ต่อให้เกล็นสลบไปหลายวัน แต่การที่เขาบังเอิญเจอกับผลมะละกอดิบจากร้านค้าต่างแดน ระหว่างขากลับจากโรงพยาบาลก็ทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นมัน เพราะเหตุนี้เองพอคุยเรื่องสำคัญเสร็จ เกล็นจึงรีบกลับไปที่ร้านแห่งนั้นเพื่อซื้อมันก่อนที่จะมีมือดีแย่งไปซะก่อน อีกทั้งยังได้วัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารที่ไม่ได้กินมานานแสนนานครบ เขาจึงกลับโรงเรียนอย่างรวดเร็วโดยไม่แวะที่ไหนต่อด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่งลืมอาการป่วย

เมื่อถึงห้อง เกล็นปิดประตูลงกลอนป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาเจอเขากำลังทำอาหาร เด็กหนุ่มวางของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสืออีกตัวที่ไม่ได้ใช้ แล้วก้มหยิบอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาจัดเรียงเป็นระเบียบ จากนั้นเกล็นก็เอาผักทุกชนิดที่ได้มาไปล้างน้ำก่อนจะเอามะละกอมาปลอกเปลือกเพื่อที่จะสับเป็นเส้นพลางฮัมเพลงไปด้วย ไม่สนใจความเชื่อที่ว่าร้องเพลงตอนทำอาหารจะได้แฟนแก่

พอทำเสร็จเกล็นก็เอาครกตั้งไว้ตรงหน้าแล้วใส่วัตถุดิบสำหรับตำไทยที่ขาดแค่กุ้งแห้ง

“ถ้ามีปูกับปลาร้าหน่อยนะ” เกล็นพึมพำอย่างเสียดาย แต่เมื่อเอื้อมมื้อจะหยิบพริกเขาก็ชะงักแล้วมองมันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใจก็นึกลังเลจะหยิบกี่เม็ดเพราะความเผ็ดของพริกของโลกนี้ยังสู้บ้านเก่าเขาไม่ได้ สักพักเด็กหนุ่มก็ยักไหล่คว้าพริกจำนวนที่เคยกินเมื่อชาติก่อน “ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เผื่อเผ็ดกว่าที่ซื้อตอนอยู่บ้าน”

ทำเสร็จเรียบร้อย เกล็นก็ตักอาหารใส่จานแล้วถือไปนั่งที่โต๊ะอีกตัวหนึ่ง เขาหัวเราะมีความสุขที่ได้กินส้มตำสักที แล้วเมื่อนำเส้นมะละกอใส่ปาก ดวงตาสีดำก็พลันเบิกกว้างกับรสชาติของมัน

“อ้ากกกก! เผ็ด!!!” เขาโวยวาย กระวีกระวาดคว้าขวดน้ำยกกระดกขึ้นและทำทุกวิถีทางดับความเผ็ดร้อนที่เกิดจากความประมาท เมื่อขจัดรสชาติจัดจ้านได้ เกล็นที่น้ำตารื้นยกแขนข้างหนึ่งเท้าโต๊ะมองส้มตำอย่างครุ่นคิด

“ทำไมมันเผ็ดวะ ก็ใส่เท่าเมื่อชาติก่อนนี่หว่า” เกล็นตั้งคำถามกับตัวเอง “เป็นที่พริกเรอะ? ตะ แต่ตอนทำอย่างอื่นไม่เห็นเป็นเลย”

แล้วเขาก็หยิบพริกที่ว่าขึ้นมา แต่ดูจากรูปร่างหน้าตาและกลิ่น เกล็นค่อนข้างมั่นใจว่ามันใกล้เคียงกับพริกที่รู้จัก ก่อนจะนึกเอะใจบางอย่าง เขาเลยกินพริกเม็ดนั้นพิสูจน์ความคิดนั้น แล้วสำลักกับความเผ็ดอีกครั้ง กลายเป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าลิ้นของร่างกายนี้รับรสคนละอย่างกับเมื่อชาติก่อน เมนูอาหารที่ผ่านมาเกล็นทำไปชิมไปจึงได้รสชาติตรงตามความทรงจำ โดยไม่รู้ตัวว่าอัตราส่วนของวัตถุดิบมีการเปลี่ยนแปลง

