53 ตอน บทที่ 52: ตัวเลขปริศนา
โดย RiFourver
แมรีแอนน์ที่กำลังช็อกเมื่อเห็นเกล็นกับจูเลียสตกลงไปในหลุมที่เจ้าปีศาจตัวตุ่นขุดเอาไว้ ร่างกายนั้นร้อนผ่าวไปทั้งตัวด้วยความโกรธเกรี้ยว เด็กสาวไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำอะไรไปตอนขาดสติ กระทั่งเธอลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดเพียงลำพัง ดวงตาสีชมพูกลอกสำรวจอย่างมึนงงไม่เข้าใจสถานการณ์
ไม่นานนัก แมรีแอนน์ก็ได้ยินเสียงขีดเขียนจากทางด้านหลัง เมื่อเธอกลับหันหลังไปก็เจออาคารแปลกตาสองชั้นที่มีรั้วเป็นกำแพงสีขาว ที่นั่นมีเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ทำให้แมรีแอนน์มองใบหน้าของเขาไม่ชัด
ข้างๆ เด็กชายมีชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งสวมชุดประหลาด โดยผู้ชายใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวท่อนล่องพันผ้าลายทางเรียบๆ รอบเอว ส่วนผู้หญิงใส่เสื้อระบายสีขาว กระโปรงสีแดงมีลาย ซึ่งทั้งคู่ต่างจ้องแมรีแอนน์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
แมรีแอนน์ที่ตั้งใจเดินเข้าไปต้องหยุดชะงักอยู่หน้าทางเข้าราวกับมีกำแพงใสกั้นเอาไว้ เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่นานนัก เด็กผู้ชายคนนั้นก็ได้เงยหน้ามองแมรีแอนน์ เขาหันซ้ายหันขวาพร้อมตะโกนเรียกหาผู้เป็นแม่สองสามครั้ง พอไม่มีเสียงตอบรับเด็กน้อยก็กวักมือเรียกเด็กสาว
“เข้ามาๆ”
สิ้นเสียงนั้น แมรีแอนน์ก็สามารถเข้าไปด้านในได้ สองชายหญิงวัยชราส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้ พวกเขาขยับปากเหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่างกับเธอ แต่แล้วภาพตรงหน้าของแมรีแอนน์ได้พลันเปลี่ยนกลายเป็นความมืดอีกครั้ง...
ซิกมุนท์ยื่นไปหาเกล็นเป็นการบ่งบอกถึงความต้องการ แต่เมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมทำตาม ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าเอือมทั้งที่ริมฝีปากยังยิ้มอยู่ เขาถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเคาะเถาวัลย์ที่พันธนาการร่างของจูเลียสให้แน่นขึ้นจนองค์ชายร้องโอดครวญเจ็บปวด
“อั่ก!”
