39 ตอน บทที่ 38: แล้วเราก็ได้พบกัน
โดย RiFourver
หลังพาตัวมารักษา แมรีแอนน์มีอาการพะวักพะวงเรื่องเกล็นไม่ตกหลังเผยปากบอกความรู้สึกออกมาตอนที่เจ้าตัวไม่ได้สติ หนำซ้ำชาร์ล็อตยังเห็นเขานอนอยู่บนตักเธออีกด้วย ไม่รู้ว่าเพื่อนนั้นจะคิดมากเรื่องนี้หรือเปล่า หากข่าวลือเรื่องที่สองคนนี้หมั้นกัน ที่ได้ยินจากงานวันเกิดของลิเลียนในตอนที่กำลังกลับจากห้องน้ำ เธอต้องเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่ยุ่งกับคนรักของเพื่อน ทั้งที่แมรีแอนน์แค่อยากเป็นเพื่อนกับเด็กผู้ชายที่เคยพบเมื่อเก้าปีก่อนเท่านั้นเอง...
จุดเริ่มต้นมันเกิดขึ้นก่อนแมรีแอนน์จะอาศัยที่ริโคนิก เธอเคยอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ณ โบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองชนบท มณฑลอูรานี่ใกล้กับมอสเซียน่าบ้านเกิดของเกล็น ที่นี่ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นั่นไม่แตกต่างกับบ้านปัจจุบันเท่าไร ต่างเพียงผู้คนที่นี่ดูจะไม่ต้อนรับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างแม่เธอนัก หากความทรงจำเด็กสาวไม่ผิดเพี้ยนแม่ชีเคยเล่าว่าระหว่างพวกเขาเดินทางกลับจากมณฑลอื่น พวกเขาเจอแม่หรือมิเดียเน่นอนไม่ได้สติโดยที่กอดทารกอายุไม่กี่วัน
พอแม่ตื่นเหมือนว่าจะจำอะไรไม่ได้ ด้วยความสงสารบาทหลวงและแม่ชีที่นั่นจึงให้หล่อนพักอาศัย เลี้ยงเธอกระทั่งอายุหกขวบที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องแย่ๆ เพียงแค่แมรีแอนน์ใช้เวทมนตร์ได้ จากนั้นปกติที่ถูกมองเป็นคนนอกก็ยิ่งมีเสียง นินทาว่าร้ายแม่ว่าอาจจะเป็นอนุภรรยาของขุนนางที่ไหนแล้วโดนสั่งเก็บ แต่เอาชีวิตรอดมาได้พร้อมกับลูก
แม้ว่าพวกคนในโบสถ์จะคอยปรามเรื่องนี้เพราะไร้หลักฐาน แต่ก็ไม่สามารถหยุดบรรดาคนขี้ซุบซิบได้ กระทั่งเกล็นมา เขาพูดทุกอย่างที่แมรีแอนน์อยากฟัง ทั้งที่อายุเท่ากันเขาสามารถต่อปากต่อคำผู้ใหญ่หลายคนให้หน้าเสีย ทั้งที่ตัวเองบาดเจ็บจากการชกต่อยมาหมาดๆ
สุดท้ายแมรีแอนน์ไม่ได้เคยกล่าวขอโทษหรือขอบคุณเด็กผู้ชายคนนั้นเลย เขาเดินทางกลับไปก่อนหลังจากที่เธอเลิกร้องไห้ฟูมฟาย แต่หลังจากนั้นชีวิตเด็กหญิงกลับดีขึ้นจนหลงคิดว่าการปรากฏตัวของเกล็นนำพาแต่เรื่องดีๆ ให้ ถึงยังมีถูกรังแกหรือเสียงซุบซิบคนพวกนั้นมักจะถูกผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งคอยตำหนิ เขาพูดเหมือนกับที่เกล็นแต่แค่น้ำเสียงอ่อนโยนและน่าฟังกว่า ทีแรกเขาตั้งใจรับเลี้ยงแมรีแอนน์เป็นลูกบุญธรรมเพื่อหนีจากที่นี่ ทว่าเธอเป็นเด็กที่ยังมีแม่อยู่ ทำให้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ กระนั้นผู้ชายคนนั้นก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ตกหลุมรักแม่ แต่เขามาต่างกับชายอื่นที่มักเข้าหาทางเธอเพื่อหวังให้แมรีแอนน์ไปขอร้องแม่ให้ตนเป็นพ่อบุญธรรม ซึ่งไม่มีใครเลยที่ทำสำเร็จ แมรีแอนน์ก็เบื่อหน่ายที่ต้องเป็นตัวกลางระหว่างความรัก คนส่วนใหญ่มักหลงใหลในหน้าตาของแม่ สาเหตุนี้เลยเป็นหนึ่งในสาเหตุที่มิเดียเน่ถูกลับหลัง
แต่ชายชื่อแฮเรียตต่างไป เขาไม่คุยเรื่องของแม่เลยสักครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าเธออย่างมากก็เอาขนมมาให้แล้วจากไป เพื่อทำงานที่รับจ้างซ่อมแซมบ้านหลังหนึ่งในเมือง ในบางครั้งแมรีแอนน์แอบเห็นแฮเรียตคุยกับแม่เป็นพักๆ ไม่ได้อยู่ยาวเหมือนชายคนอื่น กระทั่งวันหนึ่งแม่ได้มาบอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่ริโคริกกับคุณแฮเรียตด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แบบที่แมรีแอนน์ซึ่งเป็นลูกก็ไม่เคยเห็นมาก่อน หนำซ้ำคุณแฮเรียตก็เพิ่งมารู้ว่าเธอคือเด็กผู้หญิงตอนที่มิเดียเน่บอกว่าจะพาลูกสาวไปด้วย
“เขา… เข้าใจผิดมากี่เดือนแล้วนะ?”
ซึ่งมันก็คงไม่แปลก เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกตอนนั้นก็คล้ายเด็กผู้ชายตัวเล็กผอมแห้ง สวมชุดเก่าๆ ที่ได้รับต่อกันมา จะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก แต่ไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้
แล้วนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูกเหมือนครอบครัวอื่น ชีวิตแมรีแอนน์ดีขึ้นเรื่อยๆ ใครๆ ต่างรักใคร่เอ็นดู เริ่มพูดมากขึ้น แต่งตัวน่ารักที่ได้รับเป็นของขวัญ เนื่องจากเป็นเด็กเล็กเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่ห่างหายเสียงเจื้อยแจ้วมานาน ถึงอดีตยังฝังอยู่ในความทรงจำแต่ปัจจุบันทำให้เธอมีความสุข จนลืมเด็กผู้ชายเมื่อวันนั้น...
กระทั่งกลางดึกคืนหนึ่ง แมรีแอนน์ในวัยเก้าได้เข้านอนตามปกติ ทว่าราตรีนี้ต่างออกไป เธอจำเรื่องนี้ได้เกือบแม่นยำ หลังฝันเห็นเด็กผู้ชายผมฟ้าคนนั้นยืนต่อหน้า แมรีแอนน์จึงจำเขาได้อีกครั้ง และเพียงกะพริบตาหนึ่งครั้ง เด็กหญิงรู้สึกว่าทั้งเธอและเขาตัวโตขึ้น ทว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประหลาด แมรีแอนน์ไม่เห็นช่วงบนของคนเบื้องหน้าได้ ราวกับเขาอยู่ใต้ร่มเงาที่มืดสนิท
ปัง!
