ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากประตู ความเหน็ดเหนื่อยจากการปะทะสัตว์อสูรอันยากลำบากสำหรับคู่หูจอมเวทเฉพาะกิจก็หายไป ทว่าเกล็นก็ยังตั้งคำถามอย่างหัวเสียว่าอะไรดลใจให้โรงเรียนลูกผู้ดีมาทดสอบเด็กปีหนึ่งตั้งแต่สามวันแรก

“เออ ใช่สิ ก็ในเกมมันมีไว้สร้างอีเวนต์แมรีแอนน์กับ เกล็น ไงล่ะ แต่ตอนนี้โคตรไร้สาระฉิบเป้ง”

“ออกมาได้แล้วนะคะ” เด็กสาวผมหยักศกยาวสีดำถอนหายใจเฮือกหลังก้าวเท้าพ้นประตูไล่หลังเกล็น สำรวจเนื้อตัวที่ตอนนี้บาดแผลและความอ่อนล้าได้หายไป เพราะความสามารถของประตูวิเศษที่สมราคาคุยว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บและบรรเทาความเหนื่อยล้า “แหม ตายจริง! สมเป็นท่านจูเลียสเลยค่ะ”

เธออุทานด้วยแววตาส่องประกายชื่นชมเมื่อเห็นจูเลียสกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นยืนรอคนที่เหลือกลับจากการทดสอบ นอกจากเจ้าชายยังมีลิเลียนกับเคจที่น่าจะกำลังเล่าเรื่องที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ทั้งสามคนแยกกลุ่มกันในระหว่างฟิเลน่าไม่อยู่ แล้วก็อิกนิสแยกเดี่ยวพิงกำแพงอยู่ใกล้ๆ อดไม่ได้ที่เกล็นจะแซวในใจและพยายามกลั้นขำ

“ขอโทษนะพอดีมันนึกได้ อย่างกับหมาป่าเดียวดายแน่ะ ฮ่าๆๆๆๆ”

เพราะเป็นเพื่อนคนละกลุ่ม เกล็นจึงแยกย้ายกับเด็กสาวและเดินไปรวมแก๊งของตัวเอง เขาเดินสบายอารมณ์โบกมือทักเคจที่ผงกหัวตอบกลับ

“ดูเหมือนว่าปัญหาแมรีแอนน์กับฟิเลน่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ” จูเลียสบอกสีหน้าแจ่มใสรู้สึกดีที่สาวๆ ปรับความเข้าใจกัน

“ฉันก็หวังแบบนั้น” เกล็นยิ้มกลับอย่างโล่งอกที่ปัญหาของแมรีแอนน์กับฟิเลน่าที่น่าจะเคลียร์กันได้ ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่แหกเนื้อหาเกมไปในทางที่ดี “แล้วคลาริสล่ะ? หมอนั่นน่าจะออกมาก่อนฉันอีกนะ”

เกล็นเท้าเอวหันซ้ายหันขวาตามหาคลาริสที่ยังไม่มา ก่อนจะมองที่ประตู รู้สึกประหลาดใจที่คนมีฝีมืออย่างเด็กหนุ่มคนนั้นจะทดสอบเสร็จช้ากว่าคู่จอมเวท

“ผมคิดเหมือนกัน แถมคู่คลาริสเป็นชาร์ล็อตด้วยดูท่าเข้าขากันดี ไม่น่าใช้เวลาขนาดนี้” จูเลียสเห็นพ้อง ยิ่งจับคู่กับคนรู้จักก็น่าจะทดสอบเสร็จเร็วด้วยซ้ำ

“ฮะ? สองคนนั้นจับคู่กันเรอะ” เกล็นทวนถามให้แน่ใจ

“ครับ หลังเกล็นเข้าไปก็เป็นสองคนนั้น… หืม เป็นอะไรไปครับ ไม่สบายหรือเปล่า?” จูเลียสมองคู่สนทนาที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“นายเคยรู้สึกขนลุกเพราะลางสังหรณ์ไหม?”

