“ฮันนาพร้อมหรือยัง?” คริสต้า ไวท์ตะโกนบอกฮันนาทันทีที่เธอเดินเข้าห้องโถงกลางที่ตอนนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์และกองเอกสารมากมายระเกะระกะไร้ความเป็นระเบียบจนหญิงสาวผมเปียก็เบื่อที่จะพูดเรื่องนี้กับเจ้าของซึ่งหายหัวไปตั้งแต่เมื่อวาน

“เอาสิ แล้วเขาบอกอะไรหรือเปล่า?”

“บอกแค่ว่าอย่าทำเจ็บหนักน่ะ” คริสต้าบอกพร้อมลุกจากโซฟาสีแดงตัวเก่าหน้าเตาผิงจัดการข้าวของสำคัญของตัวเอง

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก” เสียงนิ่งบอกอีกฝ่าย “ว่าแต่เธอเถอะ เด็กแค่ไม่กี่คนไม่เห็นต้องเตรียมตัวอะไรให้มันยุ่งยากเลย ดาบเล่มเดียวก็น่าจะเหลือเฟือ”

“ไม่ได้สิ ฝ่ายนั้นมีคนจากตระกูลนั้นตั้งสองคนเชียวนะ ประมาทไม่ได้หรอก”

“มันก็จริง…” ฮันนาขบฟันแน่ นึกถึงผู้หญิงผมสีแดงไวน์ที่ยืนอยู่กับกลุ่มเป้าหมายจนกระทั่งเด็กหนุ่มชื่อเกล็น ฮิลเนสัน แยกตัวออกมาอยู่ตามลำพังสร้างโอกาสให้เธอเข้าใกล้เขา แต่สุดท้ายกลับมีคนขัดขวางจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน “แต่เอาเถอะ คราวนี้เด็กนั่นก็ไม่มีใครช่วยแล้ว จะได้เค้นคอถามสักที”

“ว่าแต่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้คุณซิกมุนท์รู้จะดีเหรอ เดี๋ยวก็ทะเลาะกันหรอก” อัศวินสาวถามอย่างสงสัย กลัวว่าถ้าสิ่งที่ฮันนาทำไปโดยพลการจะทำให้ซิกมุนท์ไม่พอใจ เพราะตอนที่แฝงตัวเข้างานเลี้ยงวันเกิดเจ้าชายลำดับที่สาม พวกเธอก็ไม่ได้บอกให้ผู้ชายคนนั้นรับรู้ด้วย

“ซิกมุนท์ไม่ทำอะไรฉันหรอก” ฮันนาตอบอย่างมั่นใจด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย “รีบไปกันเถอะ”

จากนั้นฮันนาก็เดินออกจากห้องโถงเพื่อใช้มนตร์เรียกอสูรทมิฬเป็นพาหนะในการเดินทาง คริสต้าที่ตามหลังมาได้แต่หัวเราะขบขันไล่หลังตามมา

“รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้วสิที่ต้องไปเป็นกรรมการคุมสอบจำเป็นเนี่ย” เธอพูดทีเล่นทีจริง ทำเอาคนฟังถอนหายใจหนักไม่มีอารมณ์ร่วมกับคริสต้า

“เราไม่ได้ไปเล่นนะ คริสต้า”

 

ถึงจะมีความเครียดเรื่องของพวกตัวร้ายที่คืบคลานมาหา เกล็นจำเป็นต้องสอบปลายภาคซึ่งเขาสามารถทำข้อเขียนผ่านไปได้โดยดี ดังนั้นการสอบภาคปฏิบัติคือสิ่งสุดท้ายที่ต้องกังวล ซึ่งรอบนี้นักเรียนปีหนึ่งทุกคนต้องบุกป่าฝ่าดงหลังโรงเรียนอีกครั้งเมื่อได้รับโจทย์จากอาจารย์ที่สุ่มได้มา ทว่าพอไปถึงสถานที่เป้าหมายสมาชิกกลุ่มเกล็นต่างส่งสายตากันเลิ่กลั่กไม่เข้าใจว่ามันคือความบังเอิญหรืออาจารย์ลืมดูกันแน่ เมื่อพวกเขามายืนอยู่หน้าถ้ำเดิมที่เคยมาตอนสอบครั้งก่อน

