27 ตอน บทที่ 26: อีเวนต์แรกที่มาช้าไป
โดย RiFourver
หลังจากเยี่ยมบ้านแมรีแอนน์และเปิดเทอมผ่านไปได้สัปดาห์หนึ่ง ในหัวเกล็นก็มีแต่เรื่องให้คิดมากเกี่ยวกับความผิดปกติของมิเดียเน่ แม่ของแมรีแอนน์ เพราะเขายังรู้สึกว่าหล่อนมีบางอย่างที่ปิดบังอยู่ไม่น้อย ครั้นจะสืบต่อก็มืดแปดด้านไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แม้จะรู้ว่าราชินีเซซิเลียคงหาทางทำอะไรสักอย่าง
“ถ้ามีอะไรคืบหน้าเดี๋ยวปู่เกรกอรี่ส่งข่าวมาเองละเนอะ” เกล็นบอกกับตัวเองในใจ แล้วหันไปพึ่งข่าวสารจากเกรกอรี่แทน ระหว่างที่แมทธิวกำลังอธิบายถึงกิจกรรมในอีกสองเดือนถัดไป ซึ่งมันก็เป็นหนึ่งในอีเวนต์เกมด้วยเช่นกัน
โดยมันเป็นงานเทศกาลครบรอบที่เมืองและโรงเรียนสร้างเสร็จสมบูรณ์ เหล่าชาวบ้านและทุกคนในโรงเรียนจะร่วมกันจัดงานขึ้น ซึ่งหน้าที่ของนักเรียนก็แตกต่างกันไป อย่างเด็กปีหนึ่งก็รับหน้าที่เปิดร้านขายของที่แต่ละห้องลงมติกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารทานเล่น บรรดาลูกคุณหนูจึงพากันตื่นเต้นที่จะได้ลองทำอะไรแปลกใหม่ อย่างการสวมบทบาทเป็นพ่อค้าแม่ขาย ทว่าต่อให้พวกเขามีความรู้ด้านการทำธุรกิจก็จริง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นในเวลาเสนอความคิดว่าจะทำอะไรขายกัน เกล็นเลยรีบชิงบอกแทบจะทันทีที่แมธทิวพูดจบ
“เราจะขายตุ๊กตา!” เพราะเสียงหนักแน่นจากเกล็นดังขึ้นมา ทำให้เพื่อนคนอื่นที่กำลังสนุกกับการคิดเมนูอาหารที่อยากทำกันต้องเงียบลง
ส่วนเหตุผลที่เกล็นเลือกจะแหวกเป็นสินค้าที่ระลึกมาแทน ก็เพราะเขารู้ดีว่าเด็กพวกนี้คิดว่าการทำอาหารเป็นเรื่องสนุก ทว่าเกล็นที่เคยผ่านช่วงรับมือกับลูกค้าเยอะๆ เมื่อชาติก่อนมาไม่คิดเช่นนั้น มันจะกลายเป็นช่วงเวลานรกสำหรับเพื่อนร่วมห้องที่ไร้ประสบการณ์การขายอาหารทำสดๆ อย่างแน่นอน แล้วเชื่อว่าคนที่จะงอแงไม่อยากทำคนแรกคือคลาริส ที่มีโอกาสสูงจะโดดงาน ดังนั้นเกล็นจึงต้องยุติเรื่องนี้ซะก่อน ด้วยการเสนอให้ทำตุ๊กตาขายแทน โดยหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับเขา เกล็นจึงงัดทุกอย่างที่คิดได้ออกมาให้พวกเพื่อนเปลี่ยนใจ
“สมมุติว่าเราทำตุ๊กตาตั้งแต่สัปดาห์หน้าคนละสามตัว แล้วห้องเรามีกันยี่สิบเอ็ดคนก็ได้ทั้งหมดหกสิบสามตัว มีเยอะพอที่จะขายสำหรับสองวัน แล้วในวันงานเราก็แค่นั่งนิ่งๆ รอลูกค้ามาก็พอ ไม่ต้องวุ่นวายให้เสียพลังงานเปล่าๆ จนขี้เกียจไม่อยากลุกมาทำต่อ”
“แบบนั้นน่าเบื่อจะตาย” เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งว่า “อีกอย่างบางคนก็ไม่ได้เย็บตุ๊กตาเป็นซะหน่อย”
“แล้วนายทำอาหารเป็นแต่แรกหรือเปล่าล่ะ” เกล็นสวนกลับทันควัน “สุดท้ายนายก็ต้องให้คนทำเป็นสอนอยู่ดีเหมือนกันน่า”
