สำหรับวันนี้การแต่งกายนักเรียนเอลเซียส์บางคนแปลกตาไป พวกเขาใส่เสื้อเชิ้ตคอจีนแบบสวมหัวแขนยาวน้ำตาลเข้ากับกางเกงขายาวเกือบเข้ารูปทับด้วยรองเท้าบูตคอมแบทหนังสีเข้ม ถุงมือหนังสีเดียวกันถูกห้อยติดเข็มขัด เกล็นเปรียบมันเหมือนชุดพละจากชาติก่อน เพราะวิชาการต่อสู้กับสัตววิทยาเป็นวิชาภาคปฏิบัติต้องออกแรงคู่จึงถูกจับให้เรียนอยู่วันเดียว

ในวิชาภาษาศาสตร์คาบเช้านั้นทำให้เกล็นหูตาสว่างตั้งใจเรียน เพราะในวัยเด็กจำได้ว่ามนุษย์โดนเทพสาปให้ใช้คนละภาษา แต่ต่อมาได้มีการกลับมาใช้ภาษาเดียวกันอีกครั้งเพื่อง่ายต่อการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ และยังทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจเลยว่าทำไมพ่อค้าเร่ถึงพูดคล่องปากได้ขนาดนั้น หลังคิดว่าเป็นเพราะทำมาค้าขายต่างแดนนานจนสามารถพูดได้หลายภาษา

“แจ่มไปเลย ทั้งเงินทั้งภาษาเหมือนกันแบบนี้เที่ยวต่างประเทศก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”

แล้วทันทีที่ระฆังเปลี่ยนวิชาเรียนดัง ท่าทางเกล็นก็เปลี่ยนไป ไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนคาบแรก เขาถอนหายใจหลายครั้งหลายครา เดินไร้เรี่ยวแรงราวกับคนหมดพลังงานรั้งท้ายเพื่อนๆ ที่กำลังเดินไปลานดิน สถานที่เรียนวิชาการต่อสู้ที่ตอนนี้ลานโล่งๆ เต็มไปด้วยอาวุธวางเรียงรายและหุ่นไม้สำหรับฝึก

“เกล็นดูซึมจังเลยนะคะ...” แมรีแอนน์กระซิบกับชาร์ล็อตเหลือบมองเจ้าของชื่อเป็นระยะ

“คงไม่อยากเรียนวิชานี้ล่ะมั้ง รู้จักกันมาฉันไม่เคยเห็นเกล็นมาฝึกดาบเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นเลยสักครั้ง”

“อาจจะไม่ชอบเรื่องแบบนี้ก็ได้ครับ เพราะบางคนก็ชอบทำอย่างอื่นมากกว่า”

การวิเคราะห์ของจูเลียสเกือบถูกต้อง มันไม่ใช่เพราะไม่ชอบวิชาต่อสู้หรือรักสันติ แต่การที่ต้องจับของมีคมหันไปทางคนอื่นมันทำให้เกล็นรู้สึกไม่ดีเท่าไร พานนึกถึงเรื่องที่ชวนคลื่นไส้ที่ไม่อยากจำ หรือเรื่องวัยเด็กชาติก่อนที่เคยวิ่งถือลูกชิ้นปิ้งแล้วหกล้ม ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงร้องโวยกัน แต่โตมาถึงร้องอ้อว่าเจอประสบการณ์เฉียดตายมาแล้ว เพราะถ้ามีอุบัติเหตุขึ้นมาก็เจ็บตัวสาหัสได้ เล่นเอาจำฝังใจกับความเชื่อโบราณคร่ำครึได้เลยว่าระวังผีผลักตอนถือของมีคม

“อยากโดดวิชานี้จัง” เกล็นพึมพำ แน่นอนมันเป็นเพียงแค่ความคิดไม่กล้าทำจริงหรอก ลินดารู้เรื่องเข้ามีหวังกลับบ้านไปหูชา

คลาริสที่ฟังอยู่เงียบๆ ก็เดินช้าลงแล้วกอดคอหนุ่มสายเวท

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า! เวลาประลองตัวต่อตัวใครจะบ้าให้นักเรียนใช้ดาบจริงเล่า อย่างมากก็ได้แผลถลอก” เขาฉีกยิ้มกว้างส่งเสียงหัวเราะโยกตัวโคลงเคลง

“อา… รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเลย แฮะๆ…”

