35 ตอน บทที่ 34: จนตรอก
โดย RiFourver
“ถึงจะเป็นการออกมานอกโรงเรียน แต่แบบนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
เกล็นกอดอกตีสีหน้าจริงจังที่ต้องเดินทางไปยังพระราชวังซึ่งเป็นบ้านเจ้าของงานเลี้ยงวันเกิดที่ถูกจัดขึ้นก่อนหนึ่งวัน เนื่องจากวันพรุ่งนี้คือวันคริสต์มาสของโลกนี้ ดังนั้นเด็กหนุ่มเลยอุ่นใจเพราะพวกทหารคงไม่มีทางปล่อยให้คนแปลกหน้าที่ไม่ได้รับเชิญให้เข้ามาในงานเป็นแน่
“ตอนนี้พวกผู้หญิงคงถึงแล้วมั้ง” เสียงทุ้มเบื่อหน่ายของคลาริสดังบอกและทำหน้าเซ็งที่ต้องแต่งตัวเป็นชุดทางการอย่างใส่สูทผูกเนกไทเพื่อเข้าร่วมงานวันเกิดของจูเลียสตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน “รู้งี้ขอไปด้วยดีกว่า”
“ไม่มีทาง” เกล็นสะบัดมือไปมา “พวกนั้นไม่ให้ผู้ชายอย่างเราไปยุ่งหรอกน่า อีกอย่างไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าด้วย เพราะงั้นเราสบายกว่าฝั่งนู้นเห็นๆ”
“แต่เหลือกันแค่สามคนมันไม่มีอะไรทำนี่หว่า”
“ไปถึงที่นั่นเดี๋ยวก็มีอะไรทำเองนั่นแหละ รู้สึกว่าท่านแม่น่าจะไปถึงแล้ว” อิกนิสว่าหลังเห็นน้องชายแฝดบ่นไม่หยุด “จริงสิ ได้ยินว่าท่านทวดอาจจะมาด้วย”
“จริงเหรอ!? เยี่ยมเลย!” คลาริสทำตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่าจะได้เจอทวด หลังจากเสียดายที่ไม่ได้พบช่วงปิดเทอมที่พวกเขาไม่ได้กลับบ้าน
“ว่าแต่ทวดพวกนายอายุเท่าไรล่ะนั่น ทำไมรู้สึกดูแข็งแรงดีจังไปไหนมาไหนไกลๆ ไหว”
“เอ่อ... ขอโทษที ถึงจะเจอทุกปีแต่ก็ลืมน่ะ” อิกนิสกล่าวขอโทษที่ให้คำตอบไม่ได้
“อ่อ งั้นไม่เป็นไรๆ”
เกล็นโบกมือปัดแล้วไปสนใจวิวทิวทัศน์ด้านนอกรถม้า กระทั่งทั้งสามเดินทางมาถึงสถานที่จัดงาน ซึ่งเป็นไปตามที่เกล็นคาดไม่มีผิด ถึงปากจูเลียสบอกว่าเป็นงานเล็กๆ เชิญแต่คนใกล้ตัวมา แต่สิ่งที่เขาเห็นคือห้องโถงขนาดกว้างขวางเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้ตอนแรก อีกทั้งยังมีมุมหนึ่งของห้องมีลักษณะล้อมด้วยกระจกเพื่อชมวิวดอกไม้ที่ตกแต่งเข้าธีมธรรมชาติแยกออกมาเพียงก้าวเท้าขึ้นบันไดไม่กี่ก้าว
ที่นั่นหนุ่มๆ ได้รวมตัวกับเด็กสาวทั้งสามคนที่มาถึงก่อน แมรีแอนน์ซึ่งเป็นสามัญชนแสดงท่าทีประหม่าที่ต้องเข้าร่วมงานใหญ่โต เธอสวมชุดเดรสลูกไม้กระโปรงบานยาวคลุมเข่าแขนปีกผีเสื้อสีชมพูหวานแบบที่ชอบ
“แต่งตัวดูดีแบบนี้ ไหงผมไม่ทำให้ดีสักหน่อย” คลาริสโพล่งขึ้นที่เห็นว่าทรงผมของแมรีแอนน์ยังคงเอกลักษณ์แบบที่เห็นอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะโบสีแดงที่เพิ่มดอกไม้ประดับให้ดูมีอะไร