เสียงประหลาดที่แมรีแอนน์ไม่รู้จักว่ามันคืออะไรดังปลุกเธอตื่นจากภวังค์ แล้วได้ยินเสียงคนพูดคุยมากมายที่เด็กหญิงฟังไม่ออก ดวงตาสีชมพูหวานกะพริบอีกครั้ง แต่คราวนี้แมรีแอนน์ไม่กล้าลืมตาตื่น เพราะเธอรู้สึกถึงแสงสว่างจ้า กระนั้นแมรีแอนน์ก็รับรู้ว่าแสงนี้เป็นสีทองแล้วตัวเองก็กำลังล่องลอยกลางอากาศ
‘ไม่ได้นะ’
คราวนี้เป็นเสียงแหบแห้ง เด็กหญิงจึงฝืนเปิดเปลือกตาเล็กน้อยเพื่ออยากรู้ว่าอยู่กับใคร แต่ก็ยากจะบรรยายกว่าเขาคือใคร แมรีแอนน์เห็นแค่ว่าน่าจะเป็นผู้ชายที่สวมชุดเหมือนกับเอาผ้ามาคลุมทั้งตัว แสงนั้นย้อมเขากลายเป็นสีส้มราวกับว่าเวลานี้เธออยู่ลอยอยู่บนท้องฟ้ายามอัสดง
‘ได้เจอแล้วไม่ใช่เหรอ’ เขาย้ำเหมือนเตือนแมรีแอนน์ ไม่นานเด็กหญิงก็หลับตาอีกครั้งแล้วตื่นขึ้นกลับสู่โลกแห่งความจริง เธอนอนนิ่งมองเพดานความฝันเริ่มเลือนรางแล้วถูกแทนที่ด้วยความทรงจำเก่าๆ แล้วเสียงหนึ่งก็แว่วมา
‘ช่วยสู้กันมั้งดิเว้ย!’
มันเป็นเสียงเล็กๆ ที่แหกปากร้องขอให้ช่วยสู้กับเด็กที่อายุมากและตัวโตกว่า แมรีแอนน์นึกออกแล้วในวันนั้นที่เธอถูกหัวโจกประจำหมู่บ้านแกล้ง มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งพรวดมาต่อว่าราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ก่อนจะถูกอีกฝ่ายใช้กำลัง ทั้งที่ตัวเล็กแต่เด็กผมฟ้าก็กัดฟันสู้ไม่ถอย ผิดกับเธอที่ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูกทั้งที่เขาต้องการความช่วยเหลือ
‘เกล็น!’ ชื่อของเด็กผู้ชายคนนั้นถูกเปล่งสุดเสียงมาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งหน้าตาตื่นพร้อมกับผู้ใหญ่อีกหลายคน จับเด็กผู้ชายเจ้าของชื่อกับหัวโจกนั่นแยกกัน แต่ไม่วายที่เกล็นเลิกตะโกนด่าทอใส่หน้า
‘อีแค่ใช้เวทมนตร์ได้ก่อนชาวบ้านมันไม่ได้ผิดนะโว้ย!’
‘พอแล้วเกล็น!’
แล้วทุกอย่างก็สงบลง… แมรีแอนน์ไม่ได้เจอเกล็นอีกเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น แล้วลืมคนที่เปรียบเสมือนผู้มีพระคุณ เธอร้องไห้นึกเสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดอีกแมรีแอนน์ตัดสินใจเขียนชื่อของเด็กผู้ชายคนนั้นบนกระดาษ
เช้าในวันเดียวกันนั้น แมรีแอนน์ยังสงสัยชายปริศนาที่ปรากฏในฝัน เธอไล่ถามผู้ใหญ่ทุกคนที่เจอ ทุกคนล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านั่นอาจจะเป็นเทพแห่งโชคชะตาฮีมูอาที่มีลักษณะเป็นชายวัยประมาณสี่สิบถึงห้าสิบไว้เคราสวมชุดเหมือนเอาผ้าคลุมตัวแบบเดียวกับในฝัน ทว่าเมื่อแมรีแอนน์ลองไปวิหารเพื่อจะขอบคุณเธอกลับรู้สึกว่าเป็นคนละคนกันอย่างบอกไม่ถูก กระนั้นเด็กสาวก็เชื่อว่าคนในฝันคงเป็นเทพฮีมูอา จากนั้นแมรีแอนน์ก็ไปสืบหาวิธีการที่จะได้พบเกล็นอีกครั้ง
