“ไหนอธิบายมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

ลินดาตวัดสายตาดุมองไปยังจอห์นลูกชายและสะใภ้อย่างคาดโทษ หลังจากพวกเขากลับมาจากงานการกุศลในมณฑลใกล้ๆ แทนฮาร์เวิร์ดที่ปวดเอวกะทันหัน แต่พอกลับมาก็เจอหน้าหลานชายคนรองมีรอยฟกช้ำบนใบหน้าให้ตกใจ ลินดาเลยต้องรีบพาไปปฐมพยาบาลที่ห้องนั่งเล่น ส่วนตัวผู้ปกครองเอาแต่อ้ำอึ้งส่งสายตาเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนเล่า สุดท้ายคนที่ปริปากคือเลียม

“เกล็นทะเลาะกับเด็กที่นู่นมาครับ”

“แล้วไหงถึงไปมีเรื่องกับเขาได้ล่ะ” คราวนี้เธอมองค้อนใส่เกล็นแทน

“ตอนแรกก็ไปห้ามคนแกล้งกันเฉยๆ แต่ก็โดนต่อยกลับมา” เลียมเล่าพลางจำลองสถานการณ์ด้วยการสวมบทเป็นเด็กหัวโจกที่ทำท่าทางเหมือนสาดอะไรสักอย่างประกอบ

“ช่วยคนมันก็ดีอยู่หรอก แต่ใช้กำลังแบบนั้นมันไม่ได้ดีเลยนะ” ฮาร์เวิร์ดที่นั่งฟังอยู่เตือน ทว่าคนรับฟังอารมณ์กลับมาคุกรุ่น

“อิแค่ใช้เวทมนตร์ได้ก่อน ไม่เห็นต้องแกล้งกันแรงขนาดนั้นเลยไม่ใช่หรือไง” นริศบอกเหตุผลที่มีเรื่องกับเด็กเจ้าถิ่น

“เอาเถอะ เรื่องมันผ่านแล้วก็ให้มันแล้วไป” ลินดากุมขมับส่ายหัวปลงๆ เพราะย้อนแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี อีกทั้งเจ้าหลานตัวดีไม่มีทีท่าจะสำนึกง่ายๆ “พวกลูกก็พักผ่อนเถอะ เดินทางมาตั้งครึ่งค่อนวัน”

เมื่อความสงสัยถูกคลี่คลาย พ่อแม่ลูกสี่คน จอห์น เฟรย่า เลียมและเนลล์ จึงแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวเพื่อพักฟื้นร่างกาย หลังจากที่นั่งรถม้ามานานหลายชั่วโมง เหลือนริศที่นั่งประคบเย็นและฟังลินดาบ่นร่ายยาว เขาเลยปรายตามองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ป่าสีแดงแห่งฤดูใบไม้ร่วงที่วนบรรจบครบรอบหนึ่งปี หลังที่เขาระลึกชาติได้

นริศที่ซึมซับวิถีชีวิตและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในดินแดนเวเทอร่า ชินกับการเป็น เกล็น ในที่สุด กลายเป็นบุคคลผู้ระลึกชาติที่เคยอยู่โลกไร้เวทมนตร์และสัตว์วิเศษ เรื่องที่เคยคาใจอย่างการออกเสียง หลังกลับมาจากบ้านชาร์ล็อตเมื่อปีก่อน เขาก็ตรงมาเปิดหนังสือสอนภาษาก็พบว่าพยัญชนะของโลกนี้มีเท่ากับภาษาอังกฤษ์ยี่สิบหกตัว ถึงแม้ว่าจะสงสัยอยู่ว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น แต่เขาสุดท้ายก็ไม่เก็บมาใส่ใจ ขี้เกียจเก็บมาคิดมาก แล้วหันมาหงุดหงิดชื่อสัตว์วิเศษบางตัวยังจะดีเสียกว่า ที่เจอล่าสุดคือกริฟฟอนบันนี่…

“จริงสิ เกือบลืมไปเลย” ฮาร์เวิร์ดร้องขึ้น “เมื่อวานพ่อค้าเร่แวะเข้าเมืองมาแน่ะ ไว้พรุ่งนี้เราไปซื้อของด้วยกันไหม”