ทั้งสีหน้าและเสียงของจูเลียสสร้างความทุกข์ใจให้กับเกล็นเป็นอย่างมาก จึงล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเอาผลึกอีกชิ้น
“เอาไป!” เกล็นยอมแพ้ทำตามที่ซิกมุนท์บอกอย่างจนใจ
เด็กหนุ่มผมฟ้าโยนผลึกให้ ทว่าซิกมุนท์ไม่หลงกลด้วยการละสายตาจากเกล็น ชายหนุ่มตวัดนิ้วเป็นการร่ายเวทบังคับให้เถาวัลย์เอาผลึกมาแทน ถึงแม้ว่าซิกมุนท์จะได้ของที่หมายตาแล้ว เขาก็ยังไม่ปล่อยจูเลียสให้เป็นอิสระเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลึกชิ้นไหนเป็นของจริง
“ผมน่ะชอบลูกเล่นของอาคมตระกูลนี้จริงๆ” ซิกมุนท์เอ่ยขึ้นขณะส่องผลึกชิ้นที่ได้มาจากจูเลียสอย่างละเอียดถี่ถ้วน “สร้างผลึกที่เหมือนกันไม่พอ ยังใส่พลังเวทไว้หลอกอีกต่างหาก นับว่าแสบไม่เบาเลยนะครับว่าไหม” จากนั้นชายหนุ่มก็เปลี่ยนมาดูอีกชิ้นหนึ่ง “ลองคิดดูสิ หากมันกระจายไปทั่วถ้ำนี่ แล้วพวกผมด่วนสรุปขึ้นมาคงต้องเสียเวลากันน่าดู”
“ตระกูลที่ว่า… หมายถึงลูมิเธอร์งั้นเหรอ?” จูเลียสที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีถามเสียงติดขัดหายใจไม่สะดวก เพราะถูกเถาวัลย์รัด
“ใช่ครับ” วายร้ายหนุ่มหันไปยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร
“ปล่อยจูเลียสได้แล้ว…” เกล็นบอกกับซิกมุนท์เสียงต่ำราวกับจะข่มขู่ ทั้งที่ขาของเขายังสั่นจากอาการล้าหลังวิ่งต่อเนื่องเป็นเวลานาน
“อันที่จริงก็อยากปล่อยพวกคุณไปหาเพื่อนๆ อยู่หรอก แต่ผมต้องดูให้แน่ใจก่อนว่าผลึกสองชิ้นที่ได้มาเป็นของจริงหรือเปล่า” ซิกมุนท์ยักไหล่และหัวเราะเสียงแห้งดูทีเล่นทีจริง จากนั้นเขาก็หรี่ตามองผลึกที่เพิ่งได้มาต่ออย่างพิเคราะห์ ทีละชิ้น ไม่นานชายหนุ่มก็เบ้หน้าดูไม่พึงพอใจอะไรบางอย่าง
“ละ แล้วทำไม…” จูเลียสพยายามฝืนที่จะพูด “ทำไมต้องฆ่า…พวกเขาด้วย…”
ด้วยคำถามนั้นก็ทำให้ซิกมุนท์ชะงัก แววตาของเขาเหม่อลอยชั่วขณะก่อนจะปรายตามององค์ชาย จากนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วคลี่ยิ้ม
“ผมน่ะตอบให้ได้นะครับ แต่พอคิดๆ ดูการพูดตรงๆ มันไม่น่าสนุกเท่าไร” ซิกมุนท์กลั้วหัวเราะ “เพราะงั้นพวกคุณก็ไขปริศนากันเองล่ะกัน” นัยน์ตาสีทองหลุบตาเหมือนกำลังใช้ความคิด “สามสิบสองลบสิบเจ็ด นั่นแหละคือคำตอบของผม”
“คำถงคำถามบ้าบออะไรวะ!?” เกล็นโวยวายไม่เข้าใจความหมายของคำถามที่ดูเป็นการใบ้มากกว่า “รีบปล่อยจูเลียสได้แล้ว จะเช็กนานเกินไปแล้ว!”
