งจนทำให้มิเดียเน่ต้องหันไปทางหญิงสองคนที่ยืนอยู่ใกล้รถม้า ที่คนหนึ่งหน้าถอดสีเมื่อเห็นใบหน้าที่เสียโฉมไปครึ่งหนึ่งจนต้องใช้เส้นผมปิดบังเอาไว้ ส่วนอีกคนดวงหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจ “ดิฉันต้องการติดต่อว่าจ้างงานหน่อยน่ะค่ะ”

มิเดียเน่ผู้เป็นเจ้าของบ้านยังไม่ตอบคำถามทันที ทั้งสองสบตากันราวกับแข่งขันกันจนสุดท้ายนิสัยที่ต่างมากเกินไปทำให้มิเดียเน่เป็นฝ่ายหลุบหนี

“เช่นนั้นช่วยรบกวนรอสามีก่อนได้หรือเปล่าคะ อีกเดี๋ยวเขาคงกลับมาแล้ว…”

ว่าจบหญิงสาวผิวแทนที่มีเรือนผมสีแดงไวน์ดวงหน้าเป็นเอกลักษณ์ของชาวต่างแดนก็เดินอาดๆ เชิดหน้าตรงเข้าบ้านที่มิเดียเน่เปิดต้อนรับพวกเธอ ขณะที่ผู้หญิงผมน้ำตาลแดงอีกคนเร่งฝีเท้าไล่หลังระหว่างที่เดินสวนกับมิเดียเน่เห็นแววตาที่สั่นไหว

“เชิญนั่งได้ตามสบายเลยค่ะ” มิเดียเน่ยิ้มบางผายมือไปทางโซฟาของห้องรับแขก “เดี๋ยวจะชงชามาให้นะคะ”

จากนั้นร่างเจ้าของบ้านก็หายเข้าไปในครัวเพื่อชงชา ทีแรกมิเดียเน่หยิบขวดโถงที่เป็นสมุนไพรแห้งมาใช้ ทว่าก็เปลี่ยนมาเป็นตระกร้าชาต่างถิ่นที่เพิ่งได้รับมาแทน และจัดวางขนมทานเล่นคู่กันสักสามถึงสี่ชิ้นบนจาน เมื่อทุกอย่างตระเตรียมเสร็จเรียบร้อย เครื่องดื่มก็ถูกเสิร์ฟตรงหน้าแขก เรียกเสียงขบขันในลำคอเหมือนเป็นผู้ชนะได้จากหญิงผิวแทนก่อนที่หล่อนจะยกถ้วยขึ้นดื่มอย่างคุ้นเคยรสชาติของชาจาย

“น่าประหลาดนะคะที่เป็นรสชาติเดียวกับที่ดิฉันดื่มประจำ” เธอกล่าว

“พอดีรู้จักกับแม่ค้าเร่ท่านหนึ่งน่ะค่ะ แล้ว…บังเอิญว่าสามีของพวกเราก็ค่อนข้างสนิทกันด้วย…” น้ำเสียงแผ่วเบาตอบแล้วถอนหายใจยอมจำนนต่ออีกฝ่าย “สมเป็นท่าอลิสา คงรู้เรื่องราวมาก่อนสินะคะ”

“หึๆ” มุมปากอลิสากระตุกขึ้นกลั้นขำ “คิดถูกจริงๆ ที่ฉันมาแทนธีออน ถ้าเป็นเขาปานนี้คงหงุดหงิดจนขึ้นเสียงเค้นหาความจริงแล้ว”

“เอ๊ะ? หมายความว่ายังไงคะ” คนที่ไม่รู้เรื่องมองสลับไปมาระหว่างมิเดียเน่ที่กำลังปิดบังอะไรบ้างอย่างกับอลิสาที่อ่านสถานการณ์ขาดได้ตั้งแต่ที่ธีออนเล่าเรื่องของแมรีแอนน์ให้ฟัง

“เรื่องนี้คงต้องให้คุณมิเดียเน่เล่าดีกว่าค่ะว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง”

