พอมีปัญหากับโจเอล บาสกิ้นซึ่งเป็นนักเรียนจากห้องสาม ฟิเลน่าก็เลิกทำหน้าเชิดแล้วสะบัดหนีในเวลาที่ชาร์ล็อตบังเอิญหันมาสบตากันหรือเดินสวนกัน ถือเป็นนิมิตหมายอันดีขึ้นมานิดหนึ่งสำหรับทั้งสอง อีกทั้งฟิเลน่า ลิเลียนและเคจกลับมาสนิทเหมือนเมื่อก่อน มีการชวนเข้าเมืองด้วยกันสามคนเป็นบางครั้ง แล้วนั่นทำให้ชาร์ล็อตที่นัดลิเลียนไปดูของขวัญให้แมรีแอนน์ต้องเซ็งอารมณ์ที่ต้องไปคนเดียว ทว่าเมื่อเข้าเรียนวิชาเลือกเด็กสาวก็คิดได้ว่าตัวเองยังมีอีกตัวเลือกที่สามารถไปกับเธอได้อยู่อีกคน

“เพราะงั้นช่วยไปเป็นเพื่อนทีเถอะนะ!” ชาร์ล็อตขอร้องอิกนิสให้เข้าเมืองเป็นเพื่อน ระหว่างเดินไปห้องเรียนวิชาเลือก

“ได้สิ ไม่มีปัญหา ดีด้วยซ้ำจะได้มีคนช่วยเลือก” อิกนิสยิ้มตอบกลับอย่างยินดีที่จะไปเป็นเพื่อนเด็กสาว ชาร์ล็อตจึงร้องและกระโดดดีใจที่ไม่ต้องซื้อของคนเดียวเหงาๆ

“ขอบใจนะ!” ว่าแล้วชาร์ล็อตก็จับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเขย่า “งั้นหลังเลิกเรียนไปกันเลยไหม”

อิกนิสพยักหน้าตกลง “เอาสิ วันนี้ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว”

พอยิ่งวันนี้คนตรงหน้าว่าง ชาร์ล็อตก็ยิ่งดีใจที่จะได้ออกไปวันนี้ได้เลย ทำให้ตลอดทั้งคาบเรียนเธอจึงเอาแต่คิดว่าจะไปร้านไหนบ้าง เมื่อเสียงระฆังดังชาร์ล็อตแทบจะวิ่งออกจากห้องเรียนหากไม่ติดอิกนิสที่ตามอารมณ์เด็กสาวไม่ทัน แล้วในระหว่างที่พวกเขาดูแผงขายเครื่องประดับสวยงามอยู่ อิกนิสก็ถามขึ้น

“จะว่าไป ปีก่อนๆ เธอซื้ออะไรให้เกล็นเหรอ”

“หืม?” ชาร์ล็อตละสายตาจากสร้อยไปหาอิกนิส “ถ้าตอนเด็กๆ ก็พวกของเล่นละนะ แต่พอโตก็ไม่ค่อยซื้อให้กันแล้วน่ะ แต่ของเกล็นหาไม่ยากเท่าแมรีแอนน์หรอก”

“แต่ผมคิดว่าของเกล็นน่าจะยากกว่านะ...” เด็กหนุ่มกอดอกแย้ง

“นั่นเพราะว่าเธอมีน้องสาวไงล่ะ” ชาร์ล็อตเท้าเอวเถียงกลับ “เอาเถอะแบบนี้อาจจะดีก็ได้นะ เธอช่วยเลือกของให้แมรีแอนน์ ส่วนฉันก็ของเกล็น แต่พอพูดแล้วแอบไม่ยุติธรรมแปลกๆ แฮะ”

ชาร์ล็อตหัวเราะเสียงแห้งรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยเพราะรู้สึกเหมือนเอาเปรียบอีกคน เพราะเธอรู้จักกับเกล็นมาเป็นสิบปี ดังนั้นการจะเลือกของขวัญให้มันจึงไม่ยากอะไรขนาดนั้น ต่างจากแมรีแอนน์ที่ต่างคนก็เพิ่งรู้จักเลยไม่ค่อยรู้ความชอบอย่างลึกซึ้งเท่าไรนัก แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของอิกนิส ชาร์ล็อตก็หลุดขำออกมา

“ไม่ต้องคิดมาหรอก ขอแค่เจ้าตัวชอบก็พอแล้วนี่นา ฮะๆๆ”