เจ้าชายกะพริบตาปริบๆ ส่ายศีรษะตอบ คนนอกอย่างอิกนิสก็เดินเข้ามาประกบเกล็นอีกข้าง แล้วพูดแทรกด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างชัดเจน

“เมื่อกี้หมายความว่าไงน่ะ”

“เอ๋ อ๊ะ เอ่อ…” เพราะการมากะทันหันของอิกนิส ทำให้สมองของเกล็กชะงักการประมวลผลชั่วขณะ พอได้สติเขาก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ มองออกว่าอิกนิสเป็นห่วงน้องชายถึงโผล่พรวดมาแบบนี้ “ไม่มีอะไรๆ”

“ก็เมื่อกี้…”

ไม่ทันที่แฝดคนพี่จะพูดจบ จูเลียสก็จับไหล่เรียกเกล็นให้สนใจผู้ผ่านการทดสอบคู่ใหม่ ร่างสองเด็กสาวปรากฏพ้นประตู ฟิเลน่าเดินหน้าเชิดไม่พูดไม่จาผ่านหน้าพวกเขาไป เคจที่คุยกับลิเลียนอยู่เห็นดังนั้นก็บอกลา ก่อนจะรีบไล่หลังคุณหนูออกห้องประชุม ด้านแมรีแอนน์เมื่อดูจากรอยยิ้มแล้ว ก็พอจะเดาเหตุการณ์ในนั้นได้โดยไม่ต้องรอให้เธอเอ่ยปาก

“เป็นยังไงบ้างครับแมรีแอนน์” จูเลียสถามขึ้น

“การทดสอบเนี่ยยากเอาการเหมือนกันนะคะเนี่ย แล้วทางพวกคุณเป็นไงบ้างคะ” เสียงเจื้อยแจ้วของแมรีแอนน์ตอบและถามพวกเพื่อนกลับ

“เช่นกันครับ ตรึงมือน่าดู” จูเลียสกล่าวถ่อมตัว

“เหมือนกัน ดีนะที่ดีลิเซียพอใช้ดาบเป็น” เกล็นตอบพลางนึกสภาพจอมเวทสองคนล้มลุกคลุกคลานตอนเจอศัตรูระยะประชิด ดีที่พวกเขาชำนาญธาตุเอกได้ทั้งคู่และดีลิเซียก็มีทักษะดาบติดตัว เลยถูๆ ไถๆ เอาตัวรอดมาได้

“ว่าแต่ชาร์ล็อตยังไม่มาเหรอคะ…” ดวงตาสีชมพูกวาดหาเพื่อนสาวที่ยังไม่มา “คลาริสก็ด้วย”

“สองคนนั้นจับคู่กันน่ะครับ แต่คงไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก”

“นั่นสินะคะ พวกเขาดูเข้าคู่กันดี” เธอหัวเราะคิกคิดแบบเดียวกับจูเลียส “จริงสิ จูเลียส… มะ ไม่ดีกว่า ไว้โอกาสหน้าละกันค่ะ”

แมรีแอนน์ลดเสียงเปลี่ยนใจขอตัวไปคุยกับลิเลียนแทน สร้างความสงสัยให้กับเกล็นและจูเลียสที่ปรายตามองกันเอง ก่อนเกล็นจะยักไหล่เชิงบอกไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไม

ยืนรออีกพักใหญ่ จู่ๆ เสียงคุ้นหูก็ดังเล็ดลอดออกมาจากบานประตูเรียกความสนใจคนในห้อง พานทำให้พวกเกล็นใจคอไม่ดี เพราะเสียงฟังดูรุนแรงมากกว่าสนุกสนาน เกล็นเหงื่อแตกไหลเป็นน้ำตกกับเสียงทะเลาะลั่นโบ้ยความผิดกันไปมา ถ้าตาไม่ฝาดแค่เสี้ยววินาที เขาเห็นสภาพชาร์ล็อตกับคลาริสสะบักสะบอม พอก้าวข้ามธรณีประตู บาดแผลพลันถูกรักษาจนเกลี้ยงแต่ก็ไม่อาจดับอารมณ์ร้อนทั้งคู่ได้ อาจารย์เห็นว่าทั้งคู่ทะเลาะกันหนักเกินไปจึงต้องเดินไปตำหนิให้หยุดส่งเสียงโวยวาย

