ปิดเทอมฤดูหนาวฟังดูยาวนาน แต่จริงๆ แล้วก็แค่สองสัปดาห์เท่านั้น นักเรียนเอลเซียส์บางคนจึงเลือกไม่กลับบ้านเพราะเสียเวลาเดินทาง แล้วเพื่อไม่ให้ช่วงวันหยุดต้องสูญเปล่า เกล็นก็เอาแต่หมกตัวทำยาดมต่อ ก่อนจะจำได้ว่าตัวเองไม่ควรออกนอกโรงเรียนเขาจึงลากชาร์ล็อตมาเป็นลูกมือคอยออกไปซื้อของให้แทน ทว่าการซื้อรอบนี้มีของที่เกล็นต้องการเยอะ เด็กสาวจึงไปขอร้องให้อิกนิสช่วยถือของด้วย ระหว่างนี้ชาร์ล็อตก็ใช้โอกาสนี้เลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้จูเลียสไปในตัว

“จริงๆ ฉันอยากซื้ออะไรที่เกี่ยวกับบรูโน่อยู่หรอกนะ แต่คิดว่าคงไม่เหมาะเท่าไร” ชาร์ล็อตบ่นขณะยืนเลือกเนกไท เพราะมันคงจะแปลกหากซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงให้ในงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดอย่างทางการของเจ้าชาย

“แต่ผมคิดว่าต่อให้ไม่จัดเป็นงานทางการก็ไม่ควรซื้อเป็นอาหารให้นะ” อิกนิสแย้งพร้อมหยิบเนกไทสีน้ำเงินส่งให้ แต่อีกฝ่ายส่ายหัว

“สีเดียวกันกับของโรงเรียนเลย” เธอว่า “สีแดงน่าจะเข้ากับจูเลียสดีนะ อืม... แบบเรียบๆ หรือมีลายดีล่ะ?”

จากนั้นชาร์ล็อตหยิบเนกไทสีแดงเรียบกับมีลายทางเฉียงสีทองมาเทียบกันเพื่อให้อิกนิสเป็นคนเลือก โดยเขาชี้เส้นไร้สายเรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้า

“ยะ ยิ้มอะไรของเธอ” เด็กหนุ่มรู้สึกเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก

“เปล่า” ชาร์ล็อตปฏิเสธเสียงสูงแล้วหยิบเส้นที่เป็นสีแดงลายสก็อตแทนที่เนคไทที่อิกนิสเลือกก่อนหน้า “แล้วสองลายนี้ล่ะ”

คราวนี้อิกนิสแสดงสีหน้าลังเลคิดไม่ออกว่าแบบไหนจะเหมาะกับจูเลียส แต่ถ้าตั้งอายุของเพื่อนเป็นพื้นฐาน เด็กหนุ่มจึงเลือกลายสก็อต ชาร์ล็อตจึงวาดลายเฉียงลงที่เดิม

“หวังว่าจะไม่ซื้อซ้ำกับใครนะ”

“เรื่องนี้ค่อนข้างพูดยาก...” อิกนิสกอดอกไม่มั่นใจว่าของขวัญที่ชาร์ล็อตเลือกจะไปซ้ำกับใครหรือไม่ เพราะต่อให้จูเลียสเคยบอกว่าเป็นงานส่วนตัวไม่ได้จัดใหญ่เท่ากับงานของพี่ชายคนโต แต่ภายในงานก็ต้องมีเชิญแขกจากหลายๆ ตระกูลตามมารยาท ดังนั้นอิกนิสเลยรู้แค่ว่าอย่างน้อยของที่ชาร์ล็อตซื้อไม่ซ้ำกับแม่

“จริงสิ ปีนี้ท่านแม่ขอมาแทนท่านพ่อด้วยสิ...” พอคิดได้แบบนี้ เด็กหนุ่มก็อดกังวลไม่ได้ว่าแม่จะเล่นใหญ่หรือเปล่า เมื่อรู้ว่าจูเลียสเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับเขา

“เป็นอะไรไปเหรอ” ชาร์ล็อตกะพริบตาปริบๆ สงสัยใบหน้าเคร่งเครียด “หรือว่าซ้ำ...”

