สอบเสร็จทั้งที อาจารย์น่าจะให้เวลาพักอีกสักหน่อย” ชาร์ล็อตบ่นอุบอิบกลางห้องสมุด ขณะนั่งทำรายงานเกี่ยวกับสัตว์อสูรต่างถิ่นชนิดหนึ่งร่วมกับอิกนิสที่เปิดหนังสือเล่มนู้นเล่มนี่มาช่วยอ้างอิง

“เวลาที่อาจารย์เขาให้ก็หนึ่งสัปดาห์แล้วนะ” อิกนิสตอบเสียงแห้งกับระยะเวลาที่ได้ เพราะถึงจะเข้าเรียนตามปกติต่อก็จริง แต่ไม่มีอาจารย์คนไหนให้การบ้านตลอดทั้งสัปดาห์ เพราะต้องการให้นักเรียนพักผ่อนช่วงเย็นเต็มที่ “ว่าแต่เธอเถอะ ถ้าทำเสร็จก่อนก็ไม่ต้องรอฉันก็ได้”

“ไม่เอาด้วยหรอก แล้วดูสิ! เรากำลังทำเรื่องของฮิปโปแคมปัสเชียวนะ” ว่าแล้วชาร์ล็อตก็เปิดหนังสือแสดงรูปสัตว์ที่มีท่อนบนเป็นม้าโดยที่ขาหน้ามีลักษณะเป็นพังผืดสำหรับว่ายน้ำและแผงคอเป็นครีบ ส่วนท่อนล่างเป็นหางปลายาว “ขืนฉันเขียนตามที่รู้อยู่แล้วก็น่าเบื่อตายชัก อีกอย่างเธอเจอหนังสือที่เกี่ยวกับมันตั้งเยอะแยะ มีหลายเล่มเลยที่ฉันยังไม่เคยอ่านด้วย อย่างเล่มนี้ แล้วก็เล่มนั้น”

แล้วหนังสือที่ชาร์ล็อตไม่มีในบ้านก็ถูกกองรวมกัน จากนั้นเธอก็เริ่มอ่านเนื้อหาด้านในพอสังเขป

“ดูสิ มีสามเล่มก็เขียนต่างกันถึงสามแบบแน่ะ!” ชาร์ล็อตชี้ความแตกต่างของรูปภาพฮิปโปแคมปัส “เป็นเพราะสัตว์ทะเลหรือเปล่านะ ถึงทำให้ข้อมูลแต่ละคนไม่ตรงกันแบบนี้”

ชาร์ล็อตหัวเราะมีความสุขแทนที่จะนั่งปวดหัวกับข้อมูลของหนังสือแต่ละเล่มที่ไม่ตรงกัน จนอิกนิสขบขันตามเบาๆ

“ถ้าเป็นคนอื่นคงบ่นแล้วมั้ง...” อิกนิสเท้าคางพึมพำ เพราะขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกเวียนหัวกับเนื้อหามากมายที่ไม่เหมือนกัน กระนั้นท่าทางอารมณ์ดีของชาร์ล็อตก็เรียกรอยยิ้มบางๆ จากเด็กหนุ่มได้

“เหรอ...?” ชาร์ล็อตกลอกตาทำหน้าครุ่นคิด “ฉันกลับคิดว่ามันน่าสนุกออก พูดแล้วอยากลองเจอตัวจริงสักครั้งว่าแบบไหนใกล้เคียงที่สุด ให้ตาย นึกถึงที่เกล็นเคยบอกเลย สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”

“ฮะๆ เธอนี่เหมาะกับการเป็นนักสำรวจจริงๆ หลังเรียนจบคงสอบเอาใบอนุญาตเดินทางเลยสินะ”

“ทีแรกก็คิดงั้นนะ แต่ฉันจะเรียนเฉพาะทางต่อก่อนดีกว่า ไหนๆ พบจบแล้วก็ได้ใบอนุญาตเหมือนกัน แถมน่าจะง่ายกว่ากันเยอะ เพราะฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะเข้าใจเรื่องวิธีการจับสัตว์อสูรเอง แล้วหลังจากนั้นฉันก็จะออกเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อที่จะได้เห็นสัตว์ตัวอื่นๆ กับตา หรือไม่ก็ดูสถานที่สวยๆ ยิ่งตอนนี้มีกล้องแล้วด้วยก็ยิ่งอยากไปเร็วๆ ขึ้นมาเลยล่ะ พอกลับบ้านก็มาเขียนหนังสือลงภาพประกอบ ฟังดูเข้าท่าดีไหมล่ะ ทีนี้คนอ่านจะได้เห็นรูปจริงๆ ไม่ใช่ภาพวาดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