“จะคิดเล็กคิดน้อยทำไม ไปกันเถอะ” คลาริสที่ดูไม่ยี่หระเท่าไรเปิดเป็นคนแรก

“นั่นสินะ” เป็นไม่กี่ครั้งที่ชาร์ล็อตจะเห็นด้วยกับแฝดคนน้อง อีกทั้งมองว่าเรื่องที่เจอก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ “รีบไปหากันดีกว่าจะได้สอบเสร็จ”

“แต่ถึงมันจะเป็นสุ่ม ฉันว่ามันก็...” เกล็นเอ่ยเสียงอ่อยรู้สึกไม่ค่อยดี ยิ่งคิดมากท้องไส้ก็ยิ่งปั่นป่วนอย่างไม่รู้สาเหตุ เหมือนเป็นสัญญาณเตือนภัย

“จะให้กลับไปถามอาจารย์ดีไหม?” ฟิเลน่าเสนอความคิด การที่สุ่มได้สถานที่สอบเดียวกับรอบก่อนน่าจะมีข้อผิดพลาดบางอย่าง

"มันจะทำให้เราเสียเวลามากกว่า” คลาริสสวนกลับเสียงขุ่นทำเอาคุณหนูสีหน้า

ส่วนคนที่เหลือได้มองหน้ากันครู่หนึ่งพยักหน้าเข้าใจเหตุผลของคลาริส จึงตกลงกันเป็นเสียงข้างมากพากันเข้าไปด้าในถ้ำเดิมที่เคยมา ทว่าสิ่งที่พบกลับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ หลังออกห่างจากปากทางได้ไกลพอควร ถ้ำแห่งนี้ถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่ดูซับซ้อนขึ้นหน่อย มีสามเส้นทางแบ่งให้นักเรียนลองเสี่ยงดูว่าจะไปจุดไหนก่อน

“ซ้าย”

พวกเขาประสานเสียงพร้อมเพรียง คณะเด็กเส้นใหญ่จึงเดินไปทางซ้ายตามที่คิดกัน ระหว่างเดินทุกย่างก้าวก็รู้สึกเหมือนเดินขึ้นเนินไปสู่ชั้นบน ตลอดเส้นทางก็ไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตอื่น ทั้งที่ก่อนหน้าเจอเคฟสเนคก่อนจะถึงจุดหมาย ดังนั้นจึงทำให้ชาร์ล็อตไม่สามารถตรวจสอบหรือหาร่องรอยได้เลย สร้างความกังวลให้เกล็นกับฟิเลน่ามากขึ้น

“มันดูง่ายเกินไปหรือเปล่า” ฟิเลน่าว่าพลางกลอกสายตาสำรวจรอบตัว

โดยครั้งนี้คลาริสเองก็เริ่มเห็นด้วย “งั้นเราเตรียมรับมือให้พร้อมเลยดีกว่า”

ว่าจบ อาวุธถูกเรียกขึ้นบนมือพวกสายต่อสู้ระยะชิดได้ ขณะที่เกล็นกระชับไม้กายสิทธิ์ให้ถือถนัดมือพร้อมรับทุกสถานการณ์ โดยมีนักเรียนสามสาวคอยรับหน้าที่สนับสนุน รอบตัวเงียบงันได้ยินแค่เสียงลมหายใจเบาๆ ของสมาชิกทั้งเจ็ด พวกเขาเดินตามเส้นทางมาเรื่อยๆ แม้จะผ่านลานโล่งกว้างที่น่าจะเป็นจุดเจอศัตรู

“หรือเราคิดมากไปเอง…” เกล็นตั้งคำถามกับตัวเองที่เผลอมองว่ามันจะต้องมีรูปแบบแบบแผนตามโปรแกรมจนเขาถอนหายใจเบาๆ คลายความตึงเครียด แล้วหวังว่าการสอบปลายภาครอบนี้จะกินนิ่มไม่ต้องลงแรง

แถมคราวนี้เส้นทางซึ่งเป็นทางทะลุไปอีกฝั่งจะยาวกว่าตอนแรกที่จูเลียสกับฟิเลน่าเคยไป และด้วยความเงียบงันนี้ทำให้เกล็นคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา

“รอบนี้ทดสอบว่าจะรับแรงกดดันได้มากแค่ไหนหรือไงกันนะ ไม่หรอกยังไงก็ต้องเจอตัวอะไรบ้างสิ แล้วเขาจะให้คะแนนยังไง จะว่าไปพวกอาจารย์จะรู้ได้ไงว่าเราสู้หรือเปล่า ที่นี่ไม่มีกล้องวงจรปิดซะหน่อย อืม น่าคิดจังนะ ถ้าแบบนั้นกลุ่มไหนไม่เจอตัวอะไรเลย ก็ผ่านง่ายๆ แบบไม่ต้องใช้ฝีมือเลยน่ะสิ”