“ถะ ถ้าเกิดเราขายตุ๊กตาไม่ได้ละคะ” คราวนี้เป็นเด็กสาวถามด้วยน้ำเสียงหวั่น
“ไม่ต้องห่วงฉันมีแผนอยู่แล้ว นั่นคือรายได้ส่วนหนึ่งเราจะบริจาคให้กับโบถส์แถวๆ นี้เอา ส่วนใครคิดว่าจะขาดทุนเรื่องนั้นฉันก็มีทางออกให้”
“เชื่อขนมกินได้ พวกคนรวยไม่ว่าโลกไหนก็ต้องมีพวกอยากทำบุญเป็นคนดีเอาหน้ากันทั้งนั้นแหละ” เกล็นพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง ส่วนวิธีทำให้ได้กำไรก็ง่ายดาย นั่นคือการหาวัสดุมีคุณภาพและราคาย่อมเยา ซึ่งแหล่งของพวกนั้นเขามีวิธีสืบได้อยู่แล้ว เพราะงั้นการตั้งราคาดูไม่เยอะแต่กำไรลอยมาเห็นๆ แล้วที่สำคัญที่สุด…
“ไอ้พวกพ่อแม่เห่อลูกมันต้องแอบมาซื้อของลูกตัวเองอยู่แล้ว” เกล็นแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ปรายตามองชาร์ล็อต “ได้แน่ๆ หนึ่งตัวละวะ”
“ที่สำคัญพวกนายไม่อยากเที่ยวอย่างแบบสบายใจกันหรือไง คิดดูสิทำอาหารมาเหนื่อยๆ ก็อยากนั่งพักมากกว่าเดินใช่ไหมล่ะ”
“ระ เรื่องนั้นก็จริงนะ…” เริ่มมีคนคล้อยตามเกล็นแล้วหนึ่งราย
“พอลองคิดๆ ดูมันก็จริงของเกล็นนะ ถ้ามัวแต่ทำอาหารคงได้ยุ่งจนหัวหมุนแน่เลย” รายที่สองมา
“แล้วถ้าเป็นตุ๊กตาอย่างมากก็ใส่ถุงแล้วรับเงินกับทอนเอง” รายที่สาม
“แต่ว่าตอนคิดเงินคนเยอะๆ เราจะไม่วุ่นวายเอาเรอะ” ยังมีคนไม่เห็นด้วยอยู่
“ใช่ เพราะงั้นฉันคิดว่าเราควรขายตุ๊กตาก็ดี อย่างน้อยก็แบ่งหน้าที่ได้ง่ายกว่าทำอาหารนะ แล้วก็ใช้คนน้อยด้วย อยู่สักสามคนยังได้” คนที่สี่ช่วยสนับสนุนความคิดของเกล็น
“นั่นสินะ ทำอาหารเนี่ยจินตนาการดูแล้วคนเยอะไม่พอต้องเบียดในพื้นที่จำกัด ไหนจะเตาทำอาหารอีก ร้อนน่าดูเลยนะ”
“ฉันไม่ชอบที่ร้อนๆ” ฟิเลน่าโพล่งขึ้นกลางห้อง “ตุ๊กตาก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับฉัน”
พอเริ่มมีคนเห็นด้วยว่าจะขายตุ๊กตาเยอะขึ้นเรื่อยๆ คนที่ลังเลใจตอนแรกก็เริ่มไหลตามน้ำเทคะแนนไปทางความคิดของเกล็น
“แล้วก็คนไหนเย็บตุ๊กตาไม่เป็นฉันสอนให้” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอาสาสอน ทำให้คนเย็บเป็นยกมือขึ้นตามสมัครเป็นผู้ช่วยซึ่งหนึ่งในนั้นมีแมรีแอนน์ด้วย
จากที่สนใจทำร้านอาหารกัน ตลอดนี้คะแนนเสียงเทไปทางขายตุ๊กตาเกินครึ่งห้อง รอยยิ้มแห่งชนะจึงปรากฏบนใบหน้าเด็กหนุ่มเจ้าของความคิด เกล็นจึงต้องรับหน้าที่เขียนรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้แมธทิวรับทราบว่าห้องเขาจะทำอะไรขายในงานเทศกาล
หลังพูดคุยเรื่องงานเทศกาลจบ ห้องเรียนกลับสู่สภาวะปกติกลับมาเรียนหนังสือตามตารางสอน วิชาเศรษฐศาสตร์พวกสมองแล่นช้ายังคงพึ่งใบบุญจากคนเก่งอย่างจูเลียสกับแมรีแอนน์ แต่ยังดีที่ภาคเรียนนี้พวกเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้น ไม่หัวทึบอย่างเทอมแรกแล้ว
