13 ตอน บทที่ 12: ยามพระอาทิตย์ตกดิน
โดย RiFourver
“เรื่องระหว่างอิกนิสกับคลาริสมันก็ควรช่วยหรอกนะ... แต่ต้องให้สองคนนี้คืนดีกันให้ได้ก่อนนี่สิ”
เกล็นนั่งกอดอกท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม เขาเหงื่อตกที่ชาร์ล็อตกับคลาริสเขม่นใส่กันตั้งแต่เห็นหน้า แม้แต่แมรีแอนน์เองก็แสดงสีหน้าลำบากใจที่สองคนนี้ยังไม่ยอมคุยกัน ทำให้การเรียนในช่วงเช้าทั้งเกล็นกับแมรีแอนน์ต่างไม่มีสมาธิ จนกระทั่งถึงเวลาพักกลางวัน ในที่สุดความรู้สึกอึดอัดก็หายไปเมื่อคลาริสเป็นฝ่ายออกจากห้องเรียนไปก่อน
ทีแรกแมรีแอนน์จะเป็นคนตามคลาริส แต่เกล็นส่งสัญญาณมือให้เธออยู่กับชาร์ล็อต เกล็นกับจูเลียสจึงไล่หลังคลาริสไปแทน หลังพวกผู้ชายหายตัวได้สักพัก แมรีแอนน์ก็เอ่ยปากชวนชาร์ล็อตไปโรงอาหารกันด้วยท่าทางเกร็งๆ
“เอ่อ… ชาร์ล็อตเราไปทานมื้อกลางวันกันเถอะ...”
“อืม ไปสิ” ชาร์ล็อตเลิกทำหน้าถมึงทึงแล้วยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย ก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจ “เฮ้อ นี่แค่นั่งเรียนสองวิชาเองนะเนี่ย ปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย”
“จริงๆ ก็จะถามตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาหรือยังเหรอคะ…?” แมรีแอนน์ที่ไม่รู้จะเลือกคำถามไหนก็หยิบประเด็นที่นึกออกได้ ณ ตอนนั้นขึ้นมา ซึ่งมันไม่ใช่คำถามที่ดีนัก ชาร์ล็อตจึงโคลงศีรษะตอบเสียงหน่าย
“ก็... ดีขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ”
เจอแบบนี้เข้า แมรีแอนน์ถึงกลับก้มหน้าลงเล็กน้อยรู้สึกผิดที่พูดอะไรไม่เข้าท่าไป เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุยหวังให้ชาร์ล็อตอารมณ์ดีขึ้น
“จะ จะว่าไป พอทดสอบเสร็จแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้นะคะเนี่ย เนอะ” แล้วเธอก็หันไปทางลิเลียนที่ยืนอยู่ด้วยกัน ลิเลียนจึงช่วยรับไม้ต่อจากแมรีแอนน์
“นั่นสินะ เพราะถ้าถึงตอนสอบปลายภาค แล้วเราได้อยู่กลุ่มเดียวกันคงต้องสนุกมากแน่ๆ เลย”
“ฟังดูเข้าท่านะ แต่ฉันขอให้ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับหมอนั่นก็พอ”
“หมอนั่นที่ว่าคือคลาริสเหรอคะ” แมรีแอนน์ทวนถามทั้งที่รู้แก่ใจดี
“จะมีใครอีกล่ะ คนอะไรน่าโมโหชะมัด เธอเห็นหรือเปล่า ไม่ทักทายกันเลยสักนิด”
“แต่มองอีกมุมชาร์ล็อตเองก็ไม่ยอมทักคลาริสเหมือนกันนะ” พอลิเลียนพูดเช่นนั้น ชาร์ล็อตสะอึกต่อพฤติกรรมตัวเองที่ทำไม่ต่างอะไรกับคลาริสที่ไม่ทักทาย กลายเป็นว่าบรรยากาศในกลุ่มสามสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ทั้งแมรีแอนน์และลิเลียนต่างสบตามองกันหาวิธี สักพักแมรีแอนน์ก็ปรบมือทำลายความอึดอัดและปั้นหน้ายิ้มให้ทุกคน
“ฉะ ฉันว่าตอนนี้คลาริสเขาคงเข้าใจชาร์ล็อตขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ”
“หา?” ชาร์ล็อตเลิกคิ้วร้องเสียงสูงมองคนพูด “หมอนั่นจะไปเข้าใจอะไรได้”
“ก็ถ้าเป็นเกล็นต้องช่วยพูดอะไรสักอย่างได้แน่นอนค่ะ” แมรีแอนน์ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจกว่าประโยคก่อนหน้า ชาร์ล็อตเลยเปลี่ยนท่ายืนเป็นกอดอกมองผู้พูด
“ทำไมดูมั่นใจจัง”
“ก็แหม เกล็นน่ะ… อืม… เกล็นเขาดูเหมือน เอ่อ…” แมรีแอนน์ยกนิ้วจิ้มริมฝีปากไตร่ตรองอย่างหนัก “เกล็นเขาดูเหมือนคนที่พึ่งพาได้ล่ะมั้งคะ… แฮะๆๆ…”
เด็กสาวยิ้มแหยๆ เพราะสรรหาคำบรรยายได้ไม่ได้เท่าไร ไม่ทันสังเกตเห็นเจ้าของชื่อยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ น้ำตาซึมออกจากหางตา รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก จนต้องค่อยๆ เดินถอยหนีไม่อยากให้พวกเด็กสาวเห็นเขาที่ย้อนกลับมาเอาของที่โต๊ะ
“กลับมาแล้วเหรอครับเกล็น พอดีเลยคลาริสจองที่นั่งไว้แล้ว” จูเลียสทักขึ้นหลังเห็นเกล็นเดินกลับมาจากห้องเรียน เจ้าตัวผงกหัวตอบแล้วหันไปเลือกอาหารกลางวัน จากนั้นค่อยเดินไปนั่งรวมกับคลาริสที่กำลังกัดแซนด์วิชเนื้อเข้าปาก
“นี่ คลาริสฉันถามตรงๆ เลย คิดยังไงกับชาร์ล็อตตอนนี้” เกล็นเปิดหัวข้อทันทีที่ก้นถึงเก้าอี้
“เรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อวานน่ะเหรอ ลืมหมดแล้วล่ะ” คลาริสตอบเสียงห้วน “มีแต่ยัยนั่นแหละที่ไม่ยอมเลิก”
“สรุปคือนายไม่ได้โกรธเขาใช่ไหม?”