ทั้งที่อยากได้คำตอบสั้นๆ ทว่าชาร์ล็อตก็ตอบยาวออกนอกเรื่องด้วยใบหน้ามีความสุข ยิ่งทำให้คนถามต้องหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตาม

“เขียนหนังสืองั้นเหรอ… ฟังดูน่าสนใจดีนะ ผมจะรอเป็นคนแรกที่ซื้อนะ” อิกนิสเอ่ยคำสัญญาปากเปล่ากับชาร์ล็อต

“ฮะๆ แบบนั้น เธอต้องเป็นคนที่สองแล้วล่ะ” ชาร์ล็อตยิ้มกว้างชูสองนิ้วตอบกลับ

“คนที่สอง?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูงสงสัยที่ไม่ได้เป็นคนแรก “อ้อ... พ่อแม่เธอสินะ”

คนตรงหน้าส่ายหัวปฏิเสธ “เกล็นน่ะ เขาเป็นคนแรกที่ฉันเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ส่วนเธอเป็นคนที่สอง”

“เกล็น... เหรอ” อิกนิสก้มหน้าทำเสียงพึมพำเสียงเบา

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”

“เปล่า แค่คิดว่าพวกเธอดูสนิทกันดี”

“จะให้ไม่สนิทได้ไงกัน รู้จักกันมาตั้งสิบปีจนบางทีก็ตามติดแจอย่างกับผู้ปกครองแน่ะ ผู้-ปก-ครอง เลยนะ ไม่ใช่แบบพี่แถวบ้านที่โตมาด้วยกัน”

จากนั้นชาร์ล็อตก็เล่าถึงเรื่อนต่างๆ นานาที่ถูกเกล็นบ่นสารพัดราวกับคนแก่เวลาที่เธอเล่นสนุก ทั้งที่ตัวเกล็นเองก็ทำตัวแปลกๆ ที่เด็กสาวจำได้แม่นก็เรื่องชอบร้องเพลงภาษาประหลาด โดยเฉพาะทุกปีใหม่ ช่วงเดือนเมษายนกับพฤศจิกายน แล้วก็วันสเตลลิ่ง อิกนิสที่ได้แต่นั่งฟังก็ทำได้แค่หัวเราะเสียงแห้ง แต่ในจังหวะที่เด็กหนุ่มเสยผมให้พ้นสายตาที่ปลกลงมา ชาร์ล็อตก็ตาไวสังเกตเห็นบางอย่างตรงขมับขวาและพลั้งปากพูดไม่ทันยั้งคิด

“แผลจากการซ้อมเหรอ?”

ชาร์ล็อตรีบยกมือปิดปากกล่าวขอโทษที่เสียมารยาท ทว่าคนตรงหน้าที่เคยยิ้มก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเคร่งเครียดและแตะรอยแผลเป็น

ปกติห้องสมุดนั้นเงียบไร้เสียงรบกวนอยู่แล้ว ทว่าสิ่งที่ชาร์ล็อตเผลอพูดออกไปได้สร้างบรรยากาศชวนอึดอัดให้คนทั้งสอง ชาร์ล็อตหลุบตาลงก้มหน้ารู้สึกผิดกับความปากไว กระทั่งอิกนิสได้เล่าถึงที่มาที่ไปของแผลเป็นให้ฟัง

“ก็ทำนองนั้น น่าจะสักประมาณแปดขวบได้”

“ปะ แปดขวบ ฝึกกันไวจังเลย...” เสียงเจื่อนต่อบทสนทนา

“เรื่องธรรมดาของพวกตระกูลอัศวินน่ะ” อิกนิสยักไหล่ตอบ “ถ้าเทียบกันก็เหมือนตระกูลจอมเวทที่ใช้เวทมนตร์ได้ก่อนใครนั่นแหละ”

