“เฮ้ มัวทำหน้าเครียดอะไรอยู่ จะกลับบ้านไหม” คลาริสที่มาตามอิกนิสถึงหอพักถามดังด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่สบอารมณ์กับท่าทางของอิกนิสที่เปลี่ยนไปตั้งแต่วันสอบปลายภาค แต่ไม่เคยมีโอกาสได้คุยกันอย่างจริงจัง เพราะคลาริสห่วงเกล็นที่หมดสติตอนเจอกับโกเลมและเขากับแมรีแอนน์ต้องช่วยกันต่อกรกันแค่สองคน

ทว่ายิ่งอิกนิสไม่ยอมพูดจากับคลาริส ก็ยิ่งทำให้น้องชายหัวเสียกว่าเดิม

“ถามจริง เป็นอะไรไป?”

“ไม่มีอะไร” ในที่สุดอิกนิสก็เปิดปากคุย เขาลุกจากโซฟา เดินนำหน้าคลาริสไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่แถวหอพัก และทันทีที่เข้าไปด้านในรถ อิกนิสเห็นอลิสาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันส่งยิ้มมาให้ หากเขาไม่ได้ยินเรื่องที่พ่อแม่คุยกันหรือเจอกับผู้หญิงปริศาสองคนนั้น อิกนิสคงคิดว่ารอยยิ้มของแม่ดูเป็นปกติ นั่นทำให้บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดฉับพลัน

“ตายจริง อิกนิสทำไมทำตาแข็งใส่แม่แบบนั้นล่ะ?” อลิสาทักถามพร้อมแววตาหยั่งรู้ความคิดลูกชายคนโต “อย่างกับท่านพ่อเวลาหงุดหงิดไม่ผิดเลย”

“แม่พูดอะไรน่ะ…” คนที่ไม่รู้เรื่องเพียงคนเดียวอย่างคลาริสเลิกคิ้วสงสัย เขาหวั่นใจพฤติกรรมของอิกนิส แม้ตอนนี้มันจะดูน่าโมโห แต่การที่พี่ชายแข็งกร้าวใส่แม่ก็ไม่ใช่นิสัยของอิกนิส

ทว่าทั้งท่วงท่า สีหน้า และแววตาเด็ดเดี่ยวของอลิสา กลับทำให้อิกนิสเป็นฝ่ายหวาดหวั่น เขากลืนน้ำลายเพื่อเตรียมใจที่จะถามสิ่งที่ค้างคาใจตั้งแต่อยู่ที่บ้านในคืนนั้น

“ท่านแม่ช่วยบอกเรื่องที่รู้ให้พวกผมเถอะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“หืม? รู้เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ” หญิงสาวทำหน้าไขสือ ไม่เข้าใจคำถามของอิกนิส

“เรื่องที่ท่านพ่อท่านแม่บอกว่าแมรีแอนน์ยังอยู่ หมายความยังไงครับ แล้วเกล็นเกี่ยวอะไรด้วยหรือเปล่า แล้วก็… ทำไมวันนั้นท่านแม่ถึงถามเรื่องช่วยเพื่อนตามหาของด้วย มันเกี่ยวข้องกันสินะครับ”

น้ำเสียงเรียบแต่ไร้ความมั่นใจถามผู้เป็นมารดาที่มองหน้าอิกนิสไม่ละสายตา ทว่าหากหลุบตาหนีตอนนี้คำตอบที่อิกนิสต้องการก็จะหายไปทันที อลิสาจะไม่มีวันพูดเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองถ้าเขาไม่สู้สายตากับเธอ ความรู้สึกของอิกนิสจึงเต็มไปด้วยความหวั่นไหวและวิตกกังวลที่ต้องต่อสู้ด้านจิตใจกับหญิงสาว

“เป็นครั้งแรกเลยนะที่อิกนิสกล้าสู้สายตากับแม่… น่าดีใจจริงๆ คิกๆ” อลิสาหัวเราะขบขัน ภาคภูมิใจที่ลูกชายคนโตกล้าที่จะยืนยันเพื่อบางอย่าง แล้วสิ่งนั้นคือความจริงที่เธอและธีออนรู้ “ใช่แล้วจ้ะ พวกแม่รู้เรื่องทั้งหมดเลยล่ะ อย่างเช่น…ความจริงของคุณหนูแมรีแอนน์ที่น่าจะตายไปแล้วเมื่อสิบหกปีก่อน หรือของที่เกล็นเพื่อนของลูกเจอผลึกเวทมนตร์แล้วเอามาให้ท่านมหาปราชญ์เก็บเอาไว้”