แล้วขณะกำลังเรียนวิชาภาษาศาสตร์ในคาบบ่าย จู่ๆ มีบุคลากรมาตามอาจารย์ประจำวิชาให้เข้าประชุมด่วนโดยไม่ระบุเนื้อหาของการประชุม เขาจึงรีบเขียนข้อความบนกระดานให้นักเรียนศึกษาด้วยตัวเองในห้องเรียนเงียบๆ เท่านั้น แต่มีหรือจะยอมทำตาม พวกเขาจับเข่าคุยหรือเล่นสนุกกัน อย่างเด็กผู้ชายบางส่วนสบโอกาสเอากระดาษมาขยำแทนลูกบอล ทำเอานักเรียนหญิงรำคาญเสียงโหวกเหวก
เพราะเป็นการออกไปอย่างกะทันหันสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้นักเรียนบางคนจึงออกไปตามหาความจริงว่าอาจารย์มีนัดประชุมอะไรถึงต้องทำหน้าตาตื่นแบบนั้นกัน แล้วทันทีที่รู้ข่าว สภาพเหล่านักสืบจำเป็นไม่ต่างอะไรกับอาจารย์ก่อนหน้านี้ สีหน้าพวกเขาตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยินมา หลังหายตัวไปเกือบชั่วโมง
เสียงประตูปิดดังปังเรียกสายตาเพื่อนร่วมห้องแล้วรีบกรูเข้าหาตั้งคำถามมากมาย จนแก่นนำที่ออกไปหาข่าวต้องยกมือปรามให้ทุกคนเงียบลง เขากระแอมปรับน้ำเสียง
“อย่าเพิ่งเชื่อกันนะ พวกเราไปฟังจากพวกปีสองมาอีกที” คุณนักสืบกล่าวเตือนว่าอย่าเพิ่งปักใจเชื่อ “เขาเล่าว่ามีอสูรทมิฬบุกป่าหลังโรงเรียนตอนที่ปีสามเรียนกันอยู่!”
สิ้นประโยคนั้น เสียงฮือฮาจากเพื่อนร่วมห้องดังไม่อยากเชื่อ จริงอยู่ว่าคนในประเทศนี้รับรู้การมีตัวตนของอสูรทมิฬ ทว่าพวกเขากลับมีความเชื่ออื่นมากกว่าเป็นเรื่องของเชเบอร์ทอสจะคืนชีพ นั่นคือการมีมือสังหารใช้เวทธาตุมืดสร้างศาสตร์เวทชนิดหนึ่งเพื่อคืนชีพสัตว์อสูรโดยมีเหตุการณ์มังกรร้ายเป็นต้นแบบ แน่นอนว่าตระกูลลูมิเธอร์เป็นเหยื่อรายแรกของเวทมนตร์นี้ ดังนั้นมันกลายเป็นศาสตร์เวทต้องห้ามไปโดยปริยาย ต่อมากลายเป็นความคิดที่ว่ามีคนอยากลองของฝึกฝนใช้มันแต่เกิดข้อพลาดจนอสูรทมิฬไม่เชื่อฟังแล้วบุกโจมตีเมืองในละแวกใกล้เคียง
กระทั่งสองสามปีให้หลัง เหตุการณ์เริ่มสงบลงก็ยิ่งทำให้ความจริงถูกบิดเบือนมากขึ้น เพราะประชาชนคิดว่าทางการไล่จับคนพวกนี้ ไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งที่ต้องเผชิญหลังจากนี้คือภัยพิบัติใหญ่ที่เคยสร้างความปั่นป่วนให้กับดินแดนเวเทอร่า ตอนนี้คงมีแต่ระดับสูงๆ อย่างเกรกอรี่ขึ้นไปเท่านั้นที่รู้เรื่อง
แม้ขนาดตัวเกล็นก่อนที่จะรู้ว่าที่นี่เป็นโลกของเกม เขาก็เชื่อแบบเดียวกับคนอื่น กระทั่งได้พบกับแมรีแอนน์ ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเชเบอร์ทอสตรงๆ เหตุนี้เองเด็กหนุ่มได้แต่ปิดปากเงียบไม่ออกความเห็นอะไร
แต่แล้วเสียงคุยเซ็งแซ่ต้องเงียบลง เมื่อมีคนแปลกหน้าเปิดประตูแล้วยื่นส่วนศีรษะโผล่พ้นออกมา เขาใช้สายตากวาดหาใครบางคนในห้อง พอไม่แน่ใจว่าคนไหนจึงเอ่ยถาม