“นะ นั่นสินะ” ชาร์ล็อตที่นั่งตัวลีบตอบรับสั้นๆ ไม่กล้าจี้ถามถึงสาเหตุที่ได้แผลมา ทั้งๆ ตั้งใจแบบนั้น แต่อิกนิสกลับเล่าให้เธอฟังต่อ

“ตอนนั้นเป็นการซ้อมคู่ระหว่างผมกับคลาริสครั้งแรก แล้วผมก็โดนดาบไม้ที่คลาริสเหวี่ยงใส่เข้าที่หัวจนได้แผลนี่มา หลังจากนั้นเราก็มองหน้ากันไม่ติดอีกเลย เพราะงั้น…” แล้วอิกนิสก็นิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ สายตาของเขาดูเหม่อลอย

“เพราะงั้นอะไรเหรอ” เพราะเป็นคำพูดที่ไม่จบประโยคชาร์ล็อตจึบถามย้ำอีกหน

“เอ่อ คือ…” เด็กหนุ่มยกมือปิดปากเบือนหน้าหนี หลังรู้ว่าเผลอพูดอะไรออกไป แต่ชาร์ล็อตที่จ้องไม่วางตาก็ทำให้อิกนิสต้องระบายลมหายใจแล้วพูดต่อจากที่ค้างเอาไว้ “จริงๆ ก่อนที่จะเลือกวิชานี้ ผมตั้งใจจะเรียนเวทมนตร์เพิ่มเติมน่ะ…”

“แต่คลาริสลงไปก่อนเลยหนีมาวิชานี้สินะ?” ไม่จำเป็นให้อิกนิสพูด ชาร์ล็อตก็เดาเหตุผลได้ว่าทำไมเขาถึงมาวิชาการผจญภัย แต่ใบหน้าของเด็กสาวยังประดับรอยยิ้มอยู่ “ถึงอย่างนั้นที่มาเรียนวิชานี้ก็เพราะสนใจรองลงมาใช่ไหมล่า~

“ก็… เกือบนะ ตอนนั้นกำลังลังเลกับวิชาแพทย์อยู่ แต่คิดว่าเรียนไม่ไหวก็เลยมาการผจญภัยแทน”

“เหรอ ฉันกลับคิดว่าเธอเรียนวิชานั้นได้นะ” ชาร์ล็อตเท้าคางจ้องอีกฝ่ายตาใส

“ขนาดธาตุประจำตัวผมเพิ่งใช้คล่องไม่นานนี้เอง จะให้โดดเป็นแสงทั้งที่ไม่มีพื้นฐานเลยก็คงไม่ไหวหรอก” อิกนิสแสดงสีหน้าลำบากใจขึ้นมาที่ชาร์ล็อตเชื่อมั่นในตัวเขา

“เหรอ…” ชาร์ล็อตขานรับประโยคของคนตรงหน้าเสียงเนิบ ว่าแต่นะ เรื่องของเธอกับคลาริสเนี่ย ฟังแล้วก็เป็นอุบัติเหตุแท้ๆ แต่ไหงถึงไม่ถูกกันขนาดนั้นได้” ชาร์ล็อตวกกลับมาเรื่องอุบัติเหตุเมื่อวัยเด็กของอิกนิส เพราะสงสัยว่าทำไมแค่อุบัติเหตุถึงกลายเป็นชนวนให้พี่น้องมองหน้ากันไม่ติด

“ไม่หรอก ถ้าผมเก่งกว่านี้ เรื่องมันคงไม่เกิดขึ้นหรอก” อิกนิสขบฟันแน่นเจ็บใจตัวเอง

ด้านชาร์ล็อตคิ้วกลับกระตุกขึ้นมาดื้อๆ แล้วโน้วตัว ถามซักไซ้เสียงห้วนตามลางสังหรณ์ “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?

“ถ้าตอนนั้นผมหลบได้ คลาริสก็คงยอมรับในฐานะคนสืบทอดตระกูลตามธรรมเนียม… แต่เปล่าเลย ถึงคลาริสจะโจมตีพลาด ผมก็เลยเจ็บจากการซ้อมทั้งที่หนีได้แท้ๆ หมอนั่นถึง… หืม?