“มะ มีอะไรน่าขำน่ะ” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มแหย

“ขอโทษๆ ไม่หัวเราะแล้ว” จากนั้นชาร์ล็อตก็พยายามหยุดหัวเราะ “งั้นเราไปซื้อของให้เกล็นก่อนกันเลยดีไหม รายนั้นไม่ต้องคิดเยอะเลย”

“ถ้าเธอว่างั้นก็เอาสิ”

เมื่อการหาของขวัญให้เกล็นมันง่ายกว่า อิกนิสจึงตอบตกลงอย่างว่าง่าย ชาร์ล็อตเลยเดินนำเขาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าสิ่งนั้นต้องเป็นของที่เกล็นชอบอย่างแน่นอน ถึงจะมีสับสนในเส้นทางแต่สุดท้ายแล้วเด็กสาวก็มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านน้ำชา สร้างความงุนงงให้กับอิกนิสไม่น้อย ชาร์ล็อตผลักประตูเข้าด้านในเกิดเสียงกระดิ่งดังเรียกพนักงานออกมาต้อนรับ

“เกล็นชอบดื่มพวกชากาแฟน่ะ” ชาร์ล็อตกระซิบบอกพลางดึงแขนเสื้อของอิกนิสไปยืนอยู่หน้าตู้ขายใบชาและผงกาแฟสำหรับชงดื่มสำเร็จรูป “สนใจอันไหนก็อันนั้นนั่นแหละ”

ถึงชาร์ล็อตจะบอกว่าสนใจอันไหนก็เลือกอันนั้น ทั้งคู่ก็ตั้งใจเลือกรสชาติที่เกล็นน่าจะชอบมากที่สุด ทว่าระหว่างที่ตัดสินใจอยู่นั้นเด็กสาวก็พูดอะไรแปลกประหลาดขึ้นมา

“เธอว่าช่วงนี้เกล็นดูแปลกๆ ไปหรือเปล่า”

“เอ๋?” อิกนิสเลิกคิ้วอุทาน “เอ่อ... หมายถึงอะไรเหรอ...?”

“จะว่าไงดีล่ะ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดมากหรอก แต่วันที่มีเรื่องกับยัยโจเอล ฉันรู้สึกเกล็นแปลกๆ ตอนถามชื่อซ้ำน่ะ แล้วพอนึกย้อนไปวันที่อาจารย์เคธีมันก็ชวนให้สงสัยยังไงไม่รู้”

อิกนิสไม่ตอบอะไรจนเด็กสาวหันมองดูปฏิกิริยาก็เห็นว่าเขายืนครุ่นคิดด้วยสีหน้าตึงเครียดจนอยากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

“เธอก็คิดเหมือนกันใช่ไหม...?” ชาร์ล็อตถามเสียงแผ่วเบา

อิกนิสอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่างกับเด็กสาว แต่จู่ๆ เขาก็ตอบอืมสั้นๆ ราวกับเปลี่ยนคำตอบกะทันหันเพื่อจะไม่บอกในสิ่งที่คิดออกมาตอนแรก ทำให้ชาร์ล็อตรู้สึกว่าอิกนิสเองก็มีบางอย่างแปลกคล้ายกับเกล็น ทว่าคำถามที่อยากจะถามก็ต้องกลืนลงคอเมื่อเสียงพนักงานทักทายลูกค้าใหม่ดังขัด

ทั้งชาร์ล็อตกับอิกนิสจึงกลับมาสนใจสินค้าตรงหน้าอีกครั้ง ไม่นานเด็กสาวก็ถามของที่ขายดีที่สุดหรือไม่ก็รสชาติใหม่กับพนักงานแทนที่จะเลือกเองต่อ พวกเขาเลยได้ของขวัญให้เกล็นอย่างรวดเร็วจนอิกนิสรู้สึกแปลกๆ กับสิ่งที่ทำลงไปว่ามันดีจริงๆ หรือเปล่าผ่านทางสีหน้า แต่ชาร์ล็อตก็แตะหลังเขาเบาๆ และหัวเราะจนตาหยีอารมณ์ดีให้เชิงบอกว่าไม่เป็นไร

“ต่อไปเราไปหาของให้แมรีแอนน์ต่อกัน” ชาร์ล็อตว่าเสียงใสก้าวออกจากร้านไปยืนรออิกนิสมาอยู่ข้างตัว กระทั่งบานประตูปิดลง จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนจุดยืนอยู่ใกล้ตรอกเล็กๆ แถวร้านเดิม “เธอคิกว่าจะซื้ออะไรให้แมรีแอนน์ดี?”

