51 ตอน บทที่ 50: ปะทะกับจอมเวท
โดย RiFourver
ถึงชาร์ล็อตจะตะโกนบอกทุกคนว่าตัวเองเจอถ้ำอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ ทว่าคนที่เหลือพยายามหรี่ตามองจุดที่เธอชี้ราวกับมองไม่เห็น
“มันใช่ถ้ำแน่เรอะ” คลาริสว่าขึ้นคนแรกพลางขยับตัวซ้ายขวาหามุม “โอ๊ะ! จริงด้วย!”
หลังจากนั้นอีกสามคนก็มายืนมุมเดียวกับที่คลาริสอยู่ พวกเขาก็ได้เห็นเป็นปากทางเข้าถ้ำชัดเจนกว่าเดิม ระหว่างที่เพื่อนๆ สนใจถ้ำอยู่ ชาร์ล็อตก็ไปตรงแม่น้ำเพื่อดูระดับความลึกและความเชี่ยว แต่มันก็ยากเกินไปสำหรับเธอ
“ดูเหมือนว่าเราต้องหาทางแคบๆ ข้ามไป” เธอส่ายหน้าบอก
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก” เกล็นยกยิ้มมุมปาก เดินไปอยู่ข้างๆ ชาร์ล็อต เขาเรียกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาโบกสร้างสะพานน้ำแข็ง แล้วยังทดสอบด้วยว่ามันแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักคนคนหนึ่งได้อย่างสบาย เกล็นได้รับคำชมจากคนอื่นๆ ก่อนที่จะเดินตรงไปยังถ้ำตรงหน้า
แล้วเมื่อเข้าใกล้บริเวณนั้น จี้ของแมรีแอนน์ก็ได้ทำงาน มันส่องแสงพุ่งตรงเข้าไปด้านในเรียกเสียงฮือฮาดีใจที่เข็มทิศทำงานเสียที
“แสดงว่าหมู่บ้านเป็นแค่ตัวหลอกสินะ…” อิกนิสพึมพำขณะที่จัดการพุ่มไม้ใบหญ้าที่ขวางด้วยการใช้ดาบตัดแทนจะใช้เวทไฟเผา
“ก็ไม่รู้เหมือนกันสิ” ชาร์ล็อตยักไหล่ ขยับสายตามองหาบางอย่าง ก่อนจะหันไปทางเกล็นที่ตอนนี้หลบอยู่หลังแมรีแอนน์ “มาเถอะ แถวนี้ไม่มีอะไร”
เกล็นถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกที่ไม่เจอฝูงแมงมุมก่อนเข้าถ้ำ เขาเดินไปรวมตัวเกาะเป็นกลุ่มอีกครั้ง จากนั้นชาร์ล็อตก็ใช้วัสดุรอบตัวมาประดิษฐ์คบเพลิงเพื่อไม่ให้เสียพลังเวทโดยไม่จำเป็น และอาสาถือเดินนำหน้าคู่กับอิกนิสที่เสนอตัวจะอยู่ด้วยกัน แต่พอทั้งห้าคนเดินลึกเข้าไปก็ต้องขนพองสยองเกล้ากับกรงเหล็กทรงสี่เหลี่ยมเก่าสนิมขึ้นจำนวนมาก
“ดะ ดูเหมือนว่าเรื่องเล่าจะเป็นจริงนะคะ” แมรีแอนน์พูดเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ เพราะรู้สึกหดหู่ใจมากกว่ากลัวเรื่องผีสาง ไม่ใช่แค่เธอทุกคนต่างมีความรู้สึกคล้ายกัน
“ที่ว่าเรื่องของคนน่ากลัวกว่าผีเป็นแบบนี้สินะ…” เกล็นพึมพำเสียงเรียบๆ ก่อนจะหันไปทางเพื่อนวัยเด็ก “ชาร์ล็อตไหวไหม”
“อืม… ไม่เป็นไร” ถึงชาร์ล็อตจะผงกศีรษะตอบ
แต่ภาพตรงหน้าไม่น่ามองเท่าไร เด็กหนุ่มสาวห้าคนจึงเร่งฝีเท้าตรงไปข้างหน้าตามที่แสงของเข็มทิศชี้นำจนมาถึงบริเวณที่เป็นลานกว้างซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์สำหรับดำรงชีวิต โดยที่เพดานมีตะเกียงห้อยอยู่เต็ม อีกทั้งยังมีทางไปต่ออีกประมาณสามถึงสี่ช่องทาง ประจวบเหมาะที่แสงได้หายไป
