ถึงเกล็นไม่ได้เข้าเรียนเลยในวันนี้ แต่เขาจำเป็นต้องไปยังห้องรับรองที่อาจารย์จัดเอาไว้ใหโดยเฉพาะ ณ อาคารเรียนหลัก เมื่อไปถึงเด็กหนุ่มก็พบเพื่อนในกลุ่มและเอราสต์รอกันอยู่แล้ว ไม่ทันจะได้ทักทายเป็นกิจจะลักษณะ ชาร์ล็อตก็โผเข้ากอดเกล็นทั้งน้ำตา เธอดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งหลังเขาหมดสติไปนานสามวัน เกล็นจึงตบไหล่เด็กสาวผมแดง ก่อนจะดันเธอเบาๆ

“ไม่ต้องร้องๆ ฉันสบายดีแล้ว” เกล็นบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยน แม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูหนักใจก็ตาม “เอาละ รีบเข้าเรื่องกันดีกว่า อย่างแรก…”

ดวงตาสีดำของเกล็นมองไปทางจูเลียสกับฟิเลน่าที่นั่งอยู่ใกล้กันบนโซฟาสีแดงฝั่งซ้ายมือ “ฉันถามตรงๆ เลยนะ ทำไมถึงตามพวกฉันมาได้?”

ไม่ใช่แค่เกล็นที่สงสัย คนอื่นๆ เองก็ด้วยเช่นกัน

“ตั้งแต่เปิดเทอมมา… พวกคุณดูแปลกๆ ไปน่ะสิครับ” จูเลียสเกริ่นขึ้น เสียงนั้นฟังดูแล้วกำลังน้อยเนื้อต่ำใจ จากนั้นเขาก็มองไปทางเอราสต์ซึ่งนั่งกอดอกบนที่วางแขนของเก้าอี้นวมสีแดงใกล้ๆ กัน ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นไม่พึงพอใจอยู่ลึกๆ “แล้วพอเห็นว่าคุยอะไรกับผู้ชายคนนั้นด้วย ผมก็สงสัยว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ”

“นายก็เลยแอบตามพวกเรามาสินะ?” อิกนิสถามเพื่อขอคำยืนยันจากองค์ชายซึ่งพยักหน้าตอบ

“ครับ”

“แล้วจูเลียสตามมาด้วยวิธีไหนเหรอคะ” คราวนี้แมรีแอนน์เป็นคนเอ่ย เธอรู้สึกข้องใจถึงวิธีการของจูเลียสที่ตามพวกเขามาถึงนาสได้

“ผมโกหกกับเด็กห้องสามน่ะครับว่ารู้สึกเวียนหัวกับยาหอมของเกล็น พวกเขาเลยอนุญาตให้ผมติดรถไปด้วย”

“หา?” คลาริสทำหน้าเหวอและอุทานเสียงสูง ไม่อยากเชื่อว่าจูเลียสจะอาศัยรถม้าคันอื่นตามมาได้ง่ายๆ “ยังจะอุตส่าห์เชื่อได้อีกนะ”

“พูดตามตรงก็ตกใจอยู่ แต่คงเป็นเพราะมีคนเรียนวิชาปรุงยาด้วยก็เลยเข้าใจล่ะมั้งครับ…”

เมื่อจูเลียสสารภาพความจริงว่าติดตามพวกเกล็นมาถึงมณฑลนาสได้อย่างไร สายตาทุกคู่เลยจับจ้องไปยังเด็กสาวผมลอนสีชมพูเข้มเพื่อเค้นคำตอบ

ฟิเลน่าก้มหน้าลงและทำมือขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาพลางปรายตามองจูเลียสที่นั่งข้างๆ

“ฉันเห็นท่านจูเลียสแปลกไป… ก็เลยตามไปดูแล้วเห็นว่าขึ้นรถของห้องอื่นไป ฉันเลยอ้างเหตุผลเดียวกับท่านจูเลียสขึ้นรถของห้องหนึ่ง…”

“แล้วทางนั้นก็เชื่อ?” เกล็นทำหน้าเหยเกมองฟิเลน่าที่พยักหน้ายืนยันว่าเป็นความจริง “โอ๊ยเนอะ ยาดมฉันไม่ได้กลิ่นแรงขนาดนั้นสักหน่อย”