“ดูเหมือนเรามาสุดทางแล้วล่ะครับ” เสียงจูเลียสทักปลุกเกล็นตื่นจากห้วงความคิด ตอนนี้กลุ่มสอบปลายภาคยืนอยู่ทางตันที่มีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมทรงว่าวสี่อัน กะจากสายตาดูยังไงก็เป็นของที่เพิ่งถูกสร้าง “จริงๆ คราวก่อนมันไม่ได้เป็นสัญลักษณ์นี้นะครับ”

จูเลียสว่าอย่างสงสัย เนื่องจากรอบก่อนที่มากับฟิเลน่าในความทรงจำเขามันตราโรงเรียนที่เป็นดาบไขว้กัน

“แต่สงสัยรอบนี้คงให้ใช้เวทธาตุเอกล่ะมั้งครับ” องค์ชายลองคาดเดา “ตอนนั้นผมลองใช้ธาตุดินดูประตูมันก็เปิดออก”

“ก็ดี กลุ่มเรามีครบพอดีด้วย งั้นรับผิดชอบคนละธาตุไปเลยละกัน”

จากนั้นคลาริสก็ใช้เวทไฟใส่กำแพงพร้อมพี่ชายฝาแฝดที่เป็นธาตุเดียวกัน เกล็นกับฟิเลน่านั้นเป็นธาตุน้ำ ส่วนแมรีแอนน์จูเลียสคือลม มีแค่ชาร์ล็อตคนเดียวเท่านั้นที่เป็นดิน ซึ่งเป็นไปตามที่จูเลียสคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด สัญลักษณ์ทั้งสี่เปล่งแสงตามธาตุที่ถูกถ่ายทอดพลังเวทเข้าไป ประตูหินขนาดเล็กหรือที่ซ่อนสมบัติถูกเปิดช้าๆ เผยกล่องโลหะ

“ที่เหลือต้องภาวนาให้ขากลับสบายๆ นะ” ชาร์ล็อตระบายลมหายใจหลังรับแรงกดดันมาตลอดทาง ยอมรับเลยว่าการสอบครั้งนี้ถึงไม่เจอตัวอะไร แต่การคอยระวังตัวตลอดเวลาก็ทำเอาเธอเหนื่อยล้าด้านจิตใจอยู่ไม่น้อย

“นายเป็นคนเก็บละกัน” คลาริสหยิบเสร็จก็โยนให้อิกนิสรับเป็นคนดูแลต่อ

“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วย” พี่ชายฝาแฝดถามกลับด้วยสีหน้าลำบากใจ

“ก็อิกนิสเป็นคนที่เชื่อใจได้ไงคะว่าของไม่หาย” แมรีแอนน์ยิ้มบอกเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายคงไม่ซุ่มซ่ามเผลอทำหล่นระหว่างทาง แล้วพอมาเป็นเสียงโหวตจากเพื่อนร่วมกลุ่มที่เหลือคะแนนออกมาเป็นเอกฉันท์ เด็กหนุ่มผมดำจึงจำใจรับหน้าที่เก็บกล่องจนกว่าไปถือมืออาจารย์

เพราะบรรยากาศครื้นเครงกลับมาได้บ้าง แรงกดดันที่มาก่อนหน้าค่อยหายไปบ้าง กระนั้นทั้งเจ็ดคนต้องระวังภัยตามเดิม กระทั่งเข้าใกล้ลานโล่งที่ผ่านมามีเสียงหินถล่มลงมาฟิเลน่าหวีดร้องตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน พวกเด็กผู้ชายตั้งรับการจู่โจมจากศัตรูโดยมีจอมเวทอีกสองคนพร้อมซัพพอร์ต พวกเขายืนนิ่งอยู่ที่เดินหลายนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรบุกเข้ามาในทางแคบๆ นี่ แต่สถานการณ์ก็ไม่น่าไว้วางใจ อิกนิสพยักหน้าส่งสัญญาณให้คลาริสเดินไปพร้อมกัน ด้านจูเลียสคอยดูแลฟิเลน่าที่ไม่ใช่สายต่อสู้ ชาร์ล็อตตื่นตัวอยู่เสมอเพื่อสังเกตรอบตัวโดยในมือเธอกระชับดาบแน่น ส่วนสองจอมเวทประจำกลุ่มก็สาดส่องสายตาช่วยหาสิ่งผิดปกติรอบตัว

