“ดีที่เราเจอมันก่อน” เกรกอรี่บอกอย่างโล่งอกที่ทางเขาเจอผลึกก่อน ทว่าเกล็นก็ยังนึกสงสัยอยู่ดีกว่าทำไมฝั่งศัตรูถึงเพิ่งปรากฎตัวออกมา

“ให้เดาพวกนั้นคงพยายามเลียนแบบอาคมของลูมิเธอร์ก็ได้” โดมินิกว่าขึ้นหลังเห็นสีหน้าฉงนของเด็กหนุ่ม “ถ้าตัวการนั่นคือซิกมุนท์ เรนเกอริ่งคนนั้นละก็ ผู้ชายคนนั้นก็สามารถทำได้แน่”

“มันก็จริงนะครับ…” เกล็นผงกศีรษะเห็นด้วย “แต่ผมก็สงสัยอยู่ดีว่าอะไรที่ทำให้คลาดเคลื่อนได้ขนาดนี้ เพราะความทรง...”

พูดอยู่ดีๆ เด็กหนุ่มรีบตะครุบปากปรายตามองไปทางโดมินิก เกรกอรี่ทำสัญญาณให้เขาลดมือลง

“ฉันเล่าว่าเธอมัก ฝัน เห็นอนาคตกับท่านเบเลธและโดมินิกฟังแล้วล่ะ”

“เล่นมุกฝันเรอะ... ฝันก็ฝันว่ะ” เกล็นปั้นหน้าอมยิ้มไหลไปตามน้ำก่อน ด้านเกรกอรี่เองก็คงมีเหตุผลว่าทำไมเลือกที่จะโกหกแบบนี้

“เพราะความทรงจำผมตอนเด็กมันน่าจะช่วงวันสอบปลายภาคที่ผ่านมา...”

“ถ้าเรื่องนั้นเราพอมีคำตอบให้ได้อยู่นะ” มหาปราชญ์เกริ่นขึ้นเรียกแววตาสนใจจากเด็กหนุ่ม “ฉันคิดว่าผลึกที่เธออาจจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดอยู่แล้ว แต่แค่วิธีการนั้นต่างออกไป จากที่เจอเพราะถูกชี้นำกลายเป็นเจอด้วยความบังเอิญ แล้วสาเหตุที่พวกนั้นเคลื่อนไหวได้ช้าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นของสองสิ่งนั้นก็ได้ สมมุติว่าแมรีแอนน์เอาดาบมาใช้ที่โรงเรียน ฉันเชื่อว่าซิกมุนท์คนนั้นต้องเกาะร่องรอยอาคมเจอแน่”

“พอพูดเรื่องจี้… ก่อนโรงเรียนเปิดผมลองแวะไปบ้านแมรีแอนน์มาด้วยครับ เลยแกล้งถามเรื่องนี้ดู แต่เหมือนว่าคุณแม่ของแมรีแอนน์จะไม่ค่อยรู้เรื่อง... ไม่รู้สิ ผมกลับรู้สึกว่าเขามีเรื่องปิดบังเอาไว้”

“เรื่องนั้นเรารู้ความจริงแล้วล่ะ ท่านอลิสาเป็นคนสืบถามมาให้น่ะ” พอเอ่ยชื่อไม่คุ้นหูคิ้วสีอ่อนเลิกสูงสงสัยว่าเจ้าของชื่อเป็นใคร “ท่านอลิสาเป็นดัสเชสแห่งนาสหรือก็คือคุณแม่ของสองฝาแฝดนั่นแหละ ดูเหมือนเรื่องนี้เธอจัดการเรื่องนี้แทนธีออนเพราะคิดว่าถ้าให้ผู้หญิงคุยกันเองน่าจะดีกว่า ซึ่งผลตอบรับออกมาค่อนข้างดีเลย”

“งั้นช่วยสรุปรายละเอียดให้ผมทีได้ไหม”