“ไม่เอาสิครับ ของแบบนี้ดูแค่ผิวเผินไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มผมสีชมพูซีดทำหน้าหงอยที่ถูกเกล็นขึ้นเสียงใส่ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับฟังดูกำลังหยอกล้ออยู่ “แต่พูดกันตามตรง ผมก็ตรวจเสร็จแล้วล่ะ”
พูดจบซิกมุนท์ก็โยนผลึกชิ้นที่สองคืนเกล็นไปพร้อมปล่อยตัวประกันให้เป็นอิสระ ทันทีที่หลุดจากการผูกมัดจูเลียสทรุดกายไอโขลก ขณะที่ตัวร้ายหนุ่มโบกมือลาพวกเกล็นอย่างอารมณ์ดีก่อนจะมีสสารสีดำคล้ายของเหลวหนืดและหมอกควันพุ่งขึ้นจากใต้เท้าของซิกมุนท์มาปกคลุมทั่วร่าง จากนั้นชายคนนั้นได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
พอพ้นอันตรายอีกทั้งจูเลียสก็ปลอดภัยดี เกล็นที่รู้สึกโล่งอกที่ผ่านสถานการณ์ตึงเครียดนี้ไปได้ก็เป็นลมหมดสติ ทิ้งให้เด็กหนุ่มผมทองอยู่เพียงลำพัง จูเลียสพยายามร้องเรียกและเขย่าร่างของเกล็นอย่างตื่นตระหนก
ซิกมุนท์ปรากฏตัวท่ามกลางหมอกควันสีดำ ณ สถานที่แห่งหนึ่งภายในถ้ำเดิม ที่นั่นมีลักษณะทรงโดม ตรงกลางมีหลุมขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยผลึกสีฟ้าใสทรงว่าวมากมาย ชายหนุ่มก้าวเท้าไปยืนอยู่เคียงข้างกับฮันนาที่ยืนกอดอกรอเขาอยู่แถวปากหลุม
“คนตระกูลลูมิเธอร์รอดมาได้คนหนึ่ง” ฮันนาบอกข้อมูลที่รู้มากับเพื่อนร่วมงาน “พลังแข็งแกร่ง แต่ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยถึงจะควบคุมได้”
ดวงตาสีแดงหลังเลนส์แว่นเดี่ยวหลับลง หญิงสาวนึกถึงภาพของแมรีแอนน์ที่ระเบิดพลังราวกับคนขาดสติที่เห็นเพื่อนสองคนหายไปต่อหน้าต่อตา จากนั้นฮันนาได้ลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจ
“ใครว่าหนึ่ง สองต่างหาก” ซิกมุนท์แย้งและบอกข้อมูลที่แท้จริง
“จะเหลือกี่คนก็ไม่สำคัญ” ฮันนาเหลือบมองชายหนุ่ม เธอยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ได้เจอเกล็น ฮิลเนสันแล้วเป็นไงบ้าง?”
“จะว่าไงดีน้า” ซิกมุนท์ตอบกลับเสียงเนิบพลางลูบคางคิดคำตอบเหมาะๆ “ประทับใจสุดๆ เลยล่ะ กล้าที่จะให้เพื่อนทิ้งตัวเองทั้งๆ ที่หมดแรงขนาดนั้น ช่างเป็นคนที่น่าชื่นชมอยู่นะ สมแล้วที่ราชาคนนั้นจะสนใจเหมือนกัน อยากรู้จังเลยนะว่าถ้าสองคนนั้นได้เจอหน้ากันจะคุยเรื่องอะไร ฮะๆๆๆ”
“ถ้าอย่างนั้น เราคงทำอะไรกับเกล็น ฮิลเนสันไม่ได้จนกว่าตาแก่นั่นจะหมดความสนใจ” ฮันนายกมือกุมขมับที่มีเรื่องยุ่งยากเพิ่มเข้ามา “เป็นปัจจัยที่คุมยากจริง”
“มันถึงได้สนุกยังไงล่ะ!” ซิกมุนท์โพล่งเสียงสดใส แววตาของเขาส่องประกายกับสิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่เหนือความคาดหมาย “ปัจจัยพิเศษที่เปลี่ยนโชคชะตาได้เหมือนท่านเทพฮีมูอาแบบนั้น ทั้งชีวิตก็คงไม่เจอแล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะเต็มเสียงอย่างพึงพอใจ ดวงตาสีทองหลับลงแล้วนึกภาพที่ตัวเองต่อสู้กับพวกเด็กสาวผมสีเขียวอ่อนในสถานที่หนึ่งซ้ำๆ หลายรอย ทว่ากลับมีครั้งหนึ่งเขาเลือกทรยศฮันนาราวกับมีอะไรสักอย่างปลดปล่อยเขาจากความน่าเบื่อนั้น แน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด ตั้งแต่ที่คุณปู่คนนั้นหัวกระแทกพื้นเมื่อวัยเด็ก