“ไปครับ!” เกล็นทำตาลุกวาวตอบทันควัน แสดงความดีใจออกมาทางสีหน้าและท่าทาง

นอกจากภาษาแล้ว เกล็นยังค้นข้อมูลอื่นหลังได้ยินชื่อจีนและพบตามที่คาดไว้ เวเทอร่ามีกลุ่มประเทศที่ลักษณะคล้ายเอเชียไม่มากก็น้อย ยิ่งบ้านเกิดเขาอยู่ติดประเทศที่เปรียบเสมือนจีน ทำให้เจอกับพวกเครื่องปรุงคุ้นเคยอย่างซีอิ๊ว น้ำปลา และอื่นๆ ที่พ่อค้าเร่ต่างแดนนำมาขาย ถือเป็นความโชคดีอีกอย่างในชีวิตใหม่ พอมีโอกาสลิ้มรสอาหารดั้งเดิมได้ครั้งคราว

“ไหนๆ เข้าเมืองพรุ่งนี้ ปู่พาหลานไปให้หมอรักษาหน้าเลยละกัน” ลินดาบอกสามีที่พยักหน้ารับปาก “ส่วนเราไปพัก…”

ไม่ทันหญิงสูงวัยพูดจบ เสียงเคาะประตูเรียกสายตาทั้งสามคู่ให้หันมอง เมื่อบานประตูเปิดออกชายรับใช้รีบปรี่เข้ามาบอกข่าวด่วนกับฮาร์เวิร์ดและลินดา

“เมื่อครู่มีคนแจ้งว่าคุณเกรกอรี่จะมาที่นี่อีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ครับ”

“ตายจริง มากะทันหันไปหน่อยหรือเปล่านะ” ลินดาเหลือบมองฮาร์เวิร์ดด้วยใบหน้ากังวลอย่างที่เกล็นไม่เคยเห็นมาก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เกล็นตอบตรงๆ สลับมองผู้ใหญ่ในห้อง “คนใหญ่คนโตมาเหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เพื่อนปู่มาเยี่ยมเท่านั้นเอง จะว่าไปก็ดีเลยให้หมอนั่นรักษาเกล็นเลยก็ได้ ไม่ต้องเสียเงิน ฮะๆ”

“แค่นั้นจริงๆ เหรอ?” คำถามผุดขึ้นในใจ ไม่เชื่อผู้เป็นปู่เท่าไร ทั้งคำพูดฟังดูมีพิรุธ ทั้งสีหน้าของลินดา ทั้งความร้อนรนของคนรับใช้ ดูยังไงต้องมีบางอย่าง

“งั้นผมอยู่เรือนกระจกนะ”

“อ้าว ไม่พักหน่อยเหรอ”

เกล็นส่ายหัวตอบ ขอตัวลาไปเรือนกระจกด้านหลังคฤหาสน์ไม่ยอมพักตามที่ย่าบอกก่อนหน้านี้ โดยมีชายอีกคนตามไปดูแลความปลอดภัยไม่ให้เด็กชายอยู่ตามลำพัง

ภายในเรือนแห่งนี้เต็มไปด้วยพืชหลากหลายสายพันธุ์ มีตั้งแต่หน้าธรรมดายันแปลกประหลาดสมเป็นโลกแฟนตาซี ถึงเกล็นจะแอบผิดหวังกับต้นแมนเดรกที่ไม่ได้กรีดร้องแบบในหนังก็ตาม และที่นี่ก็มีมุมประจำของเขาที่คอยปลูกพืชต่างถิ่น ตอนนี้ต้นพริกและต้นกะเพราเริ่มขึ้นเป็นต้นอ่อน เรียกรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจากเจ้าของที่รอวันโตพร้อมเด็ดกิน ผิดกับอีกกระถางที่กลายเป็นการทดลองที่ผิดพลาด หลังจากที่เขาพยายามลองปลูกเปลือกข้าวตามความทรงจำที่เคยดูคลิปวิดีโอในอินเทอร์เน็ต

เกล็นถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นเสียงอู้อี้เสียดาย “พรุ่งนี้ลองถามให้เขาหาเมล็ดปลูกจริงๆ ดีกว่า”

แล้วเด็กชายก็เทดินที่เคยปลูกต้นข้าวทิ้งต้นไม้ใกล้ๆ ก่อนจะเดินทำนู่นทำนี่ในเรือนกระจกไม่รู้จักเบื่อ คงเป็นเพราะมันคือกิจกรรมที่เขาชอบช่วงบั้นปลายชีวิต พอคิดแล้วก็ตลกดี เพราะตอนหนุ่มๆ เขาไม่เคยสนใจเรื่องต้นไม้สักนิด แต่มันคงเป็นไม่กี่อย่างที่สามารถทำด้วยร่างกายแบบนั้นได้