“เดี๋ยว! นี่มันอะไรแมรีแอนน์ที่น่าจะตาย?? แล้วของที่ว่านั่นเกล็นโกหกว่าไม่เจอของเรอะ” คลาริสโพล่งขึ้นอย่างตกใจ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูดเลยสักคำ จึงหันไปถามกับอิกนิสที่น่าจะรู้เรื่อง “อิกนิสหมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่าพวกท่านแม่ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับที่พวกเราเจอตอนวันสอบน่ะสิ” อิกนิสบอกโดยไม่หันมาทางคลาริส น้องชายที่ฟังจบก็มองไปที่อลิสาอีกคน

“แต่ว่านะอิกนิส แอบฟังพ่อแม่คุยกันนิสัยไม่ดีเลยนะ” ทั้งที่เป็นคำตำหนิน้ำเสียงของอลิสายังขี้เล่นหยอกล้อ เธอแสร้งทำเป็นถอนหายใจเฮือกหนึ่งราวกับว่าเผลอทำความลับแตกไปเสียแล้ว “เอาเถอะ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถ้าอย่างนั้นเริ่มจากตรงไหนดีนะ?

ดวงตาสีม่วงที่เหมือนกับลูกชายทั้งสองกลอกขึ้นแสดงท่าทีเหมือนกับว่ากำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มคุยจากตรงไหนก่อนดี จากนั้นอลิสาก็ส่งรอยยิ้มให้อิกนิสกับคลาริสหลังตัดสินใจได้แล้ว

 

“ทีแรกเราก็ยินดีที่จะไม่ถามอะไรพวกคุณมากหรอกนะคะท่านมหาปราชญ์เกรกอรี่ แต่มาถึงขั้นนี้กรุณาบอกความจริงมาทั้งหมดด้วยเถอะค่ะ” น้ำเสียงดุดันจากหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายปกครองถามกับเกรกอรี่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะประชุม หลังจากที่ตรวจสอบแล้วว่านักเรียนทุกคนได้กลับบ้านเป็นที่เรียบร้อย

ดังนั้นเวลานี้จึงมีแต่อาจารย์ระดับหัวหน้าซึ่งมีอายุการทำงานมากกว่ายี่สิบปี พวกเขาต่างพากันตีหน้าดำคร่ำเครียดเพราะต้องการคำตอบเหมือนเคธีที่เป็นหัวหอกสำคัญในการตั้งคำถามกับเกรกอรี่ด้วยความรู้สึกห่วงเกล็นเป็นพิเศษ หลังรู้ว่าเขาต้องเจอกับอะไรและต้องสู้กับโกเลมที่ถูกประเมินแล้วว่าเด็กปีหนึ่งประมาณเจ็ดคนสามารถรับมือได้สบายๆ ทว่าเกล็นกับแมรีแอนน์กลับต้องเผชิญกันแค่สองคนจนร่างกายแบกรับภาระหนักจากการฝืนใช้เวทมนตร์

“แล้วผู้หญิงที่เล่ามาคือใครด้วย พวกหล่อนต้องการอะไรที่ซ่อนในโรงเรียน โดยที่พวกคุณไม่ยอมบอกพวกเราตั้งแต่แรก”

ครั้นจะบอกให้เคธีใจเย็นก่อนจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดก็จะเป็นการราดน้ำมันใส่กองไฟแทน ทั้งเกรกอรี่และโดมินิกที่มาด้วยกันพยักหน้าเป็นสัญญาณว่ามันถึงเวลาที่คณะอาจารย์ต้องทราบ แล้วในใจมหาปราชญ์ก็เชื่อว่าเกล็นเองก็คงเห็นด้วย

“เราจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกคุณทราบ แต่ก็ขอให้มันเป็นความลับด้วยเช่นกัน” เกรกอรี่กล่าวพลางประสามือบนโต๊ะ

“จะวางมาดไปถึงเมื่อไร ก็เล่าเลยสิ” เคธีพูดอย่างเดือดดาล

“เมื่อสิบหกปีก่อนที่ตระกูลลูมิเธอร์ถูกโจมตี พวกเขาใช้อาคมให้ผลึกของดาบประจำตระกูลกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ในลุสกลอเรียเพื่อปกป้องไม่ให้ถูกศัตรูทำลาย แล้วหนึ่งในนั้นก็ซ่อนอยู่หลังโรงเรียน นั่นแหละคือจุดประสงค์ของคนร้าย”

“แล้วของนั่นอยู่ไหน”

“อยู่กับพวกเราตั้งแต่ปิดเทอมฤดูร้อน” โดมินิกตอบ “เกล็น ฮิลเนสันเป็นคนเจอมันแล้วส่งมาให้พวกเรา”