“มันก็แค่ทะเลาะผิดใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแหละน่า จะให้เป็นเหมือนฟิเลน่ากับลิเลียนงี้เหรอ เกินไปหน่อยมั้ง”
“ถ้างั้นนายควรขอโทษชาร์ล็อตเรื่องเมื่อวานนะ”
เมื่อได้ยินคำแนะนำจากปากเกล็น คลาริสก็ลดแซนด์วิชแล้วจ้องเพื่อนข้างตัวตาเขม็ง แต่ไม่ทันจะเถียง เกล็นก็ยกมือปิดปากอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้า
“แน่นอนว่ายัยนั่นก็ต้องขอโทษเหมือนกัน เพราะปัญหาตอนที่ทดสอบก็ผิดกันทั้งคู่นั่นแหละ ฉันตอบให้ในฐานะคนนอกที่ฟังความทั้งสองฝั่งน่ะนะ”
จริงอยู่ว่าจูเลียสพอเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสองฝั่งระหว่างชาร์ล็อตกับคลาริส ในตอนที่เขากลับมาระหว่างทางก็ได้ชวนให้พวกสาวๆ มาทานมื้อกลางวันโต๊ะเดียวกัน โดยตอนแรกลิเลียนจะปฏิเสธเพราะกลัวว่ายังไม่ใช่เวลาที่ชาร์ล็อตกับคลาริสจะเจอหน้ากัน ทว่าแมรีแอนน์กลับมีความเห็นพ้องกับจูเลียส ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะกลับมาเหมือนเมื่อเช้า ทว่าความอึดอัดมันลดลง ทั้งสองคนไม่หันหลังใส่กันเหมือนตอนแรก สนใจแต่อาหารตรงหน้าและพูดคุยกับคนอื่นตามปกติ
“ก่อนมาโรงอาหารพวกเราได้คุยเรื่องจับกลุ่มตอนปลายภาคเรียนแน่ะ พวกคุณคิดว่ายังไงบ้างเหรอ” ลิเลียนเปิดหัวข้อสนทนาขึ้น
“โอ้… งั้นเหรอ ถ้าได้อยู่กับคนเก่งๆ อย่างจูเลียสก็ดีสิ” เกล็นพูดขึ้นเป็นคนแรก
“ชมกันเกินไปแล้วครับ” จูเลียสหัวเราะเคอะเขิน “เรื่องเวทมนตร์ผมก็ยังเป็นรองเกล็นอยู่เลย”
หากว่าด้วยเนื้อหาเกม มันมีความเป็นไปได้สูงสุดที่จูเลียสน่าจะอยู่กลุ่มเดียวกับแมรีแอนน์ รองมาคือเกล็น เนื่องจากมีบางเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปเลยเอาแน่เอานอนไม่ได้ จนเกล็นนึกภาพไม่ออกเลยว่ากลุ่มจะออกมาเป็นยังไง เพราะสถานะปัจจุบันของอิกนิสตอนนี้เปรียบเสมือนตัวประกอบ ดังนั้นการที่จะได้คลาริสมาร่วมกลุ่มแทนจึงมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่า ถ้ามาเส้นทางนี้ โอกาสที่แฝดคนพี่จะหลุดโผ ยกเว้นว่าจะมีอะไรที่ทำให้พี่น้องคู่นี้คืนดีกัน
เพราะถ้าเป็นไปได้เกล็นอยากได้ทั้งคู่มาร่วมทีมจากความสามารถการต่อสู้แบบประชิด แล้วให้จูเลียสคอยทำหน้าที่ซัพพอร์ต ซึ่งถ้าสามคนนี้ร่วมทีมกัน ตัวท็อปภาคปฏิบัติของชั้นปีก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ส่วนตัวเกล็นค่อนข้างมั่นใจเรื่องใช้เวทมนตร์ไม่น้อย ไหนจะมีแมรีแอนน์อีก เท่ากับว่าเป็นทีมที่มีสายกายภาพสองคน สายเวทสองคน และซัพพอร์ตอีกหนึ่งคน ถ้าจะขาดก็แค่เจ้าหน้าที่พยาบาลอย่างตัวฮีล
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” ชาร์ล็อตถามขึ้นหลังเห็นเพื่อนดูเหม่อลอยชอบกล
“ก็คิดเรื่องกลุ่มสอบปลายภาคนั่นแหละ” เขาตอบตามความจริง แล้วนึกได้ว่าชาร์ล็อตที่อยู่กับเขาตอนนี้ใช้ได้แค่เวทประจำตัวเท่านั้น แต่ก็ได้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์วิเศษมาชดเชย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กว่ามีคนใช้เวทได้สามคน ถึงอย่างนั้นก็อดเสียดายตำแหน่งฮีลไม่ได้อยู่ดี เกล็นคงจะต้องวางตำแหน่งนี้แมรีแอนน์มาทำหน้าที่แทน
“เฮ้อ ถ้าเป็นการสอบปลายภาคปกติคงไม่ต้องมานั่งคิดมากขนาดนี้สินะ…” เกล็นพ่นลมหายใจแรงไม่อยากนึกภาพที่ต้องต่อสู้กับศัตรูระดับบอสตัวแรกของเกม “แต่สภาพแบบนี้ก็ไม่เป็นไรหรอกมั้งเนี่ย”
แล้วเกล็นก็มองชาร์ล็อตกับคลาริสที่ยังเงียบใส่กัน ผ่านไปสักพักเพื่อนสมัยเด็กก็ได้ขอตัว ทีแรกแมรีแอนน์กับลิเลียนที่เป็นห่วงจะตามไปด้วย แต่กลับถูกปฏิเสธสองสาวเลยมองหน้ากันไม่รู้จะทำยังไงกันต่อ พอเห็นแบบนี้เข้าไปเกล็นจึงตัดสินใจหาเรื่องแยกจากกลุ่มเพื่อไล่ตามชาร์ล็อตที่ปรายตามองว่าใครเดินตามเธอมา เมื่อเห็นว่าเป็นเกล็น ชาร์ล็อตก็ไม่พูดอะไร เธอเดินดุ่มๆ โดยมีเด็กหนุ่มผมฟ้าเดินตาม