“ตอนแรกก็มัดแกละให้แหละ แต่โดนฟิเลน่าทักว่าคล้ายยัยโจเอลน่ะสิเลยกลับมาทรงเดิม” ลิเลียนในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนหัวเราะเสียงแห้ง “แต่ว่า พวกคุณสามคนก็ยังหาชุดมาทันนะเนี่ย ดูดีมากเลยล่ะ”
ลิเลียนกล่าวชม ถึงแม้ว่าการแต่งตัวของเด็กหนุ่มทั้งสามก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร ไม่เหมือนพวกเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวจัดเต็ม
“ตอนท่านแม่รู้ว่าเป็นเพื่อนกับจูเลียสก็คะยั้นคะยอให้ติดมาโรงเรียนด้วยน่ะ” อิกนิสเฉลยความจริงพลางกวาดสายตาหาผู้เป็นแม่ที่น่าจะมาถึงก่อน
“ฉันก็ด้วย” เกล็นเลือกโกหก เพราะทั้งที่จริงเขาคิดแล้วว่ายังไงวันเกิดจูเลียสต้องเข้างานสังคมแน่นอน “ว่าแต่ชาร์ล็อตล่ะ”
“ชาร์ล็อตไปห้องน้ำเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว นั่นไงพูดถึงก็มา”
“สวัสดี ไม่ได้เจอกันตั้งวันหนึ่งแน่ะ” เสียงร่าเริงทักทายเพื่อนวัยเด็กที่ขมวดคิ้วพิจารณาชุดเดรสเปิดไหล่กว้างกระโปรงจับจีบบานสีเหลืองสดใส อีกทั้งวันนี้เธอสวมรองเท้าส้นสูง ความสูงทั้งคู่จึงเท่ากันสามารถสบตากันตรงๆ ได้ “เป็นอะไรไปเหรอ”
“เอาผ้าคลุมมาไหม”
“เอามา นี่ไง” ชาร์ล็อตโบกผ้าคลุมไหล่ผืนบางด้วยท่าทางแจ่มใส
“แหมๆ ไม่เอาน่าคุณพ่อ ลูกสาวก็โตแล้วนะคะ” เสียงร่าเริงที่เริ่มคุ้นหูของเคจทักพร้อมรอยยิ้ม แน่นอนว่าฟิเลน่าถึงจะไม่มีปัญหากับพวกชาร์ล็อตแล้ว แต่ยังคงวางตัวเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์เดินตามหลังมา นอกจากพวกเธอสองคนยังมีผู้ใหญ่อีกสองคนตามมาด้วย
“เรียกใครว่าพ่อฟะ” เกล็นโวยวายลั่น เรียกสายตาคนรอบบริเวณให้หันมาทางเดียวกัน
“กรุณาอย่าส่งเสียงดังได้ไหม” ฟิเลน่าถอนหายใจหนัก ตำหนิเรื่องการใช้เสียง “ตอนนี้ท่านจูเลียสกำลังคุยกับผู้ใหญ่เดี๋ยวก็มาแล้ว แล้วก็ท่านพ่อท่านแม่คะ เพื่อนร่วมห้องของหนูเองค่ะ”
จากนั้นฟิเลน่าซึ่งสวมชุดราตรีสีน้ำเงินไล่โทนผายมือแนะนำพวกเพื่อนร่วมห้อง ทั้งหมดน้อมศีรษะแนะนำตัวทีละคน เริ่มจากอิกนิสที่เป็นพี่ใหญ่ของตระกูลฟรานเซนไทน์ ตามมาด้วยคลาริสที่เป็นน้อง ทำให้เกิดเสียงฮือฮาจนเจ้าตัวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่กลายเป็นเป้าสายตา เพราะใครๆ ไม่คิดว่าพี่น้องฝาแฝดจากตระกูลใหญ่จะปรากฏตัวในงานเลี้ยงแบบนี้ได้ แต่เมื่อเกล็นบอกชื่อเสียงเรียงนาม ผู้ใหญ่หลายคนก็ทำหน้าตาตื่นส่งยิ้มและทยอยมาหาเขาแทบจะทันที รวมทั้งพ่อแม่ของฟิเลน่าด้วย ทุกคนต่างยิงคำถามคล้ายๆ กันคือ