หลังอยู่หลายชั่วโมงก็มีคนรับใช้อีกคนมาตามเกล็นให้ไปห้องรับแขก เป็นสัญญาณว่าเพื่อนปู่คนนั้นได้มาถึงบ้านแล้ว เด็กชายเดินทอดน่องเข้าห้องเป้าหมายเพื่อพบชายที่มีรูปร่างผอมสูง ผมสั้นสีน้ำตาลเข้มแซมขาวหวีเสยเรียบร้อย ไว้หนวดทรงเชฟรอน นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม แต่งกายภูมิฐาน มองปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นพวกชนชั้นสูง โดยเฉพาะผ้าคลุมสีดำที่ดูเท่ไม่หยอก เพราะด้านในเป็นผ้าห้าสีต่างลวดลายเย็บติดเป็นผืนเดียวกัน บุคลิกท่าทางดูเป็นชายเจ้าสำอาง สมแล้วที่เป็นเพื่อนของปู่ โดยตอนนี้เขากำลังยื่นของฝากให้เลียม

และทันทีที่ชายคนนั้นเห็นเกล็น เขาผงะกับรอยช้ำบนใบหน้า กระวีกระวาดตรงไปหา

“ทำไมไม่รีบพาหลานไปรักษาล่ะ” ว่าจบฝ่ามือคนแปลกหน้าขยับเข้ามาใกล้หน้าเด็กชาย เกล็นหลับตาปี๋รู้ทันว่าอีกฝ่ายจะใช้เวทรักษา

“ตั้งใจว่าจะไปพรุ่งนี้เอาน่ะสิ ถึงยังไงก็ขอบใจนะ กะแล้วนายต้องช่วยรักษาให้”

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะฮาร์เวิร์ด” ชายที่น่าจะเป็นเกรกอรี่ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกลำบากใจ “ว่าแต่นี่คงเป็น…เกล็นสินะ เท่านี้ก็กลับมาดูดีแล้วนะ ฮะๆ”

“ใช่ คนเล็กชื่อเนลล์ ตอนนี้หลับไปแล้วล่ะ” ลินดาบอกชื่อหลานอีกคนและเหตุผลที่ไม่อยู่ในห้อง “พวกเขาเพิ่งกลับมาจากอูรานี่น่ะ”

“น่าเสียดายนะ” เขาพึมพำแล้วหันไปยิ้มให้เกล็น “สวัสดีเกล็น โตขึ้นเยอะจนจำไม่ได้เลยเนอะ ฉันชื่อเกรกอรี่นะ เป็นเพื่อนกับปู่เธอ ส่วนนี่ของขวัญ ได้ยินว่าชอบอ่านหนังสือ หวังว่าเธอจะชอบมันนะ”

เด็กชายรับของขวัญจากเกรกอรี่ แกะห่อดูทันทีว่าเป็นหนังสืออะไร “อ๊ะ มีแล้ว…”

ถึงใจคิดแบบนั้น แต่เขากลับยิ้มและกล่าวขอบคุณชายตรงหน้า จากนั้นพวกผู้ใหญ่ก็คุยเรื่องของเกล็น

“จะว่าไปเกล็น เขาธาตุอะไรเหรอ”

เป็นอีกหนที่เกรกอรี่ต้องสะดุ้งกับใบหน้าไม่สู้ดีของผู้ใหญ่ทั้งสี่บ้านฮิลเนสัน รวมทั้งตัวเกล็นด้วย ทำเอาคนถามแสดงอาการลนลานรู้ตัวว่าตั้งคำถามที่ไม่ควร

“แหมๆ มันก็ปกติที่เกล็นยังใช้เวทไม่ได้ ขนาดตอนองค์หญิงหลุยส์ใช้ได้ก็ตอนเจ็ดขวบเหมือนกัน”

ด้วยประโยคนั้นยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีก ฮาร์เวิร์ดจึงดึงไม่ให้บรรยากาศเสียและเข้าใจดีว่าเพื่อนไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี แม้รู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นสิ่งผิดปกติของเด็กที่เกิดในตระกูลจอมเวท เพราะหากเกิดเป็นลูกชนชั้นสูงหรือจอมเวทจะอยู่ราวๆ ห้าถึงเจ็ดขวบที่พลังเวทถึงจะตื่น