“ได้แน่นอน แต่ต้องเล่าความเป็นมาก่อนนะว่าเมื่อเหตุการณ์สิบหกปีก่อนคุณมิเดียเน่ประสบเหตุจนได้รับบาดแผลสาหัสเอาการ แล้วหนึ่งในนั้นคือความจำเสื่อม เธอลืมว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน รู้แค่ว่าเด็กที่อยู่ด้วยคือลูกสาวชื่อแมรีแอนน์ หลังจากนั้นก็แต่งงานใหม่… จากนั้นคุณมิเดียเน่ได้ความทรงจำคืนมาก่อนที่แมรีแอนน์จะเข้าโรงเรียน น่าสักราวๆ สองปีก่อนได้เนอะ?”

เกรกอรี่หันไปทางโดมินิกขอความแน่ใจว่าตนนั้นเล่าถูกต้อง เขาพยักหน้าแล้วรับช่วงเล่าต่อ

“เพราะงั้นเลยเป็นเหตุผลที่คุณมิเดียเน่ไม่ยอมยกดาบหรือจี้ให้กับแมรีแอนน์ด้วยเหตุผลสองข้อ หนึ่งเธอคงเดาได้อยู่แล้วว่าคุณเป็นแม่คงไม่อยากให้ลูกตกอยู่ในอันตราย ส่วนข้อสอง… เฮ้อ…”

โดมินิกถอนหายใจหนักยกมือกุมขมับ

“มันเป็นเรื่องทรัพย์สมบัติน่ะ” เขาว่าเสียงเครียด “คุณมิเดียเน่เธอเป็นลูกนอกสมรสของตระกูลบาสกิ้น พูดแค่นี้เธอคงเข้าใจมันดี”

“ข้อแรกน่ะคิดออกแพราะมันพื้นฐานมากเลย แต่ข้อสองไม่คิดว่าเจอจะพวกละครแย่งชิงมรดกนะเนี่ย” เกล็นถึงกับทิ้งตัวพิงโซฟาอึ้งกับเหตุผลข้อสอง “ถ้าเป็นผมก็คงทำเหมือนคุณแม่ของแมรีแอนน์”

“เรื่องอะไรกันให้ชุบมือเปิบได้ล่ะวะ”

“แต่เท่านี้ก็ไขข้อสงสัยผมไปเยอะเลยล่ะว่าทำไมอะไรหลายอย่างถึงไม่ตรงกับความทรงจำของผม ส่วนหนึ่งทางคุณแม่ของแมรีแอนน์เองก็ได้ความทรงจำเดิมกลับคืนมา แล้วเพื่อปกป้องลูกเลยเก็บความลับนี้เองจนกระทั่งคุณแม่ของสองแฝดนั้นไปสืบให้พวกเรารู้สินะ”

“ถูกต้อง เราเลยอยากจะคุยว่าหลังจากนี้มันเกิดอะไรขึ้นต่อ หากเหตุการณ์มันยังตรงกับความทรงจำเธอ”

“ไม่นับเรื่องที่มีอสูรทมิฬบุกมาโรงเรียนตอนนี้ ช่วงเทอมหลังไม่ค่อยมีอะไรเลยล่ะครับ ใช้ชีวิตปกติสุขจนตอนก่อนขึ้นปีสองแมรีแอนน์จะรู้ความจริงว่าตัวเองเป็นใคร กับมีคนคนหนึ่งเข้ามาวนเวียนกลุ่มผม”

“คนคนนั้นที่ว่าอันตรายต่อพวกเธอไหม” โดมินิกถามเสียงเข้มห่วงความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง

“ไม่ครับ ก็เป็นนักเรียนเหมือนกับพวกผมนี่แหละ สบายใจได้”

“ยังไม่ต้องพูดก็ได้มั้งว่าเป็นแค่รุ่นน้องที่รู้จักกับแมรีแอนน์ตอนอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า”

“ถ้าเกล็นยืนยันคงไม่ต้องห่วงบุคคลที่สามแล้ว แต่งานเทศกาลเอลเซียส์ควรวางมาตรการความปลอดภัย”