ว่าแล้วมิเดียเน่ก็หลุบตาหนีครู่หนึ่งพลางระบายลมหายใจ ก่อนจะมองไปยังเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเซซิเลีย… เธอคงจะเจอแมรีแอนน์แล้วสินะ”

“ใช่ พวกเราเจอที่บ้านของท่านมหาปราชญ์…” องค์ราชินีเซซิเลียตอบเสียงอ่อน

“แล้วแมรีแอนน์บอกเรื่องอุบัติเหตุให้ฟังหรือเปล่า”

“เขาบอกว่าร่างกายเธอไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เจออุบัติเหตุน่ะ” เซซิเลียเล่าตามที่แมรีแอนน์เคยบอกเธอเอาไว้

“อุบัติเหตุที่เด็กคนนั้นบอกมันคือเหตุการณ์เมื่อสิบหกปีก่อนนั่นแหละ…” มิเดียเน่ย้อนความทรงจำที่แสนเจ็บปวดพลางยกมือสัมผัสแผลเป็นใบหน้า “ตอนที่กำลังหนีออกมาฉันถูกไม้ที่ไหม้อยู่ล้มใส่หน้าเข้าพอดี… คิดว่านะ แล้วหลังจากนั้นฉันก็จำไม่ค่อยได้หรอก เพราะคิดแต่เรื่องพาแมรีแอนน์หนีจนความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือฉันกระโดดน้ำเท่านั้น…”

แม้มิเดียเน่ไม่สามารถเล่าได้ละเอียดตามที่ต้องการ ทว่าอลิสาก็พอปะติดปะต่อตามที่เคยวิเคราะห์กับธีออนในคืนที่เขากลับจากเบเลเทีย

“เหตุการณ์ครั้งนั้นคุณคงสูญเสียความทรงจำสินะคะ” อลิสาว่าเสียงหนักแน่น “แล้วไม่นานมานี้คุณก็คงได้ความทรงจำคืนด้วยสาเหตุบางอย่างใช่ไหมคะ”

มิเดียเน่พยักหน้าตอบเงียบๆ ขณะที่เซซิเลียยกมือปกปากน้ำตารื้นหลังเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมตลอดสิบปีจึงไม่มีการติดต่อมา

“ตอนที่ความทรงจำฉันกลับมาก็เมื่อประมาณสองปีก่อนค่ะ” มิเดียเน่เล่าต่อโดยที่ริมฝีปากเผลอยิ้มน้อยๆ และแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อ “แต่ก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่าเป็นเพราะยากับเวทมนตร์ของแมรีแอนน์หรือเปล่า”

“ฮุๆ การที่ทำหน้าแบบนั้น ดิฉันคิดว่าน่าจะมีมากกว่านั้นนะ”

“ระ เรื่องนั้นไม่หรอกค่ะ”

อันที่จริงมันค่อนข้างน่าอายด้วยซ้ำ หากมิเดียเน่เลือกบอกความจริงส่วนหนึ่ง เพราะว่าตอนนั้นตัวเธอก็ไม่มั่นใจสาเหตุที่ได้ความทรงจำคืนนั้นเป็นเพราะเวทมนตร์รักษาของลูกสาวหรือรอยยิ้มของแฮเรียตสามีคนปัจจุบันที่คล้ายกับริชาร์ดคนรักเก่าที่ทำให้มิเดียเน่ทวนระลึกอดีตดีๆ ท่ามกลางทุกข์ใจ

“แล้วทำไมเธอถึงไม่มาหาพวกเราล่ะ… หรือกลัวว่าเจ้าพวกนั้นกลับมาเล่นงานอีก” เซซิเลียจี้ถามหาเบื้องลึกเบื้องหลังต่อ “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องกลัวแล้วนะ คนพวกโดนทางการของเวสพีเรียจับกุมได้หมดแล้ว ถึงแม้ว่ายังไม่มีบทลงโทษก็เถอะ… ตามเท่าที่ฉันรู้มาจากคัลลิดัสนะ”

