แมรีแอนน์รู้สึกค้างคาใจอย่างบอกไม่ถูกนับตั้งแต่เห็นเกล็นอมยิ้มและพูดภาษาประหลาด อีกทั้งเขายังไม่แสดงทีท่าไม่สบอารมณ์ที่อิกนิสใกล้ชิดกับชาร์ล็อตเหมือนครั้งก่อน นั่นเลยทำให้เด็กสาวเริ่มสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกล็นกับชาร์ล็อตขึ้นมา

[นี่เธอคิดว่าสองคนนั้นหมั้นจริงๆ เหรอ?]

จู่ๆ คำพูดของฟิเลน่าก็ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ ด้วยประโยคนี้เองแมรีแอนน์จึงเริ่มตระหนักความเป็นไปได้ว่าทั้งคู่อาจจะไม่ได้หมั้นกันตามข่าวลือ ซึ่งมันทำให้เด็กสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยแต่ทว่าเธอต้องสลัดมันทิ้ง แม้ลึกๆ ในใจจะคิดว่าไม่แน่บางทีที่เกล็นยิ้มออกมาตอนนั้นเพราะอาจจะเห็นมุมน่ารักๆ ของชาร์ล็อตก็ได้ พอคิดได้ดังนั้นแมรีแอนน์จึงลอบถอนหายใจเพื่อไม่ให้อาจารย์ที่กำลังสอนวิชาประวัติศาสตร์ตำหนิแล้วหันมาตั้งสมาธิกับการเรียนต่อ

“แต่แล้วการแพร่ระบาดของตั๊กแตนปาทังก้าก็หยุดลงในแคว้นณธายุของประเทศพูร์มานา…”

แมรีแอนน์ไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่าเวลาที่มีใครพูดถึงประเทศพูร์มานาทีไรเด็กสาวจะสังเกตปฏิกิริยาของเกล็นที่มักสีหน้ามีความสุขอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เธอแอบมองเด็กหนุ่มผมฟ้าซึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง

“…” มองได้เพียงไม่นานแมรีแอนน์ก็รีบหันกลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียวและไม่เข้าใจอีกฝ่ายอย่างมาก เพราะถ้าเกล็นยิ้มเพราะเรื่องตั๊กแตนเฉยๆ เธอคงไม่คิดอะไรมาก ทว่าหนนี้เขากลับทำปากขมุบขมิบราวกับสัตว์ที่เจออาหารอันโอชา

เด็กสาวผมสีเขียวอ่อนส่ายหัวบอกกับตัวเอง (คงตาฝาดนั่นแหละ… ใครเขาจะกินตั๊กแตนกัน)

“สงสัยโดนจับกินแน่ๆ เลย” ชาร์ล็อตที่นั่งข้างกันเอนตัวมากระซิบกับเธอเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“ทะ… ทำไมคิดแบบนั้นเหรอคะ…” แมรีแอนน์ปรายตามองพร้อมกลืนน้ำลายดัง ภาวนาว่าเพื่อนสาวจะไม่ตอบสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้

“เกล็นเคยเล่าให้ฟังน่ะว่าคนที่นู้นเขากินกัน”

แมรีแอนน์หลับตาลงครู่หนึ่งแล้วลืมตาทอดมองไปยังกระดานดำที่อาจารย์เขียนเกี่ยวกับบทเรียนในวันนี้ เธอพยักหน้าหงึกรับรู้เรื่องเล่าจากชาร์ล็อตโดยไม่โต้ตอบ เพราะตอนนี้สมองของแมรีแอนน์ขาวโพลนไปเสียแล้ว

 

เพราะไม่มีรายงานความคืบหน้าส่งมาจากทางศาสนจักร กิจวัตรของพวกแมรีแอนน์จึงดำเนินต่อไปอย่างที่ควรเป็น นั่นคือชีวิตของนักเรียนทั่วไป ซึ่งเด็กสาวชอบแบบนี้มากกว่าแม้ว่ามันจะเรียบง่ายดูน่าเบื่อ แต่อย่างน้อยเธอกับเพื่อนก็ไม่ต้องออกไปเสี่ยงอันตราย

ทว่าการที่เงียบมากจนเกินไปก็ทำให้แมรีแอนน์รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกับว่างานที่ได้รับมอบหมายยังสะสางไม่เสร็จ พอคุยเรื่องนี้กับเกล็น เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่ทางศาสนจักรดำเนินการล่าช้า