‘หลานอาจารย์ลินดาใช่ไหม’ ไม่ก็ ‘อาจารย์ลินดาเป็นยังไงบ้าง’ และอื่นๆ
“ย่าดังขนาดนั้นเลยเรอะ” เกล็นทำตัวเลิ่กลั่กหาทางหนีทีไล่ไม่ถูกหลังโดนสมาคมศิษย์เก่ารุมล้อมเอาแต่คุยเรื่องของลินดา
ผลคือตัวตนของเกล็นกลบเรื่องพี่น้องฟรานเซนไทน์ออกงานคู่กันซะมิด แต่นั่นถือว่าสร้างผลดีต่ออิกนิสกับคลาริสไม่มากก็น้อย เพราะก่อนหน้าสีหน้าสองคนนั้นไม่ค่อยดีนัก คนหนึ่งตึงเครียดอีกคนก็พร้อมจะเม้งแตก ลิเลียนจึงพาพวกเขาไปหลบที่เงียบๆ ปล่อยหลานชายอาจารย์คนดังรับมือเอาตัวรอดเอาเอง โดยมีแมรีแอนน์คอยให้กำลังใจใกล้ๆ แม้จะทำตัวไม่ถูกไม่ต่างกัน
“ถ้าเป็นแถวนี้ก็หายห่วงจ้ะ” เธอบอกกับสองพี่น้องหลังมายืนอยู่บริเวณห้องกระจกแล้ว “ที่นัดกับจูเลียสก็ที่นี่แหละเนอะ”
“ใช่” ฟิเลน่าตอบเสียงเรียบพลางม้วนปลายผมเล่น
“ว่าแต่ไม่คิดว่าคุณย่าของเกล็นจะดังสุดๆ ไปเลย” เคจชะเง้อมองเกล็นที่ยังพาตัวเองมาจุดนัดหมายไม่ได้
“นั่นสิครับ จนนึกน้อยใจไปเลยว่างานนี้คือวันเกิดผม” เสียงนุ่มละมุนเอ่ยปนขบขัน ขณะที่จูเลียสกำลังเดินขึ้นบันไดมาหาเพื่อน “สวัสดีครับทุกคนเป็นยังไงบ้าง พวกคุณคงเดินทางมาเหนื่อยสินะครับ”
จูเลียสถามสองพี่น้อง
“ไม่หรอก ใช้มูเอลก์เดินทางมันก็ไม่กี่ชั่วโมงเอง” อิกนิสเป็นคนตอบ
“จะว่าไป ไม่ไปพบกับคุณแม่ก่อนเหรอครับ”
“เดี๋ยวแม่ก็มาแถวนี้เองแหละ” แฝดคนน้องตอบรู้ เขานิสัยแม่ดี “อ๊ะ เกล็นมาแล้ว”
คลาริสชี้ไปทางเกล็นที่เดินหมดแรงมาหาพวกเขาพร้อมแมรีแอนน์ที่ช่วยเหลือออกมาได้ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ระบายความเหนื่อยล้าจากการที่ถูกลุงป้าน้าอาอดีตลูกศิษย์ของย่ารายล้อม แต่ก็ไม่ลืมยกมือทักทายและแสดงความยินดีกับเจ้าของงานวันเกิด
“ขอบคุณทุกคนที่มากันวันนี้นะครับ” จูเลียสเอ่ยขอบคุณเพื่อนทุกคนที่อวยพรวันเกิดและให้ของขวัญ แต่เพราะไม่สะดวกที่จะเปิดต่อหน้าแขก ดังนั้นของขวัญจึงถูกฝากให้ผู้ติดตามนำไปเก็บที่ห้องส่วนตัว “ขอโทษนะครับเปิดดูตอนนี้ไม่ได้”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก” ชาร์ล็อตตอบอย่างเข้าใจเหตุผลดีที่จูเลียสไม่สามารถดูของแต่ละคนในตอนนี้ได้ กระนั้นจูเลียสก็ยังแสดงสีหน้าเสียดาย
“ตายจริงจูเลียส ทำสีหน้าแบบนั้นในวันเกิดไม่ดีเลยนะ” เซซิเลียที่ปรากฏตัวจากด้านหลังบอกกับจูเลียสด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยิ้มให้เพื่อนของลูกชายพร้อมกับกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง โดยเฉพาะแมรีแอนน์ “ดีใจจังเลยที่ได้เจอหนูแมรีแอนน์อีกครั้ง คุณพ่อคุณแม่สบายดีใช่ไหมจ๊ะ”