เสียงหงอยดังปลุกสติอิกนิสรีบแก้ตัวทันควัน

“ไม่ได้ซ้ำหรอก ผมแค่กำลังคิดว่าท่านแม่จะซื้ออะไรให้เป็นของขวัญจูเลียสเอาน่ะสิ” เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ ทำเอาชาร์ล็อตเลิกคิ้วสงสัยท่าทางของอีกฝ่าย

“ทำไมเธอดูไม่ค่อยอยากให้คุณแม่ไปเลยนะ ท่านก็ดูเป็นคนร่าเริงดีนะ”

“เหรอ...” อิกนิสตอบรับคำพูด พลางคิดว่าในสายตาคนนอกครอบครัวอย่างชาร์ล็อตที่เคยพบอลิสาจากงานเลี้ยงอื่นคงมองว่าเธอเป็นผู้หญิงคุยง่ายและสนุก เพราะน้องสาวมักเล่าว่ามักจะมีคนยืนล้อมรอบแม่อยู่เสมอ ผิดกับลูกชายอย่างเขาที่ไม่รู้จะนิยามนิสัยของแม่ยังไง เธอดูร่าเริงก็จริงแต่ก็มีอะไรแอบแฝงอยู่เสมอ หรือบางทีอยากทำอะไรก็ทำ...

“เขาชอบอะไรที่มันอลังการน่ะ…” นี่คงพอเป็นคำตอบในฐานะลูกได้

“ฮะๆ อย่างนี้นี่เอง” ชาร์ล็อตขบขันพอเข้าใจความหมาย จากนั้นเธอก็ชำระค่าเนกไทเมื่อรู้ว่ามันอาจจะไม่ซ้ำกับใคร

“เท่านี้ก็โล่งไปหนึ่งแล้ว” เธอแกว่งถุงกระดาษไปมายิ้มกว่าที่ไม่ต้องห่วงเรื่องของขวัญจูเลียสแล้ว “งั้นเราซื้อของให้เกล็นต่อดีกว่า”

อิกนิสพยักหน้าตอบ แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงวันที่ชาร์ล็อตถามเรื่องเกล็นที่แปลกไป แต่พอเห็นเด็กสาวกำลังสนุกอยู่กับการดูสินค้าใหม่ๆ ประจำฤดูกาลไม่ยอมซื้อของตามที่ถูกวานมาสักที อิกนิสเลยได้แต่กลืนคำถามไม่อยากขัดอารมณ์เธอตอนนี้ กระทั่งซื้อของจนครบก็ปาไปเกือบครึ่งวัน แล้วแทนที่ทั้งสองจะตรงกลับโรงเรียน ชาร์ล็อตยังเถลไถลออกข้างทางไปเรื่อย กระทั่งดวงตาสีทองลุกวาวเปล่งประกายให้กับรองเท้าส้นเข็มสีเหลืองสดใสระหว่างดูรองเท้าแต่ละคู่ในร้าน เธอหยิบขึ้นมาหมุนดูทุกซอกทุกมุม

“สีน่ารักจังเลย” เธอหัวเราะจนตาหยีที่เจอของถูกใจ “ขอลองสวมหน่อยนะคะ”

“เชิญทางนี้ได้เลยค่ะคุณลูกค้า” พนักงานร้านผายมือไปทางเก้าอี้สำหรับนั่งสวมรองเท้า

“ตายแล้ว พอดีด้วย” ชาร์ล็อตปรบมือดีใจที่สวมได้พอดียิ่งเพิ่งความสุขจนลังเลจะซื้อดีหรือไม่ “นี่ อิกนิสเธอคิดว่าไงล่ะ”

เพราะไม่มีความดูด้านแฟชั่น เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมองรองเท้าอย่างไตร่ตรองเค้นความรู้สึกที่มีต่อชาร์ล็อตกับรองเท้าคู่นั้น

“ผมคิดว่ามันสูงไปหรือเปล่า?”