ทันทีที่อาจารย์หันหลังชาร์ล็อตก็เดินหน้าบึ้งเตรียมฟ้องเกล็นกับเรื่องที่เกิดขึ้น คลาริสรู้ทันจึงตั้งใจจะมาแก้ต่าง ทว่าเห็นอิกนิสยืนอยู่แถวนั้นซะก่อน ทำให้คลาริสจำต้องเบี่ยงเส้นทางออกจากห้อง พี่ชายเลยเดินตามไปคุยเป็นการส่วนตัว

“ว่าแล้วเชียวต้องอีหรอบนี้”

เกล็นถอนหายใจอย่างปลงๆ ไม่แปลกใจที่ชาร์ล็อตกับคลาริสจะทะเลาะกัน แม้เขาจะไม่รู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนั้น

“เอาล่ะๆ ฉันรู้ว่าเธออยากพูดอะไรนะ แต่ก่อนอื่นเราไปหาที่โล่งๆ ลมพัดเย็นๆ คลายหัวร้อนกันดีกว่า อีกอย่างอยู่ในห้องนี้อึดอัดจะตาย รบกวนคนอื่นอีกต่างหาก” เกล็นยกมือปรามเพื่อนสนิทที่กำลังอ้าปาก แมรีแอนน์เองก็เดินเข้าไปประกบข้างพร้อมจับต้นแขนชาร์ล็อต

“ฉันเห็นด้วยกับเกล็นนะคะ ถ้าได้เห็นวิวสีเขียวอาจจะทำให้รู้สึกดีขึ้น จริงสิ! พาไปเดนออกมาบินเล่นด้วยดีไหม”

เพราะมีสองเสียง ชาร์ล็อตจึงยอมทำตามคำแนะนำอย่างว่าง่าย พวกเขาพากันไปหาที่นั่งดีๆ ในเขตหอพัก หลังจากนั้นชาร์ล็อตก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติพิศวงตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเรื่องมีอยู่ว่าหลังเข้าประตูทดสอบได้สักพัก ทั้งคู่เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเข้า เธอรู้จักเจ้าสัตว์ตัวนั้นจึงแนะนำให้ใช้เส้นทางอื่นเดินเลี่ยงดีกว่า เนื่องจากมันมีพฤติกรรมหวงถิ่น แต่คลาริสกลับไม่ฟังคำเตือนเข้าไปปะทะโดยใช่เหตุ ทำให้ทั้งคู่เริ่มมีปากเสียงกันตลอดทางการทดสอบ มีแค่ตอนเจออุปสรรคเท่านั้นที่ชาร์ล็อตกับคลาริสยอมสงบศึก จนกระทั่งทั้งคู่สอบเสร็จ

“อืม... จากเรื่องที่ชาร์ล็อตเล่ามามันก็...” จูเลียสกอดอกขมวดคิ้วพอจะเข้าใจความรู้สึกของชาร์ล็อต ขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าทำไมคลาริสถึงเป็นแบบนั้น “คลาริสเองก็ดูเป็นคนมุทะลุเอาการ ก็เลยอาจจะไม่เข้าขากับคุณก็ได้”

“หรือไม่ก็ยึดตัวเองเป็นหลัก ก็เขาต้องแข่งกับคุณอิกนิสมาตั้งแต่เด็กเลยนี่นา” ลิเลียนพูดเสริมตามเท่าที่รู้ในความสัมพันธ์ของสองพี่น้อง

“ที่พูดมามันก็ถูก” ชาร์ล็อตพ่นลมหายใจแรงเข้าใจที่จูเลียสกับลิเลียนจะสื่อ “แต่ยังไงก็ไม่หายโมโหอยู่ดี... ฮึ่ม!