ถึงปากจะบอกแบบนั้น เกล็นก็ยังรู้สึกไม่โอเคกับวิชาต่อสู้อยู่ แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมพวกขุนนางมันถึงอนุมัติใช้หลักสูตรเดียวกับหลายร้อยปีก่อนมาสอนลูกหลานตัวเองให้เจ็บเนื้อเจ็บตัวไปเพื่ออะไร ต่อให้คลาริสพูดแล้วว่าเวลาสู้ตัวต่อตัวใช้ดาบไม้ก็ตาม แต่เวลาเรียนปกติได้จับของจริงเพื่อฝึกฝนอยู่ดี

 

วิชานี้ในวันแรกเหมือนกับวิชาอื่นที่อาจารย์ชี้แนะเรื่องการสอนว่าจะมีอะไรบ้าง เสร็จแล้วเขาได้ทำการแจกดาบธรรมดาและแหวนอำพันใสสลักอักขระให้กับนักเรียนที่ไม่มีอาวุธประจำตัว ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ได้เรียนวิชาดาบมาต่างกับพวกผู้ชายที่ได้เรียนเหมือนวิชาสามัญประจำบ้าน

“เอ๊ะ?” มัวคิดแต่เรื่องตัวเอง เกล็นเพิ่งสังเกตว่าแมรีแอนน์คือหนึ่งในผู้รับของแจกจากอาจารย์ “เดี๋ยวนะ ในเกมแมรีแอนน์ต้องพกดาบของตัวเองมาสิ”

เด็กหนุ่มเค้นความทรงจำ เหตุการณ์ช่วงนี้นางเอกจะโชว์ดาบประจำตระกูลต่อหน้าทุกคน ทำให้อาจารย์เจ้าของประจำวิชาสงสัย ทำไมสามัญชนอย่างนางเอกถึงมีของดีติดตัวมาด้วย เกิดเป็นประเด็นพูดคุยในหมู่คณาจารย์ เพื่อปูเนื้อเรื่องไปสู่อีเวนต์สอบปลายเทอมที่จะเจอผลึกซึ่งถูกสร้างจากพลังเวทของเทพมังกรเบเลธ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของดาบประจำตระกูล ในดันเจี้ยนป่าหลังโรงเรียน พวกอาจารย์คนเก่าแก่เข้าใจในทันทีรีบแจ้งเรื่องนี้ให้กับเกรกอรี่ เลยเป็นที่มาการเปิดเผยสถานะแท้จริงของแมรีแอนน์ในเวลาต่อมา

“นี่เธอ! อย่าโยนเล่นสิ” เสียงตำหนิจากอาจารย์วัยกลางคนปลุกเกล็นตื่นจากห้วงความคิด

เมื่อนักเรียนพร้อมที่จะเรียน เขาสอนการ เรียกอาวุธ เป็นเรื่องแรก แทนจะเป็นวิชาการแบบเดิมๆ ว่าอาวุธมีกี่แบบกี่ประเภท โดยขั้นตอนการเรียกก็ช่างแสนง่าย เริ่มจากสวมแหวนแล้วใช้พลังเวทใส่ลงไปจนแหวนส่องแสง แล้วดาบกลายเป็นละอองสีทองลอยหายไปในอากาศเหมือนกับควัน ส่วนวิธีเรียกก็เพียงแค่นึกภาพอาวุธที่ครอบครอง ละอองสีทองจะเกิดขึ้นรอบตัวก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นอีกครั้ง

“อย่างนี้นี่เอง เป็นข้อความเดียวกันสินะ” เกล็นนำอักขระบนแหวนกับดาบมาเทียบกันและพิจารณาหลักการของเวทอาคม

สรุปคือของสองสิ่งนี้ได้ลงเวทอาคมเชื่อมโยงกัน เมื่อใส่พลังเวทลงไปอาคมจดจำว่าอาวุธชิ้นนี้ใครเป็นเจ้าของราวกับสแกนลายนิ้วมือ ง่ายต่อการพกพา สามารถสั่งทำได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ก็กิลด์นักผจญภัย หรือจะไม่ทำก็ได้ตามแต่ความสะดวกของบุคคล

ด้วยความเป็นวิชาที่ไม่เคยเรียนจากชาติก่อน ถึงจะไม่ชอบเกล็นพยายามตั้งใจฟังพื้นฐานการใช้ดาบ ก่อนแยกย้ายฝึกซ้อมกับหุ่นที่ผ่านศึกมามายมาก อาจเป็นเพราะบรรดาลูกขุนนางผู้ชายส่วนใหญ่ได้รับการสอนมาแต่เด็ก พวกเขาใช้ดาบได้ชำนาญเลยถูกวานให้ช่วยดูแลคนใช้ดาบไม่เป็น