‘เกล็น? …อ้อ แม่จำได้นะ รู้สึกว่าเป็นคนตระกูลฮิลเนสัน’ แม่เธอพูดขึ้นตอนที่ถามเรื่องนี้กับพ่อในมื้อเย็น ‘ถ้าอยากเจอก็ต้องไปมอสเซียน่านะ รู้สึกบ้านเด็กคนนั้นจะอยู่ที่นั่น’
‘ไม่ก็ต้องเข้าเรียนเอลเซียส์ล่ะนะ ฮ่าๆ’ แฮเรียตหัวเราะอารมณ์ดีพูดทีเล่นทีจริง ‘พวกคนใหญ่คนโตก็ส่งลูกไปเรียนที่นั่นทั้งนั้นแหละ’
‘งั้นหนูจะไปเรียนที่นั่นด้วย’ มันเป็นคำพูดซื่อๆ โดยไม่รู้เลยว่าโรงเรียนเอลเซียส์ที่ว่านั่นกำลังของพ่อยากที่จะส่งเธอเรียน
แน่นอนว่าในตอนนั้นมิเดียเน่อยากคัดค้านเพราะรู้ดีว่าไม่มีทางที่ครอบครัวจ่ายค่าเทอมมหาศาลนั่นได้ ทว่าแฮเรียตกลับชิงตัดบทสนับสนุนแมรีแอนน์ด้วยการพูดถึงทุนการศึกษา รู้ดังนั้นเด็กหญิงพยายามอ่านหนังสืออย่างหนัก โดยเธอมักหยิบ ‘เครื่องราง’ ดูอยู่เสมอ จนมีอยู่วันหนึ่งแมรีแอนน์อายุสิบสองก็ได้รับรู้ความจริงว่าโรงเรียนที่เธออยากเข้ามีค่าใช้จ่ายสูง หนำซ้ำเรื่องทุนการศึกษาก็มีเพียงน้อยนิดเสียจนเด็กหญิงสูญเสียความมั่นใจว่าจะทำได้หรือเปล่า คงต้องมีเด็กอีกจำนวนมากที่ต้องการทุนนี้เพื่อต่อยอดคุณภาพชีวิต ต่างกับเธอที่แค่อยากไปพบเด็กผู้ชาย แม้ว่าตัวแมรีแอนน์อยากมีการงานที่ดีด้วยเช่นกัน มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเบียดที่คนอื่นหรือไม่
ซึ่งในจังหวะที่แมรีแอนน์ครุ่นคิดว่าอนาคตจะทำยังไงต่อดี เธอได้ช่วยชายคนหนึ่งในเมืองที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปไม่ใกล้ไม่ไกล ตอนที่กลับมาจากการขอพรกับเทพฮีมูอาที่นับถือ เขาให้สินน้ำใจเล็กน้อย แล้วนั่นทำให้สมองเด็กหญิงแล่นความคิดใหม่รีบกลับบ้านไปบอกพ่อแม่ว่าตนจะหางานทำ หวังช่วยแฮเรียตเก็บค่าเทอมโดยรู้แค่ว่าต้องใช้เงินจำนวนมากเท่านั้น จากนั้นแมรีแอนน์เพิ่งนึกได้ว่าตนมีความสามารถเรื่องเวทรักษา เด็กหญิงจึงวนเวียนแถวสำนักงานกิลด์เพื่อช่วยเหล่านักผจญภัยรักษาบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ แลกกับเงิน จนหัวหน้าสำนักกิลด์ประจำเมืองยื่นมือช่วยเหลือเท่าที่ขอบเขตกฏหมายอนุญาต อีกทั้งแมรีแอนน์เป็นเด็กร่าเริงเลยเป็นที่รู้จักของคนละแวกนั้นกับนักผจญภัยที่มักแวะเวียนเมืองนี้บ่อยๆ
กระทั่งสำนักงานใหญ่มีกฎเพิ่มระดับพิเศษให้เด็กอายุสิบห้าสามารถรับงานได้ ประจวบเหมาะที่แมรีแอนน์อายุครบในปีนั้นพอดีกลายเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม เธอจึงเพิ่มรายได้จากการรับงานมากขึ้น ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการรักษาหรือเดินเรื่องจองที่พักให้ กระนั้นแฮเรียตกับมิเดียเน่ที่รู้จำนวนเงินยังอดกังวลไม่ได้ ต่อให้ทำงานตัวแทบขาดอย่างไง เงินพวกเขาสองคนรวมกันไม่พอจ่ายอยู่ดี ปีหน้าแล้วที่แมรีแอนน์มีสอบเข้าโรงเรียน