ซิกมุนท์ลืมตาพร้อมล้วงหยิบผลึกสีฟ้าใสขึ้น เขายกมันส่องอีกครั้ง
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” ฮันนาส่ายหัวเหนื่อยหน่ายคนข้างกาย
ซิกมุนท์ไม่ตอบโต้อีกฝ่าย เขาเพียงยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นผลึกสีฟ้านั้นก็ถูกโยนทิ้งไปรวมกันชิ้นอื่นๆ ในหลุม ชายหนุ่มหันหลังให้พร้อมยื่นมือข้างหนึ่งไปด้านข้าง
“ไปกันเถอะ งานครั้งนี้ล้มเหลว”
“ถ้าพูดให้ถูก คุณมั่วแต่เล่นมากกว่า ถึงได้เป็นแบบนี้” ฮันนาตำหนิเสียงเรียบ เธอส่งมือให้ซิกมุนท์อย่างนุ่มนวล
และแล้วทั้งสองคนก็หายไปในสสารสีดำแบบเดียวกับที่ซิกมุนท์เคยใช้ ห้องที่เต็มไปด้วยผลึกนั้นจึงว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีใครเข้ามาก่อน
ไม่รู้นอนหลับไปนานเท่าไร เกล็นรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีใครบางคนกำลังเขย่าตัวอยู่ แม้จะได้สติแต่ดวงตาของเขากลับยังคงปิดสนิทและส่งเสียงครางออกมาเหมือนคนขี้เซา
“ริศตื่นสิลูก!” ต่อให้ไม่ได้ยินเสียงนี้มานานมาก เกล็นยังจำได้แม่นว่าเสียงนั้นเป็นของใคร มันคือเสียงของแม่ที่พยายามปลุกเขาเหมือนทุกๆ เช้า แต่… เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามันดูร้อนรนผิดปกติ
“ขออีกห้านาที…” เสียงงัวเงียบอกกับผู้เป็นแม่และหลงคิดว่าแม่คงดูเวลาผิดจนรีบมาปลุก แต่เมื่อเกล็นลืมตาตื่น เขาก็ไม่พบแม่เพ็ญทั้งที่หล่อนเพิ่งเขย่าตัวเมื่อสักครู่ ดวงตาสีดำกลอกมองรอบตัวอย่างสับสน ความหวาดกลัวต่อความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเกาะกินจิตใจเขา และยิ่งร่างกายที่แข็งทื่อขยับไม่ได้คล้ายอาการผีอำก็ยิ่งทำให้เกล็นเตลิดกว่าเดิม หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มันเป็นของผู้หญิงที่แผดเสียงน่ากลัว
“มึงตาย!”
เฮือก!
ร่างของเกล็นดีดตัวขึ้นนั่งเพราะตกใจกลัวจนขนหัวลุก ไม่นานเขาเกิดอาการคลื่นไส้ต้องรีบเข้าห้องน้ำโดยที่ยังไม่รู้ตัวเลยว่าอยู่ไหน เกล็นสำรอกอย่างทรมาน จนหญิงสาวแปลกหน้าในชุดกระโปรงสีขาวเปิดประตูเข้ามา
“คุณคะ! คุณเป็นอะไรมากไหมคะ!?” นางพยาบาลสาวร้องเสียงหลงเมื่อเห็นคนไข้มีอาการไม่สู้ดี เธอดูอาการและรักษาคนไข้เบื้องต้นอย่างรวดเร็ว
เมื่ออาการของเกล็นดีขึ้น นางพยาบาลจึงช่วยพยุงเขาไปนอนที่เตียง ดวงตาสีดำมองเพดานสีขาวเพื่อทบทวนความทรงจำสุดท้าย ขณะที่หญิงสาวรีบขอตัวเพื่อไปตามแพทย์มาดูอาการเขา
หลายนาทีต่อมา หมอซึ่งเป็นชายวัยกลางคนและนางพยาบาลคนเดิมก็เข้ามา พวกเขาตรวจดูอาการต่างๆ ของเกล็นอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าสุขภาพร่างกายและจิตใจนั้นดีขึ้น จากนั้นหมอจึงบอกเด็กหนุ่มว่าจะอนุญาตให้เยี่ยมไข้ได้ เกล็นเลยพยักหน้าหงึกหงักขอไปทีเหมือนไม่ตั้งใจฟังว่าหมอพูดอะไรบ้าง
หลังจากนั้นผ่านไปอีกประมาณสิบนาที เกรกอรี่ได้ปรากฏตัวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตาของชายสูงวัยสั่นไหวอย่างเป็นห่วงชัดเจน เกรกอรี่ลากเก้าอี้ตัวใกล้ๆ มาหยุดข้างเตียงนอนแล้วนั่งลง เขาผายมือให้เกล็นเป็นฝ่ายพูดก่อน
“เอ่อ… ผมอยู่โรงพยาบาลสินะครับ?”