เส้นทางที่ผ่านมาไม่มีอะไรน่ากังวล แต่เสียงแหลมของฟิเลน่าต้องร้องดังอีกครั้งที่เธอต้องเห็นเคฟสเนคนอนหงายนอน ถึงเธอไม่มีความรู้เรื่องสัตว์แต่ก็มั่นใจว่ามันต้องถูกอะไรสักอย่างทำร้ายจนแน่นิ่งไป สภาวะจิตใจเด็กสาวตอนนี้อยู่ในอารมณ์เศร้ามากกว่ากลัว

“ในถ้ำนี้ยังมีคนอื่นอีกเหรอ…” อิกนิสถามขึ้นเมื่อสังเกตเจอดาบเล่มใหญ่ปักอยู่แถวๆ ลำคอ มั่นใจเลยว่าไม่น่าใช่เด็กปีหนึ่งเหมือนกันเขาแน่ เพราะการต่อสู้มันรวดเร็วเกินไปอีกทั้งปีสองกับสามก็สอบคนละวันกันด้วย

“โอ๊ยๆ” เสียงไม่คุ้นหูร้องโอยครวญออกมาจากใต้ร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูร “ตัวหนักกว่าที่คิดไว้สักอีกนะเนี่ย”

หญิงสาวผิวคล้ำแปลกหน้าออกแรงยกร่างเคฟสเนคให้พ้นตัว เดินมากระชากดาบเล่มใหญ่คืนมาทำให้เลือดของมันไหลเพิ่มมากขึ้น สร้างความสะอิดสะเอียดให้กับนักเรียนทุกคนที่นั่น โดยเมื่อยืนดีๆ หล่อนนั้นเป็นหญิงตัวค่อนข้างสูงพอๆ กับจูเลียส เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูน้อยชิ้นดูเซ็กซี่ก็จริงแต่การกระทำเมื่อครู่ทำเอาพวกเขาโฟกัสกับกล้ามเนื้อแข็งแรงมากกว่า เพราะหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวน้ำทะเลทรงบ๊อบเทสามารถดึงมันออกด้วยกำลังแขนแค่ข้างเดียว

“ดูเหมือนว่าจะทำให้เด็กๆ ตกใจนะ” น้ำเสียงดูขี้เล่นพูดขึ้นกับอีกคนที่ยังซ่อนตัวอยู่ โดยเจ้าของเสียงใหม่นั้นช่างไร้อารมณ์

“เพระเธอทำนอกเหนือคำสั่งนี่”

“ดูพูดเข้าสิ แต่มันจำเป็นต้องทำนี่นา” เสียงสลดจากคริสต้าบอกพลางเสยผมจัดให้เข้าทรง ก่อนจะมองไปทางฮันนาที่ย่างกายจากทางด้านหลัง

และในทันทีที่เกล็นเจอหน้าหญิงสาวผมสีน้ำเงินเข้ม ร่างกายของเขาก็เย็นวาบขนลุกซู่ “ซวยแล้วไง แหกเกมจนอะไรเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้”

“ไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ ฉันแค่อยากถามพวกคุณเล็กน้อย” ฮันนาเปิดประเด็นสนทนาพร้อมหยิบกล่องหนึ่งขึ้นมา มันเป็นใบเดียวกับที่เกล็นเคยเจอเมื่อครึ่งปีก่อน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพวกนี้น่าจะวางแผนอะไรสักอย่างทำให้กลุ่มพวกเขาได้กลับมาที่เดิม “พวกคุณเคยเห็นสิ่งนี้หรือเปล่าคะ”

นอกจากเกล็นแล้ว เด็กอีกหกคนต่างส่ายหัวพร้อมกันมีบางที่ส่งสายตาถามทางภาษากาย มีแค่เกล็นที่คิดหนักคงเลือกคำตอบไหนดี ทว่าฮันนาไม่ใช่คนที่หลอกง่ายจะโกหกน่าจะทำให้เพื่อนทุกคนมีอันตราย เขาจึงยกมือตอบวายร้ายสาว

“ผมเคยเจอ มันตกมาพร้อมเคฟสเนคตัวนั้นตอนสอบคราวก่อน”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าของข้างในเป็นยังไง”