พออิกนิสตอบไปแบบนั้น ชาร์ล็อตมองเขาด้วยใบหน้าอึ้งแล้วหลุบสายตาลงมองรองเท้า

“นั่นสินะ” ชาร์ล็อตเห็นพ้องและถอดรองเท้าคู่นั้นคืนเก็บชั้นวางตามเดิม “ปกติฉันก็ตัวสูงอยู่แล้ว ขืนใส่อีกมีหวังดูประหลาดแน่เลย”

ถึงอิกนิสที่จับความผิดปกติจากน้ำเสียง แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรทำได้แค่ปล่อยให้ชาร์ล็อตเดินนำออกจากร้าน ซึ่งตลอดทางเธอปิดปากเงียบจนอิกนิสเริ่มรู้สึกกังวน ครั้งจะเอ่ยปากเรียกและขอโทษเด็กหนุ่มต้องหยุดความคิดนั้น เพราะรู้สึกว่าถ้าพูดไปตอนนี้มีแต่สถานการณ์จะแย่ลง กระทั่งทั้งคู่กลับมาถึงโรงเรียนแล้วตรงไปยังห้องเรียนปรุงยาที่เกล็นขออนุญาตอาจารย์เคธีไว้ล่วงหน้า ชาร์ล็อตส่งของที่สั่งซื้อมาทั้งหมดให้ก่อนจะขอตัวกลับหอ

เกล็นส่งสายตาดุมาทางอิกนิส

“เกิดอะไรขึ้น” แม้จะพยายามข่มน้ำเสียงให้เรียบเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่อิกนิสก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังไม่พอใจ

“ฉันก็ไม่รู้...” อิกนิสยอมรับแต่โดยดีด้วยสีหน้าสลดไม่รู้จริงๆ ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีลงไป “เพราะพอออกจากร้านรองเท้า เขาก็เป็นแบบนั้น...”

เกล็นถอนหายใจหนักทำเอาทั้งอิกนิสกับคลาริสที่อยู่ด้วยพากันสะดุ้งมอง

“ดันไปทักว่าสูงไปสินะ”

แฝดผู้พี่นิ่งพยักหน้าตอบอย่างเซื่องซึม หลังเกล็นไขพฤติกรรมอันน่าสงสัยของชาร์ล็อตได้

“อืม... นายไม่รู้ก็ไม่ผิดหรอกนะ” เด็กหนุ่มผมฟ้าทำท่าทางลำบากใจเกาหัวไม่รู้จะเห็นใจฝ่ายใจ “ถ้าพูดว่าในบรรดาเด็กผู้หญิงที่ตัวสูง คนแรกที่นึกออกคือชาร์ล็อตใช่ไหม”

เป็นอีกครั้งที่อิกนิสผงกศีรษะ โดยมีคลาริสร่วมวงด้วย

“แล้วมันทำไมเหรอ” แฝดน้องถามต่ออยากรู้ด้วย

“จะบอกว่ามีปมเกี่ยวกับความสูงก็ว่าใช่” เกล็นเกริ่นขึ้นพาย้อนอดีตเมื่อสี่ห้าปีก่อน ดูจากการชักสีหน้าแล้วมันต้องเป็นความทรงจำที่ห่วยแตกน่าดู “ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่พวกเราออกงานสังคมกัน ชาร์ล็อตก็เริ่มตัวสูงพอๆ กับฉัน ยิ่งใส่รองเท้าส้นสูงก็ทำให้เขาสูงกว่าจนโดนผู้ใหญ่ที่ไหนก็ไม่รู้มาตำหนิต่อหน้าหน้าตาเฉยว่า เป็นเด็กผู้หญิงแท้ๆ จะสวมรองเท้าสูงกว่าเด็กผู้ชายได้ไง น่ะสิ... ให้ตาย พอพูดถึงแล้วก็หงุดหงิดฉิบเป๋ง รู้งี้น่าจะตอกกลับสักดอกซะหน่อย ไม่ได้สังเกตสังกาเลยหรือไงว่า เด็กผู้หญิงอายุประมาณนั้นใครๆ ก็ตัวสูงกันทั้งนั่นแหละ เฮ้อ... นึกแล้วก็สงสารแทนจะได้แต่งตัวสวยๆ เพราะงั้นฉันถึงไม่อยากออกงานสังคม แต่ก็ไม่วายโดนเรื่องนี้อยู่ดี อยากจะไปเห็นหน้าไอ้คนพูดชะมัด!