“คลาริสเล่าเรื่องวันก่อนให้ฟังหมดแล้วล่ะ” จู่ๆ เกล็นพูดขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่เดินผ่านสวนหน้าอาคารเรียน ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ของพวกนักเรียนที่ออกมาทำกิจกรรมช่วงพักเที่ยง “เหมือนว่าจะพูดอะไรออกมาด้วยใช่ไหม”
ด้วยประโยคคำถาม ชาร์ล็อตชะงักเท้าแล้วหันกลับไปมองเกล็นด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เดาได้ใช่หรือเปล่าว่าเรื่องอะไร” เกล็นถามหยั่งเชิงต่อ เพื่อนคนสนิทก็เสมองไปทางอื่นเหมือนพยายามปกปิดอะไรบ้างอย่าง แต่ในเมื่อชาร์ล็อตปิดปากเงียบแบบนี้ก็ทำให้เกล็นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เธอใช้คำพวกนั้นที่เคยห้ามใช่หรือเปล่าล่ะ... เพราะคลาริสมาถามหาความหมายกับฉันเอาน่ะสิ”
อันที่จริงชาร์ล็อตก็ไม่ได้ตั้งใจจะเก็บเป็นความลับอะไร แต่เธอสัญญาว่าจะไม่ใช้มันกับเกล็น ดังนั้นพอโดนถามถูกจุด เด็กสาวจึงพยักหน้ายอมรับความจริง เกล็นเลยเงียบมองสีหน้าดูสำนึกผิดของชาร์ล็อต
“จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรขนาดนั้นหรอก ก็ตอนนั้นคงน่าโมโหน่าดูใช่ไหมล่ะ ฉันถึงได้เฉยๆ ไง แต่เรื่องสำคัญกว่านั้นฉันคิดว่าเธอก็น่าจะรู้ตัวนะทำตัวไม่ดีใส่คลาริสน่ะ เพราะงั้นทางที่ดีอย่าทิ้งเวลามากเกินไปล่ะ เดี๋ยวมันจะค้างคาใจเปล่าๆ”
ว่าจบ เกล็นยังมองชาร์ล็อตที่ยืนนิ่งอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะปล่อยให้เด็กสาวอยู่ตามลำพังเผื่อเธอต้องการเวลาส่วนตัว
สิ้นสุดช่วงเวลาพักกลางวัน ไม่มีใครรู้เลยสักนิดว่าอะไรทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาร์ล็อตกับคลาริสเปลี่ยนไป พอเกล็นลองถามกับพวกแมรีแอนน์ดูว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เขาไม่อยู่ ก็ได้ใจความว่าก็คุยกันเรื่องของชาร์ล็อต ซึ่งคลาริสก็ไม่ปริปากตอบอะไรกับพวกแมรีแอนน์เลยก่อนจะลุกหนีหายไป จนกลับมารวมตัวที่หน้าห้องเรียนถึงได้เจอทั้งคู่อยู่ด้วยกันอีกครั้ง นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่มันก็มีบางสิ่งเปลี่ยนไป จากที่เคยคุยถูกคอกันก็เปลี่ยนเป็นใช้น้ำเสียงห้วนๆ หรือหาจังหวะเหน็บแนมอีกฝ่าย จนพวกเกล็นมึนงงกับความสัมพันธ์ที่กลายเป็นคู่ไม้เบื่อไม้เมา ลำบากเกล็นต้องมาเป็นกรรมการห้ามมวย โดยมีแมรีแอนน์เป็นผู้ช่วย
แล้วหลังจากนั้นต่างคนก็แยกย้ายไปเรียนวิชาเลือก ชาร์ล็อตที่ได้อยู่คนเดียวก็บิดตัวยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้า รวมทั้งความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่เช้า และนอกจากชาร์ล็อตที่ลงเรียนวิชาการผจญภัยยังมีเพื่อนร่วมห้องอีกคนเดินมากับเธอด้วย เขาคนนั้นไม่พูดไม่จาหรือทักทายกันอย่างเป็นทางการเลยสักครั้งตั้งแต่เปิดเทอมมา มีครั้งเดียวที่ได้คุยกันเล็กน้อยในวิชาสัตววิทยา
“พอคิดอีกที อยู่กับคลาริสยังจะดีกว่าอีก...” ชาร์ล็อตปรายตามองอิกนิสที่ตามหลังมาเงียบๆ ซึ่งมันทำให้เด็กสาวรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าตอนทำสงครามประสาทกับคลาริส และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าจะคุยอะไรกับอิกนิสเพื่อทำลายบรรยากาศนี้ดี เพราะเท่าที่คลาริสเคยเล่าให้ฟัง อิกนิสเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
ระหว่างนึกถึงสิ่งที่คลาริสเคยเล่าเกี่ยวกับพี่ชายฝาแฝด อิกนิสก็ได้เรียกความสนใจจากชาร์ล็อตให้หันไปหาเขา
“คาเลนเซีย... คือว่า...”