“เครื่องประดับก็น่าสนใจ แต่เท่าที่สังเกตแมรีแอนน์ไม่ค่อยสวมอะไรพวกนี้เท่าไรนะ...” อิกนิสนึกถึงแมรีแอนน์ที่ไม่เคยสวมเครื่องประดับ นอกจากโบสีแดงสะดุดตา “ถ้าเป็นพวกกิ๊บหรือโบก็อาจจะดีก็ได้นะ”

“แล้วถ้าเป็นตุ๊กตาล่ะ เธอคิดว่าไง” เด็กสาวผมแดงถามความเห็นต่อ

“คงได้ล่ะมั้ง...” อิกนิสตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่จากบุคลิกของแมรีแอนน์ก็เหมือนเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ชอบของน่ารักเป็นทุนเดิม สีที่ชอบก็คือชมพูไม่ก็แดงเพราะเธอมักแสดงความตื่นเต้นเวลาเจอสิ่งของที่น่าสนใจและมีสีที่ชอบ “แต่ลองไปดูก็ไม่เสียหายนะ”

ถ้าเป็นร้านขายของกระจุกกระจิก ฉันจำได้นะว่าอยู่แถวไหน” ชาร์ล็อตว่าเตรียมก้าวเท้านำทาง

ทว่าในจังหวะที่ทั้งสองกำลังพ้นตรอกแห่งนั้น ก็ได้มีรถเกวียนสำหรับขนสินค้าจำนวนมากเลี้ยวโค้งออกมา เพราะมีตาข่ายคุมไม่ให้ของหล่นห้อยจึงเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวใบหูของชาร์ล็อตต้องขยับตัวไปตามแรงรถเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวบาดเจ็บไปมากกว่านี้

“โอ๊ยๆๆ!

โชคดีที่นอกจากรถไม่ได้เคลื่อนที่เร็ว คนขับรีบหยุดม้าหลังได้ยินเด็กสาวร้องสุดเสียงแล้วรีบกระโดดลงมาช่วยเหลืออิกนิสที่พยายามแก้ปม ไม่นานคนที่มุงดูก็คอยๆ ทยอยแยกย้ายเมื่อเหตุการณ์สงบ ชาร์ล็อตถูบริเวณโคนหูคลายความเจ็บพลางเช็ดน้ำตารับคำขอโทษจากพนักงานส่งของ ไม่ใช่แค่เสียงสั่นรู้สึกผิดจากใจจริงผู้เสียหายมองว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจึงให้อภัย

“ไม่เป็นอะไรมากนะ?” อิกนิสถามเสียงห่วงใยตอนที่พวกเขากำลังเดินไปร้านขายของจิปาถะ “วันนี้เรากลับก่อนดีไหม”

“ไม่ต้องหรอก มันเจ็บก็จริงแต่เหมือนไม่ได้เป็นแผลนะ” เธอตอบกลับอย่างน้อยตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บจนเลือดตกยางออก เขี่ยเส้นผมสีแดงออกให้อีกฝ่ายเช็กอีกที

“อืม แค่แดงๆ...” เด็กหนุ่มตอบ ทว่าสีหน้ากลับดูงุนงงโดยไม่รู้ตัว

“มีอะไรเหรอ”

“เปล่า” อิกนิสกะพริบปริบเปลี่ยนความฉงนสงสัยต่อคำถามของชาร์ล็อต

ไม่มีอะไรแล้วพวกเขาเดินตรงสู่ร้านขายของจุกจิกที่แต่งร้านสีหวานเข้ากับสินค้าเสียจนอิกนิสชะงักไปครู่หนึ่ง หลังย่างก้าวข้ามธรณีประตูไล่หลังชาร์ล็อตไปติดๆ สินค้าภายในร้านมีของมากมายตั้งแต่เครื่องเขียน เครื่องประดับน่ารักที่ไม่หรูหรา และตุ๊กตา