“แต่จะว่าไป… ช่วงนี้ในเกมมันก็…” เกล็นพึมพำเสียงแผ่วเบา แน่นอนว่าแมรีแอนน์ที่ได้ยินก็ไม่เข้าใจความหมายของมัน

ซึ่งพอถามถึง เด็กหนุ่มผมฟ้าคนนั้นก็ยิ้มเจื่อนและหัวเราะเสียงแห้งกลบเกลื่อนบอกว่าไม่มีอะไร แมรีแอนน์เห็นแบบนั้นก็ไม่สบายใจเอาเสียเลยที่เกล็นมีความลับกับทุกคน แต่เธอก็ไม่ซักไซ้เอาคำตอบเพราะเชื่อว่าเกล็นคงมีเหตุผลบางอย่าง

จนกระทั่งวันเวลาล่วงเข้าสู่ปิดเทอมฤดูร้อน ข่าวคราวจากศาสนจักรยังคงเงียบ พอคุยกันเรื่องนี้แมรีแอนน์ก็สังเกตเห็นว่าเกล็นมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าที่ผ่านมา เขาแสดงท่าทางเหมือนคนที่กำลังคิดอยู่ตลอดเวลาและรู้สึกกระอักกระอ่วนใจบางอย่าง แต่พอลองถามดู เขากลับยิ้มออกมาได้อย่างมีพิรุธ

“อะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวปิดเทอมนี้ ฉันกับชาร์ล็อตจะไปอยู่บ้านญาติที่เมืองหลวงก็แล้วกัน เวลาพวกนายมีปัญหาอะไรจะได้เดินทางสะดวก” เกล็นบอกแบบนั้นกับทุกคนในตอนที่ประชุมว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีในเมื่อเรื่องเงียบถึงขนาดนี้

ในเมื่อไม่มีการติดต่อเกี่ยวกับภารกิจ สุดท้ายพวกแมรีแอนน์ก็ต่างแยกย้ายเตรียมกลับบ้าน ซึ่งมันค่อนข้างวุ่นวายเหมือนปีก่อนที่พวกนักเรียนพากันทยอยขึ้นรถม้าที่จอดแน่นขนัดอยู่บริเวณลานหน้าโรงเรียน ทำให้นักเรียนบางส่วนจำต้องนั่งจับกลุ่มกันรอรถของตัวเองมา อย่างแมรีแอนน์ตอนนี้ก็นั่งอยู่กับพวกฟิเลน่าไร้วี่แววของชาร์ล็อตและเพื่อนผู้ชายคนอื่น

ฟิเลน่าซึ่งเป็นคนที่ไม่ถูกกับอากาศร้อนเป็นทุนเดิมสะบัดพัดคู่ใจแรงกว่าทุกที เธอถอนหายใจระบายความอึดอัดและความหงุดหงิด แต่แล้วอารมณ์ของคุณหนูก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อมีเด็กผู้หญิงเจ้าของเรือนผมสีดำเดินมาจุดที่สาวๆ อยู่กัน

เห็นดังนั้นทั้งสี่สาวจึงลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเธอย่อตัวเล็กน้อยคล้ายถอนสายบัวตามมารยาทต่อผู้มีสถานะทางสังคมสูงกว่า แม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่าก็ตาม

“สวัสดีค่ะท่านมานิชา”

ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกค่ะ!” มานิชาน้องสาวของอิกนิสกับคลาริสโบกมือเป็นพัลวัน “ก็เป็นเพื่อนของพวกท่านพี่นี่นา!

“มาหาคลาริสกับอิกนิสสินะคะ ฉันคิดว่าพวกเขาอยู่ด้านใน เดี๋ยวพวกเราไปตามให้” ฟิเลน่าเป็นฝ่ายรับอาสาจะตามสองพี่น้องให้ ทว่าเด็กหญิงก็ส่ายหัวปฏิเสธ

“ขอบคุณมากค่ะ แต่มานิชาไม่ได้มาหาท่านพี่หรอก” เมื่อเด็กหญิงผมดำบอกเช่นนั้น สายตาของพวกฟิเลน่าก็เหลือบมองกันและกัน “มานิชาตั้งใจจะมาให้บัตรเชิญด้วยตัวเองน่ะค่ะ”

พูดจบมานิชาได้หยิบซองจดหมายที่มีลวดลายสีทองดูหรูหราจากกระเป๋าถือทั้งหมดสี่ซองเท่ากับจำนวนคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ พวกฟิเลน่ารับมันไว้ด้วยความตื่นเต้น ผิดกับแมรีแอนน์ที่สงสัยว่ามันคืออะไร ลิเลียนซึ่งสังเกตเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของแมรีแอนน์จึงกระซิบอธิบายด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“เป็นบัตรเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิดน่ะจ้ะ!