“หายได้ถูกจังหวะจริงๆ!” เกล็นโวยวายอย่างหัวเสียที่สร้อยนั้นพามาถึงแค่นี้ หนำซ้ำไม่ยอมบอกเส้นทางที่ถูกต้องอีกต่างหาก
“ถ้าจะมีประโยชน์แค่นี้พวกฉันหาเองก็ได้นะ” คลาริสกอดอก ขบฟันแน่นบ่นเสียงอู้อี้ แล้วหันไปหาแมรีแอนน์ที่งุนงงกับจี้ “เลือกเลยแมรีแอนน์ จะไปทางไหน”
“เอ๋? ให้ฉันเลือก???” แมรีแอนน์ทำตาชี้มาที่ตัวเอง “บะ แบบนั้นจะดีเหรอคะ?”
“ก็เธอเป็นเจ้าของมันนี่นา เอาล่ะ! ลองใช้สัญชาตญาณดูสิ เผื่อมันจะสำเร็จก็ได้!” คลาริสให้กำลังใจแมรีแอนน์ เขาเชื่อมั่นว่าเธอจะเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง
ทว่าเด็กสาวเจ้าของสร้อยกลับมีท่าทางไร้ความมั่นใจที่จะต้องเป็นคนเลือก ดวงตาสีชมพูคู่หวานมองช่องทางอย่างไตร่ตรองพิเคราะห์ แต่ในจังหวะที่แมรีแอนน์จะชี้เส้นทางที่ต้องการ จู่ๆ ภายในถ้ำก็เกิดการสั่นสะเทือนที่รุนแรงมากจนไม่มีใครยืนนิ่งๆ ได้ พวกเขาทั้งหมดต่างรีบคว้าของใกล้มืดยึดเกาะเอาไว้ ไม่นานปรากฏการณ์ประหลาดก็หยุดลง ทุกคนรีบมองสำรวจหาสิ่งผิดปกติรอบตัวด้วยความกังวลและหวาดกลัวท่ามความเงียบ
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เพราะแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ทำให้โซ่ที่ห้อยตะเกียงเก่าๆ เสียหาย มันหล่นลงพื้นหลายอันไล่เรียงกันราวกับเป็นโดมิโน่ พวกเกล็นวิ่งหนีกันอุตลุดเพื่อหาที่หลบ ไม่นานเสียงโครมครามก็เงียบลง แต่นั่นก็ยังไม่ถึงจุดปลอดภัยเมื่อตะเกียงแต่ละอันมีของเหลวหนืดสีดำไหลออกมา แล้วค่อยๆ ก่อเป็นรูปร่างของสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายเม่นขนาดยักษ์ ทว่าเนื้อตัวมันมีแต่ของเหลวสีดำทำให้ชาร์ล็อตไม่สามารถวิเคราะห์ได้เลยว่าอสูรทมิฬตัวข้างหน้าเป็นสายพันธุ์อะไร แต่ไม่ทันจะหันแจ้งเตือน มันก็โจมตีพวกเขาด้วยการระเบิดหนามบนตัวพุ่งเข้าใส่ทุกคน
สองพี่น้องเรียกอาวุธขึ้นมาแล้วรีบกวัดแกร่งดาบปัดหนามอันแหลมคมได้ทันท่วงที ขณะที่เกล็นใช้เวทดินปกป้องตัวเองกับแมรีแอนน์ ส่วนชาร์ล็อตที่รีบวิ่งไปยกโต๊ะตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นที่กำบังได้ทัน
“ฮึ่ม! ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะทำเป็นตัวใหญ่ได้!” ชาร์ล็อตกัดฟันกรอด รู้สึกเจ็บใจตัวเองอยู่ลึกๆ ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าอสูรทมิฬสามารถมีขนาดตัวที่ต้องการได้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สาเหตุที่ทำให้เม่นประหลาดมีขนาดตัวใหญ่ขึ้นมา “เธอน่ะอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหม!?”