“เดี๋ยวนะครับ” ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าดูแลความปลอดภัยของโรงเรียนพูดขัดขึ้น “ทั้งที่เป็นของตระกูลลูมิเธอร์ แต่ทำไมเจ้าหนูนั่นถึงรู้ว่าควรส่งให้ใคร ตามปกติน่าจะส่งให้อาจารย์คุมสอบวันนั้นมากกว่านะ”

“อย่าบอกนะว่าเกล็นมีส่วนรู้เห็นน่ะ” เสียงเย็นยะเยือกและแววตาแข็งกร้าวของเคธีจ้องเขม็ง

“ใช่... เขารู้มาก่อนพวกเราด้วยซ้ำ” เกรกอรี่ตอบพร้อมระลึกถึงความทรงจำของเกล็นที่รับรู้มาบางส่วน “เกล็นเลยเลือกส่งมาให้พวกเราแทน และคนที่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้มากที่สุดก็คือเกล็น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้อยู่ประชุมด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้รู้เรื่องมากกว่านี้”

“แสดงว่าหลานของลินดารู้อยู่แล้วจะเกิดเรื่องแบบนี้แต่แรก?” ชายคนเดิมเลิกคิ้ว “แล้วเขารู้ได้ไง?”

“ถ้าบอกว่าเป็นความฝันคุณจะเชื่อไหมล่ะ” ชายชราตอบกลับเสียงเนือยๆ “ตอนคุยกันครั้งล่าสุดเกล็นบอกว่าตอนนี้มันไม่ตรงกับความฝันแล้ว เพราะเขาเคยบอกว่าอสูรทมิฬที่ปรากฏตัวคราวก่อนควรมาตอนที่กำลังสอบปลายเทอมหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจอแค่ผลึกของลูมิเธอร์เท่านั้น”

“เพราะงั้นครั้งแรกที่มาก่อนไม่เจอ คราวนี้เลยมาอีกแล้วเจอพวกเด็กๆ แทน” เคธีวิเคราะห์ความเป็นไปได้ ไม่นานอาจารย์หญิงก็เกิดฉุกใจคิดสิ่งผิดปกติ “นี่มันไม่ใช่ความบังเอิญแล้ว ถ้ำนั่นพวกเกล็นเคยไปมาก่อน!

“ว่าไงนะ!?” โดมินิกลุกพรวดกลางที่ประชุม ส่วนเกรกอรี่เบิกกว้างกับข่าวใหม่

“เคลื่อนไหวเร็วมาก” ธีออนที่นั่งเงียบตลอดการประชุมพึมพำก่อนจะขบฟันแน่นอย่างเจ็บใจ “ขืนเป็นแบบนี้ อีกไม่นานพวกนั้นต้องเปลี่ยนเป้าหมายแน่”

“ยังมีเรื่องที่ปิดบังพวกเราอีกหรือครับ” อาจารย์ใหญ่หันมาถามเสียงเครียด

“ใช่” เกรกอรี่พยักหน้าบอก “แต่ที่เราทำก็เพื่อความปลอดภัย โปรดเข้าใจด้วย เพราะแมรีแอนน์ ไบลธ์... นักเรียนที่อยู่กลุ่มเดียวกับเกล็นคือทายาทตระกูลลูมิเธอร์ตัวจริง”

จากนั้นเกิดเสียงฮือฮาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เคธียกมือปิดปากตะลึงกับคำตอบของเกรกอรี่

“เป็นความจริงครับ มิเดียเน่กับเด็กยังมีชีวิตอยู่ แต่เธอแต่งงานใหม่เลยทำให้ตามตัวไม่เจอ องค์ราชินีเซซิเลียก็ยืนยันว่าเป็นตัวจริงแน่นอน เพราะทั้งคู่ได้พบกันแล้ว”

“แบบนี้เท่ากับว่านักเรียนเราสองคนตกอยู่ในอันตรายเลยนะ แล้วมีใครรู้ความจริงเกี่ยวกับแมรีแอนน์บ้าง”

“นอกจากพวกเราที่กำลังประชุมอยู่ก็มีท่านเบเลธ องค์ราชากับองค์ราชินี ดัชเชสแห่งนาส และเกล็น เท่านั้นที่รู้”

“ฉันอยากรู้จริงๆ นะคะท่านมหาปราชญ์ เกล็นเขารู้อะไรบ้าง เท่าที่ฟังมาเขาดูรู้เยอะกว่าที่คิดไว้มากเลย”

