7 ตอน บทที่ 6: วันแรกของเกมก็ปกติดี
โดย RiFourver
ทีแรกเกล็นมีความคิดที่จะเอาเรื่องของแมรีแอนน์ไปบอกกับเกรกอรี่ แต่การเจอกันโดยบังเอิญเมื่อสักครู่นี้ เขากลับต้องมานอนคิดทบทวน เพราะการมีชีวิตมาทั้งสองชาติก็อยู่อย่างสงบสุขมาโดยตลอด จู่ๆ จะให้ไปต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดด้วยไม่เอาหรอก เกล็นยอมรับเลยว่ากลัวเจ็บและตาย ดังนั้นด้วยความรู้สึกนี้เองในหัวของเด็กหนุ่มจึงมีตัวเลือกสามแบบ
หนึ่ง แหกเนื้อเรื่องเกม ด้วยการบอกเกรกอรี่ แต่ถ้าเลือกแบบนั้นผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ? สถานะของแมรีแอนน์จะถูกเปิดเผยเลยหรือเปล่า เจ้าตัวจะรับได้ไหม?
สอง ไม่บอกเกรกอรี่ แล้วพยายามไม่เข้าใกล้ชิดแมรีแอนน์ อยู่เป็นเพื่อนร่วมห้องธรรมดาคนหนึ่ง แต่เรื่องนี้คงเป็นไปได้ยาก สุดท้ายถ้าเป็นไปตามเกม เขาต้องอยู่ทีมเดียวกันอยู่ดี
สาม เป็นไปตามเกม ไม่บอกเกรกอรี่ ปล่อยให้อะไรเกิดก็เกิดไป…
“ไม่สิ… จะเป็นตามเกมได้ไง”
เกล็นพึมพำรู้สึกหนักใจ เพราะสิ่งที่เจอมาก็นอกบทซะเยอะ เริ่มจากแมรีแอนน์ไม่ได้เป็นที่ถูกจับตามองในฐานะนักเรียนทุน แถมอยู่คนละหอกับเขา ไม่ใช่แค่เธอ หนึ่งในตัวหลักอย่างอิกนิสก็ด้วย ไหนจะเพิ่งออกไปช่วยหาเครื่องราง แล้วนิสัยเกล็นกับชาร์ล็อตก็…
คิดได้ดังนั้นเกล็นพลันหน้าซีด เมื่อชาร์ล็อตที่ไม่ได้เป็น ‘ลูกสาวคนเดียว’ ตามข้อมูลเกม เท่ากับว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ตรงกับเกมตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ระลึกชาติได้ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าการมีตนตัวของวิลลี่จะส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหน
“มาอีหรอบนี้จะเอาไงดีวะเนี่ย” เกล็นลูบหน้าเครียด สมองเริ่มตันหาทางแก้ไขปัญหา
จนในที่สุดเกล็นก็ตัดสินใจได้ นั่นคือการประคองให้เป็นไปตามเกมมากที่สุดไปก่อน เพราะขืนปล่อยเลยตามเลยหรือเร่งรัดกระโดดข้าม เรื่องราวที่พอจำได้อาจจะใช้ไม่ได้อีกเลย อย่างน้อยรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่น อีเวนต์สอบปลายภาค ถ้าฝึกปรือทักษะไว้ศัตรูที่เจอคงจะไม่คณามือ แล้วถ้ายังจัดกลุ่มเหมือนในเกม เท่ากับปาร์ตี้ได้คนเก่งอย่างจูเลียสและอิกนิส แถมทั้งคู่ก็นิสัยดี มีเหตุผลดีๆ ไปอธิบาย จูเลียสกับอิกนิสก็ย่อมเก็บไปพิจารณาทำตามที่เสนอไป ปัจจัยอื่นอย่างชาร์ล็อตค่อยว่าอีกที ยังไงก็คุยกันได้อยู่แล้ว
พอวางแผนชีวิตอนาคตได้ เกล็นคลายความเครียดทีละน้อยแล้วผล็อยหลับไป
จากเรื่องคิดมากเมื่อคืนกว่าจะได้หลับจริงๆ ก็ล่วงเวลานอนปกติ เกล็นจึงมีสภาพสะลึมสะลือเมาขี้ตาลากสังขารจากเตียงนอนไปอาบน้ำแต่งตัว เตรียมเข้าปฐมนิเทศกับอาจารย์ประจำชั้นและทำความรู้จักเพื่อนร่วมห้อง เพราะต้องการตำแหน่งดีๆ เด็กหนุ่มไม่รอช้าตรงดิ่งไปห้องเรียนตามที่ระบุในเอกสาร ไม่สนใจเพื่อนสนิทสักนิดว่าเจ้าหล่อนตื่นหรือยัง แล้วไม่ลืมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างทาง ด้วยการทำตัวเป็นรุ่นน้องผู้เต็มเปี่ยมมิตรไมตรี ทักทุกคนที่ขวางหน้าให้บรรดารุ่นพี่ประทับใจจดจำในฐานะน้องที่มันชอบทักไปทั่ว