จากที่เกล็นบ่นยาวไม่หยุด ดูท่าเขาจะหัวเสียกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย จนคลาริสต้องกระซิบกระซาบกับพี่ชายที่หน้าเสียที่เผลอไปจี้จุดผมใหญ่เข้าอย่างจัง

“ไว้พรุ่งนี้นายค่อยขอโทษเขาเถอะ”

อิกนิสพยักหน้าเห็นด้วยกับคลาริสว่าควรขอโทษชาร์ล็อต เพราะตอนนี้เด็กสาวคงอยากอยู่ตามลำพังสักพักใหญ่ แต่สิ่งที่เขากังวลต่อมาจะทำยังไงให้พบเธอ คงสักพักใหญ่เลยที่พวกเขาจะมองหน้ากันติด โดยไม่รู้ตัวว่าทุกการแสดงออกของเขาอยู่ในสายตาของเกล็น

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ชาร์ล็อตก็กลับมาเป็นปกติแล้วล่ะ” เกล็นปลอบไม่ให้อิกนิสคิดมากว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไรในการสานสัมพันธ์กลับคืนมา ทว่าคนฟังกลับนิ่งเงียบไม่ตอบโต้

“ฉันว่านายเองก็กลับไปเถอะ” คลาริสว่าอดสงสารไม่ได้ที่เห็นแฝดตัวเองมีสีหน้าซีดเซียว

จากนั้นอิกนิสก็ตอบสนองโดยการเดินโซเซเหมือนคนหมดแรงตรงกลับหอของตัวเองตามคำแนะนำของน้องชาย และไม่ได้สนใจคำพูดเบาๆ แต่ยังได้ยินของเกล็นกับคลาริสที่ลับหลัง

“รอดูเลยว่าต้องมีคนไม่สบาย”

 

จริงอยู่ว่าเรื่องของชาร์ล็อตทำให้อิกนิสกระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่บ้าพอที่จะไปยืนรอหน้าหอพักข้ามวัน ไหนจะกฎของหอพักที่นักเรียนห้ามออกมาหลังสี่ทุ่ม ดังนั้นเช้าตรู่ของวันนี้อิกนิสจึงรอชาร์ล็อตอยู่แถวรูปปั้นเหมือนกับคราวก่อน แม้ว่าเกล็นเคยบอกว่าชาร์ล็อตจะกลับมาอารมณ์ดี

แล้วในตอนที่เด็กสาวได้ก้าวเท้าพ้นประตูหอพัก เหตุการณ์แทบไม่ต่างอะไรจากวันที่ต่างหูของชาร์ล็อตหาย อิกนิสนั่งคอยจนเธอยิ้มและหัวเราะกับภาพที่เคยเห็น และเมื่อชาร์ล็อตมายืนตรงหน้า เขาก็รีบลุกพรวด

“เรื่องเมื่อวาน ผมขอโทษที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีลงไป”

ชาร์ล็อตไม่โต้กลับอะไร ทำเพียงสบตาอีกฝ่าย

“ช่วยรอฉันแป๊บหนึ่ง”

จากนั้นเด็กสาวก็หมุนตัวกลับเข้าหอพัก แล้วใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที ชาร์ล็อตได้ปรากฏตัวในชุดนักเรียนสร้างความงุนงงกับเด็กหนุ่มจนวางตัวไม่ถูก

“วันนี้เกล็นก็ฝากซื้อของอีกแล้ว ไหนๆ ก็ไปเป็นเพื่อนอีกรอบได้หรือเปล่า”