“นี่ เราซื้อปากกาให้ดีไหม” ชาร์ล็อตหยิบปากกาหมึกซึมสีชมพูน่ารัก ซึ่งเป็นสินค้าที่กำลังนิยมอย่างมากในหมู่นักเรียนเอลเซียร์หรือคนทำงานเกี่ยวข้องกับการเขียนเพราะใช้งานสะดวกไม่จำเป็นต้องจุ่มหมึกทุกครั้งและไม่เสี่ยงหกเลอะเทะเวลาเผลอทำขวดล้มอย่างปากกาหัวแร้งทั่วไป

“ก็ดูเหมาะกับแมรีแอนน์นะ แต่เขาต้องเกรงใจแน่ๆ” จริงอยู่มันสินค้าขายได้ ทว่าราคายังจัดว่าสูง เนื่องจากการวางจำหน่ายยังอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น แล้วเหมือนผู้ผลิตอยากทำปากกาหลากหลายสีสันราคาจึงยิ่งสูง เลยอาจจะทำให้เจ้าของวันเกิดไม่กล้ารับ ยกเว้นพวกเขายอมซื้อสีดำธรรมดาเอาแทนซึ่งดูไม่สมเป็นของขวัญนัก

ถึงชาร์ล็อตคิดแบบเดียวและเห็นด้วยกับอิกนิส ทว่าเธอยังแสดงใบหน้ามุ่ยที่ถูกขัดแล้ววางปากกาเก็บไว้ที่เดิมหันไปสนเครื่องประดับผมแทน แต่กลับกลายเป็นว่าชาร์ล็อตเลือกของให้ตัวเองลืมจุดประสงค์แรกเริ่มไป หันถามว่าสีไหนน่ารักกว่ากัน โชคดีที่อิกนิสมีน้องเป็นเด็กผู้หญิงแล้วมักเล่นอะไรเกี่ยวกับความสวยความงามมาก่อนเลยพอถูไถตอบให้ชาร์ล็อตเป็นตัวเลือก

ทว่าในตอนส่องกระจกตั้งใจลองสินค้า จู่ๆ เด็กสาวยืนนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะน้ำตาไหลร้องสะอื้นดื้อๆ เล่นเอาอิกนิสตกใจทำตัวไม่ถูกไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ ชาร์ล็อตถึงแสดงอารมณ์เศร้าออกมาชัดเจน

“ชะ ชาร์ล็อตเป็นอะไรไป?”

ไม่มีเสียงตอบรับ ชาร์ล็อตยกมือเช็ดคราบน้ำตาร้องไห้เสียงเบา อิกนิสที่รับสถานการณ์ไม่ทันรีบดึงข้อมือบางเดินออกนอกร้านทำสายตาเลิ่กลั่กควรจะไปไหนดี ไปที่คนโล่งๆ แล้วรอให้เธอหยุดร้องและเล่าเรื่องราว ทว่าอิกนิสก็ตัดสินใจได้อีกอย่างจึงพาชาร์ล็อตกลับโรงเรียนทันที ในเวลานี้อาคารเรียนยังไม่ถึงเวลาปิด ทั้งสองจึงไปตรงยังอาคารเรียนภาคปฏิบัติเพื่อไปหาคนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เพราะมันคือสถานที่ไม่กี่แห่งที่คนคนนั้นจะอยู่ และดูเหมือนโชคจะเข้าข้างที่ไม่ต้องตามหาจนเหนื่อย อิกนิสเจอเกล็นที่กำลังเดินออกจากอาคารพร้อมกับแมรีแอนน์และคลาริส เขารีบพาชาร์ล็อตไปหาอย่างทุลักทุเลเพราะความเร็วที่ไม่เท่ากัน

ทันทีที่เกล็นเห็นชาร์ล็อตกับอิกนิสมาตั้งแต่ไกล ใบหน้าเขาก็แดงก่ำดูออกเลยว่ากำลังโกรธและรีบเดินตรงไปหาทั้งสอง ไม่ใช่แค่เกล็น คลาริสเองก็มีท่าทีคล้ายๆ กันไล่ตามมาติดๆ

“เกิดอะไรขึ้น!” เกล็นเงยหน้าถามอิกนิสเสียงดุ

“ใครเป็นคนทำบอกมาเลยนะ” คราวนี้เป็นคำถามจากคลาริสที่ถกแขนเสื้อพร้อมหาเรื่อง

“ฉะ ฉันก็ไม่รู้ จู่ๆ เขาก็ร้องไห้…” เสียงตะกุกตะกักตอบตามความจริงไม่รู้สาเหตุอะไรทำให้ชาร์ล็อตร้องไห้เสียใจ