โดยอาคารเรียนที่นี่ก่อเป็นตึกสูงทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเว้นว่างตรงกลางเป็นสนามหญ้ามีทางเดินลัด สำหรับเด็กปีหนึ่งห้องเรียนจะอยู่ชั้นแรก ไม่ต้องเหนื่อยกับการขึ้นบันได เมื่อถึงห้องเรียนที่เป็นแบบอัฒจันทร์ไล่เป็นพื้นต่างระดับ หน้าห้องมีพื้นที่กว้างพอให้อาจารย์เดินสอนได้สะดวก หน้าต่างห้องนอกจากสูงแล้วยังอยู่ด้านหลังไม่สามารถนั่งเหม่อชมวิวได้
ที่นั่นมีนักเรียนประมาณห้าหกคนมาก่อนหน้าเด็กหนุ่ม หนึ่งในนั้นมีชาร์ล็อตรวมอยู่ด้วย เธอนั่งอยู่แถวเกือบหลังสุดตามที่สัญญาไว้ว่าให้รีบไปจองโต๊ะก่อน ไม่ใช่แค่เพื่อนสมัยเด็กที่นั่งอยู่ลำพัง แต่เธอกำลังพูดคุยสนุกสนามกับแมรีแอนน์ที่นั่งแถวสุดท้าย
ถ้าไม่เข้ารูทเกล็น สองคนนี้ก็ถือว่าจะเป็นเพื่อนสนิทกันซึ่งไม่แปลกเลยที่ทั้งคู่จะเข้าหากันได้ง่าย ผิดกับเขาที่รู้สึกประหม่าขึ้นมา คอยพร่ำบอกกับตัวเองว่าอย่างไปเกร็งปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เป็นธรรมชาติ ให้มองแมรีแอนน์เป็นคนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่นางเอกเกม คิดได้เช่นนั้นเกล็นจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเดินขึ้นไปหา แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยทักทาย แมรีแอนน์ก็สังเกตเห็นเขาและชิงสวัสดีก่อนด้วยรอยยิ้มละมุนเป็นเอกลักษณ์
“อรุณสวัสดิ์ค่ะเกล็น ดีใจจังเลยที่พวกเราได้อยู่ห้องเดียวกันนะคะ”
“เอ๊ะ?” ชาร์ล็อตอุทานขึ้นมองสลับคนทั้งคู่อย่างงุนงงว่าไปทำความรู้จักกันตอนไหน ถ้าตอนนั้นหูไม่แว่วเพื่อนเธอเรียกชื่อแมรีแอนน์ก่อนเป็นลมด้วย “พวกเธอรู้จักกันมาก่อนเหรอ?”
“ค่ะ รู้จักกันมาก่อนค่ะ” น้ำเสียงหวานตอบมั่นใจ
“ถึงจะเมื่อคืนก็เถอะ แฮะๆ” อีกฝ่ายบอกเสียงเบากันไม่ให้คนอื่นได้ยิน ยิ่งทำให้ดวงตาสีทองเบิกกว้างสงสัยหนักกว่าเดิมพร้อมแสดงท่าทางต้องการคำตอบด้วยการยกมือยักไหล่
“เมื่อวานฉันทำของตกค่ะ แล้วเพิ่งรู้ตัวตอนกลางคืนเลยแอบลงมา ตอนเดินเลาะหลังหอเกล็นคงเห็นเข้าเลยลงมาช่วยด้วยน่ะค่ะ”
“แล้วรูมเมตไม่ว่าอะไรเหรอนั่น”
“ฮ่าๆ” เกล็นพ่นเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “ฝั่งผู้ชายเหลือเศษคนหนึ่ง แล้วดวงดีได้อยู่คนเดียวอะนะ”
ผิดกับเพื่อนใหม่ส่งยิ้มน้อยๆ ตอบ “ฉันก็เหมือนกันค่ะ ว่าแต่… ทั้งคู่ดูสนิทกันจังเลยนะคะ”
“อืม พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ น่ะ”
“มิน่าล่ะ ดูสนิทสนมกันตั้งแต่วันแรก” แมรีแอนน์ส่งเสียงขบขัน เข้าใจแล้วว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้อยู่ด้วยกันตอนเจอครั้งแรก แล้วต่อบทสนทนาที่ค้างไว้ก่อนที่เกล็นจะเข้ามา “ถ้าอย่างนั้น พวกคุณมาจากมอสเซียน่าก็คงเดินทางเหนื่อยน่าดูเลยสินะคะ”
“ค่อนข้างน่าเบื่ออยู่” ชาร์ล็อตถอนหายใจกับความน่าเบื่อที่ต้องใช้เวลาเดินทางเยอะ “แต่พอมีมูเอลก์น่าจะเร็วขึ้นเยอะเลยล่ะ แล้วบ้านเธออยู่ไหนเหรอ?”