“นั่นสินะครับ...” เกล็นหลุบตาลงเห็นด้วย เพราะถ้าพวกตัวร้ายบุกมาโรงเรียนแบบนี้ โอกาสที่พวกนั้นจะแฝงตัวปะปนกับผู้คนย่อมสูง แต่อย่างน้อยถ้าเห็นสักแวบหนึ่งเขาก็พอจะจำหน้าซิกมุนท์กับฮันนาได้ “ว่าแต่ผมขอถามอีกเรื่องหนึ่งได้หรือเปล่า เกี่ยวกับคุณแม่ของแมรีแอนน์... อ๊ะ ไม่สิ”

เด็กหนุ่มตีหน้าจริงจังย้อนคำพูดก่อนหน้านั้น “คุณบอกว่าซิกมุนท์สามารถแกะรอยเวทได้ใช่ไหม งั้นคุณแม่ของแมรีแอนน์อาจจะตกอยู่ในอันตรายก็ได้นะ!

“เรื่องคุณมิเดียเน่ไม่ต้องเป็นกังวล ช่วงที่พวกเธอเปิดเทอมกันแล้วคุณมิเดียเน่เดินทางมาคุยเรื่องนี้แล้วฝากดาบกับจี้ไว้กับพวกเราแล้ว ที่จริงตอนแรกกะจะหาเวลาว่างมาคุยกับเธอด้วย แต่เกิดเหตุซะก่อน” เกรกอรี่บอกเรื่องที่หญิงสาวเดินทางมาหาถึงเบเลเทีย “แต่เมื่อครู่เธอบอกแล้วว่าทุกอย่างจะเริ่มอีกทีตอนแมรีแอนน์ขึ้นปีสอง หลังจากนั้นมีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า”

“เอ่อ... มีครับ พอขึ้นปีสองทุกคนจะรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับแมรีแอนน์ว่าเป็นทายาทตระกูลลูมิเธอร์ จากนั้นก็มีเดินทางตามหาผลึกที่เหลือ... ส่วนวิธีการผมจำไม่ได้แล้ว”

“อืม... ดูท่ากลับไปเบเลเทียคราวนี้ต้องวางแผนดีๆ แล้ว ไหนจะเรื่องความปลอดภัยในงานเทศกาลอีก” โดมินิกลูบคางใช้ความคิด ตอนนี้พวกเขาสามารถยื้อเวลาได้อีกประมาณหนึ่งปีก็จริง แต่การที่อสูรทมิฬบุกมาช่วงใกล้งานเทศกาลก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าตัวตนของแมรีแอนน์หรือร่องรอยอาคมของตระกูลลูมิเธอร์ยังไม่ถูกเปิดเผยก็ตาม “แต่การที่พวก ผู้ศรัทธา เคลื่อนไหวแบบนี้ เราควรแจ้งประเทศอื่นได้รับรู้ ติดแค่ว่าเรายังไม่มีหลักฐานว่าซิกมุนท์ เรนเกอริ่งยังมีชีวิตและเป็นตัวการ นอกจากความทรงจำจากความฝันของเกล็น”

“เอ๊ะ ผู้ศรัทธาเหรอครับ?” เกล็นหลุดปากถามไม่ยักเคยได้ยินมาก่อน

“เป็นชื่อเรียกของคนที่นับถือเชเบอร์ทอสในสมัยก่อนน่ะ พวกเขาจะคอยขัดขวางหรือกำจัดคนที่จะหากำราบมังกรมารนั่น จากการกระทำของตระกูลเรนเกอริ่ง แล้วก็ซิกมุนท์กับพวก ก็น่าจะเข้าข่ายเป็นคนพวกนี้ได้อยู่” เกรกอรี่อธิบายความหมายของมัน

“แต่ทำไมเรารู้สึกว่าคนพวกนั้นก็ไม่ได้ศรัทธาอะไรขนาดนั้นแฮะ” เกล็นแย้งในใจมีลางสังหรณ์ว่าพวกเขาทำไปเพื่อทดลองการคืนชีพเชเบอร์ทอสเท่านั้นเอง ไม่ได้มีใจรักหรือศรัทธาในตัวมังกรร้ายนั่นเลย