ชาร์ล็อตตะโกนถามใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ เมื่อถูกจับได้ฮันนาก็ปรากฏตัวหน้าทางเข้าชั้นสูงพร้อมถือหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกปกหุ้มด้วยออร่าสีดำ หญิงสาวคนนั้นกดสายตาลงมาจากเบื้องบน มองชาร์ล็อตที่เงยหน้าสู้ตา
“วิเศษมาก อ่านแค่ในตำราก็สามารถเข้าใจวิธีการทำให้อสูรทมิฬปรับขนาดตัวได้” น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์เอ่ยชมชาร์ล็อตก่อนจะดีดนิ้วช่วยเสริมพลังให้กับสัตว์ประหลาดงอกหนามแหลมขึ้นได้อีกหน ตามมาด้วยเส้นแสงสว่างจ้าพุ่งทำลายเกราะหินของเกล็น
ตูม!
“บะ บ้าน่า ชะ ใช้ได้ด้วยเรอะ!?” เกล็นอุทาน ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าฮันนาสามารถใช้เวทแสงที่คล้ายกับตอนที่เขาเห็นในวันเกิดของจูเลียสได้
“ฉันเองก็เป็นจอมเวทเหมือนกัน ไม่เห็นต้องแปลกใจตรงไหนเลยนี่” ฮันนาตอบข้อสงสัย ก่อนแสดงพลังเวทให้ประจักษ์อีกครั้ง คราวนี้ศรแสงมุ่งตรงมาทางเกล็นและแมรีแอนน์ด้วยความเร็ว แต่คนทั้งสองกระโดดหลบได้ฉิวเฉียว แมรีแอนน์จึงใช้เวทแบบเดียวกันโจมตีใส่ฮันนา ทว่านั่นคือครั้งแรกของเธอทำให้ศรแสงนั้นหายไปกลางทาง
“มะ ไม่จริง…”
“ยังเป็นแค่เด็กน้อยก็อย่าฝืนใช้ในเวทที่ตัวเองไม่ถนัดเลย” พูดจบฮันนาที่ยังยืนอยู่จุดเดิมวาดมือเพื่อเสกศรแสงจู่โจมแมรีแอนน์อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอได้รับความช่วยเหลือจากคลาริสที่ใช้ดาบไฟปัดศรไปทางอื่น แม้ว่านั่นจะเป็นการใช้พลังเวทที่มหาศาลของเขาก็ตาม
“คะ คลาริส!” แมรีแอนน์รีบคว้าร่างของคลาริสที่หอบหายใจแรง กระนั้นบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มปรากฏให้เธอ
“น่าเสียดายที่ใช้ได้ครั้งเดียว” เขาพึมพำ พยายามยืนให้ตรงพลางลูบหัวแมรีแอนน์ที่ห่วงใย ก่อนจะแกว่งดาบชี้ไปทางฮันนา “แต่ไม่ต้องห่วง ฉันยังยืนซัดกับเธอไหว!”
“เฮ้อ… ถ้าจะสู้กับฉัน เก็บแรงไปเจอกับคริสต้าดีกว่… !”
โครม!