“เรื่องนั้นก็ส่วนหนึ่ง...” จากสีหน้ามีความสุข มิเดียเน่หลับตาลงอย่างขื่นขม

“อีกเรื่องที่ว่าเกี่ยวกับตระกูลบาสกิ้นสินะคะ” อลิสาพูดขึ้นอย่างรู้ดีถึงเหตุผลหลักที่มิเดียเน่ไม่ยอมปรากฏกายแล้วเลือกใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในชนบท “ถึงคุณจะเป็นลูกนอกสมรสก็ตาม แต่แมรีแอนน์ก็ถือว่ามีสายเลือดของตระกูลบาสกิ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง พวกนั้นต้องโผล่มาเพื่อเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลลูมิเธอร์ที่แมรีแอนน์มีสิทธิ์ผู้ได้รับครองมรดก”

เพราะอลิสาพูดตรงจุด มิเดียเน่จึงเม้มปากแน่นพยักหน้าตอบ เพราะถ้าว่าตามกฎหมาย หากเธอเลือกแสดงตัวทรัพย์สมบัติของตระกูลลูมิเธอร์จะตกเป็นของแมรีแอนน์ผู้เป็นทายาทสายตรงอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าตัวหญิงสาวนั้นมาจากครอบครัวที่มีผู้นำไม่รู้จักพอ เขาจะต้องอ้างถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดในฐานะผู้เป็นตากับเด็กสาวเป็นแน่ หลังถูกกีดกันตั้งแต่แต่งงาน แล้วภรรยาหลวงของชายคนนั้นก็เกลียดขี้หน้าเธอ เพราะงั้นข้อตกลงระหว่างสองตระกูลจึงได้ข้อสรุปเป็นเช่นนั้นเพื่อกำจัดเธอออกจากบ้าน และตอนนี้มิเดียเน่เชื่อว่าการกลับมาครั้งนี้ผู้หญิงคนนั้นต้องหาทำกำจัดเธอด้วยวิธีรุนแรงเป็นแน่ จึงเกิดความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวที่แท้จริง

“แต่ว่านะคะ ยังไงซะท้ายที่สุดคุณก็เก็บเรื่องนี้เป็นความลับตลอดไปไม่ได้หรอก” อลิสาบอกเสียงเรียบ “แล้วเวลานั้นก็กำลังมาถึงแล้ว ถึงฉันไม่รู้รายละเอียด แต่ทางท่านมหาปราชญ์เขาพบผลึกของตระกูลแล้ว...”

“ปะ เป็นไปไม่ได้!” มิเดียเน่ดีดตัวลึกพรวดค้านทันควัน แววตาเธอฉายสั่นไหวหวาดกลัว สร้างความฉงนสงสัยให้แขกทั้งสอง “ไม่มีทางเป็นไปได้ที่แมรีแอนน์จะเจอผลักนั่น... ฉัน... ฉัน... ฉันไม่ได้ให้สร้อยนั่น...”

“คนที่เจอไม่ใช่แมรีแอนน์... หลานท่านอาจารย์ลินดาต่างหาก ชื่อเกล็น” เซซิเลียถามเสียงหวาดหวั่นตกใจที่มิเดียเน่โวยวาย

ทันทีที่ได้ยินชื่อหลานชายอดีตอาจารย์ที่เคยสอน ร่างผอมค่อยๆ หย่อนกายนั่งลงเชื่อมโยงกับคำถามของเด็กหนุ่มเมื่อวานก่อน การหายใจเธอมีการติดขัดจากอาการวิตกกังวล อลิสาจึงเปลี่ยนตำแหน่งนั่งข้างๆ โอบปลอบกระซิบข้างหูให้หญิงสาวตั้งสติ

“ถ้าไม่เป็นการรบกวน ช่วยอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดทีได้หรือเปล่าคะ เพราะเรื่องนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ธีออนรู้แล้วรายงานกับท่านมหาปราชญ์กับหัวหน้ากองอัศวินเวท”