ว่าจบ เกล็นก็ล้วงหยิบกระปุกโลหะสีเงินขนาดพอมือขึ้นสูมดมราวกับทำใจไม่ได้ที่มีคนมองยาดมมีกลิ่นแรงจนน่าเวียนหัว

“ของดีจะตาย” เขาพึมพำเสียงหงอย

“ในเมื่อรู้แล้วว่าคุณฟิเลน่าตามพวกคุณได้ยังไง เรามาเริ่มเรื่องเกี่ยวกับภารกิจต่อดีกว่า” เอราสต์ยิ้มบางๆ ให้ทุกคนในห้อง แล้วผายมือไปทางฟิเลน่า “ทางคุณฟิเลน่ามีอะไรสงสัยหรือเปล่าครับ?”

“เอ่อ… มันมีเยอะจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลย” ฟิเลน่าบีบมือเบาๆ ไม่รู้จะเริ่มตั้งถามจากจุดไหนก่อนดี เพราะทันทีที่เดินเข้าถ้ำได้ไม่นานก็เกิดการต่อสู้ขึ้น พอจัดการศัตรูเสร็จเธอก็ต้องดูแลแมรีแอนน์ที่สลบไป มันจึงทำให้ฟิเลน่าไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูก รู้แค่ว่าพวกเกล็นกำลังตามหาอะไรสักอย่างจากที่ฟังคนอื่นๆ พูดกัน

“งั้นเอาอย่างนี้ ฉันจะอธิบายทั้งหมดตั้งแต่แรกให้ฟังเอง” เกล็นยกมืออาสาเป็นคนบอกทุกอย่างให้จูเลียสกับฟิเลน่าฟัง

โดยเล่าตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนที่แมรีแอนน์กับแม่ของเธอรอดชีวิตจากการโจมตีของกลุ่มคนที่ต้องการคืนชีพมังกรร้ายเชเบอร์ทอส ทว่ามิเดียเน่กลับสูญเสียความทรงจำจึงไม่ได้ขอความช่วยเหลือใดๆ จนกระทั่งมีผู้หญิงสองคนที่พวกเขาเคยเจอชื่อฮันนากับคริสต้าบุกมายังป่าหลังโรงเรียนเพื่อตามหาผลึกของตระกูลลูมิเธอร์ซึ่งถูกซ่อนเอาไว้ แต่เกล็นได้เก็บมันและส่งให้เกรกอรี่ไปก่อนหน้านั้นแล้ว ทำให้พวกเขาที่รู้ความจริงเรื่องนี้ต้องตามหาอีกสามชิ้นที่เหลือ ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่ที่มณฑลนาส

“ส่วนผู้ชายที่เจอกับจูเลียสชื่อซิกมุนท์ แต่ดูเหมือนว่าหมอนั่นเอาของปลอมไปแทนของจริงที่โยนคืนมา โชคดีที่คลาริสเก็บไว้”

“เอ๋?” จูเลียสเอียงคอและกะพริบตาปริบๆ มองเกล็นอย่างฉงน​ “ฟังดูแปลกๆ นะครับ ว่าทำไมเขาถึงเอาของปลอมไป”

“มันจะเป็นแผนอะไรหรือเปล่า” อิกนิสพูดพร้อมเท้าเอวข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างแตะปลายคางครุ่นคิดด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจศัตรู

“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่าทำไม” เกล็นส่ายหน้าตอบ ก่อนจะก็มองจูเลียสสลับกับฟิเลน่า “พอได้ยินแบบนี้แล้ว พวกนายสองคนจะเอายังไงต่อ?”

“หมายความว่ายังไงครับ?” จูเลียสย้อนถามอย่างไม่เข้าใจที่เพื่อนจอมเวทจะสื่อ

“หมายความว่านายจะไปต่อกับพวกเราหรือจะหยุด” คลาริสขยายความเพิ่ม “ถ้าไปต่อนายต้องสู้กับพวกนั้นอีก”

“ระ เรื่องนั้น…” องค์ชายหนุ่มแสดงทีท่าลำบากใจแล้วสบตากับฟิเลน่า

“ถ้าหยุดไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะ แต่ขอแค่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” เอราสต์ว่าต่อ นั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มสาวสองคนเงียบ บรรยากาศในห้องรับรองจึงอึมครึมกดดันจูเลียสกับฟิเลน่า

“ฉัน…” คุณหนูสาวเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ฉันว่าจะไปด้วย!