“ใช่ ที่นี่คือโรงพยาบาลในเมืองเอลเซียส์” มหาปราชญ์เอ่ยตอบ “หลังจากเหตุการณ์ที่นาส เธอกับแมรีแอนน์หมดสติทั้งคู่”
“หมดสติ!?” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกพร้อมดีดตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรง “แล้วแมรีแอนน์เป็นยังไงบ้าง!?”
“หลังกลับจากนาสไม่กี่ชั่วโมง แมรีแอนน์ก็ฟื้น มีแค่เธอคนเดียวที่หมดสติไปสามวัน” เกรกอรี่ว่า แต่เมื่อเห็นหน้าสงสัยของเกล็นเขาจึงอธิบายเพิ่ม “เธอฝืนใช้พลังเวทมากเกินไปเหมือนตอนสอบปลายภาคปีที่แล้วน่ะสิ รู้ไหม ทุกคนเป็นเธอมาก โดยเฉพาะองค์ชายจูเลียส”
จบประโยคสุดท้าย เกล็นยังแสดงอาการร้อนรนต่อ
“จริงด้วย! พูดถึงจูเลียส แล้วหมอนั่นเป็นไงบ้าง!?”
“องค์ชายจูเลียสมีบาดแผลเล็กน้อย แต่ปลอดภัยดี” เกรกอรี่พยักหน้าตอบ “แน่นอนทุกคนก็ปลอดภัย”
“ดะ ดีแล้วล่ะ” เกล็นถอนหายใจโล่งอกพลางเอนหลังพิงหัวเตียง “แต่… ที่ปู่พูดมาเมื่อกี้ เท่ากับว่าที่ผมฝืนไปมันเปล่าประโยชน์สินะ…”
ดวงตาสีดำหลุบลง เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นอย่างเจ็บใจที่ถูกซิกมุนท์ชิงผลึกไปได้
“เปล่าประโยชน์เหรอ? ฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” เกรกอรี่เลิกคิ้วงุนงงกับคำพูดของอีกฝ่าย “เพราะเธอเป็นคนเจอผลึกไม่ใช่เหรอ”
“หา?” เกล็นทำตาโตอุทานเสียงสูง “ปะ เป็นไปไม่ได้หรอกนะ! ผมเห็นกับตาว่าซิกมุนท์มันเอาผลึกไป จูเลียสเป็นพยานได้!”