ทว่าถึงเกล็นจะรู้แล้วก็ตามว่าต่อมรับรสเปลี่ยนไป เขาก็คว้าส้อมขึ้นมาอีกครั้ง

“ถึงจะเผ็ด แต่ก็อร่อยโว้ย!” เขาว่า ก่อนจะกินส้มตำอย่างอิ่มเอมใจปนกับความทรมานที่ฝืนตัวเอง ใบหน้าตอนนี้แดงก่ำและเต็มไปด้วยเหงื่อจากความเผ็ด เขาสูดน้ำมูกที่ไหลไม่หยุดพลางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา

จนในที่สุดส้มตำก็หมดเกลี้ยง เกล็นยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ”คราวหน้าก็ลดพริกลงหน่อย”

เกล็นพยักหน้าบอกกับตัวเอง จากนั้นเขาก็จัดการเศษอาหารด้วยการฝังลงดินเป็นสารอาหารให้ต้นไม้ต่อไป เสร็จแล้วเกล็นก็เก็บจานและอุปกรณ์ไปล้างอย่างอารมณ์ดีที่ได้กินอาหารถูกใจสักทีตั้งแต่ระลึกชาติได้ถึงจะส่งเสียงร้องเพลงไม่เป็นภาษาก็ไม่มีใครมาเคาะประตูห้องมาเตือน ไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะชินหรือยังไม่ได้รบกวนเวลานอน เพราะตอนนี้เข้าสู่ยามราตรีที่นักเรียนแต่ละคนเริ่มพักอยู่ในห้องของตัวเอง

หลังล้างเสร็จ เกล็นก็ออกจากห้องน้ำ เอาอุปกรณ์มาเช็ดให้แห้งก่อนจะเก็บเข้าที่ ระหว่างนั้นเองเด็กหนุ่มได้ยินเสียงแอ๊ดเบาๆ จากทางหน้าต่างจึงหันไปโดยคิดว่าตัวเองน่าจะปิดหน้าต่างไม่สนิทแล้วลมพัด

“อ๊ะ…” เกล็นอุทานเมื่อเห็นชายหนุ่มเรือนผมสีชมพูซีดนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างโบกมือและส่งยิ้มให้ “ว้ากกก!

เด็กหนุ่มผละมือจากกิจกรรมตรงหน้าและวิ่งตรงไปที่ประตู ทว่าลูกบิดก็ถูกกิ่งไม้พันรอบไม่ให้เขาเปิดประตูได้ เกล็นหันกลับมาทางซิกมุนท์ที่ค่อยๆ ย่างกรายเข้าห้อง วายร้ายหนุ่มหยุดอยู่หน้าโต๊ะสำหรับทำอาหาร ซิกมุนท์ยกมือแตะคางมองเครื่องครัวด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

“นี่คุณเอาหม้อปรุงยามาใช้ทำอาหารเหรอเนี่ย?” ซิกมุนท์หัวเราะขบขัน “แต่เอาจริงๆ ยาก็ถือเป็นอาหารชนิดหนึ่งได้เหมือนกันนะ”

เกล็นผู้เป็นเจ้าของห้องไม่ตอบอะไร ได้แต่ดูซิกมุนท์สำรวจห้องตามอำเภอใจ กระทั่งผู้ชายคนนั้นกำลังจะยุ่งกับปฏิทินเด็กหนุ่มจึงส่งเสียงห้าม

“อย่าแตะนะ!” เกล็นเดินดุ่มๆ เอาตัวเองไปขวางระหว่างจอมเวทตัวร้ายกับปฏิทิน ทำเอาซิกมุนท์ทำตาโตตกใจที่เห็นเขาชักสีหน้าใส่