ทั้งสองกลัวว่าลูกสาวจะผิดหวังหากไม่สามารถเข้าเรียนได้ ทางสุดท้ายที่ทำคือคงต้องเป็นหนี้กับตระกูลขุนนางใกล้ๆ นี้แทน ซึ่งนั่นก็จะเป็นภาระครอบครัวอีกหลายสิบปี เป็นไปได้พวกเขาได้แค่หวังว่าแมรีแอนน์มีผลคะแนนดีสามารถรับทุนได้ ทว่ามันก็ดูเลื่อนลอยนักเพราะเด็กหญิงไม่ใช่เด็กอัจฉริยะที่ท่อนจำหนังสือแค่รอบเดียวก็จำได้จนวันตาย และเธอนั้นทั้งทำงานไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วยยิ่งยากเข้าไปอีก
‘แมรีแอนน์ๆ รับงานนี้ได้ไหม’ พนักงานประจำสำนักงานถามเด็กสาวในเช้าตรู่วันหนึ่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน ‘เดี๋ยวหัวหน้าเขาจะไปด้วยนะ มันค่อนข้างด่วนมากเลย’
โดยงานที่ว่านั่นคือการรักษาภรรยาของขุนนางยศบารอนวัยกลางคนประมาณห้าสิบปี อาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งของเมือง หล่อนประสบอุบัติเหตุไฟไหม้ต้องการคนไปดูแลเบื้องต้นเพื่อรอหมอที่สามารถรักษาแผลไฟไหม้จากอีกเมือง เนื่องจากหมอเมืองนี้เองก็ติดธุระ แต่นั่นก็ทำให้เด็กสาวตึงเครียดอยู่ไม่น้อย เนื่องจากการเวทมนตร์รักษาแผลไฟไหม้อยู่ระดับที่สูงกว่าความรู้ถึงแมรีแอนน์จะปฐมพยาบาลเป็น และยิ่งหัวหน้ากิลด์ที่ควรอยู่เป็นเพื่อนต้องรีบขอตัว หลังรับแจ้งจากลูกน้องว่ามีอุบัติเหตุรถของคณะอาจารย์ของโรงเรียนแห่งหนึ่งอยู่อีกที่
“เราจะทำได้ไหมนะ…” มันเป็นนิสัยติดของแมรีแอนน์แล้ว หากเธอวิตกกังวลก็จะกำเครื่องรางไว้แน่นแล้วขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
ทว่าเมื่อไปถึงและเห็นสภาพบาดแผลมันเลวร้ายน้อยกว่าที่คิด เพราะภรรยาท่านบารอนได้รับการรักษาจากคนอื่นมาก่อนด้วยการทายา แมรีแอนน์ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไรมากจึงใช้ยาตัวเดิมทาอีกครั้งก่อนใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลทั่วไป
ราวกับปาฏิหาริย์ภรรยาท่านบารอนที่ทีแรกแค่ยกแขนก็ปวดแสบปวดร้อน กลับมาเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นหายจากอาการทรมานทั้งที่ยังมีรอยแผลบนแขนและลำคอ นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสำหรับทุกคน ท่านบารอนแค่อยากให้บาดแผลมันทุเลาลงก่อนหมอจะมาถึง แม้จะไม่ได้หายขาด แต่พวกเขายินดีจ่ายเงินตามสัญญาว่าจ้าง ตัวแมรีแอนน์เองก็ตกใจที่ทำได้ไม่แน่ สาเหตุที่ผลลัพธ์ออกมาดีอาจจะเป็นเพราะใช้ยาร่วมกับเวทมนตร์ เด็กสาวจึงขอแบ่งเพื่อเอาไปรักษาแม่ด้วย แน่นอนว่าท่านบารอนยินดีให้อย่างเต็มใจ
‘ว่าแต่คุณหนูไม่ลองสอบเข้าเอลเซียส์ดูล่ะ’ ท่านบารอนบอกกับเธอ
‘ถะ ถ้าเรื่องนั้นหนูกำลังเก็บเงินอยู่น่ะค่ะ คิดว่าจะน่าจะทันอยู่…’ เธอทั้งตอบความเป็นจริงและโกหกไม่รู้เลยว่าจะเก็บเงินทันได้จริงไหม ได้ยินแบบนั้นสองสามีภรรยาสบตาหากันแล้วหันไปยิ้มกับเด็กสาว