ด้วยคำพูดเมื่อครู่ของเด็กหนุ่ม ทำเอามหาปราชญ์ต้องทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม เกรกอรี่ส่ายหน้าก่อนจะเล่าสิ่งที่รู้มา
“คลาริสเป็นคนบอกฉันเองว่าเธอเจอ แล้วเขาเป็นคนเก็บไว้แทน”
“ไอ้ที่ว่าเจอมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ชิ้นที่อยู่กับผมมันเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาสับขาหลอก” เกล็นเถียงกลับไม่เชื่อเรื่องที่เกรกอรี่บอกเสียงแข็ง
“จะเป็นของปลอมได้ยังไงกัน ไม่อย่างนั้นท่านเบเลธก็รู้แล้วสิว่าไม่ใช่ของจริง” ด้านเกรกอรี่ยืนกรานเสียงหนักแน่นว่าผลึกที่ซิกมุนท์โยนคืนให้เป็นของจริง กลายเป็นว่าต่างคนต่างมึนงงกับสิ่งที่ได้ยินมาราวกับหนังคนละม้วน
กระนั้นคนที่งงมากที่สุดก็ไม่พ้นเกล็นที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น
“โอ๊ย ปวดหัว” เด็กหนุ่มยกมือทั้งสองข้างกุมหัวไม่เข้าใจสถานการณ์เป็นมายังไงแล้ว “แสดงว่าอันที่ซิกมุนท์เอาไปเป็นของปลอมเรอะ ไม่จริงน่า ดูทรงแล้วหมอนั่นไม่น่าจะพลาดอะไรง่ายๆ แบบนี้นะ ระ หรือว่ามันเป็นแผน! อาจจะมีพลังอะไรแอบแฝงในผนึกนั่น ทำหน้าที่คล้ายๆ เอ่อ เอ่อ… ไอเวทบอกพิกัด”
“ขะ ของแบบนั้นมันไม่มีหรอก…” เกรกอรี่ปฏิเสธด้วยท่าทางเกๆ กังๆ กับความคิดประหลาดของเด็กหนุ่ม “แต่ว่าจากที่เธอเล่ามามันก็จริงที่ผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะพลาด เขาอาจจะมีแผนการบางอย่าง…”
ชายสูงวัยกลับเข้าเรื่องจริงจังอีกครั้ง “แล้วแผนที่ว่านั่นมันคืออะไรล่ะ?”
แล้วเกล็นก็ส่ายหน้ากลับอย่างจนปัญญาเช่นกัน จากนั้นเขาก็นึกเรื่องคำใบ้ปริศนาของซิกมุนท์ออกจึงเล่าให้เกรกอรี่ฟังเผื่อเขาอาจจะได้คำตอบ
“สามสิบสองลบสิบเจ็ดเหรอ… ฉันก็ไม่เข้าใจนัก มันคงมีบางอย่างแอบแฝงอยู่” มหาปราชญ์ลูบคางครุ่นคิดหาคำตอบ แต่เกรกอรี่ก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเลยตัดใจยอมแพ้
“ถ้าปู่รู้เมื่อไรก็บอกผมด้วยละกัน”
“ได้” เกรกอรี่พยักหน้ารับปาก “ไว้ฉันจะลองไปถามคนอื่นดูให้ เขาอาจจะรู้ความหมายของตัวเลข”
เมื่อไม่มีธุระสำคัญไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วผมต้องนอนที่นี่อีกกี่วันเหรอ?”
“ถ้าร่างกายกลับมาแข็งแรงก็กลับได้เลย แต่… ดูจากสภาพเธอตอนนี้น่าจะพักอีกหน่อยดีกว่าไหม?” เกรกอรี่รั้งให้เกล็นพักที่โรงพยาบาลต่อด้วยความเป็นห่วง “เพราะเธอละเมอพูดภาษาแปลกๆ ด้วย ฉันคิดว่าเธอกำลังฝันร้าย…”
เกล็นยกมือลูบบริเวณท้องด้านขวาพร้อมหลุบตาลงนึกถึงเสียงของแม่เมื่อชาติก่อน มันคือสิ่งเดียวที่เขาจำได้ “ผมแค่ฝันเรื่องเก่าๆ… ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“แน่ใจนะ?” ชายสูงวัยทวนถามให้มั่นใจ เกล็นจึงพยักหน้าเนิบๆ “ถ้าเธอยืนยันแบบนั้น ฉันจะไปบอกหมอให้”
ว่าแล้วเกรกอรี่ก็ลุกจากที่นั่งแล้วออกจากห้องพักฟื้นเพื่อตามหมอมาตรวจสอบอาการของเกล็นอีกครั้ง เพื่อรับรองว่าสุขภาพร่างกายเด็กหนุ่มกลับมาแข็งแรงตามเดิม ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เกล็นก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ แต่เพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาจึงไม่มีเพื่อนคนไหนมาแสดงความยินดี มีเพียงเกรกอรี่ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดและอาสาไปส่งเขาถึงหน้าประตูฝั่งหอ
“วันนี้ วันพุธสินะ…” เกล็นนับนิ้วและถอนหายใจเซ็งๆ ที่ขาดเรียนหลายวัน ขณะที่นั่งรถม้าไปยังเขตโรงเรียนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“นี่ ใบรับรองแพทย์เผื่อเธอต้องนอนพักที่หอต่อ” มหาปราชญ์ยื่นซองจดหมายให้อีกฝ่าย ทำเอาเกล็นยิ้มแหยพานนึกถึงวันเก่าๆ สมัยทำงานเมื่ออดีตชาติ
“ขอบคุณครับ” เขารับมาแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อ “แต่ว่าเรื่องผลึกชิ้นต่อไปเป็นยังไงบ้างครับ?”