เกล็นเลือกการส่ายหัวเป็นคำตอบเพื่อจะไม่ได้จ้องตาแข่งกับฮันนา ทว่านั่นเป็นเส้นทางที่ผิด หญิงสาวคนนั้นดีดนิ้วเรียกอสูรทมิฬที่มีลักษณะเป็นงูเล็กๆ ห้าตัวพันแขนข้างหนึ่งไว้ ก่อนจะสะบัดมือไปด้านหน้าเบาๆ เพื่อส่งให้งูพวกนั้นเข้าไปรัดตัวเกล็นแยกออกมาจากกลุ่ม

“เหวอ!” เกล็นร้องเสียงหลงตกใจที่ถูกโจมตีและลากกลิ้งไปกองพื้น แล้วเป็นครั้งที่สองที่ทั้งสองสบตากัน เพราะรับมือไม่ถูกเกล็นหายใจแรงด้วยความหวาดกลัว กระนั้นสมองเขาคิดได้เพียงแค่ต้องให้คนอื่นๆ ปลอดภัยไปก่อน

“จะทำอะไรเกล็นน่ะ!” ชาร์ล็อตพุ่งเข้าไปหาเพื่อนวัยเด็ก แต่ถูกคริสต้ากระชากคอเสื้อตอนวิ่งสวนแล้วเหวี่ยงเธอเข้ากลุ่มตามเดิมง่ายๆ โชคดีที่คลาริสรับตัวได้ทันก่อนร่างกระแทกพื้น

“ตอนนี้ให้เขาคุยธุระกันเสร็จก่อนสิจ๊ะ” คริสต้ายิ้มหวานตอบ แต่มือเธอขยับดาบเตรียมพร้อมจัดการคนที่เข้ามาสอด แต่จังหวะประมาทหญิงสาวถูกแมรีแอนน์ใช้เวทแสงการมองเห็นไม่สามารถใช้ได้ชั่วคราว เพื่อบุกเข้าไปหาตัวเกล็น เธอกระชากงูที่รัดเขาอย่างไม่ใส่ใจเลยว่าพวกมันจะมีพิษหรือไม่แล้วรีบโอบกอดเขา

“เกล็นไม่เป็นอะไรใช่ไหม!?

“ก็นิดหน่อย แค่ก” เกล็นลูบลำคอหลงคิดว่าจะขาดอากาศหายใจ

คริสต้าผิวปากชื่นชม “จากนี้เอาไงต่อ…”

“ก็จะถามอีกนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ” ฮันนาบอกเสียงเรียบ “อยากรู้ว่าเราเคย พบ กันมาก่อนหรือเปล่าแค่นั้นเอง”

นัยน์ตาสีแดงหรี่มองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งน่าหวาดหวั่น เกล็นที่หน้าซีดเงยมองในหัวต้องรีบประมวลให้ไวและเป็นธรรมชาติที่สุด

“ไม่” เขาส่ายหัวประกอบ “เราจะเคยเจอได้ไง ผมจำไม่ได้หรอก”

“อย่างนั้นเหรอคะ… แต่มันน่าแปลกที่พอฉันหันไปคุณก็เบือนหน้าหนีเลยมันหมายความว่าไงกัน”

“ระ เรื่องนั้น...” นัยน์ตาสีดำหลุบลง พยายามเค้นข้ออ้างเอาตัวรอดไปให้ได้ กระทั่งเกล็นหลับตาลง เขาเม้มปากแน่นดูลำบากใจ ใบหน้าตอนนี้แดงแปร๊นขณะที่ทำมือเป็นรูปร่างอะไรบางอย่าง “แบบว่าเผลอมองจนโดนจับได้...น่ะ...ครับ...”

“ฮ่าๆๆๆ” คริสต้าระเบิดเสียงหัวเราะรวนกลางสถานการณ์ตึงเครียด ไม่มีใครเข้าใจความหมายเลยสักคนไม่เว้นฮันนาที่ยังทำหน้านิ่ง “แหม ก็ยังวัยรุ่นนี่เนอะจะมีเผลอมองบ้างสินะ แต่แบบนั้นน่ะเขาไม่ได้เรียกว่ามองหรอกนะพ่อหนุ่ม นั่นมันจ้องจนคนรู้สึกได้ ถ้าไม่อยากโตเป็นคนเฮงซวยก็เลิกซะนะ” หญิงสาวเตือนด้วยความหวังดี “จะว่าไปวันนั้นพวกผู้ชายก็มองฮันนาตาเป็นมันหลายคนเลย”

“ขะ ขอโทษครับ คราวหลังจะไม่ทำแล้วครับ!