“โอ้! จะว่าไป ปีที่แล้วนายส่งจดหมายมาหาฉันนี่นา” เกรกอรี่เปลี่ยนเรื่อง ส่งสายตาบอกเป็นนัยๆ

“ใช่ ฉันลืมเรื่องนี้สนิท แล้วดูท่าของที่ฝากจะลืมล่ะสิท่า”

“โทษทีๆ มัวแต่ทำงานจนลืมเลยล่ะ หวังว่าจะไม่งอนกันนะ ฮะๆ แต่อย่างน้อยก็ซื้อของฝากให้เด็กๆ แทนได้เนอะ”

เกรกอรี่หัวเราะไม่รู้สึกผิดที่ลืมคำขอของฮาร์เวิร์ดพลางยื่นมือขยี้ผมเด็กชายอย่างเอ็นดู

ไม่รู้นานเท่าไร จู่ๆ เกล็นขนลุกซู่รีบขยับตัวหนีไปหลบหลังย่า ด้านแขกแดนไกลเองรีบชักมือหนีด้วยความตกใจ ใบหน้านั้นหน้าซีดและหอบหายใจเหนื่อยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อบนหน้าผาก

“สงสัยอาการป่วยจะกำเริบ” แล้วเขาขออนุญาตเจ้าบ้านเซตัวถอยหลังนั่งบนโซฟาใกล้ๆ

ทว่าเกล็นไม่เชื่อคำพูดนั้น ในตอนที่โดนจับหัวเขารู้สึกไม่ดีเอามากๆ มันต่างจากตอนฮาร์เวิร์ดลูบหัวเขา อีกทั้งท่าทางเพื่อนปู่ก็เปลี่ยนไปด้วย

ดวงตาทั้งสองประสานมองกันหยั่งรู้ว่ามีบ้างสิ่งไม่ชอบมาพากล แต่ริมฝีปากของชายคนนั้นยังเหยียดยิ้มจนตาหยีสร้างมิตรไมตรีกับเด็กชาย

“ขอโทษนะ เกล็นไม่ชอบให้ใครสัมผัสหัวน่ะ” ลินดาขอโทษแทนหลานชาย หลังสังเกตมาหลายครั้งที่เกล็นไม่พอใจเวลามีคนมายุ่งกับศีรษะ ขนาดคนในครอบครัวกว่าจะยอมก็ใช้เวลาพอควร

“ไม่เป็นไรๆ ทางนี้ต่างหากที่เสียมารยาท”

เพราะบทสนทนาพวกผู้ใหญ่ค่อนข้างน่าเบื่อ เลียมจึงเรียกผู้เป็นแม่ขอตัวไปเล่นเกมกระดานที่ได้เป็นของขวัญกับน้องบนห้องชั้นสอง เกล็นเห็นด้วยเลยช่วยรบเร้าเฟรย่าอีกแรงจนสำเร็จ แต่ก่อนจะวิ่งตามหลังพี่ชาย เด็กชายก็ได้ปั้นหน้ายิ้มขานรับเสียงเรียกจากเกรกอรี่

“อุตส่าห์คุ้นเคยกับที่นี่แล้วแท้ๆ ก็ไม่เห็นต้องยึดติดจนกดดันตัวเองเลยนี่นา”

“เอ๊ะ? ครับ??”

ไม่ได้มีแค่เกล็นที่หยุดฟัง ทุกคนในห้องต่างทำสีหน้างุนงงไม่เข้าใจความหมายที่เกรกอรี่ต้องการสื่อ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มขยับไปมาสำรวจสมาชิกบ้านฮิลเนสันทีละคนแล้วกระแอมเสียงเรียบเรียงคำพูดใหม่

“สงสัยว่าจะพูดจาอะไรแปลกๆ ซะแล้วสิ ฉันแค่อยากบอกว่าถ้ากดดันมากเข้าจะส่งผลเสียให้ตัวเองน่ะนะ เพราะงั้นทำใจให้สบาย แล้วท่านเทพแห่งจิตวิญญาณพาสวาสจะมอบพลังให้เธอในฐานะชาวเวเทอร่าเอง”