“อยู่ริโคนิกค่ะ”
“อ๋า ดีจังนะ อยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง ส่วนพวกเราอยู่คนละฟากฝั่งเลยล่ะ” เกล็นบ่นเรื่องระยะทาง โชคดีที่พ่อชาร์ล็อตซื้อมูเอลก์มาไม่งั้นการเดินทางกลับช่วงปิดเทอมเป็นอะไรที่เสียเวลา
“แต่โรงเรียนนี้ทำให้พวกเราได้อยู่ใกล้กันนะคะ” แมรีแอนน์พูดพร้อมชูนิ้วชี้สองข้างเว้นระยะห่าง แล้วค่อยขยับเข้าหากันสื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์
ส่วนคนนั่งฟังนึกจั๊กจี้หัวใจ “ถ้าเป็นเพื่อนชาติก่อนคงหัวเราะเยาะไปแล้ว”
“โทษที ตรงนี้ว่างหรือเปล่า?”
เกล็นเหลียวหลังไปทางเด็กหนุ่มผิวแทนเจ้าของเสียงห้าวที่มีรูปร่างสูงกว่าเด็กวัยสิบหกทั่วไป ท่าทางการเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงดูแข็งแรง ผมสั้นจัดไม่เป็นทรงสีแดงไวน์ ดวงตาคมสีม่วงอ่อนชวนหลงใหล ชี้ตรงเก้าอี้ข้างแมรีแอนน์
“ไม่มีค่ะ เชิญเลยค่ะ” แมรีแอนน์ตอบกลับเสียงใส ดันเก้าอี้เบาๆ พร้อมแนะนำตัวเป็นมิตรกับอีกฝ่าย “ฉันแมรีแอนน์ ไบลธ์ ค่ะ”
เมื่อมีคนเปิด เด็กหนุ่มผมสีไวน์คนนั้นก็ยิ้มแฉ่งเป็นกันเอง
“ฉันคลาริส” เขาเอ่ยแค่นั้นไม่ยอมบอกนามสกุล
“ฉันว่ามันไม่ใช่การแนะนำตัวที่ดีเท่าไรนะ” ชาร์ล็อตยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางแย้ง
“เหรอ? อืม...” เด็กหนุ่มชื่อคลาริสลูบคางทำสีหน้าลำบากใจที่จะบอกชื่อเต็มๆ ของตัวเอง เขายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วทำการแนะนำตัวเป็นทางการใหม่อีกครั้ง “มันก็จริงของเธอนะ งั้นเอาใหม่ก็ได้ ฉันคลาริส ฟรานเซนไทน์น่ะ”
ในบรรดาสามคนที่นั่งอยู่ มีแค่แมรีแอนน์ผงะตกใจ ขณะที่ชาร์ล็อตชอบออกงานสังคมกับแม่อยู่แล้ว เลยเจอคนใหญ่คนโตค่อนข้างบ่อย ส่วนเกล็นปรายตามองอิกนิสแฝดผู้พี่ตามสัญชาตญาณ เขานั่งอยู่แถวหน้าสุดกำลังคุยกับเพื่อนคนอื่น เพราะสาเหตุนี้แฝดคนน้องเลยเลือกที่นั่งตรงกับข้าม โดยเกล็นก็ได้สังเกตวิธีการตอบโต้ของอิกนิสที่ถามคำตอบหรือแค่พยักหน้าเฉยๆ ทำให้เขาดูเป็นคนเข้าถึงยากกว่าที่คิด ผิดกับคลาริสที่หัวเราะชอบใจและถือวิสาสะลูบหัวแมรีแอนน์อย่างเอ็นดู
“อย่างกับแฮมสเตอร์ที่บ้านเลย มันเคยตกใจแบบตะกี้เลย ฮ่าๆๆๆ”
“ฮะ เลี้ยงด้วยเหรอ?” เกล็นเผลอปากถามไม่รู้ว่าหนุ่มตรงหน้าเลี้ยงแฮมสเตอร์ คลาริสที่ไม่เอะใจรูปประโยคก็ตอบปกติ
“อืม เลี้ยงอยู่ตัว แต่ก็ไปแล้วล่ะ โอ๊ะ! ไม่ต้องเศร้าหรอก มันถึงอายุขัยแล้วน่ะ” คลาริสรีบบอกหลังเห็นสองสาวทำหน้าจะร้องไห้
“ก็อายุขัยแฮมสเตอร์อยู่ช่วงกำลังผูกพันเลยนี่นา" ชาร์ล็อตตอบเสียงสั่นเข้าใจความรู้สึก
“ที่พูดมามันก็ใช่แหละ” คลาริสผงกหัวตอบ “ตอนนั้นน้องสาวฉันก็ร้องไห้ไปตั้งสามวัน”
“ฮะ มีน้องสาว...”