“เอ๋/หา!?”

นับเป็นเรื่องผิดคาดสำหรับทุกคนที่ฟิเลน่าตัดสินใจจะไปด้วย ชาร์ล็อตจึงย้ำถามขอความแน่ใจจากหล่อน

“นึกยังไงของเธอน่ะ เห็นๆ กันอยู่ว่าต้องเจออะไร!

“อะไร! พวกเธอถามเองไม่ใช่เหรอว่าจะไปต่อหรือหยุด พอฉันเลือกจะไปด้วยก็ทำท่าจะค้าน” ฟิเลน่าลุกขึ้นพรวดเท้าเอวเถียงชาร์ล็อตกลับเสียงแข็ง “ไม่ต้องมาย้ำด้วยว่าเจอกับอะไร ฉันเห็นเต็มสองตาแล้วย่ะ! เพราะงั้นถึงต้องมีฉันไปด้วยไงล่ะ!

“อ้อ… เข้าใจล่ะ” เกล็นลากเสียงยาวรู้เหตุผลที่ฟิเลน่าตัดสินใจไปกับพวกเขา

(มันก็ดีหรอกนะ แต่อดไม่ห่วงน่ะไม่ได้สิ…) เขาคิดอย่างเป็นห่วง

“ขอบใจที่เป็นห่วงพวกเรานะ แต่ฉันก็อยากให้เธอทบทวนมากกว่านี้หน่อยได้ไหม…” เกล็นว่าขึ้นเสียงแผ่วเบา ไม่กล้าตอบโต้อย่างดุเดือดกับฟิเลน่าแบบที่ชาร์ล็อตทำ “เอางี้ไหม ทั้งเธอทั้งจูเลียสเก็บไปคิดก่อน ไว้พวกปู่เกรกอรี่ได้เบาะแสของผลึกอีกชิ้นแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”

เพราะเห็นว่าเกล็นแสดงท่าทีค่อยๆ พูดค่อยๆ จา ฟิเลน่าจึงหยุดแล้วทรุดกายนั่งลงตามเดิม แม้ว่าสีหน้าและสายตาของเด็กสาวจะไม่สบอารมณ์อยู่ ดังนั้นเด็กหนุ่มผมฟ้าจึงลอบถอนหายใจโล่งอกที่อย่างน้อยคุณหนูตรงหน้ายอมฟัง ด้านจูเลียสที่ยังไม่ได้บอกว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ต่อก็ได้แต่เงียบเพื่อเก็บไปไตร่ตรองอย่างที่เกล็นว่า ถึงใจขององค์ชายจะมีคำตอบอยู่แล้ว

 

เมื่อรายงานสถานการณ์ปัจจุบันเสร็จ ทั้งหมดจึงทยอยเดินออกจากห้องรับรองกัน โดยที่ฟิเลน่าก้าวเท้าฉับๆ ออกเป็นคนแรกเพื่อไปสมทบกับเพื่อนสนิทอีกสองคนที่รออยู่ ตามด้วยเอราสต์ที่เหมือนจะมีนัดกับใครบางคน ส่วนคนที่เหลืออย่างเกล็นที่ถึงแม้เจ้าตัวบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว แต่ชาร์ล็อตก็คอยประกบเพื่อนวัยเด็กไม่ห่าง

ทั้งที่รู้แบบนั้นทว่าในใจของอิกนิสกลับรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดีกว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่แปลกที่ชาร์ล็อตจะเป็นห่วงเกล็นที่หมดสติไปถึงสามวัน