“ดูเหมือนว่าผมจะเสียมารยาทมากไปหน่อย” ชายหนุ่มผมสีชมพูซีดก้าวถอยห่าง

“ทำไมแกมาอยู่ที่นี่ได้” เกล็นกดเสียงต่ำถามและจ้องซิกมุนท์ตาแข็ง อีกทั้งเขาคิดว่าถึงจะส่งเสียงโหวกเหวกไปน่าจะไม่ใช่ผลดี

“ง่ายๆ ผมมาหาคุณยังไงล่ะ” ซิกมุนท์เดินไปนั่งแถวหน้าต่างอีกครั้งด้วยท่าทีดูผ่อนคลาย อีกทั้งยังเล่าเรื่องสู่กันฟังราวกับเป็นเพื่อน “บอกตามตรงกว่าจะมาเข้ามาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยที่ต้องแกะอาคมป้องกันของมหาปราชญ์คนนั้น”

“มาหาฉัน? เพื่ออะไร ฉันไม่มีของที่แกต้องการหรอก”

“ไอ้เรื่องของน่ะช่างมันเถอะ… อืม ไม่สิๆ ต้องบอกว่าของที่ผมอยากได้คือคุณต่างหาก” ซิกมุนท์ชี้มาทางเกล็นที่สะดุ้งโหยงและฉงนใจเมื่อสิ่งที่ชายคนนั้นต้องการคือตัวเอง

“หมายความว่าไง?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วไม่เข้าใจพลางขยับตัวเองออกห่างซิกมุนท์ไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

“ก็ตรงตัวนั่นแหละครับ ผมต้องการคุณมาเป็นพวก” ซิกมุนท์ตอบเสียงเนิบดูเป็นมิตร “ก็ความทรงจำของคุณมันล้ำค่ามากเลยไม่ว่าจะเป็นพวกผมหรือพวกมหาปราชญ์”

“ขอปฏิเสธ” เกล็นตอบทันทีที่ซิกมุนท์พูดจบ

ดวงตาสีทองของซิกมุนท์หลุบลงและหัวเราะขบขันในลำคอ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความรู้สึกเสียดาย กระนั้นใบหน้าของชายเรือนผมสีชมพูซีดยังประดับรอยยิ้ม เขายักไหล่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนที่เกล็นปฏิเสธ

“เสียใจจังที่คุณปฏิเสธ เพราะผมคิดว่าเราสองคนน่าจะร่วมมือชุบเชเบอร์ทอสได้สำเร็จ” วายร้ายหนุ่มว่า “คงต้องใช้แผนสอง…” ซิกมุนท์พึมพำเสียงแผ่วเบาจนเกล็นไม่ได้ยิน

“เมื่อกี้ว่าไงนะ?”

“ไม่มีอะไรครับ” ซิกมุนท์หัวเราะกลบเกลื่อน “งั้นช่วยไม่ได้นะ ผมคงต้องใช้วิธีนี้กับคุณซะแล้ว”

แล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว้ห้างแล้วเอนตัวเล็กน้อยโดยที่มือข้างหนึ่งค้ำยันร่างไม่ให้ล้ม “เรามาทำข้อตกลงกันดีกว่าครับ”

“ฉันไม่ตกลงอะไรทั้งนั้น” เกล็นทำเสียงแข็งใส่อีกฝ่าย ทว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก

“แน่ใจนะครับว่าจะไม่ตกลง เพราะสำหรับพวกคุณตอนนี้มีแต่ตัวเลือกนี้เท่านั้น” ซิกมุนท์ยกมุมปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับเป็นคนที่ถือไพ่เหนือกว่า “ข้อตกลงระหว่างเราคือให้พวกคุณกลับไปใช้แผนที่ให้นักเรียนชั้นปีที่สองทัศนศึกษาทุกปลายเดือนเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอสถานที่ซ่อนผลึก”