“เอ่อ... ขอโทษที่ต้องแทรกนะ แต่ขอถามอะไรได้หรือเปล่าคะ” แมรีแอนน์ยกมือขออนุญาต เพื่อนทั้งสี่คนต่างพร้อมใจผายมือเชิญให้เด็กสาวถามได้ “ก็พอทราบบ้างจากที่คุยๆ กันบ้าง แต่คลาริสกับคุณอิกนิสไม่ถูกกันขนาดนั้นเลยเหรอคะ นึกว่าเป็นแค่พี่น้องที่ไม่สนิทกันเท่านั้นเอง”

“เรื่องนั้นมัน... คิดว่าไม่เชิงหรอกครับ” จูเลียสทำสีหน้าไม่มั่นใจกับคำตอบ “จะว่าไงดีล่ะ เท่าที่ผมรู้และยืนยันได้จริงๆ ก็คือเรื่องที่สองคนนั้นแข่งกันแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลน่ะครับ”

“แข่งกัน...เหรอคะ...? ทั้งที่เป็นพี่น้องกัน” แมรีแอนน์หลุบตาลงพึมพำ

“เพราะงี้ถึงได้ชิ่งหนีตอนที่เห็นอิกนิสอยู่กับพวกเรานั่นแหละ ปานนี้ทะเลาะบ้านแตกกันแล้วหรือยังก็ไม่รู้ คนหนึ่งใจร้อน ส่วนอีกคนก็ไม่ดูอารมณ์” เกล็นเท้าคางพูดด้วยน้ำเสียงหน่าย อย่างหยั่งรู้ว่าพี่น้องคู่นั้นน่าจะมีปากเสียงกันที่ไหนสักแห่ง

“แบบนั้นก็สงสารคุณอิกนิสนะคะ เป็นห่วงมากแท้ๆ แต่คลาริสกลับไม่รู้ตัว”

ด้วยคำพูดนี้ของแมรีแอนน์ สายตาสี่คู่ก็หันมาทางเธออย่างพร้อมเพรียง จากสีหน้าแต่ละคนแมรีแอนน์ก็มองออกว่าต้องการให้เธอเล่าเรื่องมากกว่านี้

“เวลาบังเอิญเจอคุณอิกนิสในหอทีไร มักถามเรื่องคลาริสทุกครั้งเลยค่ะว่า เป็นอย่างไงบ้าง หรือไม่ก็ ก่อเรื่องอะไรให้ลำบากใจไหม ทำนองนี้น่ะค่ะ”

“ไม่หรอกแมรีแอนน์ คลาริสรู้ตัวแหละว่าอิกนิสเป็นห่วง ถึงได้ชอบหงุดหงิดใส่ไง” เกล็นทำมือปัดไปมาประกอบคำพูด

“พอพูดงี้ก็จริงนะ ถ้าคนที่แข่งกันมาตลอดเป็นห่วงเป็นใยคงรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ทั้งที่อีกฝ่ายเจตนาดี” ชาร์ล็อตคิดตามคำพูดเพื่อนสนิท

“ถ้าเป็นแบบนั้น พอจะมีอะไรช่วยให้สองคนั้นกลับมาดีกันบ้างไหมคะ?” แล้วแมรีแอนน์ก็ถอนหายใจรู้สึกไม่ดีเท่าไร

“เธอไงที่จะช่วยเขาคืนดีกัน แต่ไม่รู้จะมาเวย์ไหนก็เถอะ”

เกล็นทวนเนื้อเรื่องรูทอิกนิส สาเหตุหลักๆ ที่เชื่อมสองคนนี้กลับมาดีกันเป็นใครไม่ได้นอกจากนางเอก เพราะตัวคลาริสไม่ใช่คาร์แรกเตอร์หัวแข็งไม่ฟังใครขนาดนั้น เจอสกิลนางเอกเข้าไปก็ใจอ่อนเก็บคำพูดแมรีแอนน์ไปคิด มันเหมือนวลีที่ว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน

ตัดมาสถานการณ์ปัจจุบัน ตอนนี้อิกนิสเป็นฝ่ายเข้าหาแมรีแอนน์ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบน้องชายแทน