“เกล็นรู้ถึงจุดจบเลยล่ะ... แต่ว่าตอนนี้ความทรงจำเกี่ยวกับความฝันของเขาใช้ไม่ได้แล้ว เหตุการณ์มันวุ่นวายเสียจนพวกเราก็เริ่มตั้งต้นไม่ถูกเหมือนกัน”

“ดูเหมือนคุณเชื่อในความฝันเด็กมากเกินไปหรือเปล่า” หัวหน้าความปลอดภัยว่ารู้สึกตงิดที่มหาปราชญ์ให้ความสำคัญความฝันเกล็นมาก

“ตอนแรกก็ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอก แต่พอเจอตัวแมรีแอนน์อยู่โรงเรียนนี้หรือเรื่องผลึกอยู่ที่นี่มันก็มีค่าพอให้เชื่อบ้าง” เกรกอรี่เฉไฉ เพราะพูดเหมือนที่เกล็นเคยอธิบายกับตนไปก็ไม่มีใครเข้าใจ ขนาดเขาเองก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ “แต่อย่างที่บอกไป เราต้องคิดหาวิธีรับมือใหม่ อีกไม่นานพวกผู้ศรัทธาจะต้องกลับมาตามหาความจริงกับเกล็นอีกแน่”

เขาว่าอย่างวิตกกังวล กลัวว่าเกล็นต้องเผชิญคนน่ากลัวอย่างซิกมุนท์ ไม่มีทางเลยที่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช้ความสามารถการอ่านความทรงจำ เท่ากับว่าเกรกอรี่ต้องคิดหาวิธีไม่ให้สองคนนี้เจอหน้ากัน ถ้าซิกมุนท์เจอเกล็นแผนการหลายอย่างที่เตรียมการไว้มีอันต้องล่ม หนำซ้ำความปลอดภัยของแมรีแอนน์ที่เคยให้สัญญากับมิเดียน่าจะสั่นคลอน หากเป้าหมายของพวกนั้นคือการทำลายผลึก มีหรือจะปล่อยให้แมรีแอนน์มีชีวิตอยู่ต่อไป

“เอาละ ท่านมหาปราชญ์ เรื่องที่ท่านเล่ามาทั้งหมดเราพอจะจับใจความได้แล้ว ถึงเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนักเรียนไม่กี่คน แต่จากเหตุการณ์รอบก่อนก็มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งพัวพันอย่างช่วยไม่ได้” อาจารย์ใหญ่ประสามือวางบนโต๊ะบอกเสียงเรียบ “เพราะงั้นเราก็ไม่อยากให้เกิดแบบนั้นอีกเป็นหนที่สอง”

“แล้วเราควรทำยังไงดีล่ะอาจารย์ใหญ่ จะให้เด็กสองคนนั้นลาออกจากโรงเรียนก็ใช่เรื่อง” เคธีเอ่ยเสียงหวั่นกลัว

“ตอนนี้ช่วงปิดเทอมยังพอมีเวลาวางแผน” อาจารย์ใหญ่ยกมือปรามให้อาจารย์ไม่คิดมาก “ไม่ทราบว่าทางท่านคิดวิธีการรับมืออะไรได้บ้าง”

โดมินิกเป็นคนแรกที่ถอนหายใจหนัก บ่งบอกว่าพวกเขาเองยังไม่ได้คิดรับมือ

“เรื่องที่คนพวกนั้นบุกมาถึงที่นี่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเรา แต่ก็มีสาสน์จากเวสพีเรียว่าจะเข้ามาช่วยเหลือ เพราะเขาต้องการตัวผู้ชายชื่อซิกมุนท์หนึ่งในตัวการอยู่” หัวหน้าอัศวินเวทบอกข่าวสารที่ตนได้รับมา

“ถ้าอย่างนั้นเราควรแปะประกาศบุคคลต้องสงสัยด้วยหรือเปล่า” หัวหน้ารักษาความปลอดภัยถามต่อ

“ส่วนตัวผมแล้วยังไม่อยากให้ทำ เพราะผู้ชายคนนั้นสำหรับเวสพีเรียถือเป็นคนตระกูลใหญ่ ต้องปรึกษากันก่อนว่าจะเอายังไง” ธีออนออกความคิดส่วนตัว เท่าที่เขารู้ตระกูลเรนเกอริ่งนั้นเทียบเท่าตระกูลจอมเวทใหญ่ๆ จึงไม่รู้ว่าทางประเทศเวสพีเรียจะมีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้

“ดังนั้นหลังจากนี้เป็นต้นไป ทางเราก็ขอความร่วมมือจากอาจารย์โรงเรียนเอลเซียส์ส่งตัวแทนเพื่อประชุมด้วย ขออภัยและขอบคุณสำหรับวันนี้ หวังว่าเร็วๆ นี้เราจะพบกันอีก”