“ชาร์ล็อตก็พอ” เจ้าของชื่อหยุดเดินแล้วหมุนตัวมาหา อิกนิสจึงหยุดยืนอยู่กับที่อีกคน “มีอะไรเหรอ?”
ชาร์ล็อตถามด้วยความสงสัยว่าคนตรงหน้าอยากคุยอะไรกับเธอ
“เรื่องคลาริส ฉันขอโทษแทน...”
ไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยค ชาร์ล็อตก็ชักสีหน้าไม่พอใจแล้วก้าวไปยืนเท้าเอวเงยมองจนอิกนิสผงะตกใจจนถอยห่างจากเด็กสาว
“เพราะว่าเธอเป็นพี่งั้นเหรอถึงมาขอโทษแทนกัน” น้ำเสียงขุ่นพูดขึ้น เพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่มีคนอื่นมาขอโทษแทน ด้านอิกนิสก็แสดงสีหน้าขึงขังสู้ตาชาร์ล็อตกลับ
“ใช่ แล้วมันแปลกตรงไหนที่คนในครอบครัวต้องช่วยรับผิดชอบร่วมกันน่ะ”
“มันก็จริง แต่มันจะดีกว่าถ้าฉันได้รับคำขอโทษจากเจ้าตัว” แล้วนิ้วชี้เรียวสะกิดที่หัวไหล่อิกนิส “ต่อให้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วยังไง คนทำผิดก็ต้องเป็นคนออกมารับเองสิ ไม่ใช่ส่งคนอื่นมาออกหน้าแทนกัน ขืนทำแบบนั้นเรื่อยๆ คนที่เราคอยปกป้องจะนิสัยเสียเอา หรือว่าเธอขอโทษแทนคลาริสบ่อยๆ หรือไง”
ชาร์ล็อตบอกสิ่งที่จดจำมาจากเกล็นสมัยเด็ก ตอนที่วิลลี่เล่นซนจนทำของในบ้านเสียหาย เธอในตอนนั้นตั้งใจรับผิดแทน เพราะไม่อยากให้น้องถูกดุจนร้องไห้เสียใจ แต่ก็โดนเกล็นห้ามเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ วิลลี่จะเคยตัวเพราะหลงคิดว่าจะมีคนรับโทษแทนกัน
“มะ ไม่ใช่แบบนั้น…” อิกนิสตอบอึกอัก เขานั้นไม่ได้มีเจตนาปกป้องน้องชายให้พ้นความผิด แต่แค่ต้องการเยียวยาความรู้สึกของชาร์ล็อตไปก่อน
“อีกอย่างนะ คลาริสน่ะ… ขอโทษกันตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว ปัญหามันจบไปแล้วถึงหมอนั่นยังชอบทำตัวน่าโมโหอยู่ก็เถอะ” ระหว่างที่พูดชาร์ล็อตได้เปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นกอดอกเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เพื่อไม่ให้อิกนิสเห็นแก้มขึ้นสีระเรื่อ
“ฮะ?” อิกนิสนิ่วหน้าคิ้วขมวดไม่อยากเชื่อหู คนอย่างคลาริสจะยอมอ่อนข้อให้คนอื่น
“ว่าตามตรงก็ตกใจเหมือนกัน” เพราะสีหน้าของอิกนิสมันดูประหลาดในสายตาชาร์ล็อต ก็ทำให้เด็กสาวเผลอยิ้มออกมา “ก็คิดอยู่แล้วว่าน่าจะเป็นพวกปากหนัก แต่อาจจะ หืม? ทำไมขมวดคิ้วแบบนั้นล่ะ?”
“เปล่า แค่... คิดว่าขนาดพ่อแม่ คลาริสยังไม่ฟังเลย...”
“อืม...” ชาร์ล็อตเลิกคิ้วเอียงคอมอง “แล้วถ้าเป็นน้องสาวล่ะ?”
“มันเกี่ยวอะไรด้วย?” อีกฝ่ายถามกลับไม่เข้าใจความหมาย แต่ยังไม่ทันได้คำตอบชาร์ล็อตก็ก้าวเท้าเดินต่อ
“คลาริสเคยบอกว่าแมรีแอนน์คล้ายน้องสาวน่ะ เลยอยากรู้ว่าถ้าเป็นน้องสาวจะเป็นยังไง”
“เอ่อ... เรื่องนั้น” อิกนิสกอดอกครุ่นคิดนึกหน้าน้องสาวกับแมรีแอนน์ก่อนจะหลุดขำออกมา “ก็คล้ายอยู่”
“ฮะๆ งั้นเหรอ แต่ฉันว่าไม่ใช่แค่นั้นหรอก แมรีแอนน์ทั้งอ่อนโยนและใจดี คลาริสเลยยอมตรงจุดนี้มากกว่า”
“มันก็ใช่นะ…” อิกนิสผงกหัวเข้าใจที่ชาร์ล็อตพูด เพราะถ้ามีคนพูดดีก่อน เขาก็พร้อมรับฟังเช่นกัน “หืม? มีอะไรเหรอ?”