อิกนิสหยุดเล่าอดีตของตัวเองเมื่อเด็กสาวตรงหน้าขมวดคิ้วยกมือปราม

“เอาละ ฉันเข้าใจเรื่องนั้นแหละ แต่อิกนิส เธอฟังฉันให้ดีนะ หมอนั่นมันก็แค่…”

 

“ทำไมเป็นเด็กนิสัยเสียแบบนี้เนี่ย” ไม่โวยเปล่า มือของเกล็นก็ตีเข้าที่ต้นแขนคลาริสราวกับเป็นแม่ที่กำลังตีลูก “ทำไมไม่ขอโทษพี่เขาดีๆ”

“โวยวายหนีความผิดแบบนี้ไม่ดีเลยนะคะ” คราวนี้เป็นเสียงหวานจากแมรีแอนน์ตามมาติดๆ “อิกนิสเป็นคนจริงจังต้องเก็บคำพูดไปคิดมากแน่ๆ”

“อะไรเนี่ย ทำไมจู่ๆ ถึงมารุมฉันกัน” คลาริสยืนโอดครวญที่โดนทั้งเกล็นกับแมรีแอนน์ตำหนิการกระทำในวัยเด็ก โดยสถานที่ที่พวกเขารวมตัวอยู่คือห้องปรุงยาซึ่งอยู่กันแค่สามคน หลังเกล็นขออนุญาตเคธีทำการทดลองยาสูตรหนึ่งที่ได้มาจากย่า

“ก็ปัญหามันบานปลายใหญ่โตถึงขั้นชิงตำแหน่งน่ะสิ เรื่องมันเครียดในหมู่ขุนนางเลยไม่ใช่หรือไง ยิ่งเป็นตระกูลดยุกอีก คนเลยแห่กันมาสนใจ”

“ฉันเคยได้ยินว่าอาจจะทำให้อีกคนเสียชีวิตด้วยค่ะ…” แมรีแอนน์หลุบตาลงเอ่ยอย่างเศร้าๆ กับเสียงสือเสียงเล่าอ้าง

“เรื่องพรรค์นั้นไม่มีจริงหรอกน่า”

“ไม่ต้องพยายามโกหกเลย แมรีแอนน์โตพอรู้เรื่องอะไรเป็นอะไรแล้ว”

“ไหงจู่ๆ ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมถีบเด็กไปเผชิญกับโลกแห่งความจริงได้หะ?” คลาริสเลิกคิ้วมองเกล็นที่ทำหน้าจริงจัง

“แต่ว่านะคะ เท่ากับว่าจริงๆ แล้วคลาริสก็ไม่ได้อยากเป็นผู้นำคนถัดไปหรือเปล่า?” แมรีแอนน์วางมือจากการทำงานเพื่อหันไปสนทนา “ฟังดูแล้วเหมือนสถานการณ์มันพาไปยังไงไม่รู้เลยค่ะ”

“ที่แมรีแอนน์พูดมา มันก็ใช่ล่ะนะ เพราะฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เป็นหรือไม่ได้แล้วน่ะ” คลาริสเกาต้นคอด้วยท่าทีสบายๆ สักพักเขาก็หันหน้าหนีทำเสียงงึมงำในลำคอ “ถึงก่อนหน้าเคยพานไม่ชอบหน้าจริงๆ ก็เหอะ”

“พูดมาขนาดนี้แล้ว ไหนเล่ามาสิว่าทำไมถึงเปลี่ยนความคิด” เกล็นถามพลางจับพืชสีม่วงใส่ลงหม้อ

“ยังจะได้ยินอีกนะ”

“อยู่ใกล้แค่นี้ก็ต้องได้ยินอยู่แล้วสิคะ” จากนั้นแมรีแอนน์ก็เทน้ำสีฟ้าใส่ลงหม้อเดียวกับของเกล็น

“ก็ได้ๆ ฉันจะเล่าให้พวกนายสองคนเท่านั้น อย่าให้ใครรู้เชียวโดยเฉพาะอิกนิส” ใบหน้าของคลาริสแดงขึ้นเพราะรู้สึกอายที่ต้องสาเหตุว่าอะไรคือจุดเปลี่ยน

“อย่างที่เล่าไปก่อนหน้า หลังจากวันนั้นในหัวฉันมีแต่ต้องชนะหมอนั่นให้ได้ เลยเกลียดเข้าไส้ไปด้วย จนมีอยู่วันหนึ่ง…” เป็นครั้งแรกที่ดวงตาสีม่วงอ่อนของคลาริสฉายความหม่นหมอง เขาถอนหายใจนั่งลงบนขอบโต๊ะแล้วเงยหน้ามองเพดาน