“ขอบคุณท่านมานิชาที่อุตส่าห์เชิญพวกเราด้วยตัวเอง รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากเลยค่ะ!” ฟิเลน่าถือจดหมายเชิญแน่นอย่างซาบซึ้งที่ได้ร่วมงานวันเกิดของท่านหญิงมานิชา

กระนั้นแมรีแอนน์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมพวกฟิเลน่าจึงตื่นเต้นถึงขนาดนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นว่าพวกฟิเลน่าถูกสาวๆ ในสังคมชั้นสูงเชิญไปงานวันเกิด

ขณะที่สนทนาเรื่องสารทุกข์สุกดิบกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี สองพี่น้องฝาแฝดก็ปรากฏตัวเพื่อจะขึ้นรถม้าซึ่งจอดรออยู่ พวกเขาเห็นน้องสาวกำลังคุยอยู่กับพวกเพื่อนร่วมชั้นจึงเข้ามาร่วมวงด้วย และทันทีที่มานิชาเห็นพวกพี่ชาย เธอก็โผเข้ากอดอย่างคิดถึงก่อนจะผละมายืนตรงกลางระหว่างอิกนิสกับคลาริส มือเล็กๆ ของเด็กหญิงจับมือพี่ชายทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง

“เมื่อครู่น้องส่งจดหมายให้พวกคุณยูเรลล่าด้วยค่ะ” มานิชาเล่าเรื่องก่อนหน้าให้ฟัง คลาริสจึงลูบหัวอย่างเอ็นดูพร้อมกล่าวชม

“ทั้งที่เป็นวันหยุดแต่ก็ขอบคุณนะที่มางานน้องสาวผมน่ะ” อิกนิสเอ่ยขอบคุณพวกฟิเลน่าที่ส่ายหน้าโบกมือเป็นพัลวัน

“ไม่เลยๆ ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณ!” เคจว่า “เนอะ!

ฟิเลน่ากับลิเลียนต่างพยักหน้าเห็นพ้องกับเพื่อนสาว เหลือเพียงแมรีแอนน์เท่านั้นที่ยังจ้องจดหมายไม่วางตาด้วยความสงสัยกับความพิเศษของมันที่ทำให้สามสาวต้องตื่นเต้น ลิเลียนเห็นท่าทีงุนงงของแมรีแอนน์ เธอเลยขยับตัวไปกระชันชิดเพื่อกระซิบบอก

“งานวันเกิดครบสิบห้าปีของพวกขุนนางค่อนข้างพิเศษ ยิ่งท่านมานิชาที่เป็นทายาทของท่านดยุกยิ่งแล้วใหญ่ ใครถูกเชิญไปก็ถือว่าอีกฝ่ายกำลังมีไมตรีที่ดีต่อกันน่ะ”

นี่คงเป็นคำอธิบายสั้นๆ พอให้แมรีแอนน์เข้าใจสถานการณ์ ซึ่งเธอก็ผงกศีรษะเข้าใจ “อย่างนั้นสินะคะ…”

“จริงสิ จะว่าไปคุณชาร์ล็อตกับคุณเกล็น… แล้วก็องค์ชายจูเลียสไม่อยู่หรือคะ?” มานิชากวาดตามองหาเจ้าของรายชื่อทั้งสามคน

“องค์ชายจูเลียสกลับไปก่อนแล้วค่ะ ส่วน…อีกสองคนพวกเราไม่เห็นตั้งแต่เช้าเลย…” ฟิเลน่าตอบในส่วนที่รู้เกี่ยวกับตัวจูเลียส ขณะที่เธอไม่เห็นเกล็นกับชาร์ล็อตตามที่ว่า พอพูดแล้วก็นึกสงสัย เธอจึงหันไปหาบรรดาเพื่อนสนิทเผื่อมีใครรู้คำตอบ แต่ลิเลียนกับเคจก็ส่ายหัว

“น่าเสียดายนะคะที่ไม่ได้ส่งจดหมายด้วยตัวเอง…” มานิชาก้มหน้าหลุบสายตาลงด้วยความเศร้าเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มและเปลี่ยนเรื่องคุยหวังให้บรรยากาศไม่เสียเพราะตัวเอง “จะว่าไปเรื่องคุณชาร์ล็อตกับคุณเกล็นเนี่ยน่าตกใจเหมือนกันนะคะเนี่ย”