“หา? แล้วถ้าพวกฉันไม่ทำตามล่ะ?” เด็กหนุ่มผมฟ้าถามกลับอย่างงุนงง

“ถ้าไม่ทำตาม ผมก็จะไปเอาผลึกชิ้นที่เหลือเลย เพราะผมรู้แล้วว่าแต่ละชิ้นมันอยู่ที่ไหนบ้าง” ซิกมุนท์ใช้นิ้วเคาะหัวตัวเองเบาๆ เป็นการบ่งบอกว่าเขาจำสถานที่ที่เหล่านั้นได้ “ผมถึงได้บอกว่าพวกคุณมีตัวเลือกเดียวเท่านั้น คือการทำตามที่ผมบอก”

“นี่แกรู้สถานที่ซ่อนหมดแล้วงั้นเหรอ!?” เกล็นเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินมาจากปากวายร้าย “เป็นไปไม่ได้หรอก! ในเมื่อ…”

“เป็นไปได้สิครับ” ซิกมุนท์พยักหน้าหงึกหงัก “เพราะก่อนจะได้เบาะแสมา พวกผมก็แกะอาคมกันเองไปแล้วส่วนหนึ่ง ก็เลยนำพวกคุณก้าวหนึ่ง” แล้วเขาก็เหยียดรอยยิ้ม ดวงตาสีทองฉายแววไร้ซึ่งคำโกหกใดๆ “ถ้าอยากลองเชิงพวกผมก็ได้นะครับ เดี๋ยวสักวันมะรืนผมจะเอาผลึกชิ้นที่สามมาให้คุณดู”

เกล็นเงียบ เขารู้สึกไม่มั่นใจที่ต้องเป็นคนตัดสินใจเรื่องสำคัญ เกล็นอยากปรึกษาทางออกกับเกรกอรี่ เพราะเขาค่อนข้างเชื่อคำพูดของซิกมุนท์ว่าไม่ได้พูดปด

(ต้องทำตามที่เจ้านี่มันบอกจริงๆ เหรอ) เกล็นถามกับตัวเอง

“ฉันขอถามอย่างหนึ่งก่อนได้หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มเอ่ย ดวงตาสีดำสบตาของอีกฝ่ายอย่างขึงขัง

ซิกมุนท์ทำให้เสียงหึในลำคอ แล้วผายมืออนุญาต “แน่นอนต้องได้อยู่แล้ว”

“ทั้งที่รู้สถานที่แล้ว แล้วทำไมถึงยังมาตั้งเงื่อนไขอะไรแบบนั้น?”

“อืม...” ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นท่านั่งยกแขนขึ้นกอดอก เขาหลับตาและก้มหน้าลงต่ำราวกับกำลังใช้ความคิด “จะว่ายังไงดีน้า” เขาเกริ่นขึ้นเสียงดูจริงจัง “ตอนแรกผมก็คิดว่าจะรีบจัดการให้มันเสร็จๆ หรอกนะ แต่พอคิดๆ ดูมันน่าเสียดายออก ที่ช่วงเวลาสดใสของพวกเด็กๆ จะหายไปการตามหาผลึกอะไรนั่น ว่ากันตามตรงทางผมก็รู้ผิดเหมือนกันที่เป็นต้นเหตุให้พวกคุณต้องรีบหาน่ะ รู้แบบนี้น่าจะ

แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มผมสีชมพูซีดก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พึมพำเสียงแผ่วเบา “คิดอีกที ส่วนตัวผมคิดว่าตัวเองทำถูก ไม่อย่างนั้นคงไม่เจอเรื่องสนุก”

เกล็นขมวดคิ้วรู้สึกงุนงงกับการกระทำของซิกมุนท์ ถึงแม้เขาพอจะเข้าใจควาหมายที่คนตรงหน้าว่ามาและค่อนข้างเห็นด้วยที่ช่วงเวลาที่ควรได้เล่นสนุกในวัยเรียนของพวกแมรีแอนน์ถูกพรากไป กระนั้นเขาก็ไม่ได้ซาบซึ้งกับความใจดีสักเท่าไร