“แบบว่า ตั้งแต่จำความได้ แม่ฉันเป็นคนที่ยิ้มตลอดเวลา ขนาดพ่อกำลังหงุดหงิดก็ยังยิ้มออก จนฉันพูดออกไปว่าเกลียดหมอนั่น แม่ก็เปลี่ยนไปคนละคน… จำได้ขึ้นใจเลยว่าน่ากลัวแค่ไหน”

แล้วคลาริสยกมือขึ้นจับหัวไหล่นึกอดีตเกี่ยวกับแม่ที่กำลังโกรธเขา “ตอนนั้นแม่บีบไหล่แล้วพูดว่า ของพรรค์นั้นมันสำคัญกว่าพี่น้องหรือยังไง ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจความหมายมันหรอก

แต่หลายปีต่อมาถึงวันประลองตามที่กำหนด จู่ๆ หมอนั่นกลับขอสละสิทธิ์จนฉันโมโหมากเลยถือวิสาสะว่าศึกครั้งนั้นเป็นฝ่ายชนะ อิกนิสกลับไม่ลังเลยกมันให้ดีๆ ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมถึงยอมง่ายๆ แบบนั้น

กระทั่งน้องสาวลากตัวไปด้วยนั่นแหละถึงได้รู้ความหมายของแม่… หมอนั่นมันเลือกความสุขของน้องมากกว่าทำคะแนนให้ตัวเอง พอเรื่องนี้เข้าหูพวกผู้ใหญ่ที่เข้าข้างฉันกลับมาว่าอิกนิสไร้ความรับผิดชอบ บอกตามตรงมันทำให้ฉันรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก”

“เหอะ! สมเป็นผู้ใหญ่ดีเนอะ ใช้เด็กเป็นที่พึ่งเนี่ย” เกล็นทำเสียงขึ้นจมูกประชดประชัน

“พอคิดๆ ดู ดีไม่ดีอิกนิสอาจจะไม่ได้สนตำแหน่งด้วยก็ได้นะคะ ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากทำเป็นเล่นๆ เพราะกลัวคลาริสโกรธ… หรือไม่ก็เป็นการไม่ให้เกียรติคลาริสที่จริงจังเรื่องชิงตำแหน่งมากกว่า”

คลาริสนั่งนิ่งเงียบไร้การโต้ตอบใดๆ

“คลาริส นอกจากเป็นผู้นำตระกูลมีอะไรที่อยากทำอีกหรือเปล่า” น้ำเสียงหนักแน่นจากเกล็นถามอย่างใคร่รู้

“มีสิ! พวกนายรู้จักอัศวินเวทหรือเปล่าล่ะ” คลาริสดีดตัวขึ้นมายืนต่อหน้าเพื่อนทั้งสองคนด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

“เอ… ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นอัศวินที่ใช้เวทมนตร์เสริมความแกร่งให้อาวุธใช่ไหมคะ?” แมรีแอนน์ตอบไม่ค่อยมั่นใจนัก “พูดแบบนี้คลาริสอยากเป็นสินะคะ ถึงได้ฝึกเวทมนตร์จริงจัง”

“เห็นว่าเข้าหน่วยยากเอาเรื่องด้วยนี่ ถ้าเทียบจำนวนทั้งหมดก็มีแค่หยิบมือเอง ส่วนใหญ่เลยทำงานที่วิหารของท่านเบเลธ ไม่ก็หน่วยรักษาพระองค์เท่านั้น ต่อให้เป็นขุนนางยศดยุกก็ไม่มีสิทธิ์เรียกใช้งาน”

“ถูก! ฉันถึงได้เลือกเรียนเวทมนตร์เพิ่มเติมไง อย่างน้อยๆ ใช้ได้คล่องสักธาตุสองธาตุก็พอเอาตัวรอดได้ล่ะ” คลาริสหลับตาจิตนาการเรื่องราวอนาคตที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งกองทัพอัศวินเวทที่การสอบเข้าหินพอๆ กับสมัครเรียนเวทธาตุมืด

“ถ้าคลาริสได้เป็นอัศวินเวทต้องเท่มากๆ เลยค่ะ” แมรีแอนน์ปรบมือหัวเราะคิกคักให้กำลังใจเพื่อน