เด็กหนุ่มถามหลังสังเกตว่าชาร์ล็อตชะลอความเร็วเพื่อมาเดินขนาบข้าง
“ก็นิดหน่อยน่ะ แค่กำลังคิดว่าทำไมเกล็นถึงได้กลัวเธอ ทั้งที่คุยง่ายจะตาย” เธอบอกพร้อมสะกิดแขนอิกนิสเบาๆ บ่งบอกว่าคนที่พูดถึงคือเขา
“เพื่อนเธอกลัวฉันผมเหรอ?” ใบหน้าของอิกนิสเปลี่ยนไปพร้อมถามกลับน้ำเสียงเครียด
“จะว่าใช่ก็ใช่นะ แต่บางทีก็ดูเหมือนมีความสุขยังไงไม่รู้สิ”
เจอคำตอบของชาร์ล็อตเข้าไป อิกนิสก็แสดงท่าทางออกมาชัดเจนว่ากำลังสับสนและไม่เข้าใจว่าการกลัวใครสักคนจะสามารถมีความสุขพร้อมกันได้ด้วยเหรอ
“ฮ่าๆ ไม่ต้องคิดมาก เกล็นดูแปลกแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ” ชาร์ล็อตปัดมือไปมาขบขันท่าทีของอีกฝ่าย พอเริ่มคุยกันได้สนิทใจขึ้น เด็กสาวก็เปลี่ยนเรื่องใหม่ “แล้วก็นะ ฉันขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้หรือเปล่า?”
“ถ้าตอบได้นะ” อิกนิสผงกศีรษะตอบรับ
“ทำไมถึงเลือกวิชานี้เหรอ?” ชาร์ล็อตยิงคำถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้จากใจจริง เพราะค่อนข้างตื่นเต้นที่มีเพื่อนร่วมชั้นเลือกเรียนวิชาเดียวกัน ดวงตาของเธอเปล่งประกายรอลุ้นฟังคำตอบจากคู่สนทนา โดยไม่ลืมบอกเหตุผลของตัวเองก่อน “ฉันน่ะอยากออกไปสำรวจพวกสัตว์วิเศษ แต่ที่นี้บางที่ต้องมีใบอนุญาตก่อนถึงจะเข้าได้ วิชานี้ก็เลยเหมือนเป็นทางกรายๆ”
“เรื่องนั้น...”
อิกนิสหยุกคิดชั่วครู่เพราะไม่สามารถตอบชาร์ล็อตได้ทันที อันที่จริงเขาตั้งใจจะเลือกเรียนเวทมนตร์เพิ่มเติม แต่เห็นคลาริสลงเรียนวิชานั้นไปก่อน ก็เลยเปลี่ยนใจไม่อยากมีปัญหากันภายหลัง ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเท่าไรนัก ตัวเลือกในใจของอิกนิสเลยเหลือวิชาการผจญภัยกับแพทยาคม ทว่าเด็กหนุ่มก็รู้ตัวดีกว่าวิชาหลังมันยากเกินไปซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อวิชาอื่น ดังนั้นวิชานี้จึงเป็นคำตอบสุดท้ายที่เขาน่าจะไปรอด
“มัน... ดูน่าสนใจน่ะ”
“ใช่ไหมๆ แค่ฟังชื่อมันดูน่าสนุกออก!” ชาร์ล็อตหัวเราะอย่างมีความสุข
จากนั้นทั้งสองคนก็ได้เดินมาถึงห้องเรียนที่ตกแต่งเรียบๆ ไม่หวือหวาเท่าวิชาปรุงยาของพวกเกล็นที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์และพืชพันธุ์ต่างๆ อีกทั้งจำนวนนักเรียนของวิชานี้ก็น้อย ง่ายต่อการดูแลอย่างทั่วถึง
บทเรียนก็ไม่ต่างอะไรกับวิชาบังคับในช่วงแรกที่เล่าความเป็นมาของกิลด์ การแบ่งระดับชั้นสมาชิกต่ำไปสูงทั้งห้า คอปเปอร์ ซิลเวอร์ โกลด์ แพลทินัม สุดท้ายมิธริล แน่นอนว่าระดับยิ่งสูงความยากและความอันตรายของภารกิจก็สูงตาม เป็นความรู้พื้นฐานที่ใครๆ เข้าใจได้ง่าย
กระทั่งเมื่อหลายปีก่อนทางสมาคมได้ลงมติเพิ่มระดับชั้นฟลาวเวอร์ สำหรับผู้อายุต่ำกว่าสิบแปดที่ต้องการทำงานหาเงิน ส่วนใหญ่เป็นการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้มืออาชีพมากกว่าเช่น ขนของ จัดหาที่พัก ใครมีความสามารถหน่อย ก็ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ปวดเมื่อย หรือดูแลสัตว์วิเศษชั่วคราว
โดยสำหรับนักเรียนเอลเซียส์นั้นจะได้รับสิทธิพิเศษเพื่อการศึกษาและถูกจัดให้อยู่ในระดับคอปเปอร์ทันที โดยจะต้องอยู่ขั้นนี้ตลอดสามปี และทุกภารกิจถูกตรวจสอบจากอาจารย์กับตัวแทนก่อนเสมอ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่มีปัญหากับวิชานี้
“จากนี้ขอให้จับคู่แล้วมาลองเลือกภารกิจตามหาของดูนะ” อาจารย์ชายวัยกลางคนไว้หนวดเคราโบกปึกกระดาษกลางอากาศพร้อมอธิบายสิ่งที่ต้องทำหลังเลือกเสร็จ
เพราะต่างคนต่างไม่รู้จักกันมาก่อน การจับคู่จึงใช้เวลาล่าช้า ชาร์ล็อตรีบชิงอิกนิสในฐานะเพื่อนร่วมห้องก่อนคนหอเดียวกับเขาจะคว้าไปเสียก่อน