เกล็นถามถึงผลึกชิ้นที่สาม ทว่าเกรกอรี่ก็ส่ายหน้าตอบ เด็กหนุ่มจึงเงียบแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างครุ่นคิดถึงความหมายของตัวเลขและการกระทำของซิกมุนท์ที่เลือกเอาผลึกของปลอมไปแทน เพราะมันล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ในเกมไม่มี แม้จะคิดว่าผู้ชายคนนั้นทำเพื่อความสนุกมันก็มีโอกาส เพราะนิสัยของตัวร้ายหนุ่มในเกมมักทำอะไรแปลกๆ อยู่เสมอ แต่ในทางกลับกันการปล่อยให้ผลึกมาอยู่กับฝ่ายตรงข้ามก็เป็นสิ่งที่ทำให้การคืนชีพมังกรมารเชเบอร์ทอสมีอุปสรรค หากเป็นเขาคงไม่ทำแบบนั้นแน่
“เฮ้อ…” เกล็นถอนหายใจเฮือกหนึ่งเรียกความสนใจจากเกรกอรี่
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ ผมก็แค่ยังคิดเรื่องตัวเลขกับเหตุผลของซิกมุนท์ไม่ออก” เด็กหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมา นั่นจึงทำให้มหาปราชญ์กลับมาทวบทวนปริศนาที่ซิกมุนท์ทิ้งให้เกล็นกับจูเลียสอีกครั้ง
หลังนั่งคิดไปสักพักใหญ่ เกรกอรี่ก็เอะใจอะไรออกบ้าง ดวงตาสีน้ำเงินมองเด็กหนุ่มที่ทำหน้างุนงงกับท่าทางของเกรกอรี่
“เกล็นปีนี้เธออายุเท่าไร?” ชายสูงวัยถาม ผู้รับฟังกะพริบตาปริบดูซื่อๆ
“เอ่อ ปีนี้สิบเจ็ด ทำไมเหรอครับ” เกล็นถามกลับด้วยความใคร่รู้
“ฉันก็ไม่มั่นใจนักหรอก แต่พอจะเดาความหมายตัวเลขที่ซิกมุนท์บอกเธอได้แล้วล่ะ” ได้ยินดังนั้นเกล็นนั่งหลังตรงตั้งใจฟังเกรกอรี่ไขปริศนา “ก่อนอื่นเลขสิบเจ็ด เธอคิดว่านอกจากอายุของตัวเอง ยังมีอะไรที่ตรงกับเลขนี้อีกไหม?”
มหาปราชญ์ไม่เฉลยคำตอบในทันที ถามกลับเพื่อให้เกล็นค่อยๆ ตามหาคำตอบเอง
“นอกจาก…อายุผม…” ดวงตาสีดำกลอกไปมาใช้ความคิด “อายุ… อายุ… อายุ! ปีนี้ทุกคนอายุสิบเจ็ด! แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย?”