“คะ เพ เพคะ” แมรีแอนน์ผงกศีรษะท่าทีเกรงๆ “ขอบคุณที่เป็นห่วงเพคะ”
“ฮุๆ ไม่ต้องทางการแบบนั้นหรอกจ้ะ คิดซะว่าเป็นคุณน้าคนหนึ่งก็ได้นะ” ราชินีเซซิเลียขบขันกับท่าทางของเด็กสาวและส่งสายตาเอ็นดูให้
จากนั้นไม่นานก็มีหญิงสาวผู้มีผิวแทนเดินจูงมือเด็กหญิงผมดำมาหาพวกเขาพร้อมกับผู้ติดตามซึ่งถือของบางอย่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว
“ท่านพี่!” เสียงเจื้อยแจ้วของมานิชาทักพี่ชายทั้งสอง จากนั้นเธอผละจากแม่เพื่อโผกอดอิกนิสกับคลาริสด้วยความคิดถึง
“ขออภัย แต่ไม่ทราบว่ากระหม่อมเข้ามาจังหวะหรือเปล่าเพคะ” อลิสาขอโทษเซซิเลียที่ขัดขวางการทักทายพวกเด็กๆ ราชินีสาวจึงส่ายหัวตอบ
“ไม่หรอกค่ะท่านอลิสา”
“เช่นนั้นกระหม่อมขอเป็นตัวแทนท่านปู่มอบของขวัญให้องค์ชายจูเลียสได้หรือไม่เพคะ พอดีท่านปู่ต้องการพักผ่อนน่ะเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถือเป็นเกียรติด้วยซ้ำที่ท่านอวินาชทั้งมางานและมอบของขวัญให้จูเลียสค่ะ”
เมื่อสองหญิงสาวคุยกันเสร็จ อลิสาจึงทักทายทุกคนในบริเวณและแนะนำตัวสำหรับคนที่พบเธอเป็นครั้งแรกด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ทว่าแววตาสีม่วงอ่อนคู่นั้นกลับฉายแววมีลับลมคมในจนเกล็นรู้สึกได้ เพราะอลิสาคือหนึ่งในผู้ที่รู้ความจริงเกี่ยวกับแมรีแอนน์ และการกระทำของหญิงสาวทำให้เด็กหนุ่มหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ทางที่ดีอย่ายุ่งเยอะดีกว่า...” เกล็นเบือนสายตาหนีไม่ค่อยอยากยุ่งกับอลิสาเท่าไรนัก
“ท่านทวดซื้อของขวัญให้จูเลียสเหรอครับท่านแม่” อิกนิสถามเสียงนิ่งหน้าเจื่อนน้อยๆ
“ใช่จ้า พอแม่เล่าเรื่องของพวกลูก ท่านทวดก็หาเวลามาที่นี่พร้อมกับหาของขวัญให้องค์ชายจูเลียสด้วยเลย แต่เอาไว้ใกล้จบงานแล้วค่อยไปพบก็ได้นะ ท่านพักอยู่ที่ห้องรับรองน่ะจ้ะ” เสียงสดใสดังบอกลูกชาย เพราะสำเนียงเปล่งของเธอสร้างความข้องใจให้เด็กหนุ่มเผลอปากออกมาทั้งที่บอกตัวเองแล้วแท้ๆ ว่าอย่ายุ่งกับอลิสาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสุด
“คุณแม่ของคลาริสไม่ใช่คนที่นี่เหรอครับ”
“จ้า อ๊ะ จริงด้วยสิ พวกเราเพิ่งเคยเจอกันนี่นา ถึงเคยได้ยินเรื่องของเธอมาบ้างว่าเป็นหลานชายอาจารย์ที่เคยสอนธีออนมาก่อน” เธอกระแอมเสียงปรับอารมณ์ “พื้นเพของฉันเป็นชาวสุรัชตา...”