“อีกอย่างผมเองก็ต้องการถ่วงเวลาด้วยล่ะนะ ก็ยังหาวิธีชุบเจ้ามังกรนั่นดีๆ ไม่ได้เลย” ซิกมุนท์ยักไหล่พลางโคลงศีรษะเชื่องช้า

“เดี๋ยวๆๆ พูดอะไรออกมาน่ะ!” เกล็นตื่นตระหนกที่วายร้ายเผยความลับขึ้นมาโต้งๆ แล้วดูเหมือนว่าทางซิกมุนท์ก็ไม่ได้ใส่ใจ หนำซ้ำยังบอกเหตุผลให้เขารับรู้อีกด้วย

“สำหรับผมถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมอยู่นะ พวกคุณจะได้ไม่กังวลเรื่องเชเบอร์ทอส แล้วไม่ต้องรีบร้อนแกะอาคมด้วย เท่านี้พวกเด็กๆ จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็นมากขึ้นจริงไหม?”

เป็นอีกครั้งที่เกล็นนิ่งเงียบ สมองประมวลผลอย่างหนักว่าเขาควรทำยังไงต่อ หากเขารับเงื่อนไขซิกมุนท์โดยไม่ปรึกษาคนอื่นมันจะส่งผลอะไรไหม แล้วดูท่าผู้ชายคนนั้นก็อยากได้คำตอบวันนี้เสียด้วย

“อ่อ ใช่! ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ซิกมุนท์ว่าขึ้นพร้อมใช้กำปั้นทุบลงบนฝ่ามือเบาๆ “นอกจากเรื่องพวกเด็กๆ แล้ว ผมเองก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกับเหลนของราชาองค์นั้นนักน่ะ ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่ค่อยอยากปะทะกันบ่อยๆ เท่าไร”

“ราชาองค์นั้น...? หมายถึงทวดของแฝดนั่นน่ะนะ” เกล็นหรี่ตามองอีกฝ่าย เขาทวนคำให้แน่ใจว่ากำลังพูดถึงคนคนเดียวกัน

“ครับ อวินาช ตรีปาฐิ คนนั้นแหละ เป็นคนที่น่ากลัวมากจนผมก็กังวลอยู่ว่าถ้าเขาลงมาจัดการเองขึ้นมา พวกผมก็คงเอาไม่อยู่” ทั้งที่กำลังพูดเรื่องน่ากังวล ทว่าน้ำเสียงของซิกมุนท์ไร้ความรู้สึกหวาดกลัว เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งเสแสร้งทำเป็นลำบากใจ ทำเอาเกล็นวางตัวไม่ถูกได้แค่มองตาปริบๆ

(ขนาดนั้นเลยเหรอ...) ซิกมุนท์ย้ำแบบนั้น เกล็นก็ไม่อยากจะเชื่อว่าว่าชายแก่ที่ถูกกล่าวถึงจะร้ายกายถึงขนาดที่ศัตรูไม่กล้ายุ่งด้วย แม้ชายหนุ่มจะทำตัวทีเล่นทีจริงก็ตาม

“อืมมม ดูจากสีหน้าคุณคงคิดว่า จะน่ากลัวอะไรจะขนาดนั้น สินะ งั้นผมจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังเป็นการแบ่งปันละกันนะ” ซิกมุนท์กระแอมปรับอารมณ์เพื่อจะเล่าเรื่องของอวินาชให้คนต่างโลกฟัง “ก่อนอื่นคุณควรทราบก่อนนะครับว่าราชาองค์อวินาชขึ้นครองราชย์มามากกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ใครๆ ต่างให้ความเคารพเขา แม้แต่ท่านราวี เทพมังกรแห่งสุรัชตาเองก็เช่นกัน ฟังดูแปลกใช่ไหมล่ะครับ ทั้งที่เป็นเทพมังกรผู้คุ้มครองอยู่เหนือกว่ากลับต้องก้มหัวให้มนุษย์ แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องเล่าเกินจริงเท่านั้นแหละ ฮะๆ”