อิกนิสผงกหัวเงียบๆ ยินยอมที่จะออกไปข้างนอกด้วยกันอีกรอบ ทั้งคู่เข้าเมืองแล้วเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งชาร์ล็อตพาเขามาถึงร้านรองเท้าที่เคยเข้า พอเข้าด้านในเธอก็หยิบรองเท้าคู่เดิมมาสวมก่อนจะชี้ลงไปพร้อมตั้งคำถาม

“เธอคิดว่าไง”

อิกนิสมองร่างชาร์ล็อตตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ารู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายเขาต้องส่ายหัวจำใจยอมแพ้

“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เธอคงมองว่ารองเท้าส้นสูงเหมือนกันหมดเลยสิท่า” พูดจบชาร์ล็อตก็ถอดรองเท้าแล้วหยิบคู่อื่นใกล้มือมาเทียบกัน “ถ้าแบบนี้เห็นความแตกต่างหรือยัง?”

“เอ่อ... คู่นี้ส้นมันเล็กและเรียวสูงกว่า...” เด็กหนุ่มผมดำบอกลักษณะของรองเท้าสีเหลืองคู่แรกตามที่เห็น

“ใช่! คู่นี้เขาเรียกว่าส้นเข็ม (Stiletto) ส่วนคู่นี้ก็จะเรียกว่าแบบพัมพ์ (Pump)”

“งะ งั้นเหรอ...”

“มะ ไม่เห็นเข้าใจเลย...” อิกนิสเงียบไม่ยอมพูดความในใจที่สงสัยว่ามันต่างกันยังไง ทั้งที่ขนาดส้นของมันก็เกือบจะเท่ากัน แล้วที่สำคัญนั้นชาร์ล็อตก็ดูจงใจเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องเกี่ยวกับประเภทส้นของรองเท้ามากกว่า กระนั้นความแตกต่างก็ทำให้เด็กหนุ่มข้องใจอยู่เหมือนกัน

“แล้วมันทำไมเหรอ...” อิกนิสเหงื่อตกพยายามทำเรียบเรียงความคิดและหาเหตุผล

“เฮ้อ... ช่วยไม่ได้ล่ะนะ...” ชาร์ล็อตถอนหายใจปลงๆ “ชุดนักเรียนกับส้นเข็มมันเข้าซะที่ไหน”

เธอเท้าเอวบอกเหตุผล แต่ก็เป็นประโยคเฉไฉไม่เปิดช่องว่างให้อิกนิสได้แก้ไขเรื่องเมื่อวาน ยิ่งพนักงานสาวเข้ามานำเสนอรองเท้าที่หน้าตาคล้ายกันแต่ส้นคนละแบบเตี้ยลงมาอีก

“ทรงนี้ก็น่ารักดีจัง” เพราะเจอคู่ที่เหมาะกับชุดนักเรียน ชาร์ล็อตอารมณ์ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดหมุนตัวดูรองเท้าไปมาหน้ากระจก และตกลงซื้อมันหลังจากที่ชั่งใจอยู่พักหนึ่ง กลายเป็นว่าออกมารอบนี้เด็กสาวได้ของติดไม้ติดมือกลับมาด้วย

“เอาล่ะ ทีนี้เราไปนั่งเล่นแถวสระน้ำกันเถอะ” ชาร์ล็อตกลับมาฉีกยิ้มได้ปกติพลางเหวี่ยงถุงรองเท้าไปมา

“เอ๊ะ ยังไม่ไปซื้อของให้เกล็นเหรอ”

“ไม่อะ อยากเปลี่ยนรองเท้าก่อนน่ะ”

“ปะ เปลี่ยนเลยตอนนี้เนี่ยนะ”

“แหม ซื้อมาแล้วขอใส่เลยเถอะ”

เมื่อเด็กสาวอยากไปนั่งพักเพื่อเปลี่ยนรองเท้าแถวริมสระน้ำ อิกนิสก็ยอมอ่อนข้อเหมือนเดิม ทั้งคู่จึงเดินย้อนไปยังสวนสาธารณะริมสระ ระหว่างก้าวลงบันไดจู่ๆ ชาร์ล็อตที่เดินตามหลังอยู่ได้โน้มตัวจนศีรษะสัมผัสสะบักหลังของเด็กหนุ่มทำให้เขาต้องหยุดอยู่กับที่เกรงว่าจะพาคนข้างหลังล้มตกบันได

