1 ตอน บทนำ
โดย RiFourver
นริศ โชตวาณิช เกิดและโตในชุมชนแถบชานเมืองปริมณฑล แม้จะมีช่วงหนึ่งที่เขาไปอาศัยอยู่คอนโดมิเนียมตามลำพัง แต่ด้วยภาระบางอย่างทำให้นริศต้องกลับมาอยู่บ้านเดิมอีกครั้ง หลังจากนั้นก็กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในละแวก โดยที่เขาผ่านทุกช่วงเวลาทุกความรู้สึกที่มนุษย์คนหนึ่งประสบพบเจอ ทว่าบัดนี้สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำอะไรชายคนนี้ได้อีกต่อไป
มันถึงตาของเขาแล้วที่ผู้คนต่างมาร่วมฟังการสวดอภิธรรมตลอดเจ็ดวัน ณ วัดเล็กๆ ใกล้ชุมชนที่แสนเงียบสงบ หลังนริศจากไปอย่างสงบที่โรงพยาบาลในวัยแปดสิบเอ็ดปี บรรยากาศภายในงานไม่ได้เศร้าโศกมากนัก ทุกคนล้วนทราบดีว่าสักวันหนึ่งคุณปู่ต้องลาพวกเขา โดยเฉพาะคนในครอบครัวที่อยู่กันมาทั้งชีวิต แขกเหรื่อจึงเป็นเพื่อนบ้านซะส่วนใหญ่ โดยบางคนรู้จักกับนริศตั้งแต่วัยรุ่น จึงมีเรื่องเล่าว่าสมัยนั้นเขาเป็นคนติดเกมติดการ์ตูน แม้โตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังไม่เลิกงานอดิเรกนี้กระทั่งเข้าสู่วัยชรา สังขารไม่อาจสู้สีสันบนจอมอนิเตอร์ได้เท่าเมื่อก่อน เลยหันไปสนใจต้นไม้ใบหญ้าเหมือนผู้สูงวัยทั่วไป
ทว่าตัวเขาก็เป็นคนที่เวลาต้องทิ้งอะไรสักอย่างต้องใช้เวลาในการตัดสินใจค่อนข้างนานจนเสียดายเก็บเอาไว้จนฝุ่นจับ แน่นอนของสะสมพวกการ์ตูนหรือเกมเป็นหนึ่งในนั้น โชคดีที่นริศได้สั่งเสียกับสมาชิกครอบครัวแล้วว่า หากเขาตายให้เผาไปด้วยกันเลย ดังนั้นในวันพิธีฌาปนกิจจึงมีของที่คัดกรองเรียบร้อยแล้วว่าสามารถเผาได้วางเตรียมเอาไว้
ทั้งที่ถึงเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง ตามกำหนดการเป็นช่วงเล่าชีวประวัติของผู้ล่วงลับ แต่หลายคนกลับสนใจรายการถ่ายทอดสดการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อลุ้นเป็นเศรษฐีคนใหม่จนตัวเกร็ง ตามความเชื่อที่ว่าผลรางวัลมักเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตใกล้ตัว
และเมื่อพนักงานสาวเปิดฝาตลับลูกบอลโชว์หมายเลข 760909 หญิงผมยาวมัดรวบคนหนึ่งก็โพล่งขึ้นกลางศาลา “909 สามตัวตรงเลยนี่หว่า!”