เกล็นฟังเรื่องที่ซิกมุนท์เล่าเงียบๆ ชายหนุ่มจึงพูดต่อ ถึงจะยังไม่เข้าใจความน่ากลัวของราชาอวินาชเลยสักนิด มันดูธรรมดาในความคิดเขาที่คนคนหนึ่งจะมีความน่าเคารพเพียงเพราะมีชีวิตยาวนาน ยิ่งบอกว่านั่งอยู่บนบัลลังก์มากกว่าเจ็ดสิบปี บารมีและเรื่องน่าเกรงขามจากปากต่อปากคงมีนับไม่ถ้วน ทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง แต่นั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มมีข้อข้องใจอยู่อย่าง

(เจ็ดสิบกว่าปีเลยเหรอ... อยู่นานจัง...) แล้วเกล็นก็นึกถึงครอบครัวอมาดิออส ที่คุณปู่ของจูเลียสก็เคยเป็นราชามาก่อนแล้วเปลี่ยนมาเป็นคุณพ่อ

“จะว่าไปราชาแห่งมิชก้าก็คงอายุเท่ากันล่ะนะ...” ซิกมุนท์เอ่ยถึงราชาอีกองค์ ซึ่งถ้าเกล็นจำไม่ผิดมิชก้าคือประเทศที่อยู่อีกฟากโพ้นทะเล แน่นอนว่าเด็กหนุ่มก็สงสัยว่าทำไมชายหนุ่มพูดถึงราชาอีกประเทศ หรืออาจจะเพราะอายุเท่ากันเลยเอามาเชื่อมโยง “ถ้าไม่ถูกเทพมังกรกลืนกินไปซะก่อนนะ”

นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างจ้องซิกมุนท์ไม่วางตา เกล็นรู้สึกตามเรื่องไม่ทันเมื่อเขาบอกว่าราชาแห่งมิชก้าถูกเทพมังกรผู้คุ้มครองประเทศตัวเองกลืนกิน

“สงสัยสินะครับว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น อืม... จริงๆ มันก็เป็นเรื่องเล่าน่ะครับว่าราชาอวินาชชี้นำให้เทพมังกรแห่งมิชก้ากลืนกินราชาและรัชทายาท แต่เรื่องมันก็นาน…หรือสั้นดีนะ... ก็ราวๆ สามสิบปีได้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมเกิดหรือยัง” ซิกมุนท์ยกมือลูบคางไม่ค่อยมั่นใจช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์

“แล้ว… เล่าให้ฉันทำไม…” เด็กหนุ่มถามด้วยเสียงเบาหวิว สมองตื้อคิดอะไรไม่ออกแม้แต่จะตั้งคำถาม รู้เพียงอย่างเดียวสิ่งที่ราชาอวินาชทำคือการสังหารคนทางอ้อมถึงสองคน แล้วภาพใบหน้าของคลาริสที่ยิ้มดีใจเวลาเล่าถึงทวดก็ผุดขึ้น

เกล็นก้มหน้ามองดูมือที่สั่นระริก ก่อนจะหลับตาส่ายศีรษะไปมา

(ตั้งสติไว้ นั่นเป็นแค่การเล่าข้างเดียว) เกล็นเงยหน้ามองซิกมุนท์ที่ส่งยิ้มมีเลศนัยแอบแฝง ไม่แน่เป้าหมายที่วายร้ายหนุ่มต้องการคือให้เขารู้สึกแย่กับอวินาชจนแยกเรื่องส่วนตัวกับภารกิจไม่ออก

“มันอาจเป็นเรื่องเพ้อเจ้อของคนที่ไม่ชอบราชาอวินาชก็ได้” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น “อย่าว่าแต่ราชา แค่คนธรรมดาถ้าไม่ชอบขี้หน้ากันหน่อยก็ใส่สีตีไข่กันแล้ว”

คราวนี้เป็นฝ่ายซิกมุนท์ที่นิ่งเงียบ เขายิ้มและจับจ้องเกล็นด้วยแววตาเปล่งประกาย “ก็จริงของคุณ”