พอพูดชื่อเกล็นกับชาร์ล็อตขึ้นมา แมรีแอนน์กับอิกนิสก็ต่างพากันสะดุ้งและรีบวางตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดเรื่อง สายตาของคนทั้งคู่ต่างเสมองไปมาทางอื่น โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่สีหน้าดูเรียบเฉยกว่าปกติทั้งที่ก่อนหน้ายังยิ้มเอ็นดูน้องสาวอยู่แท้ๆ

ด้านแมรีแอนน์เธอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเหมือนไม่อยากอยู่ร่วมวงสนทนา ซึ่งการกระทำของเธออยู่ในสายตาฟิเลน่าที่ลอบมองมา

“เห็นสนิทกันแบบนั้นก็คิดว่าเป็นคู่หมั้นกันตามที่พวกผู้ใหญ่ว่ากันซะอีก”

“ฮะๆ ตอนแรกพวกเพื่อนที่อยู่โรงเรียนสตรีในเมืองก็คิดเหมือนกันเลยค่ะ” เคจหัวเราะร่าเริงต่อบทสนทนากับมานิชา “แต่สองคนนั้นก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้นเอง พูดแล้วก็โกรธแทนชาร์ล็อตเหมือนกันนะ”

ว่าแล้วเคจแสร้งกัดฟันอย่างเจ็บใจแทนชาร์ล็อต “พูดออกมาได้ยังไงกันว่า ถ้าไม่มีคนรักจนโตก็ขออยู่โสดจนแก่เลยดีกว่า น่ะ!

ทันทีที่เคจพูดประโยคนั้นจบ แมรีแอนน์ทำตาโตสนใจกับความสัมพันธ์ระหว่างเกล็นกับชาร์ล็อตขึ้นมา ไม่ใช่แค่เด็กสาวที่แสดงท่าทางชัด อิกนิสเองก็โพล่งถามขึ้นมา

“คะ ใครเป็นคนพูดเหรอ!?”

เพราะอีกฝ่ายถามมากะทันหัน เคจสะดุ้งตกใจกะพริบตาปริบๆ มองอิกนิสที่ก้าวเท้าประชิด ขณะเดียวกันคลาริสก็ลอบถอนหายใจและส่ายหัวเบาๆ อยู่เบื้องหลังพี่ชายฝาแฝด

“เกล็นพูดน่ะ…” ถึงอย่างนั้นเคจก็ตอบคำถามของอิกนิส จากนั้นแมรีแอนน์เบียดตัวเข้ามา

“ละ แล้วทำไมเกล็นถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ?”

“เอ๋? แมรีแอนน์เธอก็ได้ยินที่ชาร์ล็อตเคยเล่าตอนไปทัศนศึกษาไม่ใช่เหรอ” เคจโต้กลับอย่างมึนงง

“เอ่อ...คือ...” แมรีแอนน์อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน กระทั่งสังเกตเห็นฟิเลน่ายกพัดขึ้นป้องปาก ทว่าดวงตาของหล่อนแสดงสีหน้าที่ซ่อนไว้ มันคือรอยยิ้มของผู้มีชัย นั่นเลยทำให้แมรีแอนน์เข้าใจในที่สุด “อ๊ะ...” เธออุทานออกมาเบาๆ

“แมรีแอนน์จะไปรู้ได้ยังไง ก็เธอเดินออกระหว่างที่จะเล่านั่นแหละ กลับมาอีกทีก็เปลี่ยนเรื่องแล้ว” ฟิเลน่าทำเสียงเล็กเสียงน้อยราวกับเยาะเย้ยพลางส่งสายตามีเลศนัย

“โอ้! ฟังดูน่าสนุกดีแหะ พวกเธอคุยอะไรกันน่ะ!” คลาริสหูผึ่งเมื่อรู้ว่าพวกสาวๆ คุยเรื่องท่าทางสนุกกัน

“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก เราก็แค่ถามชาร์ล็อตทำนองว่าเคยคิดมากกว่าเพื่อนกับเกล็นหรือเปล่าน่ะ”

“แล้วยัยนั่นว่าไงล่ะ?” แฝดคนน้องยกแขนขึ้นกอดคออิกนิสที่ตั้งใจฟัง

“ถ้าให้สรุปง่ายๆ ก็รักแรกที่ไม่สมหวังอะนะ” เคจไหวไหล่พลางส่ายหัวรู้สึกเอือมระอากับคำพูดของเกล็นที่ทำให้ชาร์ล็อตช้ำใจในวัยเด็ก