ด้วยเสียงประกาศนี้เองได้เรียกเสียงฮือฮาจากลูกหลานและเหล่าขาพนันสายใต้ดิน ที่เลขท้ายสามตัวของรางวัลใหญ่ตรงกับวันเดือนที่นริศเสีย อีกทั้งก่อนหน้าเลขท้ายสองตัวยังออก 81 ทำเอาคนดวงเฮงร้องเฮลั่นไม่เว้นญาติคนสนิทที่ลืมไปแล้วว่ากำลังไว้อาลัยผู้วายชนม์ กว่าจะสงบลงได้อีกหนก็สองถึงสามนาทีให้หลัง
“โอ๊ย ไม่น่ากลับเลขเลย” เสียงโอดครวญจากหญิงสาวชุดกระโปรงขาวดัง หล่อนนั้นมองลอตเตอรี่เลขท้าย 18 ที่กำแน่นจนกระดาษยับอย่างเจ็บใจก่อนหันไปทางครอบครัวคุณปู่ที่กำลังสนทนาประเด็นเดียวกัน
เพราะตำแหน่งเก้าอี้ไม่ไกลกันนักเลย หล่อนพอจับใจความว่าพวกเขาน่าจะได้เงินรางวัลมาไม่น้อย จากทั้งแบบถูกและผิดกฎหมาย ช่วยทำให้รายรับรายจ่ายคล่องตัวได้สักระยะ รวมทั้งวางแผนใช้เงินกองนี้ทำบุญร้อยวันให้ดูใหญ่โตกว่าปกติเป็นการขอบคุณ
หลังเล่าชีวประวัติแสนเรียบง่ายของผู้ชายธรรมดาจบ แขกในงานต่างทยอยยกมือพนมเข้าสู่พิธีต่อไป กระนั้นคนถูกหวยกินยังเอนตัวเล็กน้อยมาบอกเพื่อนเสียงเบา “มันก็จริงอย่างที่เขาพูดนะ ซื้อหวยเลขอายุตัวเองไม่เคยถูกสักครั้ง มาออกเอาวันที่ไม่อยู่แล้ว”
“คงทิ้งท้ายให้หมดห่วงล่ะมั้ง ไม่แน่อาจจะไปเกิดใหม่เลยก็ได้ หึๆ” คนผมยาวหัวเราะในลำคอพูดทีเล่นทีจริง
“ฮะๆ แบบนั้นบุญแกโคตรสูงเลยนะ เกิดใหม่เลยเนี่ย” ผู้ฟังขบขันตาม
“ก็ไม่แน่หรอก ก่อนเสียได้เดือนหนึ่ง ญาติแกก็เพิ่งไปทำบุญเก้าวัดตามที่เขาลือๆ กันมานั่นแหละ แล้วคงไปถูกใจพระท่านวัดไหนเข้าเลยให้พรไปเกิดใหม่เลยซะเลย”
พอพูดจบไม่ทันไร ก็มีผู้หญิงผมสั้นสวมเสื้อลูกไม้สีดำแทรกขึ้นมาร่วมวงประเด็นสนทนานี้ด้วย
“อย่าว่าแต่ทำบุญเลย คืนไหนสักคืนเนี่ยแหละ มีพระต่างจังหวัดมาพูดว่าเขาไปรอแล้วนะ แล้วก็กลับเลย”
“หา? แล้วท่านไม่พูดหรือสวดอะไรอย่างอื่นเลยเหรอ”
“ไม่รู้สิ ฟังหลานแกเล่ามาอีกทีน่ะ แต่... เขาก็บอกว่าหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน” หญิงผมสั้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจนัก ก่อนจะพูดติดตลก “ท่านอาจจะเข้าญานแล้วเห็นล่ะมั้ง ไม่แน่พ่อแม่พี่น้องแกอาจจะรออยู่อีกภพก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ไอ้พวกเวรนี่! ถ้าเข้าฝันได้พ่อจะหลอกให้หัวโกร๋นเลย!!”