เกล็นพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์จ้องเขาตาเขียวขุ่นแล้วสนใจชาร์ล็อต เขาลูบต้นแขนเด็กสาวเบาๆ พร้อมเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลอย่างกับคนละคน กระทั่งแมรีแอนน์ที่มาสมทบคนสุดท้ายเอ่ยถามถึงที่มาที่ไปกับสองพี่น้องฝาแฝด

“โอ๋ๆ มีอะไรเหรอ บอกฉันได้นะ”

เกล็นไม่ถามเพิ่มเติมปล่อยให้ชาร์ล็อตร้องจนพอใจ เธอค่อยๆ พยายามกลั้นเสียงสะอื้น

“...ของ... คุณแม่...” ไม่จำเป็นต้องฟังครบประโยคเกล็นก็เข้าใจทันที จากนั้นเขาก็หันไปทางแมรีแอนน์

“ขอโทษทีนะแมรีแอนน์ รบกวนพาชาร์ล็อตไปส่งหอก่อนได้ไหม” เกล็นขอร้อง

“จะ... จ้ะ”

เธอพยักหน้ารับตกลงคำจากเกล็น จากนั้นก็เดินไปจูงมือชาร์ล็อตกลับหอพร้อมปลอบใจไปพลาง เมื่อเด็กสาวทั้งสองหายลับสายตาเกล็นถอนหายใจอีกครั้ง ดูท่าตอนนี้เขาคงรู้โดยไม่ต้องถามเจ้าตัวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“หูชาร์ล็อตไปโดนอะไรเกี่ยวมาหรือเปล่า”

“เอ๊ะ” อิกนิสอุทานนึกสงสัย “ทำไมถึงรู้ล่ะ”

“ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตหรอก แต่ต่างหูหายไปน่ะสิ” เกล็นสรุปสาเหตุที่ชาร์ล็อตร้องไห้ “มันเป็นของขวัญวันเกิดที่แม่เขาให้น่ะ… แล้วชาร์ล็อตเป็นคนหวงของพวกนี้มาก ต้องใช้สักพักเลยล่ะกว่าจะหายเศร้า”

“นั่นสินะ” คลาริสเห็นพ้อง เพราะตัวเขาเองก็เคยเหตุการณ์ทำนองนี้เหมือนกันที่ตุ๊กตาตัวโปรดของน้องสาวหายไป กว่าจะร่าเริงใช้เวลาหลายวัน

“เพราะงั้นนายไม่ต้องเครียดหรอกนะ มันเป็นอุบัติ… อ้าว?” ไม่ทันจะบอกอิกนิสไม่ให้คิดมากและรู้สึกผิดที่ต่างหูของชาร์ล็อตหายไป เด็กหนุ่มผมดำก็หายจากบริเวณนั้นทำเอาเกล็นเหงื่อตกกับนิสัยติดตัว “อย่าบอกนะอิกนิสย้อนกลับไปหาน่ะ”

“สภาพงี้ ไม่ต้องสืบเลย ป่านนี้วิ่งพล่านไปทั่วแล้วมั้ง” แฝดคนน้องพูดทีเล่นทีจริงนึกภาพอิกนิสวิ่งตามหาชิ้นเล็กตามที่ต่างๆ ในเมือง

“แล้ว… เราจะเอาไงดี” เกล็นสบมองอยากได้ความคิดเสริม

“รู้หรือเปล่าว่าสองคนนั้นไปไหนกันมาบ้าง…”

เกล็นส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้สักนิดว่าทั้งคู่ไปที่ไหนมาบ้าง “อ๊ะ จริงด้วย อีกไม่กี่วันก็วันเกิดแมรีแอนน์แล้ว น่าจะไปพวกร้านขายเครื่องประดับไม่ก็ของกระจุกกระจิกหรือเปล่า”

“ไม่รู้ดิ” คลาริสยักไหล่ “แล้วเราจะเอาไงดี”

เขาย้อนถามปประโยคเดียวกับเพื่อน

“เอ่อ...” เกล็นครุ่นคิดลังเล “งั้นไปตามหาอิกนิสกันดีกว่า”

 