มิเดียเน่ไม่ตอบทันที เธอร้องสะอื้นไม่คิดว่าสิ่งที่เลี่ยงมาตลอด ทว่าการกระทำนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับอลิสา ดัชเชสแห่งนาสใช้นิ้วเรียวเชิดหน้าอีกฝ่ายขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องอย่างขุ่นเคือง

“ลูกของฉันเป็นเด็กดีค่ะ” อลิสาว่าด้วยน้ำเสียงกดต่ำน่ากลัว “และพวกเขาเป็นเพื่อนกับแมรีแอนน์ ถ้าเด็กคนนั้นเกิดอะไรขึ้น ทั้งอิกนิสกับคลาริสต้องยื่นมือเข้าไปช่วยแน่ เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่ามีแค่ลูกคุณเท่านั้นต้องแบกรับภาระ ที่ฉันทำไปก็เพื่อลูกเหมือนกัน ถ้าจะทิ้งปัญหานี้ฉันทำง่ายกว่าคุณเยอะก็แค่พาเด็กๆ ไปสุรัชตาเท่านั้น”

แล้วห้องรับแขกที่เคยครึกครื้นต้องเปลี่ยนเป็นความอึดอัดที่คนหนึ่งร้องไห้ คนหนึ่งมีอารมณ์คุกรุ่น และอีกคนไม่สามารถกู้บรรยากาศคืนได้ มิเดียเน่กัดริมฝีปากข่มความกลัวที่มีต่ออลิสา เธอลุกขึ้นแล้วหายขึ้นชั้นสองของบ้านอยู่พักใหญ่ ก่อนกลับลงมาของสองชิ้นที่มีขนาดแตกต่างกัน ชิ้นแรกเป็นวัตถุทรงยาวห่อผ้ามิดชิด อีกชิ้นเป็นกล่องสีดำเรียบๆ มิเดียเน่วางมันบนโต๊ะต่อหน้าแขก เธอเปิดกล่องสีดำก่อนเผยให้เห็นสร้อยเส้นสีเงินโดยจี้มีลักษณะโลหะดัดเป็นดอกไม้สีส้มโอรสสลับใบสีเขียวประดับพลอยสี่มุมสี่สีประจำทิศ ตรงกลางเป็นเข็มนำทางสีทอง ขนาดเล็กดูผิวเผินเป็นเครื่องประดับกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก

“ฉะ ฉันอาจจะเล่าได้ไม่ดี แต่ก่อนหนีริชาร์ดบอกแค่ว่าสิ่งนี้จะช่วยนำทางตามหาผลึกของดาบได้ค่ะ” จากนั้นหญิงสาวเปิดผ้าสีขาวซึ่งห่อดาบเล่มงามที่ตัวใบดาบมีช่องว่างจำนวนสี่หลุม “ถ้าให้เดาฉันคิดว่าคนของลูมิเธอร์รู้ตัวดีกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้เลยลงอาคมป้องกันไว้... ป้องกันจนน่ากลัวเลยล่ะค่ะ”

“น่ากลัวที่ว่าขนาดไหนหรือคะ?” อลิสาเอนหลังพิงเก้าอี้เปลี่ยนเป็นท่านั่งไขว่ห้างดูสนใจความน่ากลัวของอาคม

“ตอนที่เสียความทรงจำ แมรีแอนน์เขาบอกว่าอยากไปเรียนที่เอลเซียส์ค่ะ ทั้งฉันกับสามีเองก็เห็นด้วยเหมือนพ่อแม่คนอื่นที่อยากให้ลูกมีอนาคต อย่างน้อยชีวิตก็จะสุขสบายกว่านี้ แต่อย่างที่เห็นฐานะพวกเราต่อให้แฮเรียตฝืนรับงานเยอะก็ไม่พอเข้าเทอมอยู่ดี เลยตั้งใจจะเอาดาบไปขาย... แต่ทุกครั้งที่คิดมันจะมีอะไรบางอย่างทำให้ล้มเลิกความตั้งใจค่ะ ไม่ใช่แค่ฉัน แฮเรียตก็เป็นด้วยเหมือนกัน”