“พอแล้วน่า! ฉันจะไปข้างนอก” เกล็นโพล่งขึ้นและเร่งฝีเท้าหนีเด็กสาวผมแดง แต่ชาร์ล็อตไม่วายวิ่งตามไปติดๆ จนเกล็นต้องขอความช่วยเหลือจากจูเลียส แล้วมีคลาริสคอยป่วนอีกต่างหากราวกับพวกเขากำลังเล่นวิ่งไล่จับ กลายเป็นภาพความวุ่นวายในสายตาของอิกนิส

“ดูสนุกกันดีจังนะคะ” แมรีแอนน์หัวเราะคิกคักกับภาพตรงหน้า ทว่าอิกนิสกลับสังเกตว่าแววตาของเด็กสาวคนนี้แฝงด้วยอารมณ์บางอย่าง “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

ดวงตาสีชมพูช้อนมองคนตัวสูงกว่าด้วยความสงสัย อิกนิสรีบเบือนหน้าหนีราวกับถูกอีกฝ่ายจับได้

“มะ ไม่มีอะไร…”

“แมรีแอนน์!” เกล็นตะโกนเรียกความสนใจของเด็กสาว เขากำลังโบกมือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไปข้างนอกกัน! เจอของเจ๋งๆ ด้วยล่ะ!

“แหม เกล็นล่ะก็ ไม่เห็นต้องตะโกนเลย” แมรีแอนน์พึมพำเสียงเบาด้วยรอยยิ้มกับท่าทางของเกล็นโดยที่สายตาของเธอแฝงความรู้สึกแปลกๆ ในความคิดของอิกนิส จากนั้นเธอก็โบกมือและส่งเสียงตอบกลับ “ขอโทษนะคะ พอดีว่าฉันกับอิกนิสจะคุยเรื่องหอหน่อยน่ะค่ะ”

“เอ๋!?” อิกนิสอุทานอย่างตกใจและหันขวับมาทางแมรีแอนน์ เขาค่อนข้างมั่นใจเลยว่าเด็กสาวโกหกคำโตเพื่อปฏิเสธเกล็นที่กำลังทำหน้าเสียดายที่แมรีแอนน์ไม่ได้ไปด้วย ก่อนที่เพื่อนจอมเวทจะทำตาโตและยิ้มกว้าง หน้าตาดูพิลึกพิลั่น จากนั้นเกล็นก็แยกตัวเข้าเมืองเพื่อดูของอะไรบางอย่าง

“งั้นเราก็ไปเดินเล่นแถวแม่น้ำหลังโรงเรียนกันดีกว่าค่ะ” แมรีแอนน์พูดเสียงแผ่วเบาพร้อมยกมือเกาะแขนเสื้อของอิกนิสราวกับจะมัดมือชกให้ไปด้วยกัน ทำให้เด็กหนุ่มผมดำต้องลอบหฃถอนหายใจ

เมื่ออิกนิสยิมยอมจะไปเดินเลียบแม่น้ำหลังโรงเรียน ทั้งคู่จึงมีเวลาเป็นส่วนตัว แมรีแอนน์เดินชี้นกชี้ไม้ชวนคุยไปเรื่อย พูดเรื่องเรียนบ้าง เรื่องการตามหาผลึกบ้าง หรือเรื่องไร้สาระ นั่นเลยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของอิกนิสเมื่อสักครู่หายไป เขาแสดงท่าทางผ่อนคลายกว่าตอนแรก จากนั้นแมรีแอนน์ก็ยื่นของสิ่งหนึ่งให้ เมื่อรับมันมาจึงได้รู้ว่ามันคือห่อช็อกโกแลตขนาดเล็กพอดีคำ

“นี่เธอพกมันเหรอ?” อิกนิสขมวดคิ้วมองแมรีแอนน์ที่แกะห่อช็อกโกแลต “มันไม่ดีเลยนะที่จะพกขนมมาตอนมีวิชาเรียนแบบนี้” เขาตำหนิเสียงจริงจังที่เด็กสาวละเมิดกฎโรงเรียน

“คิกๆ ว่าแล้วเชียวต้องพูดแบบนี้” แมรีแอนน์หัวเราะ จากนั้นเธอก็หยิบขนมหวานใส่ปาก ด้วยรสชาติของมันทำให้แมรีแอนน์หลับตาพริ้มค่อยๆ ละเลียด เมื่อกินหมดเด็กสาวลืมตาอีกครั้งแล้วมองอิกนิส “เขาว่าขนมหวานจะช่วยให้คนอารมณ์ดีขึ้น อิกนิสลองดูสิคะ”