ไม่ทันจะถามว่ามีน้องสาวด้วยเหรอ เพราะในข้อมูลตัวละครไม่ได้บอกเรื่องนี้ จู่ๆ บรรยากาศในห้องก็เงียบกริบ สายตาทุกคู่พุ่งเป้าไปยังร่างสง่าของเจ้าชายจูเลียสกับเหล่าเด็กสาวสามคนที่หนึ่งในนั้นคือเจ้าของเสียงสูงหัวเราะโฮะๆ ถ้าผมยาวลอนม้วนสีชมพูเข้มเป็นสีทองประกายล่ะก็ คาแรกเตอร์ของเธอคนนั้นก็คงตรงกับตัวละครคุณหนูยุคเก่าไม่มีผิด
จูเลียสยืนนิ่งที่หน้าห้องเรียนแล้วกวาดสายตามองทั่วห้องก่อนจะเร่งฝีเท้ามานั่งใกล้ชาร์ล็อต เขาผงกศีรษะและยิ้มเป็นมิตรให้เพื่อนร่วมชั้น แต่แทนที่คุณหนูจะหัวเสียกับชาร์ล็อตที่ได้อยู่ใกล้กับจูเลียส นัยน์ตาสีแดงตวัดไปทางแมรีแอนน์ สะบัดพัดผ้าลายลูกไม้สีน้ำเงินเข้มกางป้องปากลั่นวาจายโสโอหัง
“ตายจริง นี่เป็นเวรกรรมอะไรของฉันนะ เฮ้อ”
“อ้าว ทำไมเหรอฟิเลน่า?” สาวผมยาวตรงสีดำเสแสร้งถามเหตุผล
“ก็ห้องมีสามัญชนอยู่คนหนึ่งน่ะสิเคจ”
ทั้งสองคนหัวเราะคิกคัก แมรีแอนน์จึงก้มต่ำสลดต่อคำพูดเย้ยหยันที่ยังไม่หยุดปาก
“พะ พวกเธอพอแล้วน่า” เด็กสาวตาตี่ปราม
“ลิเลียนเนี่ยใจดีจังเลย” มันไม่ใช่คำถากถาง ทุกคำพูดนั้นล้วนจริงจัง “แต่คนแบบนั้นไม่ต้องใส่ใจหรอก...”
“เป็นสามัญชนแล้วมันยังไงเหรอ?” เสียงทุ้มนุ่มถามขัดคอรำคาญการเหน็บแนมของฟิเลน่า
มันค่อนข้างกะทันหัน เด็กสาวหัวโจกเลยสะอึกที่หาคำตอบให้อิกนิสไม่ได้ ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็หน้าซีดตามกัน ทั้งสองคนจ้องเขม็งไม่มีใครยอมใคร จนลิเลียมดึงชายเสื้อของฟิเลน่าเบาๆ เธอจึงล่าถอยพร้อมส่งเสียงฮึดฮัดเดินกระแทกกระทั้นไม่สบอารมณ์ที่ถูกตำหนิและยังไม่ได้นั่งข้างจูเลียส
“ช่วยไม่ได้น่า” คลาริสยักไหล่ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้
“ฉากต้นเกมสินะ”
มันเป็นเหตุการณ์สั้นๆ ที่ฟิเลน่า ยูเรลล่า ตัวละครรูทจูเลียสพูดจาไม่ดีใส่นางเอก เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลขุนนางที่สนิทสนมกับราชวงศ์ เนื่องจากพ่อเป็นเพื่อนกับอาของจูเลียส เลยได้พบปะกันบ่อย ด้วยอายุที่เท่ากัน หน้าตาหล่อ นิสัยดี ประวัติเลิศ ฟิเลน่าจึงตกหลุมรักแบบหัวปักหัวปำ จูเลียสเห็นว่าเป็นลูกเพื่อนของคนในครอบครัว ก็เลยยอมให้เกาะแกะไปไหนมาไหนตลอด ความใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์นี้เองทำให้ตระกูลที่ยศต่ำกว่ามีความเกรงใจ
แต่ไม่ใช่กับฟรานเซนไทน์ที่มียศสูงกว่า อีกทั้งประเทศนี้ตระกูลดยุกเปรียบเสมือนรัชยาท ในกรณีมีการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ปัจจุบันไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม อย่างอมาดิออสเคยเป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับเลือกจากสภาขุนนาง ดังนั้นฟิเลน่าย่อมรู้สถานภาพดีเลยเลือกเก็บความขุ่นเคืองมากกว่าระเบิดออกมา หาเรื่องไปก็มีแต่เสียกับเสีย