“ทำไมคนเราต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย” เขาขบฟันบ่นเป็นหมีกินผึ้งเสียงอู้อี้ แกว่งดาบขอไปทีไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนมาจากข้างหลัง

“ทำแบบนั้นเดี๋ยวเจ็บตัวเอาได้นะ”

เขาหยุดมือหันไปทางเจ้าของเสียงทุ้มคุ้นหู เพราะความสูงที่ห่างกันเกือบสิบเซนติเมตรและรูปร่างที่ต่างชัดเจน ไหนจะสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย เกล็นรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ตัวจ้อยต่อหน้าอิกนิส ทั้งที่เขาก็มีสัดส่วนพอๆ กับคลาริสที่ไปมาไหนด้วยกัน

“ขะ ขอโทษ” เกล็นยิ้มแหยกลับไปใส่ใจหุ่นฝึก เหงื่อเริ่มผุดบนหน้าผากและเหวี่ยงดาบอย่างเกร็งๆ ที่ถูกจ้อง เหมือนตกอยู่ในสถานการณ์นั่งทำงานแล้วมีหัวหน้ายืนจ้องเขม็งอยู่ข้างหลัง สวนทางกับหัวใจที่เต้นรัวดีใจเหมือนได้คุยกับศิลปินตัวเป็นๆ มันช่างเป็นความรู้สึกที่ปนกันมั่วซั่วซะเหลือเกิน

แฝดผู้พี่ตระกูลฟรานเซนไทน์ลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ที่เห็นเกล็นยังจับดาบไม่ถูกวิธี พอสะกิดไหล่เรียก อีกฝ่ายกลับทำตาตื่น อ้าปากค้าง ยืนแข็งทื่อ อิกนิสแสดงความกังวลออกทางสีหน้า เกล็นที่เห็นก็สะดุ้งโหยงคิดว่ากำลังสร้างความลำบากให้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดตั้งสมาธิ แต่ท่าทางการยืนยังสั่นหงึกหงึก เพราะสีหน้าตึงเครียดของอิกนิสที่ตอนนี้หน้าซีดเข้าใจผิดว่าพูดจาไม่ดีใส่คนตรงหน้า

อิกนิสจึงกระแอมปรับอารมณ์ทั้งของตัวเองและเกล็นก่อนจะสอนการจับดาบอย่างถูกต้องทีละขั้นตอนแบบละเอียด เกล็นก็เป็นเด็กดีทำตามคำสอน โดยไม่รู้เลยว่าสภาพของพวกเขาตอนนี้ต่างทำท่าเก้ๆ กังๆ กันทั้งคู่ ดูน่าตลกในสายตาของคลาริสกับชาร์ล็อตที่อยู่ไกลๆ กำลังพยายามกลั้นขำ ไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือทั้งสองที่วุ่นวายหัวหมุน จนอาจารย์เรียกรวมตัวท้ายชั่วโมงเพื่อย้ำสิ่งที่สอนไปก่อนประกาศแยกย้ายพักกลางวัน

เกล็นล้มตัวนั่งโต๊ะระบายลมหายใจยาวปลดปล่อยความตึงเครียดและความเหนื่อยล้า ขอร้องให้ชาร์ล็อตไปเลือกมื้อเที่ยงแทน คลาริสที่เป็นคนกินง่ายกลับมาก่อนใครเพื่อนนั่งลงข้างหนุ่มจอมเวท

เหนื่อยหรือเปล่า”

“ใช่” เกล็นตอบคำถามของคลาริสด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนหมดแรงข้าวต้ม “เจอกับตัวแบบนี้แอบน่ากลัวเหมือนกันนะ แต่ก็แฮะๆ”

คลาริสหรี่ตางุนงงกับคนตรงหน้ามาอารมณ์ไหน จะมีความสุขหรือหนักใจกันแน่

“รู้ตัวเปล่าว่าหน้าตอนนี้มันพิลึกน่ะ”

“คิดมากน่า” เกล็นปัดมือเปลี่ยนเรื่องประกอบคำตอบ หลังเห็นชาร์ล็อตเอาข้าวเที่ยงมาเสิร์ฟ “มากินข้าวเถอะ”

“ชาร์ล็อตดูอารมณ์ดีนะคะเนี่ย…” แมรีแอนน์วางถาดอาหารมองเพื่อนสาวที่จู่ๆ ฮัมเพลงอารมณ์ดี มีลิเลียนพยักหน้าเห็นด้วย

“คาบต่อไปมันสัตววิทยานี่นะ เขาชอบเรื่องพวกนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว มีครั้งหนึ่งเล่นเอาโกรธเลยล่ะที่แอบเข้าไปในป่าเพราะแค่อยากดูไก่ฟ้าสีทองใกล้ๆ ดีนะที่ไปได้ไม่ไกลเลยตามตัวเจอเร็ว… หืม?”