เนื่องจากมิเดียเน่พูดติดต่อกันยาวๆ จึงระบายลมหายใจพักร่างกาย “แล้วไม่ทราบว่าทางนั้นเขาจะทำอะไรต่อเหรอคะ”

“จากเรื่องที่เธอเล่าฉันว่าคงต้องหารืออีกยาวเลยล่ะ เพราะทางนั้นก็ไม่อยากเปิดเผยเรื่องแมรีแอนน์เหมือนกัน” เซซิเลียตอบตามคำบอกเล่าของเกรกอรี่ที่ยังไม่ต้องการให้คนภายนอกรับรู้เรื่องนี้

“อย่างนั้นหรือคะ... มิน่าแมรีแอนน์ถึงไม่ได้เล่าอะไรนอกจากเจอคุณธีออนกับเธอ...” มิเดียเน่พยักหน้าเข้าใจ “แล้วตอนนี้...มีใครรู้เรื่องอีกบ้างไหมคะ ถ้าไม่นับพวกท่านเบเลธ”

“คนนอกมีทั้งหมดห้าคนตอนนี้ ฉัน คัลลิดัส คุณธีออน ท่านอลิสา แล้วก็หลานท่านอาจารย์ลินดา ดูเหมือนเขาเป็นคนเจอผลึกนั่นแล้วส่งมาให้ท่านเกรกอรี่...”

“มิน่าล่ะ... เขาถึงจงใจพูดถึงเรื่องสร้อย” มิเดียเน่เซตามองทางอื่นพึมพำอย่างแผ่วเบา

“ดูท่าเด็กชื่อเกล็นคนนั้นจะรู้อะไรเยอะกว่าที่พวกเราคิดนะคะ” อลิสาตั้งข้อสังเกต ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะถามเรื่องนี้ด้วย “แล้วหลังจากนี้คุณเองควรเตรียมไว้ก็ดีนะคะ ไม่ว่ายังไงแมรีแอนน์จำเป็นต้องตามหาผลึกที่เหลือในฐานะทายาทตระกูลลูมิเธอร์

อลิสาทิ้งท้ายลุกขึ้นเป็นสัญญาณถึงเวลาที่พวกเขาต้องไปแล้ว เซซิเสียที่ไม่ทันจะได้คุยเรื่องสารทุกข์สุกดิบจำใจต้องมองเพื่อนอย่างเศร้าสร้อยเข้าใจดีว่าต้องจัดการปัญหาที่คาราคาซังเสียก่อน เจ้าของบ้านจึงส่งแขกถึงรถม้าที่ยังคงจอดรอหน้าบ้านที่เดิม เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหน้าตาใจดีผมตัดสั้นสีน้ำตาลเข้มตัวสูงร่างกายบึกบึนแข็งแรงเดินกลับบ้านมาพอดี เขาจึงกึ่งวิ่งกึ่งเดินคิดว่าเป็นลูกค้า

“ขะ ขออภัยที่ต้องทำให้รอ ไม่ทราบว่า...” ประโยคถูกตัดบทเมื่อมือบางสัมผัสต้นแขนเรียกพร้อมส่ายหัวไปมาเนื่อยๆ

“คุณแม่ของเพื่อนแมรีแอนน์น่ะค่ะ...” เพราะเห็นหญิงสาวมีท่าทีเหนื่อยล้า ดวงตาสีดำเบิกกว้างกระวีกระวาดพาภรรยาเข้าบ้าน

“เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง เธอรีบเข้าบ้านก่อนเถอะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เสียงฉะฉานจากอลิสาตอบ “เดี๋ยวพวกเราก็กลับแล้ว ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ต้องขอบคุณที่ดูแลเด็กๆ ให้ค่ะ”