“ละ แล้วทำไมเกล็นถึงพูดใจร้ายแบบนั้นกับชาร์ล็อตเหรอคะ” แมรีแอนน์ย้ำถามถึงสาเหตุที่เกล็นพูดจาไม่ดีอีกหน

“อืม…” เคจยกนิ้วแตะปลายคางเหลือบตามองบน ระลึกถึงวันที่ชาร์ล็อตเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ฟัง “ตอนเด็กๆ สักสิบขวบล่ะมั้ง ชาร์ล็อตเคยถามกับเกล็นว่า…” แล้วเด็กสาวก็บีบเสียงเล็กเหมือนเด็ก “ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่มีคนรัก เราสองคนมาแต่งงานกันไหม ประมาณนี้แหละ”

ได้ยินประโยคนั้นอิกนิสก็สำลักน้ำลายไอโขลกๆ จนมานิชาที่ไม่เข้าใจอะไรต้องมาลูบหลังเขาอย่างเป็นห่วง

“ท่านพี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” เด็กหญิงถาม ส่วนพี่ชายคนโตก็ส่ายหัวตอบ

“แก่แดดแก่ลมชะมัด ฮ่าๆๆๆ” คลาริสหัวเราะเอิ้กอ้ากเหมือนคนสะใจ “จากนั้นเจ้านั่นก็เลยตอบว่า โตมาถ้าไม่มีแฟนก็ไม่แต่ง สินะ นึกภาพออกเลย ฮ่าๆๆๆ”

“ใช่! ชาร์ล็อตเลยร้องไห้กลับบ้านไป น่าสงสารเนอะว่าไหม พวกเด็กผู้ชายไม่มีความโรแมนติกเอาซะเลย เนอะ!

จากนั้นลิเลียนก็พยักหน้าหงึกเห็นด้วยกับเพื่อนสาว ฟิเลน่าก็หัวเราะในลำคออย่างภาคภูมิใจที่ชนะพนันแมรีแอนน์ ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวกำลังหน้าแดงด้วยความอายที่คิดเองเออเองทั้งที่ฟิเลน่าก็เคยย้ำไปแล้ว พอเห็นหน้านั้นของแมรีแอนน์ ฟิเลน่าก็ยืดอกภูมิใจยิ้มจนแก้มปริ แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็ต้องหุบลง

“ทุกคนยังไม่กลับบ้านกันเหรอครับ” เอราสต์ที่เดินมากับเพื่อนนักเรียนชายผมสีน้ำตาลเข้มพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี

“ก็… กำลังรอรถอยู่น่ะ…” ลิเลียนเป็นคนออกหน้าแทนฟิเลน่าที่ขยับตัวไปอยู่ด้านหลัง ทำเอาคนต่างแดนหน้าจ๋อย กระนั้นเอราสต์ก็ยังมีเสียงหัวเราะแล้วสังเกตเห็นมานิชา

“สวัสดีครับ คุณหนูมารับพี่กลับบ้านสินะครับ?” เอราสต์ทักทายมานิชาด้วยน้ำเสียงนุ่มพร้อมยื่นมือส่งไป แต่กลับถูกคลาริสทำตาขวางปัดมือออกอย่างเสียมารยาท

“คลาริสทำแบบนั้นไม่ดีเลยนะ” ถึงอิกนิสจะถูกใจการกระทำของน้องชายฝาแฝด เขาก็จำเป็นต้องตำหนิให้คลาริสรู้ตัวว่าแสดงออกชัดเจนมากเกินไป จากนั้นอิกนิสก็ส่งยิ้มให้มานิชาเพื่อให้เด็กสาวไม่รู้สึกกังวล “งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ”

“แหม ดูท่าคุณพี่ชายจะหวงนะครับ” เอราสต์ยักไหล่ขบขันท่าทีของสองพี่น้องฝาแฝด

“ถ้าเป็นผมก็คงทำแบบเดียวกับคลาริสนั่นแหละ” เพื่อนชายที่มาด้วยกันบอกเสียงเรียบ ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยเห็นด้วยที่เอราสต์ทักเด็กหญิงอย่างหว่านเสน่ห์แบบเดียวที่คุยกับสาวๆ คนอื่น จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่ไม่เห็นเกล็นเลยนะ?”