ถ้าในแง่พล็อตมันน่าติดตามอยู่แฮะว่าจะลงเอยยังไง”

 

เมื่อท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีส้ม พวกเกล็นก็แยกย้ายกลับห้องไปทำกิจกรรมส่วนตัว ซึ่งนอกจากงานอดิเรกดูแลต้นไม้ที่ติดตัวมาตั้งแต่ชาติก่อน โยคะสำหรับคนแก่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มาด้วย ถือเป็นการฆ่าเวลาได้ดีในโลกที่ไร้สิ่งบันเทิงอย่างวิดีโอเกมหรือละครซีรีส์ แต่ในระหว่างนั้นก็มีใครบางคนเคาะประตูเสียงดังปึงปัง เกล็นจึงลืมตาดูระหว่างทำท่าโยคะที่ต้องหลับตากำหนดลมหายใจเข้าออก

จากนั่นเจ้าของห้องก็เดินไปปลดล็อกประตูเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมายว่าเป็นใคร มาทำไม เกิดอะไรขึ้น รู้หรือเปล่าว่านี่กี่โมงกี่ยามแล้ว และทันทีที่บานประตูถูกเปิด ร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านนอกก็สบโอกาสแทรกตัวเข้ามาแบบมัดมือชก ทำเอาเกล็นกระวีกระวาดเก็บของสำคัญที่ไม่อยากให้เห็นอย่างสมุดบันทึกที่เต็มไปด้วยภาษาต่างๆ ยัดใส่ลิ้นชัก แล้วหันไปทำหน้ายักษ์ถามเสียงเคือง

“มาทำอะไรดึกดื่นปานนี้เนี่ย”

“ไม่มีอะไรมาก” คลาริสตอบพลางสำรวจห้องเพื่อนร่วมห้องที่ไม่เป็นระเบียบ “ห้องนายรกเป็นบ้า”

“ช่างเถอะน่า… เฮ้ย! อย่าไปยุ่งกับของบนเตียงนะ!” เกล็นโวยวายเมื่อคลาริสเข้าไปจัดการข้าวของบนเตียงอีกหลังที่ไม่มีคนใช้ “ไม่เคยได้ยินหรือไงว่า ถ้าเตียงว่างผีจะมานอนด้วยต้องหาอะไรไปวางแทนที่”

“ไม่เคย แล้วเอาความเชื่อนี้มาจากไหนน่ะ”

“เออ! เอาเป็นว่าอย่ามายุ่งของบนเตียง” เกล็นใช้แรงทั้งหมดดึงคลาริสถอยห่างจากที่นอน แต่ร่างนั้นไม่ขยับเลยสักนิด “ถ้าอยากทำนักก็ไปที่ชั้นหนังสือไป๊!

เกล็นชี้ชั้นหนังสือที่วางของกองระเกะระกะไม่แพ้กัน “อะไรฟะ เป็นพวกรักความสะอาดหรือไง โชคดีที่ยังไม่เอาของพวกนั้นมาด้วย”

“แล้วไอ้นี่มันอะไร?” แทนที่จะตรงไปยังจุดหมาย คลาริสก็ชะงักมองปฏิทินที่ดูหนากว่าปกติ เขาหรี่ตาไขปริศนาอยู่พักหนึ่งจนเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุ หลังเปิดดูของเดือนอื่นๆ ที่มีกระดาษแผ่นเล็กๆ แปะทับวันที่หนึ่งกับสิบหกของทุกเดือนเอาไว้ สักพักเกล็นก็ร้องโหวกเหวกแล้วดันเขาให้ถอยห่าง

“ถ้ากระดาษที่แปะหลุดมาจะทำไง!

“โอ๊ะ… โทษที แต่นายทำไปเพื่ออะไร?”