ตั้งแต่รู้สึกตัวว่าต่างหูที่คุณแม่ซื้อให้เป็นของขวัญเกิดหายไป รุ่งเช้าวันต่อมาชาร์ล็อตยังมีอาการซึมเสียใจไม่หาย เธอออกจากห้องพักช้ากว่าปกติ บางความคิดเด็กสาวอยากหยุดเรียนแต่ก็กลัวว่าเพื่อนคนอื่นจะเป็นกังวล ดังนั้นชาร์ล็อตจึงถอดต่างหูอีกข้างเพื่อให้ตัวเองทำใจได้ไวแล้วรีบเตรียมตัวไปตึกเรียน ทว่าในตอนร่างสูงเพรียวก้าวเท้าพ้นประตูสู่ภายนอกอาคาร ชาร์ล็อตเห็นอิกนิสนั่งอยู่แถวรูปปั้นตรงข้ามหอของเธอ ท่าทางของเขากำลังรอใครสักคน และในทันทีดวงตาสีอำพันและสีม่วงอ่อนสบเข้าหากัน อิกนิสลุกขึ้นเดินตรงมาหาและยื่นของสิ่งหนึ่งที่ทำให้เด็กสาวเบิกตากว้างประหลาดใจ ใบหน้าชาร์ล็อตยิ้มกว้างดีใจจนน้ำตารื้นพร้อมยื่นมือรับต่างหูสีเงิน เธอเช็ดน้ำตาเงยหน้ามองอีกฝ่าย

“ขอบใจนะ” นั่นเป็นคำเดียวที่ชาร์ล็อตคิดได้รู้ดีเลยว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าหลังรู้ว่าต่างหูของเธอหายไปคงรีบกุลีกุจอตามหามันอย่างแน่นอน แล้วอดไม่ได้ที่จะถามถึงสถานที่ที่เขาหาเจอ “มันตกอยู่แถวไหนเหรอ”

“ก็ใกล้ๆ ร้านชาที่พวกเราไปกัน” อิกนิสว่าพลางนึกย้อนอดีตตอนที่รู้ว่าต่างหูเด็กสาวหายไป เขาตรงดิ่งไปร้าน “จะเรียกว่าโชคดีก็ได้ที่น่าจะมีคนเตะเข้าตรอกพอดีมันเลยไม่ยังอยู่แถวนั้น”

“งั้นเหรอ...” ชาร์ล็อตตอบรับเสียงแผ่วเบามองกลับมามองต่างหูไม่ละสายตา เธอหัวเราะขบขันแล้วมองอิกนิสอีกครั้ง “ฉันเองก็โชคดีเหมือนกันที่รู้จักกับเธอนะ”

ไม่รู้เพราะอะไร แต่ชาร์ล็อตคิดว่าหากคนที่ไปด้วยเมื่อวานไม่ใช่อิกนิสละก็ เธอคงไม่ได้ของคืนแบบนี้ เพราะต่อให้เป็นเกล็นก็คงไม่วิ่งย้อนกลับไปหาแน่

“หืม?” ชาร์ล็อตเลิกคิ้วจ้องอิกนิสที่เบือนหน้าหนี ถึงเขาจะยกมือป้องปากจนซ่อนแก้มได้ เธอก็ยังพอสังเกตเห็นแซวอีกฝ่าย “เขินเหรอ พูดตามตรงต้องเป็นทางฉันต่างหากนะ ก็ดันพูดจาอย่างกับนิยายแน่ะ จั๊กจี้ชะมัด”

“ถ้ามีคนพูดแบบนั้นเธอก็เป็นเหมือนกัน” อิกนิสสวนกลับพยายามปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ “รีบไปตึกเรียนเถอะ”

ว่าแล้วอิกนิสเดินดุ่มๆ หนีชาร์ล็อตที่ส่งเสียงเสียงหัวเราะฮี่ๆ ดังไล่หลังมา ดูเหมือนอารมณ์เธอกลับมาสดใสตามเดิมแล้ว แทนเด็กสาวจะเก็บต่างหูใส่กระเป๋ากระโปรงเพื่อรอสวมคู่กับอันที่อยู่บนห้อง เธอเลือกจะใส่มันเพียงข้างเดียวก่อนแล้วเร่งเท้าไปเดินขนาบข้างอิกนิสหาเรื่องคุยไปเรื่อยตามนิสัยจนกระทั่งพวกเขาถึงห้องเรียน