พอรู้อะไรเป็นอะไร ใบหน้าหลายคนแสดงสีหน้าไม่ถูกเริ่มเข้าใจความหมายที่เกล็นจะสื่อทีแรก โดยเฉพาะพวกเด็กผู้ชายที่ก้มหน้าที่ขึ้นระเรื่อ ขณะที่เด็กผู้หญิงเบ้ปากหน้าแดงไม่ผิดคาดกับเกล็น

“ถ้ารอดจากตรงนี้แล้วโดนด่าว่าเป็นโรคจิตยังดีกว่าเห็นๆ” เกล็นขบฟันกรอดยอมรับผลที่จะตามมาที่ตัดสินใจใช้ข้ออ้างลามกบิดเบือนประเด็นของฮันนา

“เฮ้อ… เป็นครั้งแรกสินะที่ลางสังหรณ์ฉันเดาผิด” หญิงสาวผมเปียถอนหายใจหน่ายและคาดไม่ถึงว่าสัญชาตญาณจะผิดพลาด “เอาเถอะ เรื่องนี้อยากถามก็ไม่มีแล้วล่ะค่ะ ที่เหลือก็ขออวยพรให้สอบผ่านนะคะ”

ว่าจบเสียงดีดนิ้วเป๊าะดังเรียกสิ่งมีชีวิตบางอย่างลงเพดานหินถูกทำลายอย่างง่ายดายด้วยพละกำลังมหาศาลของอสูรทมิฬ มันมีรูปลักษณ์คล้ายกอริลลาแผงคอยาวสีดำทะมึนแผดเสียงคำรามก้อง ใช้มือทุบพื้นตามอุปนิสัยดั้งเดิม คริสต้าที่อยู่ใกล้มันกระโดดหลบข้ามหัวพวกเกล็นที่คั่นกลางระหว่างหล่อนและฮันนา เธอโบกมือร่ำลาพวกเด็กๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พวกเราต้องกลับแล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะ”

จากนั้นสองหญิงสาวก็เดินออกจากบริเวณนั้นไปพร้อมอารมณ์ที่คุกรุ่นของฮันนาซึ่งยังไม่พอใจคำตอบที่ได้รับ

เสียงกรีดร้องกอริลลาดังปลุกสติทุกคนให้สนใจมัน แต่แทนจะร่วมใจสู้กันเจ็ดคน แรงทุบของมันได้พังทลายพื้นทำให้เกล็นกับแมรีแอนน์ซึ่งอยู่ใกล้มันตกลงไปยังชั้นล่าง ฟิเลน่าหวีดร้องเสียงสูงตกใจที่เห็นคนหายไปต่อหน้า

“เจ้านั่นมันกอริลลาสายพันธุ์ฟอเกิ้ลถือเป็นสัตว์ธรรมดาก็จริง แต่ดูเหมือนว่าแรงมันเยอะกว่าปกติ” ชาร์ล็อตบอกได้ทันทีที่ว่ามันตัวอะไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจออสูรทมิฬครั้งแรกจึงไม่ได้รู้เลยว่ามันเกิดจากซากศพที่ได้รับพลังเวทจากมังกรร้าย ดังนั้นกอริลลาตัวนี้เลยมีพลังมากกว่าปกติหลายเท่าตัว

“ใครหัวไวก็ช่วยคิดแผนทีนะ พวกเราน่าจะไม่ว่างช่วย...” อิกนิสเหงื่อตกที่ต้องรับมือสัตว์ประหลาด โดยที่คนเก่งเวทหายไปพร้อมกันสองคน

“ถ้างั้นก็ขอเวลาหน่อยนะครับ ใช้แผนเดิมแบบรอบก่อนไม่มีทางได้แน่” จูเลียสตอบเสียงแห้งนึกถึงสภาพเจ้ากอริลลาไล่ทุบเสาทุกต้นที่ขวางทาง ซึ่งมันดูน่ากลัวไม่น้อยเลยหากมีเจ้าสัตว์ตัวนี้ไล่หลังมาติดๆ

“ในเมื่อไม่มีแผนก็ต้องมีแต่ซัดตรงๆ เท่านั้นไม่ใช่หรือไง” คลาริสกะตุกยิ้มหน้าซีดไม่มั่นใจว่าการตั้งรับจะสามารถต้านพละกำลังของสัตว์ป่าได้หรือไม่