“ความลับบอกไม่ได้” เกล็นเบือนสายตาหนีไม่อยากตอบ “ว่าแต่นายเหอะมาทำอะไรที่ห้องฉัน”

“ใช่! ลืมไปเลย” คลาริสดีดนิ้วเป๊าะนึกได้ว่าตัวเองมาหาเกล็นทำไม “ว่าจะมาถามอะไรหน่อย คืองี้นะ…”

ว่าแล้วคลาริสก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ตอนทดสอบในมุมมองฝั่งตัวเอง กระทั่งมาถึงเรื่องที่ไม่เคยได้ยินจากปากชาร์ล็อต เกล็นเลยรู้ว่าเธอใช้คำพูดหยาบคายจากชาติก่อน ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้ต่อหน้าชาร์ล็อตในวัยเด็ก แล้วดันอธิบายความหมายของมันว่าเป็นคำไม่ดีไม่ควรใช้ แทนที่จะตอบปัดเหมือนคำอื่นๆ ทำให้ชาร์ล็อตมีความคิดว่ามันสามารถใช้ได้ตอนโมโหจัดๆ เหมือนตอนที่เขาเผลอด่าพวกผู้ใหญ่อวดดี

แล้วตอนนี้ก็มีคนรับรู้ถึงคำเหล่านี้ ซึ่งคนคนนั้นคือคลาริส...

“ฉิบหาย จะพูดไงดีกับหมอนี่ดีวะ รู้งี้ไม่น่าบอกความหมายกับชาร์ล็อตเลย แต่ไอ้เราก็กลัวจำไปใช้ผิดๆ ถึงคนที่นี่ไม่รู้ความหมายก็เถอะ” เกล็นลูบหน้ารับไม่ได้กับการกระทำในอดีต

“แล้วไงต่อ?”

“ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ที่มาก็แค่อยากรู้ความหมายที่ยัยนั่นพูดมากกว่า มันเป็นภาษาพิลึกของนายใช่ไหมล่ะ”

“เอ่อ… คือ แป๊บนะ” เจ้าของห้องพูดตะกุกตะกักพยายามคิดเหตุผลเฉไฉเอาตัวรอด “สงสัยฉันคงโมโหจนพูดออกไปไม่รู้ตัวล่ะมั้ง ชาร์ล็อตเลยจำว่าเป็นคำด่าล่ะมั้งตอนนั้นพวกเราแค่สิบขวบเอง ฮะๆ…”

“เหรอ...?” คลาริสตอบรับเสียงสูงโดยที่ยังจ้องเกล็นเขม็ง “แล้วไอ้นี่มันคืออะไร?”

แล้วคลาริสก็ยกมือข้างซ้ายโชว์นิ้วกลาง

เห็นแบบนั้นเกล็นถึงกลับหน้าซีดสะดุ้งตัวโหยง ถึงคนโลกนี้เป็นการชูนิ้วธรรมดา แต่สำหรับเขาที่รู้จักและใช้ในหมู่เพื่อนฝูงมันคือสัญลักษณ์การด่าทอทางกาย

“สะดุ้งตัวโยนขนาดนี้มันมีความหมายใช่ไหม!?” ทั้งแววตาเปล่งประกาย ทั้งบหน้าเปื้อนยิ้มของคลาริสตอนนี้ไม่ต่างกับเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่

“ระ เรื่องนั้น…” เกล็นเม้มปากแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยวอาการคล้ายคนปวดท้อง ทว่าก็ถูกคลาริสจี้จุดด้วยการใช้นิ้วนั้นยื่นใส่หน้า

“(นี่ตูไม่ทำตอนไหนมาวะเนี่ยจำไม่เห็นได้เลย พ่อแม่เข้าฝันด่ายับแน่ ไม่ดิ ชาร์ล็อตไม่ใช่หลานแกสักหน่อย แต่มันก็… โอ๊ย)” คนต่างโลกกุมขมับบ่นไม่เป็นภาษาจนคลาริสต้องสะกิดเกล็นปลุกสติให้กลับมาใช้ภาษาเดิม

“จะ ใจเย็น ฉันแค่อยากรู้ความหมายเท่านั้นเอง…” เป็นครั้งแรกที่คลาริสมีน้ำเสียงหงอยๆ