ฮันนากระโดดถอยหนีเสาไม้ที่หักโค่นลงมา เธอเหลือบสายตาไปทางอิกนิสที่ใช้เสานั้นเป็นทางขึ้นตรงมาหา หญิงสาวดีดนิ้วสั่งให้อสูรทมิฬเล่นงานอีกครั้ง ทว่ากลับไม่มีหนามพุ่งใส่เด็กหนุ่มผมดำที่กำลังง้างดาบหมายจะฟันฮันนาที่เดาะลิ้นกับความผิดพลาด เธอจึงใช้เวทน้ำสาดเข้าใส่อิกนิสอย่างรุนแรงจนเขาร่วงตกสู่ด้านล่าง แล้วหันไปหาเม่นปีศาจที่กำลังสลายเป็นเถ้าธุลี ฮันนาจึงพร้อมเรียกอสูรทมิฬตัวใหม่ซึ่งเป็นตัวตุ่นจากของเหลวหนืดที่ผุดขึ้นใต้เท้า เมื่อมันก่อร่างสมบูรณ์ก็กระโดดลงไปขุดดินมุดหายจากสายตาทุกคน
ดวงตาสีแดงคู่นั้นหรี่ตามองชาร์ล็อตที่เป็นเจ้าของลูกธนูที่ปักกลางเจ้าเม่นปีศาจอย่างพิจารณา
“ชาร์ล็อต!” เกล็นตกตะลึงที่ชาร์ล็อตใช้หน้าไม้ยิงเข้าจุดตายของอสูรทมิฬได้แม่นยำ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เกล็นต้องสนใจว่าเธอไปฝึกจากไหน เขารีบไปหาอิกนิสที่นอนท่ามกลางกองซากกล่องไม้พังๆ เพราะถูกพลัดตกจากที่สูง
“เป็นอะไรมากไหมคะ!?” เสียงแหลมคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกัน เกล็นจึงเบิกตากว้างตกใจที่เห็นฟิเลน่ามาอยู่ที่นี่ แต่ไม่ทันจะอ้าปากถามเธอก็ไล่เขา
“คุณอิกนิสฉันจะดูแลเอง! คุณน่ะไปห่วงอย่างอื่นก่อนเถอะ!” ฟิเลน่าตะโกนสุดเสียงและเร็วไม่พักหายใจบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก
เกล็นที่เจอเซอร์ไพรส์ถึงสองเรื่องไล่เลี่ยกันก็ทำอะไรไม่ถูก จึงตบหน้าตัวเองดึงสมาธิคืนมา แล้ววิ่งไปสมทบกับชาร์ล็อตที่พยายามใช้เวทดินปิดหลุมที่ตัวตุ่นสร้างเอาไว้
“เกล็นถ้ารู้สึกว่าพื้นแปลกๆ รีบโดดออกทันทีเลยนะ!”
เกล็นพยักหน้ารับฟังคำแนะนำของชาร์ล็อตพร้อมช่วยเธอปิดหลุมไม่ให้อสูรทมิฬมีทางหนีทีไล่ อีกด้านหนึ่งแม้คลาริสจะเสียพลังงานไปกับการใช้เวทผสานกับอาวุธ แต่แมรีแอนน์ใช้เวทบรรเทาความเหนื่อยล้าให้ก็ทำให้เขากลับมามีแรงวิ่งขึ้นไปโจมตีฮันนา หญิงสาวสามารถหลบได้อีกครั้ง แต่ในจังหวะที่ฮันนายืนอยู่ทางเข้าออกถ้ำก็มีดาบอีกเล่มพุ่งมาจากความมืด ทว่าหล่อนเบี่ยงตัวหลบและตวัดผ้าคลุมไหล่พันดาบเพื่อให้เจ้าของดาบเสียสมดุลย์ก่อนจะทุ่มคนปริศนาข้ามหัวไหล่
แควก!