นริศสะดุ้งตื่นขึ้นบนพื้นไม้พร้อมสถบคำหยาบกับความฝันที่ผู้คนต่างมางานร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของเขาแล้วดันร้องเฮลั่นศาลาที่ถูกหวย โดยที่อีกใจหนึ่งก็เข้าใจดี เพราะถ้าถูกรางวัลรับทรัพย์ก้อนใหญ่ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา
แล้วในจังหวะที่นริศพยุงดันตัวขึ้นยืน หน้าผากผลันรู้สึกเจ็บแปลบๆ จึงยกมือข้างหนึ่งแตะสัมผัสกับของเหลวหนืด พอเขาลดมือลงมาดูด้วยความสงสัย ก็ร้องเหวอตกใจและรู้สึกขยะแขยงกับเลือดจำนวนมากเกินจะรับไหว เขาลนลานกวาดตามองหาทิชชูไม่กล้าเช็ดกับกางเกงเพราะกลัวซักออกยากและอาจจะถูกหลานสาวบ่นอีกต่างหาก ทว่านริศกลับต้องเจอสถานที่ที่ชวนสับสนว่าคุ้นเคยหรือไม่
มันเป็นโถงหน้าบ้านตกแต่งเรียบๆ แต่ไม่อาจจะซ่อนความร่ำรวยไว้ได้มิดจากขนาดที่กว้างขวางดูโอเวอร์เกินจะเป็นบ้านคนธรรมดา… ไม่สิ อย่างแรกที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา เพราะจำได้ว่าไม่เคยสั่งงานนักออกแบบทำโถงนี้ด้วยซ้ำ ครั้นจะบอกว่าแม่เป็นคนแอบทำก็ไม่ได้ ในเมื่อเรื่องสร้างบ้านใหม่เขากับพี่ชายจ้างระดับมืออาชีพมาปรับปรุงบ้านสำหรับผู้สูงวัยโดยเฉพาะ จะไปมีบันไดที่มีลักษณะเหมือนในคฤหาสน์แบบหนังได้ยังไงกัน มันใหญ่เกินไปสำหรับคนแก่ แถมยังมีแชนเดอเลียร์คริสทัลประดับกลางโถงอีก ที่นี่มันไม่ใช่บ้านหลังเดิม ทว่าในความรู้สึกลึกๆ ของนริศสถานที่แห่งนี้ก็คือ ‘บ้าน’ ที่อยู่มาตั้งแต่เกิดเช่นกัน
นั่นเลยทำให้เขางุนงงหนักกว่าเดิม โดยที่จิตใจสำนึกย้ำบอกสิ่งที่สวนทางกับความทรงจำยิ่งทำให้ไขว้เขว
เพล้ง!
เสียงเครื่องแก้วตกแตกดึงความสนใจจากนริศให้หันไปทางหญิงสาวชุดเมดแบบในการ์ตูน เธอหวีดร้องตกใจกับภาพตรงหน้า
“คุณหนูเลือดออกค่ะ!”
แทนที่จะได้สติ นริศกลับเตลิดหนักกว่าเดิมที่เห็นผู้หญิงแปลกหน้า ทั้งคู่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายจนดังลั่นเข้าไปถึงในตัวบ้าน เรียกสมาชิกเกือบทั้งหมดรีบรุดมายังจุดเกิดเหตุ
“เธอเป็นใคร ที่นี่ไหน!?” เขาแหกปากถาม
“คะ คุณหนูเลือดออกนะคะ!”
“เออ รู้แล้วว่าเลือดออกแต่ตอบคำถามฉันก่อน!”
“คุณหนูคะ พูดอะไรน่ะดิฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด”
“โวะ! ก็พูดภาษาคนอยู่ไง ฟังไม่รู้เรื่องหรือไงวะ”
ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ทั้งสองคนถกเถียงไปมาไม่รู้จักจบ กระทั่งมีเสียงตวาดห้ามทัพยุติความวุ่นวาย โดยที่คนหนึ่งรู้สึกไม่ได้ดั่งใจจึงกอดอกทำหน้าบึ้งตึง อีกคนก็น้ำตารื้นฟ้องเจ้าของเสียง หล่อนเป็นหญิงอายุราวๆ ห้าสิบปี รูปร่างผอมแต่งกายเหมือนผู้ดีอังกฤษยุคเก่าสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาคู่ดุที่ตวัดมาทางเขาเล่นเอานริศสะดุ้งโหยง