“จริงๆ เรื่องเมื่อวานเธอไม่จำเป็นต้องขอโทษด้วยซ้ำ” ในที่สุดชาร์ล็อตก็ยอมคุยเรื่องนี้ ดังนั้นอิกนิสเลยเงียบและปล่อยให้เด็กสาวพูดต่อไป “มันเป็นเพราะฉันโยงไปเรื่องนั้นเองจนทำให้เธอที่ไม่รู้อะไรต้องมาแบกรับอารมณ์ไม่ดีฉันไปด้วย”

“ถึงเธอบอกว่าผมไม่รู้เรื่อง แต่คำพูดผมมันก็ทำร้ายอยู่ดีไม่ใช่หรือไง ไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกโกรธขึ้นมาน่ะที่จู่ๆ มีใครไม่รู้มาจี้ใจดำ”

“ฉันไม่ได้โกรธเธอเลยนะ ฉันสาบาน มันก็แค่…รู้สึกแย่เท่านั้นเอง…”

“นั่นไงล่ะ สุดท้ายเธอก็แย่เพราะผมอยู่ดีใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นผมจำเป็นต้องขอโทษที่พูดไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร”

“ถ้าจะยังพูดอีกละก็คราวนี้ฉันโกรธแล้วนะ” จากนั้นชาร์ล็อตก็ได้ผละออกจากด้านหลังอิกนิส ดวงตาสีทองมองเขาด้วยสายตาโกรธเคืองอยู่จริงๆ ทั้งสองสบตากันอยู่พักใหญ่เพื่อดูท่าทางของอีกฝ่าย กระทั่งชาร์ล็อตยิ้มให้ “แต่คิดดูอีกทีก็สมเป็นเธอนะ คนที่จริงจังจนน่าโมโหเนี่ย”

“ประโยคหลังถือว่าเป็นคำชมได้หรือเปล่า” อิกนิสปั้นหน้ายิ้มมุมปากกลับพร้อมหัวเราะเสียงแห้ง

“ไม่รู้สินะ” เธอหมุนตัวเตรียมขึ้นบันได “ฉันเปลี่ยนใจล่ะ ซื้อของให้เกล็นแล้วรีบกลับดีกว่า”

อิกนิสยักไหล่ยอมทำตามที่ชาร์ล็อตว่ามาเป็นการเอาใจ “พูดตรงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกนะปกติเวลาเธอไปงานแต่งตัวยังไง แต่ถ้าอยากแต่งตามใจชอบละก็ชวนผมไปเป็นเพื่อนก็ได้”

เด็กสาวชะงักเท้านิ่งเงียบเหลียวหันมองอีกฝ่าย “…ไม่ต้องหรอก”

ชาร์ล็อตปฏิเสธข้อเสนอ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ หัวใจของอิกนิสหล่นวูบแล้วเต้นไม่เป็นจังหวะ

“ฉันเกรงใจน่ะ” เธอเสริมให้จบประโยค “ปกติเธอก็ไม่ชอบไปงานพวกนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องฝืนก็ได้ เหมือนเกล็นไง”

ชาร์ล็อตริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง มือหนึ่งยกเกลี่ยผมทัดหูเซสายตามองทางอื่น แก้มขึ้นระเรื่อ

คำว่าทำไมผุดขึ้นในหัวอิกนิสอย่างไม่มีเหตุผลอีกครั้ง แล้วรอบหนึ่งมีความรู้สึกไม่สบายใจปนมาด้วย

“แต่ก็ขอบใจที่ชวนนะ”

“อะ อืม… ไม่เป็นไร…” นัยน์ตาสีม่วงอ่อนหลุบหนีลงไม่กล้าสู้ตาคนตรงหน้า

“งั้นเราไปซื้อของให้เกล็นแล้วกลับกันเถอะ” เธอชวนไปซื้อของที่เกล็นสั่งต่อ

อิกนสิไม่ตอบนอกจากพยักหน้าแล้วเดินตามชาร์ล็อตไปเงียบๆ ก่อนจะตั้งคำถามในใจว่าเกล็นจะเอาพวกเนื้อสัตว์และผักไปทำอะไร นอกเสียจากนำไปปรุงเป็นอาหาร