ว่าจบน้ำเสียงจริงจังหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นความทะเล้นขี้เล่น “แต่เจอที่รักก็เลยย้ายมาอยู่ที่ลุสกลอเรียเป็นการถาวร ฮะๆๆ”
“ครับ...” เกล็นยกมุมปากยิ้มพลางผงกศีรษะ
“คนนี้ดูอันตรายวุ้ย” สัญชาตญาณเตือนย้ำเตือนเกล็น “แต่สุรัชตาเหรอ... ก็อิมเมจอินเดียสินะ”
เขาสรุปจากเสื้อผ้าของหญิงสาวที่แต่งกายด้วยสาหรี่สีแดงลวดลายสีทองดูโดดเด่น จังหวะเกล็นตกอยู่ในห้วงความคิด คลาริสก็ดึงเรื่องกลับมาที่ของขวัญวันเกิด ท่าทีเด็กหนุ่มดูตื่นเต้นกว่าเจ้าของวันเกิดเสียอีก
“แสดงว่าของนั่นทวดให้จูเลียสใช่ไหม”
“ใช่จ๊ะ หากไม่เป็นการรบกวนก็อยากให้องค์ชายเปิดดูเลยเพคะ” จากนั้นอลิสาก็พยักหน้าเรียกคนติดตามให้นำของปริศนามาอยู่ตรงหน้าจูเลียส “ท่านปู่ของหม่อมฉันคัดสรรมาเพื่อพระองค์เป็นอย่างดีเลยเพคะ”
จูเลียสมองแม่เหมือนขออนุญาตก่อนจะไปเปิดผ้าคลุมสีขาว เผยให้เห็นกรงเหล็กสีเงินทรงสี่เหลี่ยมเรียบๆ ปรากฏต่อสายตาของทุกคนในบริเวณ ราชินีเซซิเลียแทบลมจับเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กสีแดงนอนเกาะบนกิ่งไม้ ผิดกับลูกชายที่ทำตาเปล่งประกาย แล้วขออลิสาเปิดกรงเพื่อต้อนรับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่
“ชาร์ล็อตดูนี่สิ นี่มันอิกัวนาสีรุ้ง!” จูเลียสยื่นลูกอิกัวนาให้ชาร์ล็อตที่ตื่นเต้นไม่แพ้กันดู ก่อนจะหันไปถามอลิสาเพื่อความแน่ใจ “ทะ ท่านอวินาชให้ผมจริงๆ เหรอครับ เพราะผมได้ยินว่าอิกัวนาสีรุ้งเป็นสัตว์หายากมากเลยน่ะครับ”
“เพคะ” อลิสายืนยันคำตอบพลางหัวเราะดีใจที่ของขวัญจากท่านปู่ของเธอเป็นที่พึงพอใจขององค์ชายจูเลียส “ท่านปู่พบลูกอิกัวนาสีรุ้งขายระหว่างเดินทางมาที่นี่พอดีจึงตัดสินใจซื้อเป็นของขวัญให้องค์ชายเพคะ”
“ตัวเล็กน่ารักจังเลยนะ ชักอยากเห็นตอนลอกคราบแล้วสิ เพราะงั้นอย่าลืมบอกนะว่าสีต่อไปเป็นสีอะไรน่ะ”
“ได้เลยครับ ไว้เขาแข็งแรงจะพามาให้ชาร์ล็อตเห็นด้วย”
“จริงสิ ให้เกล็นตั้งชื่อดีไหม” ชาร์ล็อตเสนอความคิดเหมือนตอนที่เพื่อนวัยเด็กตั้งชื่อให้นกแก้ว
“ก็ดีนะครับ” องค์ชายเห็นพ้องกับชาร์ล็อต “นี่เกล็น ช่วยตั้งชื่อให้หน่อยได้ไหมครับ”
เพราะเรียกครั้งแรกไม่หัน ชาร์ล็อตจึงเพิ่มเสียงเรียก “เกล็น!”
“หะ? วะ ว่าไง” เกล็นหันกลับมามองเพื่อนตาโต
“เกล็นเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว” แมรีแอนน์ถามอย่างเป็นห่วงที่เห็นเกล็นสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมา ทว่าเขาส่ายหัวตอบก่อนจะเอามือลูบหน้าเรียกสติ
“รู้สึกหน้ามืดเฉย แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” เขาบอกความจริงกึ่งหนึ่ง แล้วรีบเปลี่ยนประเด็น “ตะกี้ว่าไงนะ จะให้ตั้งชื่อเรอะ...”
ถึงหูจะพอจับใจความเรื่องที่ทุกคนคุยได้ ทว่าเกล็นกลับจ้องหน้าอิกัวนาไม่วางตา เขาไม่คิดว่าจะหันมาเจอตัวอะไรแบบนี้บนฝ่ามือของจูเลียสที่ยิ้มแก้มปริ แล้วในตอนนั้นสมองก็แล่นคำหนึ่งออกมา
“วรนุช...”