 

เสียงฮัม เพลงทุ้มต่ำลอยมาตามสายลม ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มพ้นกรอบประตูด้วยสีหน้าแจ่มใส แต่ต้องสะดุดกับใบหน้าของฮันนาที่บูดบึ้งจนซิกมุนท์ต้องเปลี่ยนวิธีการเดินให้เบาเท้ามากที่สุด เขาตรงไปหาคริสต้าที่นอนเล่นเกมพันด้ายบนโซฟาสีแดงตัวหน้าเตาพิง

“ฮันนาเขาเป็นอะไรไปน่ะ” ซิกมุนท์กระซิบถามทั้งที่ยังสวมฮู้ดอยู่

คริสต้ายักไหล่ขอไปที “เหมือนลางสังหรณ์เขาจะผิดน่ะ”

“หืม...?” ชายหนุ่มกอดอกเลิกคิ้วมองแผ่นหลังของฮันนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ก่อนจะลูบคางประหลาดใจ “แปลก ลางสังหรณ์เธอไม่น่าพลาดแท้ๆ”

“เอาน่า คนเราก็มีผิดพลาดได้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่อยากยอมรับเท่าไรนะ” คริสต้าแกะด้ายที่พันนิ้วออกแล้วเปลี่ยนอิริยาถบมานั่งสนทนากับซิกมุนท์ “เมื่อกี้ก็เถียงกับเจอรัลด์ด้วย”

“อะฮะ” ซิกมุนท์ขานรับเข้าใจกว่าเดิม เพราะเวลาที่สองคนนี้มีปากเสียงกันมักจะเป็นแบบนี้ตลอด ยิ่งฮันนาหัวเสียเรื่องลางสังหรณ์ผิดจากที่คิด ก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปสัมผัสศีรษะโดยไม่บอกไม่กล่าว ฮันนาจึงหมุนตัวปัดมือของซิกมุนท์ออก แม้ใบหน้าของเธอจะนิ่งสงบแต่แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“อะไรกัน เราก็รู้จักกันมานานนะ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดขนาดนั้นเลย” ซิกมุนท์หัวเราะขบขันก่อนจะโน้มตัวกระซิบข้างหูหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “แต่ก็นะ คนมันมีความลับต่อกันถึงได้ปัดมือสินะ”

เพราะรอยยิ้มของซิกมุนท์หายไป คริสต้าจึงอุทานเสียงเบาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าชายคนนั้นจะมีมุมน่ากลัวแบบนั้น จนอยากรู้ว่าทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องอะไร ทว่าไม่นานซิกมุนท์ก็กลับมาพูดน้ำเสียงทะเล้น

“ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมไปขอบคุณเขาเสียล่ะที่ช่วยให้งานวันเกิดขององค์ชายไม่พัง เพราะเธอเล่นนอกแผนโดยพลการน่ะ แล้วก็ตามที่คริสต้าพูดนั่นแหละ ปล่อยวางไปเถอะน่า ตอนนี้เวสพีเรียก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว และอีกไม่นานลุสกลอเรียต้องเริ่มส่งสาสน์เรื่องของพวกเรา”

“แล้วหลังจากนี้คุณจะทำอะไรต่อล่ะ” ฮันนาถามเสียงเรียบ ไม่ยี่หระต่อคำพูดของซิกมุนท์ก่อนหน้า

“อืม ยังไม่ได้คิดเลย มันผิดเพี้ยนจากที่คิดไว้เยอะน่ะ” ชายหนุ่มกอดอกขมวดคิ้วสีหน้าลำบากใจเหมือนเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจ “งั้นไว้ขอนอนพักก่อนแล้วกัน”

ว่าแล้ว คริสต้าจึงล้มตัวนอนเล่นพันด้ายต่อ ส่วนฮันนาถอนหายใจหน่าย ปล่อยให้ซิกมุนท์โบกมือลา เดินเข้าห้องพักผ่อนหลังเดินทางไกล จากที่ฮัมเพลงก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเสียงผิวปากอารมณ์ดี เขาเก็บความในใจไม่ยอมบอกความจริงกับหญิงสาวทั้งที่เป็นพวกเดียวกันว่าลางสังหรณ์เกี่ยวกับเด็กหนุ่มจากตระกูลจอมเวทนั้นแม่นยำเหมือนทุกที

(เกล็น ฮิลเนสัน สินะ ไว้คิดแผนรับมือได้เมื่อไร ค่อยลองไปเจอสักครั้งหน่อยก็ดีนะ)