“มันใช้สำหรับด่าน่ะ…” เกล็นพยักหน้าบอกแบบเลี่ยงๆ ก่อนจะหาเหตุผลข้างๆ คูๆ ไม่ให้คลาริสมีโอกาสได้ใช้ “แต่ว่าห้ามเอาไปใช้มั่วซั่วเด็ดขาดล่ะ เพราะถ้าคนอื่นเห็นแล้วเอาไว้ฟ้องย่าฉันมีหวังหูชาแน่”

“หา? ไปเกี่ยวอะไรกับย่านายด้วย” คลาริสเลิกคิ้วสูง

“ย่าฉันเคยทำงานที่นี่ อย่างอาจารย์เคธีก็คนสนิทกันเลย”

“อา… พอได้ยินแบบนี้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาแทนยังไงไม่รู้แฮะ ก็ได้ๆ ถึงจะเสียดายก็เหอะ เพราะเวลาใช้มันรู้สึกสะใจดีพิลึก ฮ่าๆๆ” พูดจบคลาริสก็ชูนิ้วหยาบคายขึ้นอีกหนพร้อมหัวเราะชอบใจ เกล็นรีบตะครุบให้ลดมือข้างนั้นลง

“เพิ่งพูดไปตะกี้”

“เอาน่า นี่มันห้องส่วนตัวไม่มีใครเห็นหรอก”

“ไม่มีใครเห็นก็ไม่ได้ ถ้าอยากใช้ก็เอาตอนโกรธจัดๆ อย่างชาร์ล็อตเหอะ รับรองสะใจกว่านี้แน่” ในเมื่อห้ามไม่ให้คลาริสเลิกใช้ถาวรไม่ได้อย่างน้อยบอกช่วงเวลาที่สมควรน่าจะดีกว่า “ได้คำตอบแล้วพอใจยัง”

“มั้ง” คลาริสทำหน้ายิ้มยักไหล่ขอไปที

“ถ้าพอใจแล้วรีบกลับห้องตัวเองไป๊”

ว่าแล้วเกล็นก็ใช้พลังกายทั้งหมดลากตัวเพื่อนตัวโตออกจากห้อง นอกจากเจ้าของห้องไม่อยากให้อยู่ต่อแล้ว คลาริสก็ได้คำตอบที่ต้องการจึงยอมล่าถอย

“เธอไงที่จะช่วยเขาคืนดีกัน” เกล็นมองคลาริสที่กำลังเดินออกจากห้อง จู่ๆ ความคิดที่เคยพูดกับตัวเองในใจเมื่อช่วงเย็นก็ผุดขึ้นมาในหัว

“นี่ คลาริส” เจ้าของชื่อที่เปิดประตูห้องชะงักตามเสียงเรียก เขาหันกลับไปมองอย่างสงสัยเกล็นที่ทำหน้าครุ่นคิด แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าน่าจะได้คำตอบแล้วจากการถอนหายใจ “แล้วเจอกัน”

“มีอะไรหรือเปล่า?” คลาริสถามอย่างใคร่รู้เพราะดูยังไงเกล็นก็เหมือนมีเรื่องจะคุยด้วย

“โทษทีลืมไปแล้วน่ะ ไม่มีอะไรก็รีบๆ ไปได้แล้ว เปิดประตูค้างไว้แมลงบินเข้าห้องกันพอดี” เกล็นทำหน้าหน่ายปัดมือเร่งให้อีกฝ่ายรีบออกจากห้อง ในเมื่อเพื่อนเลือกที่จะไม่พูดคลาริสยอมจากไปแต่โดยดี

พอเหลืออยู่คนเดียวในห้อง เกล็นล้มตัวนอนบนเตียงมองเพดานแล้วถอนหายใจ เพียงการตัดสินใจไม่กี่วินาที เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้ตัดสินใจบางอย่างผิดพลาดไป

“ของแบบนี้จริงๆ ไม่จำเห็นต้องพึ่งแมรีแอนน์ก็ได้นี่หว่า”