“เธอเลือกเลย” อิกนิสผายมือให้คนมีความรู้จัดการ ชาร์ล็อตไล่อ่านหัวข้อทีละแผ่นอย่างตั้งใจพบว่าของส่วนใหญ่อยู่ที่ป่าหลังโรงเรียนทั้งสิ้น อันไหนที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษก็คัดออกทันทีจนได้ภารกิจที่ง่ายที่สุดสำหรับตัวเอง โดยไม่ถามความเห็นจากคู่หูจำเป็น
“ขอทำอันนี้ค่ะ” ชาร์ล็อตยื่นเอกสารทั้งหมดและแยกใบที่อยากทำส่งให้อาจารย์ เขาเลิกคิ้วลูบคางอ่านรายละเอียดอย่างพิจารณา
“รายงานทำของใครของมันล่ะ” เขาเซ็นอนุมัติโดยไม่ลืมเตือนเรื่องงานเดี่ยวที่ต้องส่งในสัปดาห์หน้า ก่อนอนุญาตให้ทั้งคู่เลิกเรียนได้
หลังเดินพ้นห้องเรียนไกลพอควร ชาร์ล็อตที่ตอนนี้กำลังเบิกบานก็นึกอะไรออก เธอค่อยๆ หันไปหาอิกนิสด้วยใบหน้าซีด
“ยะ แย่แล้ว ขอโทษนะฉันลืมตัวไปเลย” ชาร์ล็อตกล่าวขอโทษอิกนิสที่เลือกภารกิจโดยไม่ถามความเห็นชอบจากอีกฝ่าย “ฉันควรให้เธออ่านภารกิจก่อน”
“อ้อ... ไม่เป็นไรหรอก” เขายิ้มบางๆ ให้อภัยไม่ได้มองเป็นเรื่องใหญ่ “แล้วเราต้องทำรายงานเรื่องอะไรละ?”
“เรื่องดอกแสงตะวันน่ะ” ชาร์ล็อตส่งใบภารกิจให้อิกนิสอ่านรายละเอียด มันคือภารกิจตามหาดอกแสงตะวันที่ชื่อไม่คุ้นหูเลยจำนวนหนึ่ง จากภาพวาดหน้าตามันคล้ายๆ ดอกเดซี่ที่น่าจะส่องแสงระยิบระยับได้ตามชื่อเรียกของมัน
“ไหนๆ ห้องสมุดยังไม่ปิด พวกเราไปหากันเลยไหม?”
“ได้สิ!”
ชาร์ล็อตตกลงรับคำเชิญชวน ดังนั้นทั้งสองคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากที่จะเดินกลับหอพักก็ไปห้องสมุดซึ่งอยู่ตึกเดียวกับห้องเรียนประจำแทน ระหว่างทางพวกเขาบังเอิญเจอเกล็นกับแมรีแอนน์ที่เพิ่งเลิกเรียนวิชาปรุงยาเข้าตอนใช้เส้นทางผ่านตึกภาคปฏิบัติ
“อ้าว? ชาร์ล็อตมาทำอะไรที่นี่คะ” แมรีแอนน์ที่รู้ว่าชาร์ล็อตไม่ได้เรียนตึกนี้ถามอย่างสงสัย
“จะไปห้องสมุดน่ะ ตั้งใจว่าจะทำรายงานให้เสร็จวันนี้”
“ท่าทางดูมั่นใจจังเลยนะว่าจะเสร็จวันนี้” เกล็นพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อหูว่าเพื่อนวัยเด็กจะทำเสร็จภายในวันเดียว
“ก็รายงานที่ทำมันเรื่องดอกแสงตะวันยังไงล่ะ!”
เกล็นที่ได้ยินก็ร้องอ้อเข้าใจว่าทำไมชาร์ล็อตถึงได้มั่นอกมั่นใจ “แบบนี้ก็หมูตู้เลยสิ”
“หมูตู้???” นอกจากประสานเสียงกันอย่างฉงน สายตาทั้งสามคู่ก็มองเกล็นอย่างไม่เข้าใจคำที่พูดออกมา สักพักหนึ่งเกล็นก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดคำศัพท์แปลกๆ ออกไป เขาทำหน้าตาลำบากเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง
“เอาเป็นว่ามันแปลว่าง่ายๆ น่ะ” เกล็นเลือกที่จะแปลรวบรัดไม่ขยายที่มาที่ไปของคำ
ชาร์ล็อตที่ชินกับนิสัยนี้ก็ไม่ใส่ใจ เลยหันไปหาอิกนิสและได้สังเกตเห็นว่าเขากำลังมองแมรีแอนน์ที่กำลังอมยิ้มให้เกล็น จากนั้นไม่นานทั้งสี่คนที่ยืนกลางทางเดินก็ต้องเปลี่ยนความสนใจกับเสียงทักสดใสจากคลาริสที่โบกมือเรียกเกล็น แต่ทันทีที่คลาริสเห็นพี่ชาย สีหน้ายิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เขาเก็บมือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเบือนหน้าไม่อยากมองหน้าอิกนิส
เมื่อแฝดคนน้องทำตัวแบบนั้น บรรยากาศรอบตัวพวกชาร์ล็อตเต็มไปด้วยความอึดอัด พอเธอมองปฏิกิริยาคนรอบข้างก็เห็นเกล็นกอดอกดูปลง แมรีแอนน์ที่รู้สึกลำบากใจ และอิกนิสที่ถึงใบหน้ายังดูนิ่งสงบแต่พอสังเกตแววตาของเขา กลับดูเสียใจกับท่าทีของคลาริส ทำให้คำพูดของแมรีแอนน์กับเกล็นผุดขึ้นในความคิดของชาร์ล็อต
[แบบนั้นก็สงสารคุณอิกนิสนะคะ เป็นห่วงมากแท้ๆ แต่คลาริสกลับไม่รู้ตัว]
[ไม่หรอกแมรีแอนน์ คลาริสรู้ตัวแหละว่าอิกนิสเป็นห่วง เลยชอบหงุดหงิดใส่ไง]