“เป็นอะไรหรือครับเกล็น” จูเลียสที่สมทบมาทีหลังกะพริบตาปริบๆ ถาม

“เปล่า เผลอเล่าเรื่องเก่าๆ ซะได้” เกล็รีบตอบบ่ายเบี่ยงเป็นเรื่องอื่นมากลบ หลังเอะใจได้กะทันหันเกี่ยวกับเนื้อหาเกมที่ผุดมา เพราะคาบถัดไปเป็นอีเวนต์แรกพบของอิกนิส

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังอาจารย์สอนพื้นฐานว่าโลกนี้แบ่งสัตว์เป็นกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีข้อแตกต่างกันยังไง ก่อนจะให้นักเรียนลองขี่ม้าแก้เบื่อ แมรีแอนน์ผู้ไม่เคยขี่มาก่อนก้าวพลาดตกลงมาระหว่างขึ้นม้า บุญรักษาที่อิกนิสคว้าตัวได้ทันแล้วทั้งคู่สบตากันและกัน ได้รับฉาก CG และเพลงไพเราะสร้างบรรยากาศให้เหมือนโลกนี้มีแค่สองเรา

“แล้วไหงเป็นตูที่ได้วะ?” เกล็นทำหน้านิ่งสายตาว่างเปล่าใส่เด็กหนุ่มผมดำที่เข้ามารับร่างได้ทัน “ได้คอนเทนต์แย่งอีเวนต์นางเอกเฉย โคตรคลาสสิก”

“เอ่อ… ไม่เป็นไรใช่ไหม?” อิกนิสถามอย่างเป็นห่วงที่เกล็นลื่นตกระหว่างขึ้นม้า

“ไม่เป็นไรครับ” เกล็นตอบเสียงเรียบและสุภาพ “ขอบคุณมากครับ ดีใจมากๆ เลยครับที่มาช่วยกระผมทัน”

“อะ… อืม…” อิกนิสขานรับตะกุกตะกักวางตัวไม่ถูกกับคนตรงหน้า “ดะ... ดีแล้วล่ะที่ปลอดภัย”

“เหวอออ จำได้แล้วๆๆ ประโยคนี้ที่บอกนางเอก ว่าแต่ทำไมถึงไม่ยิ้มวะ จำได้นะเว้ยว่ายิ้มน่ะ!

“เกล็นเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” แมรีแอนน์ที่ขี่ม้าสีขาวปรากฏตัวเอ่ยถามอีกคน

“ไม่เป็นไร โชคดีที่อิกนิสเขาช่วยได้ทันน่ะ” เกล็นตอบ

ชาร์ล็อตที่เห็นเกล็นกับแมรีแอนน์อยู่ด้วยกันก็อดไม่ได้ที่จะแซวเพื่อนสนิท หลังเห็นเขาเอาแต่มองแมรีแอนน์ตอนขึ้นม้า

“เพราะมัวแต่มองคนแถวนี้น่ะสิถึงได้พลาดน่ะ”

“แบบนั้นไม่ดีเลยนะคะ เวลาขึ้นม้าไม่ควรมองไปทางอื่น เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุเหมือนเมื่อกี้หรอกค่ะ” แมรีแอนน์ตีสีหน้าจริงจังเตือนถึงความปลอดภัยในการขึ้นขี่ม้า

“คะ คราวหลังจะระวังนะ...” เกล็นตอบรับคำเตือนจากเด็กสาว ก่อนจะหันไปทำหน้ายักษ์ใช่ชาร์ล็อตเพราะเข้าใจความหมายที่เธอพูดเมื่อสักครู่ ที่ตอนนี้เด็กสาวผมแดงกำลังหัวเราะเยาะชอบใจ “อย่าพลาดก็แล้วกัน”

“เหอะ คิดว่าคนอย่างฉันจะ... หวา!