ปัญหาชนชั้นถูกคลี่คลายอย่างรวดเร็ว เสียงเซ็งแซ่กลับมาอีกครั้ง กระทั่งชายวัยประมาณยี่สิบกลางๆ โผล่พ้นบานประตูเข้ามาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มน่าเข้าหา เขานั้นมีผมสีน้ำเงินเข้มตัดสั้นเรียบร้อยและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดูใจดี
เกล็นกระตุกยิ้มไม่แปลกใจที่แมทธิว เพียร์ซ เป็นอาจารย์ประจำชั้น ชายหนุ่มทักทายและแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ ชี้แจงเกี่ยวกับวิชาเรียน ข้อปฏิบัติต่างๆ ในตึก กฎการเข้าป่าหลังโรงเรียนสำหรับภาคสนาม ย้ำเรื่องเวลาเปิดปิดประตูใหญ่ของโรงเรียน แจกตารางสอนเป็นการปิดท้าย ประกาศให้แยกย้ายตามอัธยาศัย
“ทำไมเราต้องเรียนอะไรหนักหัวตั้งแต่เช้าวันจันทร์ด้วยเนี่ย” เกล็นบ่นอุบกับวิชาเศรษฐศาสตร์ มีชาร์ล็อตกับคลาริสกอดอกพยักหน้าเห็นพ้อง ถือเป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลง เพราะทั้งสองคนนี้ในเกมไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
“แต่แบบนี้อาจจะดีกว่าก็ได้”
“เกล็นเป็นอะไรไปเหรอคะ?” เสียงหวานถามที่เห็นเกล็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“มะ ไม่มีอะไร”
ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากรอยยิ้มหวานของเด็กสาว
ถึงการปฐมนิเทศห้องเรียนมีแค่ครึ่งวัน แต่นักเรียนก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกโรงเรียน ทั้งสี่จึงใช้โอกาสนี้สำรวจทุกซอกทุกมุมในเขตโรงเรียน แล้วการทักไปทั่วของเกล็นเริ่มเห็นผล ไม่ว่าจะไปตรงไหน ถ้าบังเอิญเจอรุ่นพี่หอเดียวกันก็จะมีการทักกันเล็กน้อย หนำซ้ำยังได้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารของโรงเรียนว่าในทุกๆ วันจะมีเมนูเลิศรสจำกัดจำนวน แต่การที่พวกเกล็นเลือกเดินโต๋เต๋ก่อนเลยชวดกินของอร่อย ถึงอย่างนั้นพวกเขายังมีอาหารนานาชาติให้ชิมกัน
“สีน่ารักจังเลย!” แมรีแอนน์ร้องตื่นเต้นตาเป็นประกายกับขนมสีชมพูอ่อนห่อใบไม้เขียว หยิบติดมืออย่างไม่ลังเล ชาร์ล็อตคว้าตามเพราะอยากลองของแปลก และเกล็นที่อยากกินมาตั้งแต่ชาติก่อน
“มันต้องมีวันของเราใช่ไหม!?” การมีอยู่ของซากุระโมจิเป็นดั่งความหวังให้กับผู้ห่างเหินรสชาติจัดจ้าน หวังว่าสักวันโรงเรียนจะทำเมนูพวกนั้นมาบ้าง “คิดอีกทีจะไว้ใจได้เปล่าวะ…”
เขาคิดอย่างวิตกที่จู่ๆ ภาพผัดกระเพาะที่เต็มไปด้วยผักหลากหลายชนิดในอินเทอร์เน็ตแวบเข้าหัว
“ใบไม้ไม่อร่อยเลยค่ะ” เด็กสาวเขี่ยใบสีเขียวทิ้งหลังรับสัมผัสแปลกๆ ตรงปลายลิ้น