“เกล็น ฮิลเนสัน อยู่ห้องนี้หรือเปล่า?” จากนั้นทุกคนหันไปจ้องยังเกล็นที่ยกมือสูงทำหน้าเหลอหลา
“ผมเอง”
“อาจารย์เคธีเรียกแน่ะ”
เท่านั้นแหละ เกล็นสำนักน้ำลายตกใจไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมเคธีถึงเรียกตน ไม่แค่เจ้าของชื่อเพื่อนร่วมห้องต่างพากันหน้าซีดนึกว่าเด็กหนุ่มไปก่อวีรกรรมอะไรมาถึงโดนเรียกในเวลานี้
“อย่าบอกนะว่านาย...” คลาริสพึมพำ
“จะบ้าเรอะ แค่พื้นฐานฉันยังไม่รู้เลย” ไม่ต้องอ้าปาก เกล็นก็เห็นลิ้นไก่เจ้าเพื่อนคนนี้คิดอะไร
ในเมื่อถูกเรียกอย่างนี้มีแต่ต้องไปหาเคธีเท่านั้น เด็กหนุ่มโบกมือเหมือนอำลาเพื่อนๆ ไปสู่ประตูนรก เขาออกจากห้องเรียนตามหลังชายวัยกลางคนไว้หนวดรุกรัง ทว่าเส้นทางกลับทำให้เกล็นต้องขมวดคิ้วเนื่องจากมันไม่ใช่ทางไปห้องพักอาจารย์ และยิ่งงุนงงมากขึ้นเมื่อเขาถูกพาตัวมาถึงห้องรับรองแขกของอาจารย์ใหญ่ ชายคนนั้นผายมือพร้อมเปิดประตูเชิญเด็กหนุ่มเข้าไปด้านใน
นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างตกตะลึงเกือบเข้าใจสถานการณ์ในทันทีที่เห็นเกรกอรี่นั่งบนโซฟาสีแดงคู่กับชายรูปร่างสูงหน้าตาไม่รับแขกแต่งกายคล้ายเครื่องแบบอัศวินตอนไม่สวมเกราะ เดาว่าชายคนนี้น่าจะชื่อโดมินิกที่เคยพูดถึงกัน พอบานประตูปิดลง เกล็นถอนหายใจแรงโล่งอกไม่เป็นไปตามที่คิดเรียกเสียงหัวเราะจากชายสูงวัยผมน้ำตาลแซมหงอก
“คิดว่าเคธีเรียกจริงๆ งั้นหรือ”
“จู่ๆ อ้างชื่อนั้นจะมีใครไม่ตกใจบ้าง” เขาว่าพร้อมเดินไปนั่งโซฟาฝั่งตรงกันข้าม “ที่คุยเรื่องวันนี้ใช่หรือเปล่าครับ”
“ดูเหมือนพอจะรู้เรื่องแล้วใช่ไหม” เกรกอรี่เลิกคิ้วถามประหลาดหน่อยๆ ที่เด็กหนุ่มสามารถเข้าประเด็นได้
“คิดว่าพวกนักเรียนพูดต่อๆ กันน่ะครับ”
เกล็นคาดคะเน ไม่แน่ต้นข่าวคงมาจากพวกนักเรียนปีสามกันเองแล้วค่อยๆ ไล่ลงมาสู่ปีหนึ่งอย่างที่เขาเพิ่งรู้เมื่อสักครู่
“อาจจะเป็นอย่างนั้น” โดมินิกเจ้าของน้ำเสียงเข้มพยักหน้าเข้าใจ “ดีจะไม่ได้เสียเวลา ก่อนอื่นพวกเราขอถามก่อนว่าเธอเจอผลึกนั่นจากที่ไหน”
“ในถ้ำครับ ส่วนแถวไหนเอ่อ...” แล้วเกล็นพยายามอธิบายเส้นทางและจุดสังเกตรอบบริเวณถ้ำแห่งนั้นให้ได้ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากตอนเข้าไปเขาดันสลบเพราะเจอแมงมุมเสียก่อน ส่วนขากลับก็วิ่งหนีเคฟสเนคกันอุตลุดแทบจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
เกรกอรี่กับโดมินิกสบตามองกันแล้วผงกศีรษะให้กัน
“อสูรทมิฬตัวนั้นพวกเด็กปีสามเจอที่ถ้ำนั่นแหละ” เกรกอรี่บอกเสียงเครียด “ดูเหมือนว่ามันจะมาตามหาผลึกโดยเฉพาะ แน่นอนว่าเธอเจอมันก่อน ถือว่าเทพแห่งโชคชะตาฮีมูอากำลังเข้าข้างพวกเราเกล็น...”