‘งั้นเอางี้ไหม เราขอเปลี่ยนค่าจ้างเมื่อกี้เป็นจ่ายค่าเทอมแทน’ ภรรยาเสนอข้อแลกเปลี่ยนค่าจ้าง แมรีแอนน์ทำท่าปฏิเสธทันทีแต่ก็ไม่ทัน ‘อย่างที่สามีฉันบอก คุณหนูมีความสามารถขนาดนี้น่าจะไปเรียนที่นั่นน่ะ งั้นพอเรียนจบคุณหนูก็ทำงานเราก็คอยมาคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ กันก็ได้ ตอนนี้ไปเรียนก่อนเถอะ พวกเราเสียดายแทน’
‘ตะ แต่ว่า…’
‘ลูกพวกเราก็โตทำงานไปหมดแล้ว จะส่งเสียเด็กอีกสักคนไม่เห็นเป็นอะไรเลย นึกว่ามีคุณหนูเป็นลูกสาวอีกคนก็ยังได้ โอ้ จริงด้วย เราควรคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่คุณหนูให้เป็นกิจจะลักษณะดีกว่าเนอะ’
‘นั่นน่ะสิค่ะ ไว้ฉันหายเมื่อไรเรามาคุยเรื่องนี้ดีกว่า ฮิๆ’
เพราะหาข้ออ้างมาปฏิเสธไม่ออก แมรีแอนน์จึงยอมรับข้อเสนอไปก่อน หลังลองรักษาบาดแผลให้แม่เสร็จในตกเย็นวันนั้น เธอเล่าก็เรื่องที่ท่านบารอนจะออกเงินค่าเทอม ทำเอาแอเรียตกับมิเดียเน่มีสีหน้าลำบากใจพวกเขาเองก็ไม่อยากรบกวนเงินคนอื่นนัก โดยเฉพาะแม่ที่มีท่าทางแข็งกร้าวขึ้นเรื่องไปโรงเรียน ชนิดที่ว่าแฮเรียตกับแมรีแอนน์ยังประหลาดใจ กระทั่งถึงวันที่ผู้ใหญ่คุยกัน แมรีแอนน์ไม่ได้อยู่ด้วยเพราะพวกเขาต้องการความเป็นส่วนตัว เด็กสาวจึงเดินเตร็ดเตร่แถวชายป่าใกล้หมู่บ้าน แล้วเจอพุ่มดอกไม้เดลฟินเนียมสีฟ้าวินาทีนั่นจู่ๆ แมรีแอนน์เผลอหยิบเครื่องรางออกมา นึกถึงวันที่ได้ไปโรงเรียนแล้วพบกับเกล็นอีกครั้ง จินตนาการถึงสีหน้าว่าจะเป็นยังไง จากนั้นเธอขุดดอกไม้กลับไปปลูกที่หน้าบ้านโดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ราวกับว่าเธอกำลังเหม่อลอยปล่อยให้จิตใจทำตามอำเภอใจ
เมื่อกลับไปถึงและปลูกลงดินเสร็จเรียบร้อย พวกผู้ใหญ่ก็ได้ข้อสรุปกันว่าท่านบารอนจะออกค่าเทอมตลอดสามปีให้แลกกับแฮเรียตต้องมาช่วยทำงานแบบฟรีๆ เมื่อพวกเขาต้องการกับพวกเขาจะดูอีกทีหลังแมรีแอนน์เรียนจบ
ลึกๆ อาจจะยังไม่สบายใจอยู่บ้าง ทว่าอย่างน้อยความฝันของเด็กสาวเข้าใกล้มา หลังจากนี้ภายในอีกหนึ่งปี แมรีแอนน์ต้องทุ่มกับการอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้าให้ติด และแล้ววันที่รอคอยได้เป็นจริง เด็กสาวสอบติดเข้าโรงเรียนเอลเซียส์ อีกนิดหนึ่งที่เธอจะได้พบกับเด็กผู้ชายเมื่อเก้าปีก่อน
อีกนิดหนึ่ง…
‘ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมต้องรับพวกสามัญเข้าด้วยก็ไม่รู้’
อีกนิด…
‘เป็นอะไรมากหรือเปล่า’
อีกแค่นิดเดียว…
‘ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ’
ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว…
‘มะ แมรี… แอนน์???’