“จริงสิ เรื่องหลักฐานว่าซิกมุนท์ยังมีชีวิตอยู่ ผมพอมีวิธีอยู่นะ ถึงไม่การันตีว่าได้ผลก็เถอะ”

แล้วโดมินิกก็จ้องเขม็งมาทางเด็กหนุ่มที่สะดุ้งตกใจเหมือนเผลอทำอะไรผิด “ละ แล้วค่อนข้างมั่นใจว่าหมอนั่นก็ไม่ทันคิดเหมือนกัน”

เกรกอรี่ไม่โต้ตอบทำเพียงผายมือเชิญให้เกล็นพูดต่อ

“ท่านโรเซนเบิร์กเคยไปร่วมงานศพของซิกมุนท์ใช่ไหมครับ จากที่ปู่เกรกอรี่เคยเล่าให้ฟัง”

“เคยสิ ถึงจะแค่ครั้งเดียวฉันยังพอจำหน้าผู้ชายคนนั้นได้”

“งั้นเราลองแบบนี้กันดีไหม นอกจากแจ้งเรื่องนี้ให้ประเทศอื่นรู้ คุณทำเรื่องขอให้ประเทศบ้านเกิดซิกมุนท์ลองเปิดโลงศพดูโดยอ้างว่าเจอคนที่มีลักษณะเหมือนกัน”

“เข้าใจล่ะ” หัวหน้าอัศวินเวทพยักหน้ารับเข้าใจ “วิธีที่เธอแนะนำถึงดูง่ายแต่ก็น่าใช้ได้ผล”

“แล้วมีอย่างอื่นอีกหรือเปล่าครับ”

“ถ้าจะมีก็แค่เรื่องงานเทศกาลนั่นแหละ ถึงฉันคิดว่าพวกนั้นน่าจะไม่เคลื่อนไหวเอิกเกริกเพราะแกะรอยผลึกไม่ได้ แต่คิดว่าน่าจะแฝงตัวตามหาความจริง เพราะฉะนั้น...” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองใบหน้ามนของเด็กหนุ่มอย่างเป็นห่วง “เธอต้องระวังตัวเป็นพิเศษนะ ถ้าซิกมุนท์เรียนจบธาตุมืดได้เขาอาจจะอ่านความทรงจำสืบหาข้อมูลแทน”

ได้ยินแบบนั้นเกล็นถึงกลับกลืนน้ำลายดังเอื๊อกจากข้อสันนิษฐานของเกรกอรี่ มันมีโอกาสอย่างมากที่พวกตัวร้ายจะมาตามหาความจริงว่าทำไมถึงไม่เจอผลึกตามที่แกะรอยได้ เขาเลยได้แต่ภาวนาอย่าเจอซิกมุนท์เป็นพอ เพราะอีกสามคนต่อให้เดินสวนกันยังปลอดภัยจากการโดนอ่านความทรงจำ

“เอาจริงอย่าว่าแต่งานเทศกาลเลย ถ้าพวกนั้นเอาจริงปานนี้บุกมาที่นี่แล้วมั้ง” เด็กหนุ่มแสดงความวิตกกังวลตัดสินใจจะพยายามออกนอกเขตเท่าที่จำเป็น “โอ้ย เกือบลืม ต้องไปซื้อของขวัญวันเกิดแมรีแอนน์ที่จะถึงด้วยนี่หว่า แต่ช่างมันเถอะ คิดก่อนแล้วค่อยรีบซื้อรีบกลับ น่าจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

“เดี๋ยวหลังจากนี้ทางฉันจะประชุมเรื่องส่งคนมาดูแลเธอตลอดเทอมสอง ยังไงซะหากเป็นไปได้พวกเราก็อยากให้เหตุการณ์มันเป็นไปตามความฝันเธอ”