“ถ้าอาจารย์จับได้ว่าทำอาหารมีหวังโดนเตือนแน่ๆ”

 

“สองคนนั้นกลับมาแล้ว” คลาริสที่กำลังสร้างกระท่อมหิมะที่มีขนาดใหญ่พอตัวอยู่กับเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนบอกถึงการกลับมาของชาร์ล็อตและอิกนิสให้กับคนที่อยู่ด้านใน

เกล็นเลยโผล่หัวออกมากวักมือเรียกให้ทั้งสองรีบเข้ามาในกระท่อมซึ่งมีพื้นที่พอให้คนนั่งล้อมวงหม้อต้มปรุงยาขนาดกลางได้ประมาณสิบคน ซึ่งทุกคนล้วนเป็นเพื่อนห้องเดียวกันที่ไม่ได้กลับบ้าน ดูจากสิ่งรอบตัวแล้วดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทำอาหารบางอย่างกินกัน อิกนิสที่เห็นถึงทำสีหน้าเรียบเฉยไม่นึกว่าบรรดาเพื่อนจะแหกกฎหอกัน

“เอาล่ะๆ คนมาครบ เนื้อก็พร้อม เรามากินสุกี้กันดีกว่า” จากนั้นตัวต้นคิดก็ทำการแจกตะเกียบกับถ้วนคนละชุด แต่เพราะไม่มีใครใช้ตะเกียบเป็นและไม่รู้จักเมนูอาหาร เกล็นจึงสอนวิธีการใช้ทุกขั้นตอนตั้งแต่การจับตะเกียบ การคีบเนื้อลงหม้อที่น้ำเดือดปุดๆ จนมันสุก แล้วคีบวัตถุดิบใส่สิ่งที่เรียกว่าน้ำจิ้มที่ให้มาตักเข้าปาก ก่อนจะพูดเป็นภาษาประหลาดที่ชอบเผลอตัวใช้

“(โชคดีจริงๆ ที่ยังจำสูตรน้ำจิ้มสุกี้แม่ได้)”

“ก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่เห็นว่าเป็นอาหารจากทางเซียงเฟยไม่ก็ชินเรย์นี่แหละ” หนึ่งในสมาชิกร่วมวงหม้อสุกี้บอก

“ถ้าเป็นเรื่องอาหาร เกล็นก็รู้ไปซะหมด” ชาร์ล็อตว่าพร้อมทำแบบเดียวกับเพื่อนสนิทอย่างคล่องแคล่ว “กินตอนร้อนๆ ในอากาศหนาวๆ นี่มันสุดยอดจริงๆ เลย”

เธอช่วยโฆษณารสชาติ เพื่อนคนอื่นเลยค่อยๆ ทำตามเพื่อลิ้มรสอาหาร ซึ่งนับว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่หาได้ยากยิ่งสำหรับทุกคนที่ได้มาร่วมกันกินอาหารต่างถิ่นที่เรียกว่าสุกี้ รสชาติของมันอร่อยแบบแปลกๆ รู้สึกสุขใจที่ได้กิน ก่อนที่วงจะเกือบแตกเมื่อเคธีที่อยู่เฝ้าโรงเรียนได้เดินมาเช็กว่าใครอยู่ในกระท่อมหิมะกัน แต่เพราะเป็นวันหยุดทั้งทีเธอจึงปล่อยเด็กๆ โดยไม่ลืมเอ็ดเกล็นที่เอาหม้อต้มมาใช้ทำอาหาร ทว่าเขาก็ไม่ใส่ใจกับคำเตือนของอาจารย์เท่าไร ในเมื่อหม้อใบนี้เขาดัดแปลงใช้ปรุงอาหารตั้งแต่แรก

“เฮ้อ นี่แหละนะ ความสุข”