แล้วชายหนุ่มก็หัวเราะขบขันในลำคอ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้ดูดี “เอาละ อีกเดี๋ยวจะถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว เพราะงั้นคุณตกลงหรือเปล่าว่าจะทำตามข้อเสนอ”

“เรื่องนั้น...” เกล็นกลืนน้ำลาย ไม่ค่อยอยากทำตามที่ซิกมุนท์ต้องการ เขาก้มหน้าลงเพื่อซ่อนไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองรู้สึกยังไง

(ควรเลือกทางไหนดี ถ้าไม่ตกลงพวกนั้นต้องไปเอาผลึกตามที่ขู่ แต่ถ้าตกลงตอนรู้ที่ซ่อนก็ต้องปะทะกันแน่ๆ) ถึงเด็กหนุ่มจะซ่อนใบหน้าเอาไว้ แต่การหายใจของเขาแรงจนสังเกตเห็นได้ (เดี๋ยวนะ ถ้าปล่อยให้เอาไปแล้วหาแหล่งกบดาน... ไม่ๆ ซิกมุนท์ต้องไหวตัวทัน ไอ้บ้าเอ๊ย! มีแต่เข้าทางพวกมันทั้งนั้นเลยนี่หว่า)

เกล็นกัดฟันกรอดและกำหมัดแน่นจนแขกผู้ไม่ได้รับเชิญเหยียดยิ้มราวกับเป็นผู้ชนะ เพราะไม่ว่าจะเลือกตกลงหรือปฏิเสธก็มีแต่ฝ่ายซิกมุนท์ได้เปรียบอย่างใดอย่างหนึ่ง จนแล้วจนรอดเกล็นหลับตาปี๋ด้วยความเจ็บใจที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญเพียงลำพัง

มือของเด็กหนุ่มค่อยๆ คลายบ่งบอกว่าเขาได้เลือกแล้ว ซิกมุนท์จึงหวังว่าเกล็นจะเลือกตรงใจตัวเอง

 “ก็ได้… ฉันตกลง” เกล็นตอบเสียงอ่อนแรงพลางพยักหน้าเป็นการยืนยัน สีหน้าของเขาตอนนี้ดูเจ็บปวดที่ต้องยอมรับข้อเสนอที่มัดมือชก

ซิกมุนท์หัวเราะในลำคอแผ่วเบาเมื่อได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ

“ถ้าเช่นนั้นแล้วพบกันใหม่นะครับคุณปู่”

ว่าจบ ซิกมุนท์ก็ดีดนิ้วดังเป๊าะเพื่อคลายไม้ที่พันล้อมลูกบิดประตู ก่อนจะเตรียมออกนอกห้องจากทางหน้าต่างใช้เข้ามา แต่ระหว่างที่ขาข้างหนึ่งเหยียบขอบหน้าต่าง ชายหนุ่มก็นึกอะไรออก เขาเหลียวหลังไปหาเกล็นที่ไม่ละสายตาจากตัวเอง

“กินของประหลาดแบบนั้นระวังท้องเสียเอานะครับ” ชายหนุ่มบอกด้วยความหวังดีที่เห็นเกล็นกินอาหารพิลึกรสชาติจัดจ้านจนเขาได้ยินเสียงโวยวาย

“ไอ้คนหยาบคาย! กล้าดียังไงมาว่าอาหารคนอื่นประหลาด!” เกล็นแว้ดหัวเสียที่มีคนบังอาจมาว่าส้มตำเป็นอาหารประหลาดทั้งที่เขาโหยหามันมาเป็นปีๆ

“ฮะๆๆ เป็นคนแก่ที่แปลกดีจังนะคุณเนี่ย” ซิกมุนท์หัวเราะชอบใจ แล้วเขาก็กระโดดลงไปจนเกล็นวิ่งตาลีตาเหลือกไปดูสภาพของคนที่เพิ่งโดดจากชั้นสองว่าเป็นตายร้ายดียังไง

แต่เมื่อมองลงไป ซิกมุนท์ได้หายตัวไปแล้ว