“เลิกทำตัวงี่เง่าได้แล้วน่า” สายตาทุกคนในบริเวณพุ่งตรงมายังชาร์ล็อตที่โพล่งขึ้นทำลายความเงียบที่ชวนน่าอึดอัด ซ้ำยังทำให้บรรยากาศย่ำแย่กว่าเดิม
“วะ ว่าไงนะ!” คลาริสที่ถูกต่อว่าขึ้นเสียงจ้องชาร์ล็อตตาแข็ง
“ก็ได้ยินเต็มสองรูหูแล้วไม่ใช่หรือไง” น้ำเสียงเรียบตอบกลับไม่หวั่นเกรงอารมณ์เดือดดาลของอีกฝ่าย
“ทั้งสองคนคะ ใจเย็…” ไม่ทันที่แมรีแอนน์จะพูดจบประโยค เกล็นก็ดึงตัวเด็กสาวไปยืนอยู่ข้างหลัง แล้วส่ายหัวห้าม รอดูสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ชิ!” คลาริสเดาะลิ้นไม่สบอารมณ์ก่อนจะโต้กลับด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำ “เธอมันคนนอกไม่ต้องมาจุ้นจ้านเรื่องของพวกเราเลย”
“ขอโทษด้วยละกันที่จุ้นจ้าน แต่ฉันรู้สึกรำคาญแทนอิกนิส ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เธอกลับหงุดหงิดใส่แบบนั้นมันใช่เรื่องซะที่ไหน ถึงได้บอกว่าให้เลิกทำตัวงี่เง่าน่ะ” ชาร์ล็อตย้ำคำว่างี่เง่าอีกครั้งใส่คลาริสที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยอารมณ์โมโห
“นี่ เธอ!”
คลาริสพุ่งตัวเข้าใส่ชาร์ล็อต แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเกล็นเอาตัวมาบังไม่ให้เขาถึงตัวเด็กสาว ไม่ใช่แค่เกล็น อิกนิสที่เงียบอยู่นานก็ขยับตัวมายืนขวางไว้ สายตาขึงขังสองคู่ที่จับจ้องทำให้คลาริสรู้สึกปั่นป่วนในใจ แล้วเมื่อเขาปรายตามองแมรีแอนน์ที่ยังยืนอยู่วงนอก แต่เมื่อแมรีแอนน์สังเกตเห็นคลาริสที่มองมายังตัวเอง เธอกลับหลุบตาและก้มหน้าหนี
ชาร์ล็อตซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเห็นสีหน้าของคลาริสที่ทั้งโกรธและเจ็บปวด ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจคว้าแขนของอิกนิสและดึงเขาออกจากสถานที่แห่งนั้น
“ไปกันเถอะ!” ชาร์ล็อตบอกกับอิกนิสที่สับสนการกระทำของเด็กสาว กระนั้นเขาก็ยอมตามชาร์ล็อตแต่โดยดี ทิ้งให้สามคนที่เหลืออยู่ที่เดิมต่อ
เส้นทางที่ชาร์ล็อตพาไปเป็นคนละทิศทางกับห้องสมุด อิกนิสจึงใช้แรงเพียงน้อยนิดดึงแขนตัวให้เป็นอิสระพร้อมตั้งคำถาม น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความวิตกกังวลต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
“เธอจะไปไหน นั่นไม่ใช่ทางไปห้องสมุด”
“ใครจะมีอารมณ์ไป!” ชาร์ล็อตมองค้อนอีกฝ่าย “ตามมาเถอะน่า!”
พอชาร์ล็อตบอกให้ตาม อิกนิสก็เดินตามเธออย่างว่าง่ายโดยไม่มีปริปากถาม กระทั่งชาร์ล็อตได้พามาถึงโรงเลี้ยงสัตว์ใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังโรงเรียนใกล้กับเขตป่า ที่นี่นอกจากม้าแล้วยังมีสัตว์หน้าตาคล้ายแพะภูเขาขนสีเข้มขนาดใหญ่พอให้ผู้ใหญ่สามารถขี่ได้สบายๆ ที่เดินไปเดินมาในพื้นที่จำกัด บางตัวก็ก้มกินอาหารที่ตกพื้น หรือส่งเสียงข่มขู่ใส่กันเอง
ชาร์ล็อตยืนคุยกับคนดูแลสัตว์พร้อมยื่นเอกสารที่ได้จากวิชาเรียนการผจญภัย สักพักคนดูแลก็ส่งสมุดเล่มหนึ่งให้เด็กสาวเซ็น ก่อนจะหายไปด้านในโรงเลี้ยงแล้วออกมาพร้อมแพะสองตัว เขาพาพวกมันมายืนหน้าโรงเลี้ยงและจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับขี่ ชาร์ล็อตเดินเข้าไปทำความคุ้นเคยด้วยการลูบบริเวณหัวลากยาวถึงลำคอ แม้มันมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์อยู่เล็กน้อย
พอชาร์ล็อตหันกลับไปก็เห็นอิกนิสทำสีหน้ากังวล เธอจึงบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ
“ไม่ต้องห่วง พวกนี้ไม่กัดหรอก”
“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ผมแค่อยากรู้ว่าเธอจะไปไหนมากกว่า”