เกล็นเอียงคอมองเกรกอรี่ด้วยแววตาสงสัย
“แล้วในปีที่เธอเกิดมันมีอะไรเกิดขึ้น” เกรกอรี่ยังถามต่อ
“ปีที่ผมเกิด…” ทีแรกเกล็นยังข้องใจว่าปีที่เขาเกิดเกี่ยวอะไรด้วย แต่สักพักเขาได้กลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเข้าใจความหมายของมัน “ปีที่ตระกูลลูมิเธอร์โดน… โจมตี… เดี๋ยวนะๆ”
เกล็นยกมือข้างหนึ่งแตะหน้าผาก เริ่มไขปริศนาตัวเลขออกหลังเกรกอรี่ชี้นำ เขานึกถึงหนังสือคอนเซปอาร์ตที่ใส่ข้อมูลตัวละครที่เคยซื้อมาอ่าน
“งั้นปีนี้อายุของซิกมุนท์คือสามสิบสอง” เขาว่าพลางระลึกรายละเอียดเกี่ยวกับซิกมุนท์ที่ระบุว่าเป็นชายอายุสามสิบต้นๆ “ส่วนสิบเจ็ดมันไม่ใช่อายุของใคร แต่คือจำนวนปีที่เกิดเหตุการณ์นั้น พอเอาสามสิบสองมาลบกับสิบเจ็ดก็จะได้สิบห้า… เข้าใจล่ะ! เจ้านั่นกำลังบอกว่าเรื่องที่เกิดกับลูมิเธอร์ตัวเองไม่ได้มีส่วน เพราะตอนนั้นอายุยังแค่สิบห้าเท่านั้น! ผมว่าปู่จะเดาแบบนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ฉันคาดการณ์ ซิกมุนท์คงอยากจะบอกตามที่เธอคิด แต่มันก็ทำให้ฉันสงสัยต่อไปอีกว่าทำไมเขาถึงไม่ตอบตรงๆ หรือมีเจตนาอะไรแอบแฝง”
“ดูจากท่าทางแล้ว คงอยากให้พวกเราปวดหัวเล่นล่ะมั้งครับ” เกล็นพ่นลมหายใจทางจมูกอย่างแรง รู้สึกปวดหัวกับการเล่นสนุกของซิกมุนท์ “ส่วนเจตนาก็คงอยากที่ผมบอกไป หมอนั่นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์นั้น แต่มันก็รู้สึกทะแม่งๆ ชอบกล ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”
เกล็นนึกย้อนกลับไปตอนที่ซิกมุนท์มีท่าทีประหลาดอย่างเช่นหยุดชะงักชั่วครู่กับ… แววตาเศร้าสร้อย
“เรื่องนี้ฉันรู้สึกว่าซิกมุนท์ไม่อยากมีส่วนร่วมกับครอบครัวเท่าไร จากการที่เขาจัดการคนในตระกูลและจับพวกเขาให้ทางการ…” เกรกอรี่บอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่คิด “ก็เลยปัดความผิดให้ครอบครัวรับเพียงฝ่ายเดียว โดยอ้างว่าตัวเองยังเด็กอยู่”
“มันอาจจะใช่อย่างที่ปู่คิดก็ได้ เพราะถ้าเป็นผมคงทำแบบเดียวกัน” เกล็นผงกศีรษะพอจะเข้าใจว่าทำไมซิกมุนท์เลือกทำเช่นนั้น เพราะเขาก็ไม่อยากร่วมหัวจมท้ายไปกับคนผิด หากตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังมีรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี แม้ว่าจะไม่สามารถหาคำตอบได้
กระทั่งรถม้าได้เคลื่อนผ่านจุดหนึ่ง เกล็นลุกพรวดเกาะกระจกหน้าต่างหลังเห็นบางอย่างผ่านตาไวๆ เกรกอรี่จึงชะเง้อมองตาม แต่เมื่อกวาดสายตาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ นอกเสียจากรอยยิ้มแปลกๆ จากเด็กหนุ่มที่ลืมเรื่องที่คุยก่อนหน้านี้จนเกลี้ยง