และแล้วเจ้าอิกัวน่าตัวนั้นก็ได้ชื่อใหม่ว่า ‘วารานุส’ โดยที่คนตั้งชื่อพยายามแก้เป็นชื่ออื่น แต่ดูเหมือนตัวเจ้าของจะมีความสุขเลยยืนกรานใช้ชื่อนี้ไปซะแล้ว
“ฮะๆ ถ้านายชอบก็ตามนั้นก็ได้นะ...” เกล็นหัวเราะเสียงแห้ง “จริงสิ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ”
จากนั้นเขาก็ทำตัวเร่งรีบราวกับคนอดทนมานานและหายจากบริเวณนั้น โดยทีแรกเกล็นใช้เส้นทางตามที่ผู้ดูแลบอกก่อนจะออกนอกเส้นทางเพื่อไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกอาคาร เขานั่งซ่อนตัวอยู่ในซอกระหว่างต้นไม้ประดับสองต้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกว่าจะเอาตัวไม่รอดจากสถานการณ์ที่เกล็นบังเอิญเจอกับฮันนาอีกครั้งในงาน กระนั้นโชคยังเข้าข้างที่เขาหันหน้าหนีก่อนจะสบตาหญิงสาวคนนั้น
“ให้ตาย ใครจะไปนึกว่าพี่แกจะเล่นบุกเข้ามาในงานเลี้ยงโต้งๆ อย่างนี้” เด็กหนุ่มระบายความรู้สึกออกมาอย่างเหนื่อยล้า “แต่ดีนะรอบนี้หันหนีทัน ขืนเหมือนกับตอนงานเทศกาลมีหวังซวยแน่”
แล้วเกล็นก็นั่งกอดเข่าทำสายตาเหม่อลอยไม่รู้จะทำยังไงต่อ นอกเสียจากอยู่แถวนี้คนเดียวเงียบๆ อีกสักพักใหญ่ก่อนจะกลับเข้างาน
“โกหกว่าหลงทางไม่มีใครจับได้หรอก” เขาพึมพำ “เฮ้อ… ทำไมชาตินี้ต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ แต่ถ้าไม่ทำแมรีแอนน์ก็ต้องเจออันตรายจะให้ทิ้งเขาไปได้ไงกันล่ะ น่าสงสารออก…”
เพราะอากาศที่กำลังเย็นสบายสำหรับเขาที่เกิดเมืองทางเหนือ เกล็นเลยเผลอหลับตาลงและเงี่ยหูฟังเสียงของธรรมชาติ แม้ว่าจะมีเพียงแต่เสียงสายลมที่พัดผ่านกิ่งไม้ใบหญ้า แต่นั่นก็ทำให้เขาสงบจิตใจที่เตลิดหลังเจอหนึ่งในตัวร้าย กระทั่งไม่รู้ตัวว่ากำลังจะผล็อยหลับไป
“ลุงริศ!”
เพราะเสียงผู้หญิงที่คุ้นหูดังโพล่งในความทรงจำ เกล็นเบิกตากว้างตกใจและสะบัดหัวไปมาที่ได้ยินเสียงของหลานสาวในชาติก่อนเรียก ทำเอาเกล็นหน้าซีดกับอดีตที่ไม่ค่อยอยากจำ
“ไอ้บ้าเอ๊ยมาคิดถึงอะไรตอนนี้เนี่ย อุ๊บ” เขารีบยกมือตะครุบปากหลังรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาดื้อๆ แต่ไม่นานเกล็นก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ผิดปกติในสวนแห่งนี้ มันเหมือนเสียงฝีเท้ากำลังเหยียบย่ำพื้นหญ้า ทว่านั่นก็ไม่ใช่จังหวะการเดินของมนุษย์ ลางสังหรณ์เริ่มกลับมาทำงาน เขาลุกขึ้นยืนและเรียกไม้กายสิทธิ์ไว้ในมือเพื่อตั้งรับสิ่งแปลกปลอม
“กะ โกหกน่า…” ตาข้างขวาเด็กหนุ่มกระตุกถี่เมื่อเห็นหมาป่าตัวใหญ่สองตัวค่อยๆ ย่างกรายเข้าหา
“แสดงว่าทางนั้นรู้ตัวเหรอเนี่ย” เกล็นกลืนน้ำลายดังเอื๊อกไม่คิดว่าฮันนาจะเคลื่อนไหวด้วยการส่งอสูรทมิฬมาหาตัวเองตรงๆ ในงานวันเกิดของเจ้าชาย แถมตำแหน่งที่อยู่ก็เป็นทางตัน วิธีเอาตัวรอดอย่างเดียวตอนนี้คือโจมตีกันซึ่งๆ หน้าเพื่อเปิดเส้นทางหนี แต่นั่นจะทำให้คนในงานรู้ถึงการต่อสู้และอาจจะแตกตื่นจนงานเลี้ยงพัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากทำเลย ไม่อยากทำให้งานวันเกิดของจูเลียสมีความทรงจำแย่ๆ ในวันที่ควรมีความสุขของปี แต่เมื่อไม่มีทางอื่นเกล็นก็จำเป็นต้องสู้ “ขอโทษนะจูเลียส แต่มันจำเป็นจริงๆ…”