“ใครเขากินของประดับกัน” คลาริสหัวเราะร่ากับสีหน้าเหยเกของแมรีแอนน์ “อ้าว นึกว่าจะกินใบไม้อีกคน”
“ก็นะ…” เกล็นยิ้มแห้งลอกใบซากุระออก ต่อให้รู้ว่ามันกินได้ไม่กล้าเสี่ยงเอาเข้าปากอยู่ดี “แล้วจะเอาไงต่อดี อยู่แค่ในหอน่าเบื่อจะตาย”
“ฉันว่าจะพาไอเดนบินเล่นสักหน่อย”
“ไอ้แดงต่างหากเล่า”
สองเพื่อนวัยเด็กต่างมองค้อนใส่กันที่อีกฝ่ายออกเสียงผิด
“ชื่อไอเดนเนี่ยก็ชื่อทั่วไปดีนะ แต่ไอเดงฟังดูพิลึกชะมัด ไหงเรียกงั้นล่ะ” คลาริสเท้าคางมองมาทางเกล็นอยากรู้คำตอบ
“การออกเสียงที่ถูกต้องน่ะคือ ไอ้-แดง ไม่ใช่ ไอเดนหรือไอเดง” เกล็นเน้นการออกเสียงหนักแน่นและจริงจัง “ที่สำคัญฉันเป็นคนตั้งชื่อให้นะ ต้องยึดตามฉันสิ”
“ใช่ซะที่ไหน ตอนนั้นเธอเรียกว่าไอเดนแต่แรกต่างหาก”
“หา? เธอเข้าใจผิดแล้ว”
“เอ่อ… ฉันคิดว่าไอ…เดงค่อนข้างออกเสียงยากยังไงไม่รู้” เพราะแมรีแอนน์แสดงความกังวลวิธีออกเสียง เกล็นลดทิฐิลงฉับพลัน
“อ้อ ที่แท้อย่างนี้นี่เองสินะ ถึงได้เป็นไอเดน”
“พอเป็นคนอื่นนี่เสียงอ่อนเสียงหวานเชียวนะ” ชาร์ล็อตบ่นอุบอิบที่เพื่อนสนิทยอมง่ายๆ คราวก่อนก็น้อง คราวนี้ก็เพื่อนใหม่
“แล้วไอเดนเนี่ยคงเป็นนกหรือเปล่าคะ? ถ้าใช่ ฉันขอลองลูบได้ไหมคะ”
“เอาสิ” เจ้าของยิ้มอนุญาตและชวนไปที่นั่งคุยเล่นใหม่ “งั้นเราไปหามุมดีๆ ในสวนนั่งกัน”
“ไปๆ อยู่โรงอาหารอึดอัดจะตาย หาที่โล่งๆ เถอะ” เกล็นเห็นด้วยทันที
“ไม่รู้หรอกว่าอยู่ตรงไหน แต่ถ้าหาเรื่อยๆ คงเจอมุมที่นางเอกชอบอยู่คนเดียว”
“งั้นพวกเธอหาก่อนเลยละกัน เดี๋ยวจะส่งไอเดนมาถามนะ ขอตัวแป๊บหนึ่ง”
“ฉันขอไปด้วยค่ะ”
เป็นสัญญาณที่รู้กันดี แมรีแอนน์ก็เดินตามชาร์ล็อตแยกไปทำเรื่องส่วนตัว ปล่อยสองหนุ่มเดินหาสถานที่ที่ว่า ไม่รู้เพราะนักเรียนปีหนึ่งส่วนใหญ่ยังไม่จับกลุ่มกัน ทำให้การหามุมส่วนตัวยาก เดินไปตรงไหนก็มีคนมาก่อน จนคลาริสเสนอบริเวณลานดินใกล้โรงเลี้ยงสัตว์ เพราะตัวเขาไม่มีปัญหาเรื่องเสียงร้องรบกวนและน่าจะเหมาะปล่อยนกมาบินเล่น เป็นจังหวะเดียวที่เจ้านกแก้วสีแดงปรากฏตัวส่งเสียงถามจุดนัดหมายของพวกเกล็น
แต่รอแล้วรอเล่า ทั้งคู่ไม่เห็นเงาสาวๆ มายังที่ที่นัดกัน พวกเขาจึงตัดสินใจย้อนกลับไปแถวโรงอาหารเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น แม้อยู่ห่างลิบๆ เกล็นสังเกตเห็นว่ามีคนจับกลุ่มมุงดูอะไรสักอย่าง ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้เสียงเซ็งแซ่พูดประเด็นการกลั่นแกล้งระหว่างชนชั้น เดาสาเหตุได้เลยว่าทำไมพวกชาร์ล็อตถึงมาช้านัก
“ถ้าจะยังหาเรื่องกันแบบนี้ หาคำตอบให้คนพี่ก่อนดีไหม แมรีแอนน์ไม่ต้องสนใจคนพวกนี้หรอก” ว่าแล้วชาร์ล็อตดึงแขนแมรีแอนน์ฝ่าฝูงคนเลี่ยงการปะทะคารมกับฟิเลน่า