แล้วเด็กผู้ชายคนนั้นก็หงายท้องสลบไป… น่าสงสัยจังทำไมเขารู้จักชื่อเธอได้ยังไง หรือว่าจะจำเรื่องเมื่อเก้าปีก่อนได้กัน ทั้งที่คิดแบบนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ เกล็นจำเรื่องของแมรีแอนน์ไม่ได้เลยสักนิด แต่ไม่เป็นไรหรอกก็เพราะ…
‘ไม่เป็นไร แล้วก็เรียกเกล็นเฉยๆ ก็พอ… แบบว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันนี่เนอะ’
ก็เพราะเราสองคนได้เป็นเพื่อนกันแล้ว สำหรับแมรีแอนน์แค่นี้ก็พอใจ เอาไว้เรียนจบเธอค่อยเฉลยก็คงไม่สาย อยากรู้จักเลยนะว่าเกล็นจะทำหน้าแบบนั้น คงตลกน่าดูเชียว อยากให้ถึงวันนั้นไวๆ จังเลย ถึงจะชอบทำตัวพิลึก พูดจาภาษาแปลกๆ บางครั้งก็อย่างกับคุณลุงขี้บ่น แม้ตอนปฏิเสธที่จะเต้นรำด้วยกันแมรีแอนน์ก็นึกเสียดายเพียงอย่างเดียว แต่เกล็นเป็นคนที่น่ารักดี…
‘สรุปสองคนนั้นเป็นคู่หมั้นกันจริงๆ หรือเปล่า? ที่ชื่อเกล็นกับชาร์ล็อตน่ะ’ มันคือเสียงของหนึ่งในกลุ่มเพื่อนฟิเลน่าที่ยืนร่วมตัวกันคุยกันตามประสาทเพื่อน
หมายความว่า… ยังไงกัน เกล็นกับชาร์ล็อตเป็นคู่หมั้นกัน?
‘มันก็แค่ข่าวลือไม่ใช่เรอะ อย่าไปใส่ใจมันนักเลย’ ฟิเลน่าบอกเสียงเรียบ แต่มันก็ไม่ช่วยให้แมรีแอนน์หายช็อกกับเรื่องที่ได้ยินเมื่อสักครู่ เธอมีอาการคล้ายคนหน้ามืดจนเดินเซถอยหลังชนเข้ากับแจกัน ซึ่งนั่นก็ช่วยให้แมรีแอนน์ดึงสติกลับมา
“นั่นสินะ คงเป็นแค่ข่าวลือก็สองคนนั้นเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กเลยนี่นะ… แต่ทำไมถึงรู้สึกแย่จัง…”
แมรีแอนน์สับสบต่อความรู้สึกนี้เหลือเกินในตอนที่ได้รับดอกพีโอนีจากเกล็น ทั้งโหยหา คิดถึง มีความสุข และเจ็บปวดกับข่าวลือ…
เกล็นก็แค่… เป็นห่วงชาร์ล็อตในฐานะเพื่อนวัยเด็กเท่านั้นเอง…
น่าอิจฉาจังที่เกล็นใช้น้ำเสียงแบบนั้น… ไม่ได้นะ ชาร์ล็อตคือเพื่อนของเธอ จะริษยาเขาไม่ได้เด็ดขาด สองคนนี้เป็นแค่…เพื่อนกันเท่านั้น…
และเธอแค่อยากเป็นเพื่อนเกล็น... อยากเป็นเพื่อน อยากเป็นเพื่อน... เราอยากเจอเขาเพราะอยากเป็นแค่...
‘ฉันชอบเกล็นนะคะ’
แมรีแอนน์ไม่รู้ตัวเลยว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตอนไหน แต่สิ่งเดียวที่เธอมั่นใจคือยินดีที่ได้เจอเกล็นอีกครั้งและจะมั่นคงต่อเขาตลอดไป ต่อให้ความรักนี้จะไม่สมหวังแล้วก็ตาม
Comments (0)