ฮันนามองผ้าคลุมที่ขาดรุ่ยด้วยแววตาไร้อารมณ์ เธอถอนหายใจ แล้วถอดผ้านั่นทิ้ง
“โชคดีนะที่มันไม่ใช่ผืนโปรดของฉัน” น้ำเสียงเย็นยะเยือกบอกกับองค์ชายจูเลียสที่สบโอกาสใช้ความวุ่นวายแฝงตัวตามมุมมืดเข้าหาฮันนา แต่ต่อให้หญิงสาวเจอสถานการณ์สองรุมหนึ่ง ฮันนาก็ไม่ยี่หระ เธอปรบมือหนึ่งครั้ง เรียกอสูรทมิฬเพิ่มขึ้นมาอีกสองตัวขึ้นมาจากผนังถ้ำ มันเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่คลาริสกับจูเลียสไม่รู้จัก ลักษณะของมันคล้ายกับหมึกใหญ่ที่หนวดทั้งหกยืนตั้งตรง ขณะที่อีกสองเส้นที่เหลือคว้าของใกล้มือขึ้นเป็นอาวุธ พวกมันตรงเข้าโจมตี แต่ถูกทั้งสองหนุ่มโต้คืนได้อย่างง่ายดาย
“ตัวล่องั้นเหรอ!?” จูเลียสเบิกตากว้างที่ไม่เจอฮันนาที่ควรอยู่บริเวณนั้น เขารีบมองหาหญิงสาว แต่ก็ถูกเวทดินที่ผุดจากกำแพงกระแทกใส่จนตกไปสู่เบื้องล่าง ฟิเลน่าที่เห็นเหตุการณ์จึงวิ่งเข้าไปหาองค์ชายและรักษาทันที
ด้านคลาริสสามารถหลบการจู่โจมอันรวดเร็วของฮันนาได้ ทว่าเขาเองก็ยังไม่เจอตัวศัตรูสาว
“ทางนี้” หญิงสาวส่งเสียงเรียกท้าทายเด็กหนุ่มผมสีไวน์แดงให้เงยมองยอดเสาไม้ เธอดีดนิ้วใช้เวทแสงโจมตีคลาริสให้ถอยห่างจากตัวเองพร้อมหยิบนาฬิกาพกขึ้นดูเวลา “ถึงเวลาแล้วล่ะ”
ฮันนาดีดนิ้วอีกครั้งเรียกอสูรทมิฬมาอีกตัว ร่างกอริลลาสายพันธุ์เดียวกับวันสอบปลายภาคปรากฏสู่สายตาพวกเด็กๆ อีกครั้ง มันกระโดดลงไปพร้อมใช้กำปั้นทุบพื้นจนเกิดแรงสั่นสะเทือน ฮันนานั่งบนยอดเสาดูอสูรทมิฬต่อสู้แทน เธอขยับแว่นเลนส์เดียวให้เข้าที่
“ย้าก!” อิกนิสส่งเสียงร้อง กวัดแกว่งดาบใส่สัตว์ประหลาดตัวโตเต็มแรง ทว่ายังมีอสูรทมิฬอีกตัวคอยป่วนไม่ให้เขาโจมตี อิกนิสเซตัวถอยหลังหนีตัวตุ่นที่โผล่พ้นดินแล้วมุดลงดินอีกรอบ “ไอ้บ้าเอ้ย!”