“ไปหาดอกแสงตะวันไง” ชาร์ล็อตยิ้มตอบอย่างมั่นใจเหมือนกับรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ทั้งที่กำลังเข้าป่าหลังโรงเรียนเป็นครั้งแรก
“อาจารย์เขายังไม่ให้หาไม่ใช่เหรอ?” อิกนิสย้อนถามกลับในจังหวะที่ชาร์ล็อตเหวี่ยงตัวขึ้นแพะอย่างคล่องแคล่วและขยิบตาให้
“แต่ถ้าเจอก่อน เราก็มีเวลาพักตั้งสองสัปดาห์เลยนะ เพราะงั้นรีบไปกันเถอะ เดี๋ยวฟ้ามืดกันพอดี”
อิกนิสไม่ตอบโต้ ได้แค่ระบายลมหายใจหนักอกแล้วทำตามที่ชาร์ล็อตว่าด้วยการขี่แพะตามเข้าไปในไเขตป่าหลังโรงเรียน ซึ่งตลอดการเดินทางชาร์ล็อตสามารถนำทางได้อย่างไม่มีปัญหา แม้ว่าจะมีหยุดชะงักพักสำรวจบริเวณโดยรอบเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเส้นทางที่มาตรงกับความรู้ที่มีเป็นครั้งคราว กระทั่งชาร์ล็อตได้พาอิกนิสมาถึงจุดหมายที่ต้องการ เธอลงจากหลังแพะแล้วผูกมันไว้กับต้นไม้ใกล้ๆ
จากนั้นเด็กสาวก็นำทางอิกนิสเดินพ้นแนวต้นไม้หนาทึบมาอยู่แถวหน้าผา ที่นั่นทั้งคู่เห็นพื้นดินกำลังส่องแสงระยิบระยับเหมือนกับทะเลที่ต้องแสงดวงตะวันยามอัสดง ชาร์ล็อตปรายตามองอิกนิสที่ยืนมองดอกแสงตะวันตาค้างก่อนจะยิ้มปนหัวเราะ ไม่นานเด็กหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าชาร์ล็อตกำลังมองอยู่
“มีอะไรเหรอ...?”
ชาร์ล็อตส่ายหน้าเชื่องช้าก่อนจะเล่าเรื่องราวเมื่อวันวาน “นึกถึงตอนที่เจอเกล็นครั้งแรกน่ะ คล้ายกับเธอตอนนี้มากเลย ต่างแค่พวกเราอยู่ในห้องที่เห็นวิวแบบนี้ได้ทุกวัน”
“งั้นเธอเห็นอะไรแบบนี้ทุกวันเลยสินะ... น่าอิจฉาจัง รอบบ้านผมไม่มีอะไรอย่างนี้เลย”
“ฮะๆ ขอโทษทีที่เผลอหัวเราะ” แม้แต่คำพูดก็คล้ายกับเกล็นในวันแรกที่รู้จักกัน “แต่พอมาเห็นวิวสวยๆ แบบนี้ค่อยหายหัวร้อนขึ้นมาหน่อย นี่ถ้าเป็นตอนเช้าก็จะสวยไปอีกแบบนะ เพราะดอกไม้จะส่องแสงเหมือนมีหิ่งห้อยบินเล่นละลานตาเลยล่ะ”
ชาร์ล็อตยกมือขึ้นสูงบิดขี้เกียจคลายความตึงเครียดจากที่เธอมีปากเสียงกับคลาริส ก่อนจะหันไปหาอิกนิสเพื่อขอโทษสิ่งที่ทำลงไป
“ขอโทษนะที่วุ่นวายเรื่องของพวกเธอ”
แล้วอิกนิสก็หลุบตารู้สึกละอายที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนกับปัญหาระหว่างพี่น้อง
“ไม่เป็นไรหรอก...” ถึงปากบอกไม่เป็นไร แต่สีหน้าของอิกนิสยังมีความรู้สึกอีกมากมายในใจ เขาไม่ยอมบอกให้ชาร์ล็อตรับรู้ บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เต็มไปด้วยความเงียบงัน
“แต่... ก็ขอบใจที่ช่วย” อิกนิสกล่าวขอบคุณพร้อมมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ช่วยอะไรกัน ฉันแค่พูดที่อยากพูดต่างหาก ที่สำคัญมันทำให้เธอลำบากใจมากกว่าด้วยซ้ำ... ก็เลย...” ชาร์ล็อตก้มหน้าสำนึกผิด
“ก็เลย?” เด็กหนุ่มทวนถาม
“ก็เลยอยากพาเธอมาดูวิวน่ะ” ชาร์ล็อตทำมือขยุกขยิกตอบสาเหตุที่พาอิกนิสมาดูวิวของดอกแสงตะวัน สักพักเธอก็ถอนหายใจด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “ทำแต่แบบนี้มันไม่ค่อยดีหรอกเนอะ...”
“ไม่หรอก พอเห็นวิวแล้วมันก็รู้สึกดีขึ้นจริงๆ นั่นแหละ” เพราะคำตอบของอิกนิส แววตาของชาร์ล็อตจึงได้เปล่งประกาย เพราะความรู้สึกตื้นตันที่อย่างน้อยก็ช่วยให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี
“เอ๋!? จริงเหรอ ดีใจจังที่เธอชอบ!”
“อืม ชอบมากเลยล่ะ”
อิกนิสพยักหน้ายืนยันความรู้สึก นั่นยิ่งทำให้ชาร์ล็อตดีใจมากเสียจนเล่าเรื่องวิวทิวทัศน์บ้านเกิดที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติกลางหุบเขาและทะเลสาบ ไม่เหลือช่องว่าว่างให้คู่สนทนาได้พูดทำได้แค่ส่งเสียงและผงกศีรษะตอบรับ จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับโรงเรียน
Comments (0)