“นั่นสินะ” เกล็นขานรับไปตามน้ำทั้งที่รู้ความจริงจากข้อมูลเกม หากอัปสเตตัสของแมรีแอนน์ดีๆ เธอก็สามารถเปลี่ยนคลาสอัศวินเวทได้เช่นกัน อีกทั้งในประวัติของบรรพบุรุษของเด็กสาวก็เป็นคนริเริ่มอาชีพนี้คนแรกๆ ของประเทศด้วย พอนึกเกี่ยวกับเกมเรื่อยๆ เกล็นก็จำอะไรได้ แต่สุดท้ายก็ยักไหล่ช่างมัน

“ต่อให้แมรีแอนน์จะเห็นหรือไม่เห็นแผล ก็ไม่จำเป็นแล้วมั้ง”

เนื่องจากในเนื้อหาเกมของรูทอิกนิสนั้น แมรีแอนน์ที่เป็นนางเอกจะเห็นแผลเป็นที่หัวของอิกนิส หลังจากนั้นก็รู้เหตุผลที่พี่น้องทะเลาะกัน ทว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่ออิกนิสกับคลาริสคืนดีได้ก่อนอีเวนต์เห็นแผลเป็นจะมา

“เอาละ พวกเรากลับกันเถอะ” เกล็นว่าขึ้นและเตรียมเก็บอุปกรณ์ปรุงยาหลังทำเสร็จเรียบร้อย แมรีแอนน์เลยทยอยวางของและจัดหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบง่ายต่อการเก็บเข้าชั้นวาง “ว่าแต่นึกไงถึงอยากเป็นอัศวินเวทล่ะ”

เกล็นถามต่อด้วยความอยากรู้

“ฉันอยากเป็นเหมือนตาทวดน่ะ” ใบหน้าของคลาริสดูแจ่มใสกว่าทุกที ก่อนจะเลียนแบบท่าทางของตาทวดในความทรงจำวัยเด็กให้พวกเกล็นดู “ตอนนั้นน่ะตาทวดสุดยอดมากๆ เลยล่ะ แบบว่าเรียกดาบปุ๊บ ก็ใช้เวทฟันฉับปั๊บ ทันที”

“หืม…? เป็นคุณทวดที่แข็งแรงดีจังน้า” เกล็นหลับตาคิดถึงภาพของชายสูงวัยที่สุขภาพแข็งแรงสามารถจับดาบใช้เวทได้อย่างคล่องแคล่ว “ถ้าเป็นเราปานนี้ปวดเอวไปแล้วล่ะ ฮะๆ…”

เมื่อพวกเกล็นเก็บอุปกรณ์และเช็กความเรียบร้อยของห้องเรียนปรุงยาเสร็จก็พากันเดินกลับหอ ระหว่างทางก็เจอชาร์ล็อตกับอิกนิสที่เพิ่งออกจากห้องสมุดพอดี ทั้งหมดทักทายกันตามปกติพูดคุยสัพเพเหระกันนิดหน่อย กระทั่งคลาริสนึกอะไรได้

“มาด้วยกันหน่อยดิ” แฝดคนน้องบอกอิกนิสให้ไปที่ไหนสักแห่งด้วยกัน ถึงไม่รู้ว่าคลาริสต้องการอะไร แต่เขาก็ยินดีที่จะทำตามว่าง่าย สองพี่น้องเลยแยกตัวออกไปก่อน เหลือพวกเกล็นที่ยืนจ้องหน้ากันเพราะอยากใส่ใจเรื่องของอิกนิสกับคลาริสด้วยเหมือนกัน

“จะว่าไป พวกเธอซื้อของขวัญให้สองคนนั้นยัง?” เสียงเบาๆ ของชาร์ล็อตทักถามขึ้นหลังนึกเรื่องของขวัญวันเกิดออก เกล็นกับแมรีแอนน์ต่างสบตาแล้วหัวเราะแห้งให้กัน

“ยะ ยังเลยค่ะ…”

แล้วทั้งสามคนก็ยืนนิ่งมองหน้าสลับกันไปมา ก่อนจะพากันจ้ำอ้าวออกไปย่านการค้าแบบเร่งด้วยเพื่อหาของขวัญวันเกิดให้กับคู่แฝดในวันพรุ่งนี้