“อิกนิสสนใจกอริลลานั่นก็พอ! เดี๋ยวอีกตัวผมจัดการเอง!!” จูเลียสที่ได้รับการรักษาดีดตัวลุกขึ้นเข้าสู่สนามอีกรอบทันที เขาใช้เวทดินดันเจ้าตัวตุ่นขึ้นเหนือดิน ร่างของมันลอยเคว้งกลางอากาศจึงถูกชาร์ล็อตยิงลูกดอกเข้าใส่ แต่ครั้งนี้ไม่สามารถปลิดชีพภายในนัดเดียว อสูรทมิฬตัวป่วนจึงหนีได้อีกครั้ง
“ชาร์ล็อตไปช่วยอิกนิส ฉันจะช่วยจูเลียสเอง!” เกล็นตะโกนบอกให้เพื่อนสนิทเปลี่ยนเป้าหมาย แล้วใช้เวทดินทำแบบเดียวกับจูเลียส ตัวตุ่นลอยขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันถูกเถาวัลย์รัดได้ทัน
“จี๊ด!” เจ้าตัวตุ่นร้องอย่างทรมาน
“จับได้แล้วค่ะ!” แมรีแอนน์บอก จูเลียสวิ่งพุ่งเข้าหาอสูรทมิฬตัวนั้นหมายจะดับชีพมัน ทว่ามันกลายเป็นของเหลวหนืดไหลลงดินแล้วก่อตัวขึ้นมาใหม่
“อย่าไปสนว่ามันทำได้ไง! จัดการต่อเลย!!” เกล็นวิ่งไปขนาบข้างจูเลียสพร้อมใช้เวทน้ำแข็งขวางหลุมที่มันขุดเอาไว้
ฉึก!
“โธ่เว้ย หนีไปได้อีกแล้ว” จอมเวทหนุ่มเตะเศษหินอย่างหัวเสียที่จัดการตัวป่วนไม่ได้ โดยยังมีอสูรทมิฬอีกตัวที่แข็งแกร่งกว่าอาละวาดโจมตีใส่เพื่อนที่เหลือ แต่จังหวะที่คิดหาทางกำจัดมัน ตัวตุ่นก็กระโดดโผล่ขึ้นบนดินจากด้านหลังเกล็นและจูเลียสระยะประชิด เพราะแรงสั่นสะเทือนที่อยู่ใกล้ทั้งสองคนจึงพลัดตกลงหลุมที่มันขุดและถูกกลบทันที
“เฮ้อ กว่าจะทำได้นะ” ฮันนาถอนหายใจและพูดออกมาอย่างไม่ยี่หระกับเสียงกรีดร้องของแมรีแอนน์ที่เห็นเกล็นกับจูเลียสหายไปกับตา “เอาเถอะ หมดหน้าที่สักที ถึงจะผิดแผนไปหน่อย”
เมื่อสิ่งที่ต้องทำสำเร็จ ฮันนาก็กระโดดลงจากที่สูงและเดินหายเข้าไปในความมืด ไม่สนใจอสูรทมิฬที่เรียกออกมาว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ทว่ากลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวหันกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่าง
“บ้าอะไรน่ะ…”
ฮันนาสัมผัสได้ถึงพลังเวทมหาศาลจากตัวแมรีแอนน์ เด็กสาวคนนั้นโจมตีตัวตุ่นด้วยการใช้เวทไม้แทงทะลุร่างจนมันกลายเป็นผุยผง ไม่ใช่แค่นั้น กอริลลาก็ถูกเถาวัลย์พันธนาการแน่นจนขยับไม่ได้ มันแผดเสียงร้องลั่นด้วยความทรมานที่ถูกบีบรัด ก่อนจะถูกดับลมหายใจด้วยเวทแสงที่ส่งพลังกว่าตอนแรกนับสิบเส้นพุ่งทะลุร่าง แล้วแหลกสลายไปอีกตัวในเวลาอันสั้น
“ที่แท้ก็คนของลูมิเธอร์นี่เอง” หญิงสาวพึมพำหลังฉุกใจคิดขึ้นได้ “ช่างมันเถอะ จะเป็นใครก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ”
หญิงสาวเลิกสนใจพวกเด็กๆ ที่โวยวายหลังเพื่อนอีกสองคนหายตัวไป แล้วเดินจากบริเวณนั้นเพื่อไปร่วมตัวกับซิกมุนท์ที่กำลังตามหาผลึกอยู่ที่ไหนสักแห่งในถ้ำนี้
Comments (0)