แต่ไม่ทันที่เกล็นจะเตรียมใช้เวทมนตร์ต่อกรกับอสูรทมิฬ จู่ๆ เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ดูจากแสงไฟที่สาดลงมาบนพื้นก็รู้ได้เลยว่ามันคือพลุที่จุดฉลองให้กับเจ้าของวันเกิด และในจังหวะเดียวกันนั้นก็มีแสงสีขาวร่วงมาจากบนท้องฟ้าสังหารอสูรทมิฬสลายหายไปได้เพียงครั้งเดียว
“เอ๋?” เกล็นอุทานสงสัย สมองของเขาประมวลผลไม่ทันกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาผู้มีพระคุณ โดยที่ปรายตาสังเกตเงาตะคุ่มหายไปจากชั้นบนของอาคารฝั่งซ้ายมือ “ใครน่ะ…”
ทว่าไม่นานก็มีอีกเสียงหนึ่งดึงความสนใจของเกล็นให้รีบหมุนตัวกลับไปหา ร่างของชายสูงวัยหอบเหนื่อยก้าวออกจากเงามืด
“ปู่เกรกอรี่!” เกล็นวิ่งไปหาเกรกอรี่ทันที แล้วไม่ทันจะไถ่ถามอะไรมหาปราชญ์ก็ชิงพูดเสียก่อนด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ เนื่องจากพลุยังคงจุดอย่างต่อเนื่อง
“เกล็นไม่เป็นอะไรใช่ไหม เมื่อกี้ฉันเห็นท่าไม่ดีเลยรีบมาหา”
“ไม่เป็นไรครับ ช่วยได้ทันเวลาเลยล่ะ แต่ตอนนี้ฮันนาอยู่ในงาน เราควรทำยังไงดี!?” เกล็นส่งเสียงเต็มที่ตอบกลับ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวทางพวกเราจะจัดการกันเอง” เกรกอรี่ว่า “เพราะถ้าเป็นไป ฉันไม่อยากให้งานเลี้ยงเกิดความวุ่นวายเรื่องอสูรทมิฬเท่าไร…!”
“นั่นมันเวทแสงที่ผมเจอ!” เกล็นชี้ไปบนท้องฟ้าที่ตอนนี้แสงสีขาวพุ่งผ่านท้องฟ้าราวกับโจมตีอะไรสักอย่างผสมโรงกับพลุหลากสีสัน
“ดูเหมือนว่ากำลังไล่พวกคนร้ายออกไปนะ” ถึงจะมองไม่เห็นแต่เกรกอรี่เดาได้ว่าสถานการณ์ฝั่งเขาเป็นผู้ได้เปรียบ หนำซ้ำยังปิดข่าวนี้จากแขกผู้ร่วมงานได้อีกด้วย
“เดี๋ยวนะ แสดงว่าปู่ไม่ได้เป็นคนช่วยเรา!” เกล็นฉุกใจคิดถึงคำพูดแปลกๆ ของเกรกอรี่ ถ้าเวทแสงเป็นฝีมือของชายคนนี้จริงก็ไม่น่าใช้คำพูดแบบเมื่อครู่ “แต่เอาเถอะ ตามน้ำไปก่อนล่ะกัน สมองเราคิดอะไรแทบไม่ออกแล้ว”
แล้วเมื่อแสงสีขาวหายไป พลุก็หยุดการแสดงลงเช่นกัน ยิ่งสร้างความสงสัยให้เกล็นมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าถามเกรกอรี่ตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าคงไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจกลับมาเลยได้แต่เก็บความค้างคาไว้ แล้วค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ถาม ทว่าระหว่างจะทักถามว่าทำไมเกรกอรี่มาอยู่ที่นี่ เสียงร้อนรนจากอีกฝั่งก็ดังเรียกเกล็นให้สนใจ ชาร์ล็อตวิ่งตรงมาหาด้วยสีหน้าแตกตื่นเข้าโผกอดทั้งน้ำตา
“มะ มะ เมื่อกี้เกิดไรขึ้นน่ะเกล็น ตอนฉันตามหาเธอเห็นแสงอะไรไม่รู้พุ่งลงมา ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ดูเหมือนว่าชาร์ล็อตจะไม่เห็นอสูรทมิฬ…” เกล็นวิเคราะห์คำพูดของชาร์ล็อตที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่รู้เรื่องที่เขาโดนอสูรทมิฬจู่โจม