เพราะรู้สึกว่าหากไม่ทำ เขาจะถูกแมรีแอนน์คะยั้นคะยอให้กินช็อกโกแลตให้ได้ อิกนิสจึงแกะห่อแล้วเอาขนมเข้าปาก แล้วปลายลิ้มก็สัมผัสกับรสชาติหวานกำลังดีของส่วนประกอบ จนเขาปล่อยให้มันค่อยๆ ละลายเพื่อซึมซึบความอร่อยที่ถูกปาก สีหน้าของเด็กหนุ่มผ่อนคลายกว่าทีแรก

“จริงอย่างที่เขาว่าเลย!” แมรีแอนน์ปรบมือสองสามทีเบาๆ “เป็นยังไงบ้างคะ อารมณ์ดีขึ้นหรือยังเอ่ย?”

เธอถามกับอิกนิสที่หลุดจากภวังค์จากความอร่อยของช็อกโกแลต

“พะ พูดอะไรของเธอ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” อิกนิสบ่ายเบี่ยงทำเป็นไม่เข้าใจ แต่เมื่อปรายตามองเพื่อสังเกตสีหน้าและการกระทำของแมรีแอนน์เด็กหนุ่มก็พบว่าเธอแสดงรอยยิ้มเจื่อนๆ “เป็น… อะไรไปเหรอ?”

แมรีแอนน์ส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเงยหน้ามองอิกนิส รอยยิ้มที่เขาเห็นเมื่อสักครู่หายไปแล้วก็จริง แต่อิกนิสยังสัมผัสถึงความเศร้าจากตัวเด็กสาว

“ฉันอยากช่วยคุณค่ะ” แมรีแอนน์เอ่ยขึ้นขณะค่อยๆ ก้าวเขย่งไปด้านหน้า “เพราะว่าฉันคิดว่าคุณน่าจะมีเรื่องทุกข์ใจเหมือนกัน”

“เหมือนกัน?” อิกนิสเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย “เธอมีเรื่องอะไรทุกข์ใจงั้นเหรอ ถ้าสะดวกใจก็ระบายมาได้นะ”

“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวหันกลับมาและส่งยิ้มบางๆ “อย่างที่บอกไปฉันอยากช่วยคุณเท่านั้นเอง”

อิกนิสผงกศีรษะตอบรับอย่างเดียว ไม่ซักไซ้ให้แมรีแอนน์รู้สึกหนักใจ แม้ใจของเขาจะอยากรู้ว่าเด็กสาวมีเรื่องอะไร ที่ผ่านมาอิกนิสไม่เคยเห็นเธอแสดงสีหน้าเช่นนั้น จนกระทั่งเมื่อสักครู่ที่เขาเห็นรอยยิ้มดูทุกข์ใจ

“เหมือนกัน…งั้นเหรอ?” อิกนิสครุ่นคิดถึงคำพูดของเพื่อนร่วมชั้นพร้อมยกมือแตะลงบนหน้าอกของตัวเอง แต่แล้วภาพที่ชาร์ล็อตเดินคู่กับเกล็นก็แวบเข้ามาในสมอง เด็กหนุ่มผมดำเม้มปากแน่นพลางส่ายหน้าราวกับต้องการสลัดความคิดนั้นออกไป

[ได้ยินว่ามีคู่หมั้นแล้วนะ]

เสียงอลิสาผู้เป็นแม่ดังขึ้น

“มันก็แค่ข่าวลือ…” เขาคิด ทว่าไม่นานอิกนิสก็ตั้งคำถามกับตัวเอง “แล้วทำไมเราถึงอยากให้มันแค่ข่าวลือล่ะ…?”

แล้วดวงตาสีม่วงอ่อนก็มองไปยังบริเวณภูเขา นึกถึงสถานที่ที่หนึ่งในความทรงจำซึ่งส่องแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวบนฟากฟ้าในยามพระอาทิตย์ตกดิน