ถึงเจ้าตัวอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้น แต่เกล็นยังฉงนสงสัยอยู่ดี กระนั้นเขาก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ออกจากห้องไปสมทบกับเลียมที่รออยู่ พวกเขาพากันขึ้นชั้นสองพร้อมคนรับใช้ด้วยอีกคน แล้วในระหว่างเล่นเกมกระดานที่คล้ายกับบันไดงูเมื่อชาติก่อน เกล็นก็แกล้งทำเสียงซื่อถามขึ้น

“คนเมื่อกี้ใครอะ”

“ก็ปู่เกรกอรี่ เพื่อนของปู่ไง” เสียงซื่อบริสุทธิ์ของแท้ตอบ

“ไม่ๆ ที่อยากรู้คือเป็นใครมาจากไหนต่างหาก”

“ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่เวลาเขามาชอบเอาของฝากมาให้”

ในเมื่อถามเลียมที่เป็นเด็กไม่ได้ ดวงตาสีดำเหลือกขึ้นเปลี่ยนเป้าหมาย ไม่ทันเอ่ยปากก็ได้รับคำตอบจากผู้ติดตาม

“คุณเกรกอรี่ มิสเทย์ เป็นเพื่อนคุณฮาร์เวิร์ดสมัยเรียนที่เมืองหลวงครับ”

“แล้วเป็นจอมเวทเหมือนพวกเราด้วยหรือเปล่า”

“จะบอกว่าใช่ก็ไม่เชิงหรอกครับ เพราะคุณเกรกอรี่ทำงานในตำแหน่งมหาปราชญ์…”

“หา!” เกล็นหยุดชะงักมือที่กำลังทอยลูกเต๋าและอุทานลั่นห้องไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าฮาร์เวิร์ดจะมีเพื่อนเป็นคนใหญ่คนโตของประเทศ “ปู่รู้จักคนระดับนั้นเลยเรอะ!?”

“แต่งตัวผิดอิมเมจเลยแฮะ นึกว่าขุนนางที่ไหน”

“ไม่เห็นแปลกเลยก็ปู่รู้จักกันตอนเรียนนี่” เลียมยักไหล่ไม่ประหลาดใจที่คุณปู่รู้จัก ไม่ใช่แค่พี่ชาย คนรับใช้เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

“อ๊ะ… นั่นสิเนอะ” เกล็นยิ้มแหยเข้าใจเหตุผล ก่อนจะขอตัวลุกไปดื่มน้ำที่บนโต๊ะแถวหน้าต่าง

“ลืมไปว่าตระกูลนี้ก็ไม่ใช่ย่อยอยู่แล้วนี่หว่า หืม?”

“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณหนู” ชายรับใช้เอ่ยถามเกล็นที่ผละจากโต๊ะไปเกาะขอบหน้าต่าง หลังเห็นอะไรขยับไวๆ ตรงหางตา

“เพื่อนปู่เพิ่งมาไม่ใช่เหรอ” คุณหนูรองบอกกับเจ้าของคำถาม มองเกรกอรี่กำลังขึ้นรถม้าหน้าคฤหาสน์ ที่มีปู่กับย่ายืนส่ง ขณะเดียวกันก็จ้องสัตว์เทียมรถที่ไม่ใช่ม้า แต่เป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่คล้ายกวางมูส

“จริงด้วย ครั้งก่อนยังมานอนค้างบ้านเราอยู่เลย” เลียมที่มายืนข้างๆ ว่า

“ผมได้ยินมาว่าคุณเกรกอรี่มาทำธุระที่มอสเซียน่าเลยถือโอกาสมาเยี่ยมคุณฮาร์เวิร์ดก่อนกลับน่ะครับ”

“งี้นี่เอง… จริงสิ ถ้าเป็นถึงมหาปราชญ์ได้นี่เขาต้องเก่งเวทสินะ” เด็กชายทิ้งตัวหงายหลัง โดยที่มือจับขอบหน้าต่างแน่นไม่ให้ล้ม “ใช้เวทรักษาหน้าผมได้เลยนี่นา”

“เรื่องนั้นผมก็ไม่ค่อยทราบรายละเอียดหรอกครับ รู้แค่ว่าคุณเกรกอรี่ใช้เวลาสำเร็จการศึกษาที่สถานบันเวทศาสตร์สาขาธาตุมืดแค่สามปี ทางศาสนจักรเลยมาทาบทามไปทำงานด้วยจนไต่เต้าเป็นมหาปราชญ์ จากที่ได้ยินสักราวๆ ช่วงคุณเกล็นเกิด เลยเป็นมหาปราชญ์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เลยล่ะครับ”