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่มันตัวอะไรไม่รู้ตกใจเสียงพลุแล้วปู่เกรกอรี่ช่วยไล่ให้น่ะ” เกล็นพยายามเฉไฉให้ได้แนบเนียนที่สุด “บางทีอาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่หลุดออกมาก็ได้ ตอนนี้มันคงกลับไปที่ที่ของตัวเองแล้ว…มั้ง”
“จะ จริงเหรอ…” ชาร์ล็อตผละออกจากร่างของเพื่อนสนิทแต่สีหน้าเธอดูยังไม่เชื่อเขาเท่าไร
เกล็นตัดสินใจใช้สายตาส่งเป็นสัญญาณบางอย่างให้เกรกอรี่รับรู้ โชคดีที่มหาปราชญ์เข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการจึงขยับตัวเข้าใกล้ชาร์ล็อต
“ขอโทษนะคุณหนูชาร์ล็อต แต่เหมือนจะมีใบไม้ติดผมมาด้วยน่ะ ฮะๆ” เกรกอรี่แกล้งทำทีหยิบใบไม้ออกจากผมเด็กสาวทั้งที่เขาเพิ่งเด็ดมา แล้วพยายามส่งสัญญาณตอบกลับเกล็นด้วยใช้นิ้วไขว้กันให้คล้ายกากบาท เกล็นจึงถอนหายใจแต่การกระทำนั้นก็ไม่หลุดรอดจากสายตาชาร์ล็อต
“มีอะไรหรือเปล่าเกล็น… ฉันว่าเธอดูแปลกไปตั้งแต่อาจารย์เคธีเรียกให้ไปเจอตอนวันที่อาจารย์ประชุมแล้วนะ” ชาร์ล็อตถามออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “ไหนจะที่พูดชื่อโจเอลย้ำๆ นั่นอีก”
กระนั้นความซื่อตรงของเด็กสาวกลับส่งผลดีต่อเกล็นมากกว่าที่สามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้สะดวกขึ้น “เธอน่ะคิดมากไปแล้ว อาจารย์ก็แค่เรียกให้ไปเอาบัตรนักเรียนนั่นแหละ อีกอย่างเธอก็รู้บางทีอาจารย์ก็ชอบคุยเรื่องย่าน่ะ ส่วนเรื่องโจเอลฉันแค่ตกใจที่เป็นคนของตระกูลบาสกิ้นเท่านั้นเอง ก็แหมตระกูลนั้นเป็นที่พูดถึงในวงสังคมอยู่ไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ ใครคิดว่าลูกหลานเขาจะรุ่นเดียวกับเรา แต่ฉันว่าตอนนี้พวกเรากลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวแมรีแอนน์จะเป็นห่วงตามไปอีกคนนะ”
แล้วเกล็นก็ดันหลังชาร์ล็อตให้เดินนำหน้าไปก่อน แต่ไม่วายหันกลับไปมองชั้นสามที่เขาเห็นเงาคน ครั้นจะถามเกรกอรี่ตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะกลัวชาร์ล็อตที่อยู่ด้วยถามเซ้าซี้จนความแตกขึ้นมา
“ละ แล้วคุณปู่เกรกอรี่ไม่ไปด้วยกันเหรอคะ…”
“อ้อ ไปสิ แต่ฉันอาจจะแยกกับพวกเธอไปก่อนนะ” เกรกอรี่ปั้นหน้ายิ้มบอกชาร์ล็อต “ฟังดูตลกดีนะ โดนเชิญมางานเลี้ยงองค์ชาย แต่มัวคุยอยู่กับคนกันเอง”
“เหอะๆ ก็ปู่น่ะแก่แล้วน่ะสิ” เกล็นทำเป็นพูดจาเหน็บแนม “งั้นผมก็ไปทางของตัวเองล่ะ”
จากนั้นเกล็นก็รีบพาชาร์ล็อตไปร่วมตัวกับเพื่อนคนอื่นโดยระหว่างทางขอร้องให้เธอเก็บเรื่องเวทแสงที่เห็นเป็นความลับ โดยอ้างว่าไม่อยากให้ราชินีเซซิเลียกับจูเลียสตกใจที่สัตว์แตกตื่นเพราะเสียงพลุ ซึ่งตอนนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเล่าให้ทั้งสองต้องกังวล ชาร์ล็อตพยักหน้าตกลงอย่างจำใจทั้งที่สีหน้าเธอยังข้องใจพฤติกรรมของเกล็นอยู่ ซึ่งด้านเกล็นก็มีความสงสัยไม่ต่างอะไรกับชาร์ล็อต เพราะเขาเองก็อยากรู้เจ้าของเวทแสงที่ช่วยเหลือเป็นใคร และดูเหมือนว่าถ้าถามเกรกอรี่หลังจากนี้ก็ไม่ได้คำตอบ เกล็นจึงได้แค่หวังว่าจะเป็นบุคคลที่ช่วยกู้วิกฤตให้เป็นโอกาส…
Comments (0)