ไม่ทันจะพูดจบประโยค ชาร์ล็อตก็พลาดท่าแบบเดียวกับเกล็นที่มัวแต่สนใจทางอื่นแทนจะตั้งใจขึ้นม้า

“ฮ่าๆๆๆ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” เกล็นระเบิดเสียงหัวเราะสะใจคืน แต่ถูกสายตาตำหนิจากอิกนิสคาดโทษหลังมาช่วยชาร์ล็อตที่ลื่นโกลนขี่ม้าไว้ได้ทันจนหน้าซีดสลดเหมือนเด็กโดนดุ “ขะ ขอโทษครับ…”

“เฮ้อ…” อิกนิสถอนหายใจเป็นรอบที่สองของวันพยุงตัวเด็กสาวให้ทรงตัวปกติ “ไม่เป็นอะไรนะ”

“ขอบใจนะที่ช่วย” ชาร์ล็อตอมยิ้มแก้เขิน

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

ผ่านมาสองวัน ในที่สุดเกล็นได้เห็นอิกนิสยิ้ม มันช่างมีเสน่ห์เสียยิ่งกว่าภาพ 2D เป็นไหนๆ นี่คงเป็นความรู้สึกดุจดั่งแฟนคลับที่ศิลปินสุดฮอตสบตาแล้วยิ้มทักทาย ไม่อยากคิดเลยว่าเป็นสาวๆ ผู้ชื่นชอบอิกนิสกลับชาติมาเกิด แล้วเจอฉากนี้เข้าจะเป็นยังไง

“ดูเหมือนหมอนั่นจะเบื่อขี้หน้านายนะ” คลาริสควบม้ามากระซิบยุแยงตะแคงรั่วให้เกล็นผิดใจกับอิกนิส จูเลียสที่ตามมาก็ต้องคอยปรามพฤติกรรม

“อาจจะจริงของนาย…” เกล็นยอมรับคำพูดของแฝดคนน้อง รู้ดีว่าตอนวิชาต่อสู้คงทำอิกนิสปวดหัวไม่น้อย

“ชิ น่าเบื่อจริงเว้ย” เขาเดาะลิ้นเสียดายทีเล่นทีจริง “ว่าแต่เมื่อกี้นายว่าอะไรชาร์ล็อตน่ะ”

“ฮะ?”

“ก็เมื่อกี้เกล็นพูดภาษาอะไรไม่รู้ออกมาน่ะสิครับ อะไรเนาๆ สักอย่าง” เพราะคำยาวไป จูเลียสเลยไม่สามารถพูดเต็มประโยคได้

“อ่อ มันหมายถึงว่าแต่เขา ตัวเองก็เป็นเองน่ะ” เกล็นอธิบายความหมาย

“แล้วทำไมไม่ใช้ภาษาปกติเล่า เนอะจูเลียส”

“เอ๋? เอ่อ... ครับ”

“แค่พูดไปเรื่อยของฉันน่า ไม่เชื่อถามชาร์ล็อตดูสิ” เกล็นโยนภาระให้เพื่อนสาวรับหน้าที่ตอบแทน

“ถ้ามีคนบอกว่าเป็นภาษาจากชาติก่อน เป็นเราก็งงเหอะ”

“แต่ว่าแมรีแอนน์ขี่ม้าคล่องจังเลยน้า” ไม่อยากสาวความเพิ่ม เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยหันชมแมรีแอนน์แทน

“แฮะๆ ขอบคุณค่ะ” แมรีแอนน์หัวเราะเขินที่ถูกชม “อันที่จริงเพราะได้คนในกิลด์ช่วยสอนเลยชินน่ะค่ะ”

“กิลด์เหรอ?” สามหนุ่มทำหน้างุนงงหลังได้ยินเรื่องเล่า

“ค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยช่วยงานที่นั่นมาก่อน พอพวกเขารู้ว่าฉันจะเข้าโรงเรียนก็อาสาสอนให้น่ะค่ะ” แมรีแอนน์บอกเหตุผล “พูดแล้วตลกดีนะคะ พวกเขาดูเห่อมากกว่าคุณพ่อคุณแม่อีก”

“เหรอ…”

เกล็นลากเสียงยาวตอบจับสังเกตเด็กสาวพักหนึ่ง ก่อนเขี่ยเรื่องแมรีแอนน์ขี่ม้าเป็นไม่เป็นทิ้ง แล้วหันมาเอนจอยกับการขี่ม้าเล่น แม้จะเป็นแค่การเดินจงกรมตามคำสั่งอาจารย์ มีเสียงบ่นจากชาร์ล็อตที่อยากควบม้าอย่างอิสระ อีกทั้งใจเธอจดจ่ออยู่กับวิชาสุดท้ายของวันเหมือนนักเรียนปีหนึ่งหลายๆ คน นั่นคือวิชาเลือกอิสระ