“ธาตุมืดเหรอ… รู้สึกว่าเป็นธาตุที่เรียนเองไม่ได้ใช่หรือเปล่า”

“ใช่ครับ มีแค่ธาตุมืดเท่านั้นที่ต้องเข้ารับการศึกษาจากที่ทางการกำหนดและจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตรับรองถึงสามารถใช้ได้ ไม่เช่นนั้นจะผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่ในลุสกลอเรีย ประเทศอื่นๆ ก็ใช้กฎเดียวกัน ต่างกับเวทแสงแขนงแพทยาคมที่ศึกษาได้ด้วยตัวเองเพื่อไปสอบขอใบรับรองสำหรับเปิดสถานพยาบาล”

ช่างเป็นการอธิบายที่ชวนงงสำหรับคนต่างโลก แต่เกล็นก็ทำเป็นเข้าใจ

“แล้วรู้หรือเปล่าว่า เวทธาตุมืดเขาใช้ทำอะไรได้บ้าง” คุณหนูรองจี้ถามสงสัยต่อเจ้าเวทธาตุมืดที่ดูพิเศษกว่าชาวบ้าน ทว่าคนรับใช้ก็ส่ายหน้าตอบ

“ศาสตร์ของเวทธาตุมืดถือเป็นความลับของพวกนักเรียนเพื่อไม่ให้มีการเผยแพร่ครับ เลยมีน้อยคนนักที่จะรู้นอกจากคนใกล้ชิด”

“งั้นปู่ก็รู้ด้วยหรือเปล่าก็เป็นเพื่อนสนิทกันนี่”

“ถึงคุณฮาร์เวิร์ดจะรู้ แต่ถึงจะเป็นคุณหนูถามเขาคงไม่ตอบให้ครับ” คนรับใช้หัวเราะเอ็นดูหน้ามุ่ยของเกล็น

“ว่าแต่นายสนใจจะเรียนเหรอถึงได้ถาม” เลียมหันถามสงสัยในตัวน้องชายที่ซักไซ้เรื่องนี้

“ไม่อะ ฉันสนใจปรุงยามากกว่า ดูน่าสนุกกว่าเยอะ แล้วพี่จะเรียนหรือเปล่า”

“ไม่เอาด้วยหรอก ฟังดูเรียนยากจะตาย” คนพี่ปฏิเสธจะเรียนเวทธาตุมืดในอนาคต “เราไปเล่นต่อกันเถอะ”

“อืม” เกล็นพยักหน้าตอบรับ กลับไปเล่นเกมต่อทั้งที่ในใจมีเรื่องคาใจ

“คงไม่เป็นอย่างที่คิดนะ”

 

ถึงต้องนอนค้างต่างถิ่นหนึ่งคืน เกรกอรี่ก็ได้กลับมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์เบเลเทียภายในหนึ่งวัน แต่แทนที่จะตรงกลับบ้านไปพักผ่อน เขาเลือกที่จะแวะมายังมหาวิหารซึ่งเป็นสถานที่ทำงานและยังเป็นที่พำนักของเทพมังกรเบเลธ ซึ่งตั้งอยู่เกือบในใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยวิหารและโบสถ์น้อยใหญ่มากมายเพื่อรองรับประชาชนเข้ามาสักการะต่อเทพเจ้าที่นับถือหรือทำพิธีกรรมทางศาสนา

โดยมหาวิหารแห่งนี้กินพื้นที่กว้างยิ่งกว่าพระราชวังเพื่อให้เทพมังกรเดินเหินได้สะดวกด้วยร่างกายอันใหญ่โต อาคารก่อด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาดตา แล้วมีบริเวณหนึ่งเป็นหลังคากระจกทรงโดมเปิดตรงกลางโล่งเป็นจุดเด่น ใต้นั้นมีร่างมังกรขนาดมหึมาสีขาวประกายสีทองยามต้องแสงอาทิตย์ กำลังนอนฟังเสียงไพเราะจากฝูงนกน้อยที่เข้ามาหาอาหาร ท่ามกลางห้องกว้างตกแต่งเลียนแบบธรรมชาติ

เพราะสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตเข้ามาในอาณาเขต นัยน์ตาสีทองปรือตาตื่นขึ้นจากฝันพบร่างมหาปราชญ์คนสนิทยืนทำหน้าเคร่งเครียดผิดจากทุกที

“ยินดีต้อนรับกลับเกรกอรี่” สุรเสียงนุ่มนวลแฝงด้วยอำนาจกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง “น่าแปลกนักที่เห็นเจ้าทำหน้าเช่นนั้น มีอะไรหรือไม่?”