หลังจากนั้นเซซิเลียก็ได้ก้าวขึ้นรถม้าเป็นคนแรก ตามด้วยอลิสาที่ยิ้มหวานแฝงเลศนัยก่อนจาก กระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวออกจากบริเวณหน้าบ้านจนตาสองสามีภรรยาไบลธ์ แฮเรียตประคองมิเดียเน่กลับเข้าบ้านอย่างเป็นห่วงสุขภาพ เมื่อบานประตูปิดลง หญิงสาวได้โอบกอดคนรัก เขาสัมผัสถึงความชื้นบนเสื้อผ้าจึงลูบศีรษะปลอบพอจะรู้ว่ามิเดียเน่ผ่านอะไรมา เพราะชายหนุ่มจำผู้หญิงผมสีน้ำตาลแดงคนนั้น หล่อนคือราชินีประเทศของเขา

“ได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันตั้งนานทั้งทีนะ”

ตั้งแต่มิเดียเน่ได้ความทรงจำคืนมา เธอได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้แฮเรียตฟังด้วยความรู้สึกผิดต่อเขาที่เก็บงำมานาน เขาจึงได้รู้ว่าเซซิเลียคือเพื่อนสนิท

“นี่พ่อ แม่ควรทำยังไงดี พวกเขาเจอผลึกนั่นแล้ว...” มิเดียเน่ผละจากอ้อมกอดเงยหน้ามองแฮเรียตทั้งคราบน้ำตา เธอที่เคยสูญเสียคนรักแรกเพราะเรื่องของเชเบอร์ทอส อีกไม่นานลูกสาวเพียงคนเดียวก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน

“ถ้าแมรีแอนน์ไม่ทำแล้วใครจะทำแทนได้เหรอ...?”

“ไม่มี... ไม่มีเลย” มิเดียเน่ส่ายหัวตอบ “จริงอยู่ว่าของนั่นเขาเจอเพราะความบังเอิญ แต่หลังจากนี้ไม่ว่าอย่างไงจำเป็นต้องให้คนสายเลือดลูมิเธอร์ตามหา”

“งั้นเหรอ...” แฮเรียจตอบเสียงสลดพลางหลับตาใช้ความคิด เขาเองก็ไม่ใช่คนเก่งหรือฉลาดอะไรที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุด “แล้วได้คุยอะไรเรื่องนี้มากน้อยเท่าไรเหรอ อย่างเช่นพวกเขาจะทำอะไรต่อ”

“ไม่รู้เลย แม่คิดว่าหลังจากวันนี้พวกเขาน่าจะมีประชุมกัน...”

“อืม... พอจะเข้าใจบ้างล่ะ” คนร่างใหญ่กอดอกลูบคางพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์อีกฝั่ง

ระหว่างช่วยกันหาทางออกร่วมกัน จู่ๆ มิเดียเน่ยืนนิ่งตระหนักและระลึกถึงคำพูดของอลิสา ริมฝีปากบางสั่นจนต้องขบแน่นข่มความรู้สึก เพิ่งคิดได้ว่าพวกเขาไม่มีทางให้แมรีแอนน์ตามหาคนเดียว เธอจำเป็นต้องมีเพื่อนร่วมทางคนแรกที่หญิงสาวนึกถึงคือเด็กหนุ่มผมฟ้าที่เป็นหลานชายอาจารย์ของเธอ แล้วตามที่อลิสาว่าเด็กฝาแฝดคู่นั้นต้องยื่นมือเข้าช่วยแมรีแอนน์

“ดูเหมือนจะได้คำตอบแล้วใช่หรือเปล่า” แฮเรียตยิ้มปีติยินดีเชื่อมั่นว่าทางเลือกของภรรยาเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด

“ค่ะ...” เสียงสั่นเอ่ยตอบแม้เธอได้ตัดสินใจแล้วก็ตาม “เราจะไปเบเลเทียกันพรุ่งนี้ค่ะ”