“ขอบคุณมากครับ… แต่ผมว่าไม่ต้องหรอก ส่งคนมาแล้วถ้าซิกมุนท์สืบรู้มีแต่จะโดนจับตามองง่ายๆ มากกว่า” จริงอยู่ว่าคนที่จะมาดูแลสามารถแฝงตัวได้อย่างแนบเนียน แต่เขาก็ไม่อยากประมาทกับตัวละครที่ฉลาดอย่างซิกมุนท์เท่าไร ขืนจับได้ตัวร้ายคนนั้นไม่ปล่อยให้หลุดมือใช้เวทอ่านความทรงจำแน่ ถึงหนึ่งในนั้นจะมีรูทที่ซิกมุนท์หักหลังพวกพ้อง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าชายคนนั้นจะเจอความทรงจำนั้น แต่ที่น่ากลัวคือการที่ซิกมุนท์ล่วงรู้แผนการปัจจุบันมากกว่า

“ที่เกล็นว่าก็มีเหตุผล” โดมินิกเข้าใจเรื่องที่เกล็นเป็นห่วง “ฉันเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นต้องใช้เวทอ่านความทรงจำได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อย่าออกนอกโรงเรียนเป็นดีที่สุด”

“ผมก็คิดแบบนั้น…” เกล็นผงกศีรษะตอบ

เมื่อคุยไม่มีอะไรต้องคุยต่อ เกรกอรี่ลุกขึ้นตวัดชายผ้าคลุมเพื่อจัดทรงให้เรียบร้อยเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่ต้องกลับกันแล้ว เกล็นกับโดมินิกจึงยืนตามเตรียมตัวออกจากห้อง

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะเกล็น หากมีอะไรก็ติดต่อมาได้เสมอนะ” ชายสูงวัยบอก

“ครับ แต่อาจจะช้าหน่อยนะ เพราะผมต้องยืมนกของชาร์ล็อต” เด็กหนุ่มแจ้งล่วงหน้าให้อีกฝ่ายทำใจเรื่องข่าวสารที่อาจจะได้รับช้า

“ไม่เป็นไร เพราะถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากรับจดหมายจากเธอเท่าไร…”

“ผมก็หวังว่าจะไม่ได้เขียนเหมือนกัน”

ว่าจบเกรกอรี่เป็นคนแรกที่ก้าวออกจากห้องรับรองแขกตามลำดับอาวุโส พอบานประตูปิดลงเกล็นล้วงนาฬิกาพกในกระเป๋าขึ้นดูเวลาที่เข็มชี้สั้นไปที่เลขสี่ มันยังอยู่คาบสุดท้ายแล้วขอให้อาจารย์อย่าเพิ่งกลับเข้าห้อง เพราะไม่รู้เลยว่าพวกอาจารย์จะรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามากน้อยแค่ไหน ขนาดเกรกอรี่ยังบิดเบือนให้สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเกมเป็นเรื่องความฝันในวัยเด็ก แต่ระหว่างเดินลงบันไดจะกลับเข้าห้องเรียนประจำ เด็กหนุ่มชะงักเท้าเพิ่งนึกเรื่องหนึ่ง

“เจ้าพวกนั้นมันต้องถามแน่ว่าเคธีเรียกไปทำอะไรตอนนี้” เกล็นพึมพำหน้าซีดยังมืดแปดด้านคิดข้ออ้างไม่ออก เขาต้องคิดอะไรก็ได้ที่มันสอดคล้องกับการประชุมเจออสูรทมิฬด้วย “เอาไงดีวะเนี่ย”

เขาขบฟันแน่นทึ้งผมตัวเอง “ตอแหลว่าเจอบัตรนักเรียนก็แล้วกันง่ายดี”

เพราะมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นบัตรนักเรียนมาก่อน ถึงจะมีคำตอบถัดไปว่าตอนสอบพกไปทำไม แต่เขาก็คิดคำตอบข้างๆ คูๆ พอเอาตัวรอดไปก่อนได้