“อันที่จริงกระหม่อมอยากรอโดมินิกกลับมาก่อน แต่คิดว่าควรรีบแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านทราบ…” ท่านมหาปราชญ์หยุดเว้นช่วงพูดชั่วครู่ “เกี่ยวกับเชเบอร์ทอส”

จากที่เคยนอนหมอบ เบเลธเคลื่อนไหวร่างช่วงบนเกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ พร้อมตั้งใจฟังเกรกอรี่ แววตาที่ไร้ความกระตือรือร้นบัดนี้เปี่ยมด้วยความจริงจัง และภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าที่สร้างตนมาหวังเจอพบเรื่องดีๆ ในรอบหลายปี นับตั้งแต่สมุนของเชเบอร์ทอสมีการเคลื่อนไหวโจมตีจุดต่างๆ

“ว่ามาสิ”

“ทายาทตระกูลลูมิเธอร์ยังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นเสียงฉะฉาน ดวงตาเบเลธเบิกโพลงตกตะลึงและดีใจกับคำตอบ ไม่นึกฝันว่าสายเลือดเพื่อนรักครั้งอดีตยังมีชีวิตอยู่

เนื่องจากเจ็ดปีก่อน ตระกูลลูมิเธอร์ถูกสังหารหมู่เพื่อตัดกำลังสำคัญ ทว่าที่นั่นกองทหารไม่พบทารกแรกเกิดในซากปรักหักพัง หลายคนพยายามตามหาทุกซอกทุกมุมไม่เว้นแต่ในป่าใกล้เคียง ยิ่งนานวันเข้าโอกาสรอดชีวิตก็ยิ่งต่ำ ทุกคนที่รู้จักกับครอบครัวนี้ต่างคิดว่าทายาทเพียงหนึ่งเดียวคงถูกกลืนกินพร้อมกับมารดาเหมือนผู้เคราะห์ร้ายคนอื่น ปิดฉากตระกูลรุ่งเรืองด้วยโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครอยากเจอ

“นางอยู่มอสเซียน่ารึ” เสียงสั่นเครือถามหาความหวัง

แต่เกรกอรี่กลับหลับตาก้มหน้าลงเป็นการปฏิเสธ แล้วตอบสิ่งที่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจกับสิ่งที่รู้มานัก “กระหม่อมไม่ได้พบนาง แต่… รู้มาจากความทรงจำของหลานชายเพื่อนของกระหม่อมเอง ท่านคงจำฮาร์เวิร์ดได้ใช่ไหม หลานเขาคนนั้นแหละ”

“หมายความว่ายังไง” นัยน์ตาสีทองหรี่มองสงสัย มันน่าประหลาดนักที่ตนรับรู้เรื่องน่ายินดีนี้จากความทรงจำของคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลูมิเธอร์ ถึงฮิลเนสันเป็นหนึ่งในตระกูลที่เคยรับใช้ตน สองตระกลูจึงมีโอกาสไปมาหาสู่กันเป็นนิจ แต่นั่นก็เมื่อหลายร้อยปีก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวจึงค่อยๆ ห่างตามกาลเวลา

จากนั้นมหาปราชญ์ได้เล่าว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ฮาร์เวิร์ดได้ส่งจดหมายว่าหลานชายมีนิสัยที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน อยากให้ช่วยดูว่าจะมีผลร้ายต่อร่างกายหรือไม่ แต่การจู่โจมแบบสุ่มของสัตว์ประหลาดที่เกิดจากเชเบอร์ทอส เป็นการยากที่เขาจะปลีกตัวไปหา กระทั่งเร็วๆ นี้มีการบุกในเขตมอสเซียน่าเลยเดินทางช่วยเหลือ หลังอัศวินกับทหารจัดการศัตรูเสร็จ เกรกอรี่ถือโอกาสไปเยี่ยมและเตือนสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อให้ครอบครัวฮิลเนสันช่วยกระจายข่าวระวังภัย