“ฟิเลน่าฉันว่าปล่อยเขาไปเถอะ” เพื่อนร่วมกลุ่มพูดปรามไม่ให้ฟิเลน่าหาเรื่องอีกฝ่าย
“เฮอะ! ก็ได้ ฉันเห็นแก่ลิเลียนหรอกนะถึงยอม” ฟิเลน่ายอมหยุดตามที่ขอ แต่ไม่วายพูดจากระทบกระเทียบส่งท้าย “สำเหนียกตัวเองไว้ด้วยล่ะ ที่เขาทำดีด้วยเพราะสังเวชน่ะ”
เพราะคำพูดเหยียดหยามของฟิเลน่า ชาร์ล็อตที่จูงมือของแมรีแอนน์เพื่อจะเดินหนีกลับต้องเลือดขึ้นหน้าเตรียมจะหันไปต่อล้อต่อเถียงอีกสักยก ทว่าแมรีแอนน์กลับเป็นฝ่ายสะบัดมือแรงจนหลุด แล้วเดินปรี่ตรงเข้าหาคู่กรณีที่ตกใจและหวาดกลัวใบหน้าถมึงทึง พลิกอารมณ์ชาร์ล็อตยืนเหวอกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของแมรีแอนน์
“คุณน่ะคิดว่าตัวเองเป็นใครหรือคะ ถึงได้กล้าตัดสินว่าคนอื่นเป็นแบบไหนทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ!” แมรีแอนน์ตวามเสียงแข็งสลัดภาพเด็กสาวผู้อ่อนแอในสายจาของคู่กรณี รวมทั้งชาร์ล็อตที่คว้าตัวให้ถอยห่างจากพวกฟิเลน่า เพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องบานปลาย
จริงอยู่แมรีแอนน์ในเกมมีอารมณ์โกรธเหมือนมนุษย์ทั่วไป ทว่าในสายตาเกล็นเวลานี้มันคือการกระทำที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กสาวคนนั้นแสดงความโกรธเกรี้ยวราวกับคำพูดของฟิเลน่าทำให้ฟิวส์ขาด โชคดีที่ชาร์ล็อตอยู่ด้วย แมรีแอนน์จึงค่อยๆ ใจเย็นลง ดวงตาสีชมพูมีน้ำคลอเบ้ารู้สึกตัวว่าทำอะไรไม่ดีลงไปต้องรีบผละหนีจากสถานที่นั้น
“แมรีแอนน์!” ชาร์ล็อตเรียกไล่หลังแต่ไม่เป็นผล เจ้าของชื่อวิ่งผ่ากลุ่มคนออกไป เหลือแค่เธอทำตาเขียวใส่ “ยัยคนสันดานเสีย!”
“นี่ฉันทำอะไรผิดเหรอ ถึงกล้าใช้คำพูดพรรค์นั้นออกมา” ฟิเลน่าฝืนยิ้มเยาะ
“หา?” ชาร์ล็อตอุทานเสียงสูง “ก็เหมาะกับเธอดีไม่ใช่หรือไง”
“ฟิเลน่าเขาแค่พูดความจริงเท่านั้นแหละย่ะ”
“อย่ามาตลก” ชาร์ล็อตโต้กลับเสียงห้วน แต่สักพักเธอก็เท้าเอวกระตุกยิ้มมุมปาก “ที่พ่นๆ มาเนี่ย ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าตัวเองเหมือนเลดี้มาร์กาเรตม้ากมากเลยน่ะ”
เธอหัวเราะขบขันและประชดเสียดสีจงใจกระตุกต่อมโมโหฟิเลน่า เสียงเก็บพัดคู่ใจดังลั่น ในใจของคุณหนูเต็มไปด้วยความรู้สึกคุกรุ่น หลังโดนดูถูกว่าไม่มีทางเป็นอย่างเลดี้มาร์กาเร็ต คู่หมั้นพี่ชายของจูเลียส หญิงสาวผู้เพียบพร้อมทุกด้าน สัญลักษณ์ของเหล่าเด็กสาวชนชั้นสูงที่ใครๆ อยากเป็น ดั่งที่เคยประกาศก่อนหน้าที่พวกเกล็นจะมา
“เฮ้ๆ หยุดก่อน ขอเวลาแป๊บหนึ่ง” เกล็นเห็นสถานการณ์ย่ำแย่เบียดตัวแทรกกลางห้ามสงครามน้ำลาย ชาร์ล็อตเห็นว่าเป็นเพื่อนจึงยอมถอยหลังไปก้าวทั้งที่สายตาไม่สบอารมณ์ยังจ้องฟิเลน่า อีกด้านเห็นคลาริสมาด้วยได้แต่หน้าถอดสีกัดฟันกรอด “เรื่องมันเป็นไงมาไงเนี่ย”