“เกิดอะไรขึ้น” เมื่อสถานการณ์สงบหญิงสูงวัยลดระดับเสียงลงถาม
“ดะ ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะคุณลินดา พอเดินออกมาก็พบคุณหนูเลือดออก ละ แล้ว…” หญิงรับใช้พยายามข่มอารมณ์ห้ามไม่ให้เล่าตะกุกตะกัก “แล้วคุณหนูพูดภาษาแปลกๆ ค่ะ เราเลยคุยกันไม่เข้าใจ แต่ถ้าถามสาเหตุดิฉันคิดว่าคุณหนูน่าจะลื่นตกบันไดหน้ากระแทกพื้นค่ะ”
“เธอต่างหากที่ฟังไม่ออก!” นริศชี้หน้าหญิงสาวอย่างหัวเสียที่โดนหาว่าพูดจาภาษาอื่นราวกับเขาเป็นคนต่างแดน
ได้ยินดังนั้น นัยน์ตาสีแดงเข้มของลินดาเบิกกว้างตกตะลึง เชื่อคำพูดสาวใช้ในทันทีว่าเป็นความจริง เพราะตัวเธอเองก็ฟังประโยคจากคนตรงหน้าไม่ออก และไม่พึงพอใจปนกังวลกับพฤติกรรมอันก้าวร้าวจึงจำเป็นต้องขึ้นเสียงกล่าวตำหนิการกระทำที่ไม่น่ารัก
“เกล็น! ชี้นิ้วใส่คนอื่นอย่างนั้นได้ไงกัน หลานไม่เคยทำตัวแบบนี้มาก่อนเลยนะ เป็นอะไรหรือเปล่า? มีอะไรไม่พอใจบอกย่าได้นะ”
“หา!? ย่าพูดอะไร… น่ะ…”
ในที่สุดนริศสงบสติอารมณ์ได้ ร่างกายเขารู้สึกอ่อนแรงฉับพลัน เดินเซถอยหลังล้มตัวนั่งบนขั้นบันได แล้วใช้สายตาไล่มองเหล่าชายหญิงบริเวณนั้นทีละคน ถึงเพิ่งสังเกตได้ชัดว่าทุกคนล้วนตัวสูงกว่าตน มันไม่ใช่ความสูงระหว่างคนแก่กับคนหนุ่มสาว แต่เป็นเด็กกับผู้ใหญ่ เขาสำรวจร่างกายที่ผิดปกติไป เริ่มจากก้มมองมือเล็กขนาดประมาณวัยอนุบาล เสื้อผ้าไม่ใช่เสื้อกุยเฮงกับผ้าขาวม้าตัวเก่ง แต่เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่เปื้อนหยดสีแดง กางเกงขาสั้นสีดำ
นั่งอยู่ได้สักพักใหญ่ สมองค่อยๆ ทำงานอย่างรวดเร็วเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังประมวลผล เรื่องมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวไม่หยุด นริศทบทวนลำดับเหตุการณ์แรกสุดจนถึงปัจจุบัน ในบรรดานั้นมีความทรงจำของใครไม่รู้อยู่ลำดับล่าสุด มันคือมุมมองของเด็กที่ค่อนข้างเลือนราง มักหมกตัวอยู่ในห้องนอนกับห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย
ลินดาถอนหายใจแผ่วเบา มองเด็กน้อยที่มีแววตาเหม่อลอยอย่างเป็นห่วง เธอเดินไปนั่งลงใกล้ๆ เพื่อประคองใบหน้าดูบาดแผลบนหน้าผากได้ถนัดตา จากนั้นคลี่ยิ้มโล่งอกที่เป็นแค่แผลถลอก
“เอาล่ะ หลับตาก่อนนะ เดี๋ยวจะแสบตาเอา”
จริงอยู่นริศรู้ว่าเธอกำลังพูดอะไร แต่ก็สงสัยว่าทำไมต้องหลับตา เพราะถ้าจะทำแผลให้ก็ไม่ยักจะเห็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาล แล้วไม่กี่วินาทีต่อมาเขาจึงเข้าใจ เมื่อลินดายกมือขึ้นเหนือแผลถลอกเล็กน้อยจากนั้นก็มีแสงสว่างจ้า
“อ้ากกก!!!”
นอกจากปกป้องดวงตาไม่ทัน นริศยังช็อกกับสิ่งที่เห็นจนร้องลั่นก่อนจะหมดสติ มันไม่มีทางที่มนุษย์ปกติคนไหนทำเรื่องแบบนั้นได้ ทว่าขณะเดียวกันเขารู้ดีว่าย่าแค่ใช้ ‘เวทมนตร์’ รักษาเท่านั้นเอง
Comments (0)