แล้วเขาได้พบกับหลานคนที่ว่า เกรกอรี่ถือวิสาสะใช้พลังธาตุมืดอ่านความทรงจำหาต้นตอ ทว่าความทรงจำของเกล็นไม่ใช่ของเด็กเจ็ดขวบ มันเยอะกว่าทั้งชีวิตเขาเสียอีก ในนั้นเต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาดสำหรับเกรกอรี่ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้กับความเหนื่อยล้าที่ดำดิ่งลงลึกมากเกินไป แต่ก่อนจะเลิกใช้พลังเขาได้ยินเรื่องเล่าของเชเบอร์ทอสจากใครบางคน รวมทั้งชื่อของทายาทที่เหลือรอด…

“แมรีแอนน์” ชื่อเด็กน้อยดังออกจากปากเทพมังกร เป็นเครื่องยืนยันว่าความทรงจำเด็กชายตรงกับชื่อทายาทลูมิเธอร์

“น่าเสียดายที่กระหม่อมไม่อาจรู้ว่านางอยู่ที่ไหน” เกรกอรี่ถอนหายใจเสียดายที่ไม่อาจลงลึกได้มากกว่านี้

“ไม่เป็นไร ขอแค่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ก็พอใจแล้วล่ะ… ว่าแต่มารดาล่ะ นางคือหนึ่งในคนที่ไม่พบศพมิใช่หรือ”

“ต้องขออภัย เรื่องนี้กระหม่อมไม่อาจทราบ ทำได้แค่หวังว่าเธอยังปลอดภัยเช่นกัน… แล้วหลังจากนี้ท่านจะส่งคนตามหานางหรือไม่ กระหม่อมคิดว่าหากไม่อยู่ลูเอลต้าก็คงอยู่คีย่าไม่ก็อูรานี่ เพราะสองมณฑลนี้อยู่ใกล้เขตตระกูลลูมิเธอร์”

เทพมังกรเบเลธชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนถามบางอย่างประกอบการตัดสินใจ “ข้ารู้ว่ามันคงเป็นคำตอบที่ยาก แต่ความทรงจำเด็กชายคนนั้นมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกหรือไม่”

เกรกอรี่กอดอกลูบคาง คัดกรองข้อมูลที่ได้รับจากเกล็นอีกที

“เอลเซียส์… เด็กคนนั้นน่าจะมาเรียนที่โรงเรียนเอลเซียส์ ไม่สิ กระหม่อมเชื่อว่าเธอได้เข้าเรียนที่นั่น” เสียงหนักแน่นมั่นใจตอบ

“แล้วนางมีความสุขหรือเปล่า”

คราวนี้มหาปราชญ์ชะงักกับคำถามยากยิ่งกว่าข้อแรก รีดเค้นภาพในนิมิตออกมาทั้งหมด

“ถ้าเด็กสาวที่เห็นในความทรงจำเด็กชายคนนั้นคือแมรีแอนน์ตัวจริง… กระหม่อมคิดว่ามี”

เขาตอบเสียงแผ่วเบาระลึกภาพเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งกำลังยิ้มแย้มอยู่กับใครบางคนอย่างมีความสุข

“งั้นรึ อา… น่าเสียดาย แต่หากแมรีแอนน์มีความสุข ก็ให้นางอยู่อย่างเด็กหญิงธรรมดาเถอะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะมีเพียงแค่ข้า เจ้า กับโดมินิกเท่านั้นที่รู้ ส่วนเรื่องหลานของเพื่อนเจ้าคอยเฝ้าดูแลเขาดีๆ ข้าเชื่อว่าเด็กคนนี้ต้องมีอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่อาจล่วงรู้”

เบเลธตัดสินใจไม่ตามหาแมรีแอนน์ที่ยังมีชีวิตอยู่ พร้อมกำชับไม่ให้เกรกอรี่แพร่งพรายเรื่องนี้ ยกเว้นชายชื่อโดมินิก เทพมังกรหลับตาและลดคอลงนอนราบไปกับพื้นหินอ่อน สบายใจที่สายเลือดคนสุดท้ายยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งและรอคอยวันที่ได้พบกันอีกครั้ง แม้จะต้องใช้เวลาอีกเก้าปี