แล้วนักเรียนชายคนนั้นก็หันซ้ายหันขวาตามหาเจ้าของชื่อที่ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าอยู่ไหน กระทั่งเขาสบตากับแมรีแอนน์ที่มองตาไม่กะพริบ

“มีอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงเขาฟังดูแล้วไม่ชวนให้รื่นหูสักเท่าไรนักราวกับกำลังหาเรื่องเธอชอบกล

“ไม่มีอะไรค่ะ…” แมรีแอนน์ตอบทั้งที่จ้องหน้าอีกฝ่าย เธอกำลังขุดความทรงจำที่มีเกี่ยวกับนักเรียนชายคนนี้ เพราะเด็กสาวรู้สึกว่าพบเขาค่อนข้างบ่อย แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงอยู่ในความทรงจำเธอเสมอ

“ถ้าอย่างนั้นพวกผมไปก่อนนะ” อิกนิสบอกกับทุกคนโดยที่ยังเอาตัวขวางไม่ให้เอราสต์เข้าใกล้มานิชา “แล้วเจอกัน”

“เอ๋ กลับแล้วเหรอคะ น้องยังไม่ให้บัตรเชิญเลย” มานิชาว่าขึ้นในจังหวะที่อิกนิสดันหลังเธอเบาๆ

“สองคนนั้นอาจจะกลับไปแล้วก็ได้” พี่ใหญ่สรุปความเป็นไปได้ ในเมื่อไม่เห็นชาร์ล็อตกับเกล็นตั้งแต่เช้า อีกทั้งพวกเขาเคยบอกก่อนหน้านี้แล้วว่าช่วงปิดเทอมนี้จะพักอยู่บ้านญาติในเมืองหลวง สองคนนั้นเลยอาจจะต้องรีบไปเตรียมตัว โดยเฉพาะเกล็นที่พกของมาเยอะ “เดี๋ยวเราค่อยส่งจดหมายไปนะ”

“…ค่ะ…” เด็กหญิงทำหน้าหงอยเสียดายที่ไม่ได้ส่งจดหมายเชิญกับมือ เธอเดินนำหน้าอิกนิสตรงไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ ขณะที่คลาริสโบกมือลาเพื่อนที่เหลือ

“พวกเราไปหาคนอื่นกันดีกว่า” ฟิเลน่าสะบัดพัดเก็บบอกกับสามสาวที่เหลือไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่น เธอเดินนำทุกคนโดยไม่รีรอคำตอบอะไร ทำให้ลิเลียนกับเคจมองหน้ากันก่อนจะเดินตามไป

“น่าเสียดายจังเลยนะครับเนี่ย” เอราสต์หัวเราะเสียงแห้งที่อีกฝ่ายเลี่ยงเขาอย่างตรงไปตรงมา

แมรีแอนน์ที่ทำตัวไม่ถูกก็ผงกหัวให้เด็กหนุ่มทั้งสองคน แล้วรีบไปหาพวกฟิเลน่าซึ่งเดินนำไปก่อน ระหว่างนั้นเองเด็กสาวก็นึกอะไรออก เธอหยุดแล้วหันขวับไปทางเพื่อนของเอราสต์ด้วยสีหน้าตึงเครียด เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาคนนั้นสบตากับแมรีแอนน์ ทั้งคู่จ้องเขม็งกันครู่หนึ่ง จากนั้นเด็กสาวก็หันกลับและเร่งฝีเท้าตรงไปหาพวกฟิเลน่า

เธอจำได้แล้วว่าเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีดำคือใคร เขาชื่ออีธาน ทรัสส์ อยู่ห้องสี่ หอสาม ส่วนเหตุผลที่แมรีแอนน์คลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนเห็นหน้ากันบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะเพื่อนของเอราสต์ที่เดินไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่เป็นเขามักวนเวียนอยู่ใกล้เกล็นเสมอ ที่สำคัญในวันงานอมัวร์รอสอีธานยังให้ดอกเบบี้โรสด้วย!

(บะ แบบนี้ไม่ได้การแล้วละสิ!)

แมรีแอนน์คิดอย่างวิตกกังวลขึ้นมา เมื่อเธอรู้ความจริงเกี่ยวกับเกล็นและชาร์ล็อตช้าไป สงสัยช่วงเวลาที่พลาดไปคงต้องหาทางกู้มันคืนมา แล้วที่สำคัญเธอต้องเปลี่ยนไปขอพรจากเทพแห่งความรักเอลเอลมินแทนเทพแห่งโชคชะตาฮีมูอาซะแล้ว