“ไม่มีค่ะ”
เสียงเรียบจากสตรีคนหนึ่งดังบอกกับทุกคนเมื่อเธอย่างกายเข้าบ้านไม้หลังใหญ่สองชั้นเก่าๆ ที่คาดว่าน่าจะอยู่ใกล้กับทะเลซึ่งส่งเสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นระยะ นกสีดำที่เกาะไหล่เธอกลายสภาพเป็นของเหลวหนืดหายไปในพริบตา
“เธอแน่ใจแล้วรึ?” คราวนี้เป็นน้ำเสียงแหบจากผู้ชายมีอายุ “ตามที่คำนวณมันไม่มีทางพลาด”
“ยอมรับเถอะค่ะว่ามันพลาด” หล่อนเถียงสู้ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง “ในเมื่อมันไม่เจอก็คือไม่เจอ”
“เขาก็พูดถูกนะ” ผู้หญิงอีกคนว่าเห็นพ้องกับคนแรก “เรามาหาชิ้นใหม่กันเลยดีกว่าเถอะ”
“พูดมันง่าย” แล้วชายสูงวัยก็คอยๆ แสดงอาการหัวเสียใส่ “เพราะพวกเธอก็รู้ว่าการตามหามันโดยไม่มีอาคมของลูมิเธอร์มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ!”
“กรุณาหยุดใส่อารมณ์ด้วยค่ะ ขืนฉันกลับมาช้าอีกนิด มีหวังได้ปะทะกับคนของเบเลธเข้ากันพอดี ไม่เอาด้วยหรอกนะที่จะต้องสู้กับหัวหน้ากองอัศวินเวทน่ะ” น้ำเสียงเย็นยะเยือกตอกกลับไม่พอใจที่ถูกขึ้นเสียงใส่ “อีกอย่างผู้ชายคนนั้นหายหัวไปไหนอีก?”
“เอ่อ... เขาออกไปข้างนอกน่ะ” หญิงสาวผมสั้นบ๊อบเทสีเขียวน้ำทะเลบอกเสียงทีเล่นทีจริง “แต่คงทำตามอำเภอใจอีกนั่นแหละ”
ว่าจบหญิงสวมแว่นเลนส์เดียวข้างขวาก็เม้มริมฝีปากแน่นสะกดอารมณ์ แม้ว่าสีหน้าเธอยังเงียบเฉย จากนั้นหล่อนได้สะบัดตัวแรงเดินย้อนกลับจากทางที่เคยมา
“เธอจะไปไหน กลับมาคุยให้รู้เรื่องก่อน!” เขานัยน์ตาเดียวร้องห้ามเพื่อต้องคุยปัญหานี้ให้จบก่อน
“ถ้าอยากคุยนักก็รอเขากลับมาก่อนเถอะ”
หลังจากนั้น ฮันนา สโตรเบล เดินออกไปที่โล่งแจ้ง มือบางข้างหนึ่งยกป้องแดดแสงจ้า ส่วนอีกมือก็ดีดนิ้วดังเป๊าะเรียกเจ้านกร่างสีดำกลับมา แต่ครั้งนี้มันมีขนาดตัวที่ใหญ่พอให้หญิงสาวสามารถนั่งเกาะเท้าของมันบินไปสู่ที่ที่หนึ่งตามความที่คาดเดาว่าผู้ชายคนนั้นที่ว่าไปอยู่ไหน แล้วหวังลึกๆ ว่าเขาไม่สร้างเรื่องให้เธอด้วยการออกนอกประเทศแห่งนี้
Comments (0)