“น่าจะเดาออกไม่ใช่เหรอ เห็นอยู่ว่ายัยพวกนี้ตั้งใจหาเรื่องแมรีแอนน์”
“ตายจริง! พูดแบบนี้กล่าวหากันไม่ใช่เหรอ” ฟิเลน่าปั้นสีหน้าเรียบเฉย “ไม่คิดเลยว่าเป็นคนแข็งกระด้างแบบนี้”
“อยากคิดแบบไหนก็เชิญ” ชาร์ล็อตยอมรับ “แต่อย่างน้อยไม่เคยหาเรื่องคนอื่นก็แล้วกัน”
“พอๆ! หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ทั้งคู่นั่นแหละ!” คนกลางกระแทกเสียง
“ทั้งคู่อะไรกัน! ทางนั้นต่างหากที่ต้องหยุด” เคจร้องแว้ดชี้หน้าชาร์ล็อต
เกล็นเม้มปากข่มความโกรธก่อนสูดอากาศหายใจเข้าปอดนับหนึ่งถึงสิบ
“ฉันไม่สนว่าใครเริ่มก่อน แต่ตอนนี้ ‘เลิก’ ได้แล้ว” เด็กหนุ่มเน้นคำหนักแน่น มองทั้งสองฝ่ายอย่างคาดโทษ ชาร์ล็อตทำเสียงฮึดฮัดสะบัดร่างหันหลังใส่ แต่ฝั่งคุณหนูคิดจะอ้าปากสู้ต่อ เขาชิงตัดบทให้จบเรื่อง “ไม่ทันเปิดเทอมก็อยากเข้าห้องปกครองกันแล้วหรือไง”
“นะ นั่นสิ ตอนนี้พวกเราไปกันดีกว่า” ลิเลียนสนับสนุนความเห็นเกล็น “ขืนอาจารย์รู้เรื่องนี้เข้า มีหวังได้เข้าห้องปกครองจริงๆ หรอก”
“ฮึ่ม…!” ฟิเลน่าจำใจรับความจริงกับคำพูดของลิเลียน กระแทกส้นเท้าแหวกฝูงคนไปทิศตรงกันข้ามกับแมรีแอนน์
“ไหงเป็นงี้ได้ล่ะ” เกล็นถอนหายใจปรายตามองเพื่อนสนิท
“ฉันจะไปรู้ได้ไง แต่ที่แน่ๆ รีบตามแมรีแอนน์ก่อนเถอะ”
ว่าแล้วชาร์ล็อตก็รีบตรงไปทางเดียวกับที่แมรีแอนน์วิ่ง เกล็นกับคลาริสมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนไล่ตามไปติดๆ พอมาถึงบริเวณหลังอาคารเรียนฝั่งที่กำแพงกั้นเขต ทั้งหมดชะลอความเร็วเมื่อเห็นจูเลียสกำลังคุยกับแมรีแอนน์ ทั้งสองคนหัวเราะกันเล็กน้อยลืมไปเลยว่าก่อนหน้าเด็กสาวเพิ่งจะร้องไห้มา
“แมรีแอนน์ ไม่เป็นไรนะ” ชาร์ล็อตทักเป็นคนแรก ตามด้วยคลาริสที่เข้าสมทบไปลูบหัวเด็กสาวอย่างเป็นห่วง
ส่วนเกล็นยืนกลืนน้ำลายกับอีเวนต์แรกพบของจูเลียส เชื่อว่าเจ้าชายเจอแมรีแอนน์กำลังร้องไห้เลยเข้าไปปลอบ ประกอบกับเหตุตอนเช้าจูเลียสย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นสาเหตุที่เด็กสาวเศร้า ตอนนี้แหละที่เด็กหนุ่มผมทองถูกรอยยิ้มพิมพ์ใจปักอกเข้าจังๆ เชื่อได้ว่าหลังจากนี้จูเลียสจะเข้ามาเอาใจใส่แมรีแอนน์ ซึ่งมันจะเป็นไปตามเกมอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเป็นแบบนี้แล้วมีรึที่ฟิเลน่าจะยอมให้สองคนนั้นอยู่ใกล้ชิดจนตัวเองช้ำรัก
แต่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก่อนจูเลียสโชว์บทหล่อต่อหน้าสาว เกล็นหวั่นว่าชาร์ล็อตจะชิงตัดหน้าทะเลาะเบาะแว้งกับฟิเลน่าซะมากกว่า สมเป็นเรื่องวุ่นวายของวัยรุ่นเลือดร้อนจริงๆ
Comments (0)